สำหรับเนื้อหาใน Part 6 นั้น จะเป็นผจญภัยในดินแดนที่สูงและ หาวที่สุดของประเทศไทยที่ชื่อว่า "อินทนนท์" กันน๊ะครับ

หมายเหตุ: เนื้อหาในบทความนี้ จะเล่าแต่ละสถานที่แบบคร่าวๆน๊ะครับ ส่วนรีวิว แบบละเอียดของแต่ละที่ จะแยกไปเป็นบทความของแต่ละที่อีกทีครับ

หลังจากที่ออกเดินทางจาก กทม. ในวันที่ 4 มกราคม และได้แว่ะตามจุดต่างๆ ตามนี้

"อุทยานแห่งชาติภูแลนคา" - > "มอหินขาว"
->
"อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า" -> "บ้านร่องกล้า"
->
"อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ"
->
"อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว" (ไม่ได้เดินขึ้นเขาน๊ะ)
->
"อุทยานแห่งชาติศรีน่าน" -> "ผาชู้" -> "ดอยเสมอดาว"
->
"ถนนหมายเลข 3" -> "สปัน" -> "ลานกางเต้นท์ โอเวอร์วิว @น่าน"
->
"ภูลังกา" -> "ลานกางเต้นท์ ภูซัน"
->
"อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า" -> "ลานกางเต้นท์ GOODVIEW @ภูชี้ฟ้า"
->
"ดอยช้าง" -> "ลานกางเต้นท์ ชมตะวัน" -> "อาข่า ฟาร์มวิลล์"
->
"อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก" -> "ลานกางเต้นท์ม่อนสน" -> "ไร่ชา 2000" -> "ไร่สตรอว์เบอร์รีบ้านนอแล" -> "สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง" -> "ลานกางเต้นท์ซุยถัง" (ไม่ได้ค้าง)
->
"สันป่าเกี๊ยะ" -> "ลานกางเต้นท์ 1348 @สันป่าเกี๊ยะ"
->
"อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง"
->
"อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ"  ->  "ปางอุ๋ง"
->
"บ้านรักไทย"  ->  "ลานกางเต้นท์ฟาฉาย"

สามารถเก็บสะสมแสตมป์ของอุทยาน ได้ 9 แห่ง
และเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า 1 แห่ง

17 มกราคม 2567

หลังจากที่เกิดการผิดแผน เพราะฝนตกอย่างหนักที่ "บ้านรักไทย" ในช่วงเช้า และกว่าฝนจะหยุด และสามารถเก็บเต้นท์อันเปียกโชกได้ ผมก็ต้องเริ่มเดินทางในช่วงบ่าย
และเมื่อจับ GPS ของ GooGle Map สุดยอดแอปพลิเคชั่นอัจฉริยะ ก็ระบุเอาไว้ว่า การเดินทางจาก "บ้านรักไทย" ไป "ดอยอินทนนท์" นั้น จะต้องใช้เวลามากกว่า 5 ชั่วโมง
ผมนั้นจึงไม่รอช้า รีบออกเดินทางอย่างรีบเร่งทันที

อ่าๆๆๆ สวยๆ สดชื่นๆๆๆ แว่ะหน่อยแล้วกัน (แว่ะร้านกาแฟร้านเดิม ที่อยู่ตรงทางหลัก เพื่อเติมกาแฟนิดหน่อย)

ถ่ายรูปๆ

อ่าๆๆๆ "จุดชมวิวผาบ่อง" แว่ะหน่อยๆๆๆ

สำหรับ "จุดชมวิวผาบ่อง" นั้น ถือว่าเป็นจุดชมวิวจุดเล็กๆ ที่แทบจะไม่มีร้านค้า แต่ก็มีร้านกาแฟร้านนี้ คอยให้นักเดินทางนั้น ได้แว่ะเติมกาแฟกัน

และในส่วนของวิวนั้น ผมก็ว่า ก็โอเคอยู่ครับ (อืมมม ท้องฟ้าสดใส)

แต่ทว่า เมื่อขับมาได้ซักพัก ผมก็เจอน้องฝน ที่คอยมาให้กำลังตลอดทางบนภูเขา โดยน้องนั้น ได้ร้องว่า "สู้ๆ" มาตลอดทาง

และก็เจอเหตุการณ์ตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะว่ามีต้นไผ่นั้น ล้มลงปิดกั้นเส้นทาง แต่คนขับรถบรรทุกข้างหน้า ที่ในรถนั้น ก็มีมีดขนาดใหญ่อยู่ ก็ลงมาจัดการตัดต้นไผ่เหล่านั้น เพื่อเปิดเส้นทาง
โดยจริงๆแล้ว ก็มีน้องที่เดินทางด้วยรถมอเตอร์ไซค์ ก็ลงมาช่วยเก็บต้นไผ่เหล่านั้น ออกไปจากถนนด้วย (ทั้งๆที่จริงๆแล้วรถมอเตอร์ไซค์นั้น ก็สามารถผ่านไปได้อย่างสบายอยู่แล้ว อย่างงัยก็ต้องขอขอบคุณครับ)

และเมื่อขับต่อมาซักพัก ฝนก็หยุดตก และผมก็พบกับป้าย "ทุ่งบัวตองดอยแม่อูคอ"
แน่นอนว่า สถานที่แห่งนี้นั้น อยู่ในลิส ของจุดหมายปลายทางที่อยากไปมานานแล้ว แต่จากการพูดคุยกับนักท่องเที่ยวที่เจอกันที่ลานกางเต้นท์ ก็รู้อยู่แล้วว่า ดอกบัวตองนั้น มันโรยไปหมดแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น วิญญาณนักผจญภัยนั้น ก็เข้าสิง ผมนั้นกดตรวจสอบระยะทางทันที แล้วก็พบว่า มันใช้เวลาเพียงแค 20 นาทีกว่าๆ เท่านั้น
และระหว่างทาง ผมก็สังเกตเห็นป้าย "อำเถอแม่แจ่ม" ที่อยู่ห่างไปเพียงแค่ 90 กิโลเมตรเท่านั้น

Writer: แว่ะไปสำรวจเส้นทางทุ่งดอกบัวตองก่อนดีกว่า วันไปจริงจะได้ไม่วุ่นวาย ส่วนดอยอินทนนท์ เอาไว้ไปอีกวันก็ได้ อย่างงัยวันนี้ก็ไปไม่ทันมืดอยู่แล้ว ส่วนคืนนี้ ก็นอนที่ "แม่แจ่ม" ก็แล้วกัน ที่นั่นมีรีสอร์ท กับลานกางเต้นท์ตรึมเลยนี่กว่า เราเคยอ่านรีวิวมาแล้วๆๆๆ
Reader: หืมมม
Writer: เรานี่ช่างฉลาดจริงๆเลยๆๆๆ ฮ่าฮ่าฮ่า

ถึงแล้วๆๆๆ

จอดรถแล้วเดินขึ้นได้ (จุดนี้นั้นมันจะมีทางเล็กๆ ที่เป็นทางวันเวย์ ถนนปูนเลนเดียว ให้รถขับขึ้นมาได้ วันจริงเค้าจะให้ขับขึ้นมาได้หรือเปล่าก็ไม่รู้)

เดินๆ

อ่อๆๆๆ ดอกบัวตองเป็นดอกอย่างนี้นี่เอง จริงๆแล้วก็เคยเห็นมาบ่อยแล้วนี่หว่าๆๆๆ

เดินๆ สูงเหมือนกันน๊ะ "เริ่มเหนื่อยแล้ว"

และเมื่อผมนั้นได้ใช้เวลาซักพักใหญ่ๆ เพื่อเดินขึ้นไปให้ถึงยอด ท่ามกลางแดด ที่ส่องแสงอยู่ตลอดเวลา และเมื่อผมนั้นเดินขึ้นไปถึงแล้ว
Writer: เฮ้ยๆๆๆ
Reader: ทำไมๆ สวยเหรอๆๆๆ
Writer: ป่าวๆ

Writer: มันมีถนน !!! (แล้วกรูจะเดินขึ้นมาทำไมเนี่ยๆๆๆ)

ถ่ายป้ายผู้พิชิตซักหน่อย

อ่าๆๆๆ มุมนี้เลยๆๆๆ วันจริงเจอกัน อิอิ

และหลังจากนั้นผมก็เดินกลับลงมา และเดินทางต่อ ไปบนเส้นทางที่สวยงาม ไปตามขุนเขาที่สูงใหญ่ โดยสองข้างทางนั้นยังคงเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ และตามเนินเขานั้น ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ทำไร่ข้าวโพดกัน

และเมื่อขับมาได้ซักพักใหญ่ๆ ผมก็ได้พบกับหมู่บ้านม้ง ขนาดใหญ่กลางหุบเขา ทที่มีชื่อว่า "หมู่บ้านปางอุ๋ง"
และในวันนี้ ก็เป็นวันที่ชาวม้งนั้น จัดงานปีใหม่ม้งกัน และทุกคนนั้น ก็แต่งชุดม้งกันแทบทุกคนอย่างสวยงามมาก ผมนั้นนึกอยากถ่ายรูปทันที แต่เนื่องจากว่าต้องรีบเดินทางต่อ จึงไม่ได้หยุดเพื่อขอน้องๆ ที่แต่งชุดอย่างสวยงามนั้น ถ่ายรูปแต่อย่างใด

และในใจนั้นก็เกิดนึกสงสัยว่า งานปีใหม่ม้งเนี่ยๆๆๆ มันมีกี่วันกันแน่ เพราะในคืนที่ผมนอนที่ "ภูชี้ฟ้า" เมื่อหลายวันก่อน หมู่บ้านม้งใกล้ๆนั้น ก็มีการจุดพลุ ฉลองปีใหม่ม้งกันทั้งคืนเลย
หมายเหตุ: และสุดท้าย หลังจากการพูดคุย ผมก็ทราบว่า งานปีใหม่ม้งของแต่ละหมู่บ้านนั้น เค้าไม่ได้มีกำหนดที่แน่นอน และเค้าก็จะจัดกันแบบ ไม่ให้ตรงกัน เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ นั่นเอง

อ่าๆๆๆ พระอาทิตย์จะตกแล้ว

ถ่ายรูปถนนแบบอาร์ทๆ ซักหน่อยๆๆๆ

และหลังจากที่ผมขับรถมาจนถึง "อำเภอแม่แจ่ม" ซึ่งตอนนั้น ถึงแม้ว่า พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่แสงนั้น ก็ยังไม่ได้มืดเท่าไหร่นัก

Writer: อืมมม ลานกางเต้นท์สวยๆ ที่มีหญ้าเขียวๆ อยู่ตรงไหนน๊าๆๆๆ
และหลังจากผมนั้นขับผ่านตัว "อำเภอแม่แจ่ม" ที่เป็นเมืองที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควร
Writer: สงสัยจะอยู่อีกด้านนึง ลานกางเต้นท์ และรีสอร์ทหลายสิบแห่ง ตามที่เคยอ่านรีวิวมาแล้ว

และเมื่อขับเลยออกมาจนถึงทางขึ้นเขา

Writer: เอ๊ะ!!! ทำไมไม่มี
Reader: นั่นมัน "ม่อนแจ่ม" โว๊ยๆๆๆ
Writer: อ่าวๆๆๆ มันมีหลาย "แจ่ม" เหรอๆๆๆ ฮ่าฮ่าฮ่า (หัวเราะกลบเกลื่อนทันที)

และแน่นอนว่า ผมนั้นต้องขับขึ้นคอยอินทนนท์ ในถนนที่เป็นทางขึ้นเขาอันลาดชัน ในตอนที่มืด และเปลี่ยวมากๆ T_T
และเมื่อผมนั้นได้ขับรถถึงด่านเก็บเงินของ "ดอยอินทนนท์" แล้ว ก็เป็นเวลาประมาณ 1 ทุ่มกว่าๆ เกือบ 2 ทุ่ม และผมนั้นเห็นว่า มันมืดค่ำแล้ว จึงไม่อยากเข้าไปในลานกางเต้นท์ของอุทยานในตอนนี้ เพราะว่ามันจะเป็นการรบกวนนักท่องเที่ยวที่กำลังพักผ่อนอยู่
และถึงแม้ว่าผมนั้นจะเคยมาที่ดอยอินทนนท์แล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยเข้าไปที่ลานกางเต้นท์ จึงไม่ได้รู้ถึงสภาพพื้นที่ และบรรยากาศของลาน
ผมนั้นจึงตัดสินใจ ที่จะขับรถเลยลงไป เพื่อพักที่ตัวอำเภอจอมทอง ที่อยู่ห่างไปประมาณ 30 กิโลเมตรแทน (เพราะว่าคราวที่แล้ว ผมก็พักอยู่ที่นั่น จึงค่อนข้างรู้เส้นทางเป็นอย่างดี)

"โอ๊ะๆๆๆ เตียงกว้างนุ่มๆ ในราคาคืนละ 500 บาท แถมที่หน้าโรงแรม ก็มีแหล่งความเจริญ เพราะว่ามี 7-11 มาเปิดอยู่นั่นเอง"

"โอ๊ะๆๆๆ มีห้องน้ำส่วนตัว และมีน้ำอุ่นให้อาบด้วยๆๆๆ ฮ่าฮ่าฮ่า"

และถึงแม้นว่า ในคืนนี้นั้น ผมจะได้นอนบนเตียงนุ่มๆ และผ้าห่มผืนใหญ่ แต่ผมนั้น ก็ยังหวนคิดถึง ถุงนอนอุ่นๆ ที่ได้นอนขดตัวอยู่ในเต้นท์หลังเล็กๆ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ ของขุนเขา แล้วในใจนั้นก็คิดว่า

Writer: ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้พวกที่มากางเต้นท์เป็นคู่ พวกเอ็งไม่มีทางได้ลิ้มลอง นวัตกรรม ที่ผู้คิดค้นนั้น สมควรจะได้รับรางวัลโนเบลหรอก 
"นวัตกรรมของถุงนอน ที่ไม่ว่าจะนอนดิ้นแค่ไหน เราก็จะไม่มีทางหลุดออกจากถุงนอนอุ่นๆ นั่นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า"
และหลังจากนั้น ผมก็ผลอยหลับไป โดยในวันนี้นั้นผมก็ตั้งใจ ที่จะตื่นสายกว่าพระอาทิตย์ เพราะว่าหลายวันที่ผ่านมานั้น ผมตื่นก่อนพระอาทิตย์เสมอ นั่นเอง

Reader: เอ๊ะๆๆๆ เด๋วน๊ะ นี่เอ็งบอกว่า เมื่อคืนเอ็งไปถึง "ดอยอินทนนท์" ตอนทุ่มกว่าๆ ใช่ป่ะ
Writer: ใช่ๆ ทำไมเหรอๆๆๆ
Reader: โอ้โห๋ๆๆๆ นี่ถ้าเอ็ง ไม่มันแว่ะนู่น แว่ะนี่ เอ็งก็น่าจะมาถึงที่นี่ ทันตอนมืดไม่ใช่เหรอ นี่มัวไปแว่ะที่ทุ่งดอกบัวตองที่โรยไปแล้ว ที่ต้องใช้เวลาขับรถไปกลับจากทางหลักประมาณ 50 นาที รวมกับเวลาที่เดินขึ้นลงเนินเขาประมาณ ครึ่งชั่วโมง นี่เอ็งมาถึง "ดอยอินทนนท์" ได้แบบสบายๆเลยน๊ะ ถ้าไม่มัวแว่ะอ่ะ

และเมื่อได้ยินดังนั้น ผมก็เก็กเสียงหล่อ และก็ตอบกลับไปทันทีว่า

Writer: ก็เพราะว่า "ความสุขของผมนั้น ไม่ได้อยู่แค่ปลายทาง แต่มันเกิดขึ้นระหว่างทางด้วย" อย่างงัยล่ะ (ผมนั้นตอบด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข และส่งยิ้มออกมาทันที)
Reader: หราๆๆๆ
Writer: อื้อๆๆๆ (T_T)

18 มกราคม 2567

และหลังจากนั้น ผมก็ตรงมายัง ลานกางเต้นท์ ของอุทยานทันที
และผมนั้น ก็ได้รู้ความจริงว่า จริงแล้ว ลานกางเต้นท์ แห่งนี้ มันก็อยู่ห่างจากถนนหลักที่ผมนั้น ผ่านไปเมื่อคืนไม่ไกลเท่าไหร่หรอก

สถานที่นั้นกว้างขวางพอสมควร

มีลานจอดรถบ้านด้วยๆๆๆ แถมมีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ อีกต่างหาก

สภาพของช่องจอดครับ ที่ด้านหลังจะมีตู้จ่ายไฟ ที่ต้องไปรับกุญแจตอนจ่ายเงินครับ
และจากการสอบถาม ก็ได้ความว่า ช่องนี้มีค่าใช้จ่าย 200 บาท และจะพักกี่คนก็ได้ (มันเป็นค่าใช้จ่ายแบบเหมาน่ะครับ)

"ปักสมอ เท่ห์เสมอ"

ที่ด้านหน้าของลาน ก็จะมีต้นซากูระ ที่สวยพอสมควรอยู่ต้นนึงครับ

อ่าๆๆๆ มีต้นไม้เท่ห์ๆ อยู่ต้นนึง ตรงลานจอดรถด้วยๆๆๆ

และที่ใกล้ๆกัน ก็จะมีศาลา ที่นักท่องเที่ยวนั้น จะสามารถมาชาร์จแบตโทรศัพท์ได้ครับ

และบริเวณด้านนอกนั้น ก็มีร้านอาหาร ลานกางเต้นท์ และรีสอร์ท ที่มีไว้คอยบริการอย่างล้นหลามครับ

มาตรวจสอบสถานที่ท่องเที่ยวของ "ดอยอินทนนท์" กันครับ
หมายเหตุ: จริงๆแล้ว ตามจุดในนี้ ผมไปมาจนครับเลยครับ ยกเว้น "น้ำตกแม่ปาน" และ "น้ำตกห้วยทรายเหลือง" เพราะดูเหมือนว่า มันจะอยู่ไกลพอสมควรครับ (ประมาณ 40 นาที) และเนื่องจากว่า มันอยู่ใกล้กับ "ป่าปงเปียง" ผมจึงวางแผนว่า จะไปในคราวที่ผม จะไปถ่ายรูปที่ "ป่าปงเปียง" ในฤดูทำนาครับ

และเนื่องจากที่ที่ลานกางเต้นท์แห่งนี้นั้น มันอยู่บริเวณตรงกลางของแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง นั่นจึงทำให้พบว่า เต้นท์ต่างๆที่กางอยู่นั้น ในช่วงกลางวัน มันจะว่างเปล่า เพราะว่านักท่องเที่ยวนั้น มักจะออกไปเที่ยวกันนั่นเอง

และเนื่องจากว่า ที่ลานกางเต้นท์แห่งนี้นั้น สามารถมองเห็นน้ำตกที่อยู่เกือบยอดเขาได้แห่งหนึ่ง ผมนั้น จึงตัดสินใจ มุ่งหน้าไปยังน้ำตกแห่งนี้ทันที

และน้ำตกแห่งนี้นั้น ก็มีชื่อว่า "น้ำตกสิริภูมิ" นั่นเอง

"ผจญภัย" "Mission Start"

ลำธารเล็กๆ

น้ำตกในจุดแรกครับ
หมายเหตุ: สำหรับมุมในการถ่ายรูปกับน้ำตกจุดนี้ ที่ถูกต้องนั้น ก็คือ เดินเข้าไปใกล้ๆ กับน้ำตก และก็ถ่ายรูปคน ให้เห็น น้ำตกตรงนี้ เป็นฉากหลังน๊ะครับ (เพราะชาวต่างชาติที่เดินมาพร้อมกัน เค้าถ่ายกันแบบนี้ครับ น่าจะเท่ห์อยู่ครับ)

และเมื่อเดินไปจนถึงจุดสูงสุดของน้ำตก ผม และชาวต่างชาติ ที่เดินมาด้วยกัน ส่ายหัวกันหมดเลยครับ ฮ่าฮ่าฮ่า
มันไม่มีมุมให้ถ่ายสวยๆเลยครับ แถมยังมีท่อน้ำ PVC วางระเกะระกะไปทั่วเลยครับ

ดังนั้น การมาเที่ยวน้ำตกสิริภูมินั้น ผมแนะนำว่า ให้ถ่ายรูปตรงน้ำตกจุดแรกตรงนั้นก็พอครับ มันห่างจากจุดจอดรถแค่ประมาณ 300 เมตรเองครับ

หลังจากนั้น ผมก็ตรงไปยัง "น้ำตกวชิรธาร" ทันที

ใหญ่มาก แถมน้ำแย่ะอีกต่างหาก นี่ขนาดไม่ใช่หน้าฝนน๊ะ
นั่นจึงทำให้ ผมแนะนำว่า "น้ำตกวชิรธาร" แห่งนี้นั้น เป็นที่จะต้องแว่ะ เมื่อคุณมาเที่ยวที่ดอยอินทนนท์ครับ เพราะว่า มันเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยมาก แถมติดถนนที่เป็นทางหลัก และรถสามารถมาถึงยังจุดนี้ได้เลยครับ (ไม่ต้องเสียเวลาเดินป่าขึ้นเขาเลยครับ)

จากภาพนี้ คือจริงๆแล้ว ตรงที่เห็นคนยืนอยู่นั้น มันเป็นจุดถ่ายรูปที่ Amazing มากๆน๊ะครับ เพราะว่า มันจะมีละอองน้ำ จากน้ำตกจำนวนมากอยู่ และผมกลัวกล้องพัง จึงไม่ได้ใช้กล้องใหญ่เข้าไปถ่ายรูปครับ

และหลังจากนั้น ผมก็ขับเลยลงไปยัง "น้ำตกแม่กลาง" ครับ

เป็นน้ำตกที่สวยพอสมควรครับ

แต่บริเวณนี้เค้าห้ามลงเล่นน้ำน๊ะครับ

และถ้าถามว่า น้ำตกแห่งนี้ ควรแว่ะหรือไม่
ผมก็บอกว่า ถ้าจะมาเพื่อเที่ยวเล่นถ่ายรูป คือ จะมาหรือไม่มาก็ได้ครับ
แต่ถ้าคุณ "หิว" ผมแนะนำเลยครับ เพราะที่นี่นั้น มีร้านขายอาหาร นานาชนิดอยู่แย่ะมาก และท่านสามารถสั่งไปนั่งกินได้แบบติดลำธาร ที่สามารถลงไปเล่นน้ำได้เลยครับ

และในระหว่างทางขากลับ ผมก็แว่ะน้ำตกเล็กๆ ที่ชื่อว่า "น้ำตกสิริธาร" ครับ ต้องเดินลงไปประมาณ 200 เมตรมั้งครับ

และเนื่องจากว่า น้ำตกแห่งนี้นั้น ไม่ได้อนุญาติ ให้นักท่องเที่ยวนั้น เดินลงไปชมแบบใกล้ๆ ได้แล้ว (เพราะผมสังเกตเห็นว่า มันมีทางเดินเก่าๆ ที่ถูกปิดเอาไว้น่ะครับ)
ดังนั้น ก็คิดว่า น้ำตกแห่งนี้ จะแว่ะ หรือไม่แว่ะก็ได้ครับ

และก่อนที่จะกลับไปยังลานกางเต้นท์ ผมก็ได้แว่ะไปยัง จุดถ่ายรูป ที่เหล่านักล่าช้างนั้น นิยมไปกันมาก
(เด๋วในจุดนี้ ในครั้งหน้า ผมอาจจะต้องหาทริป มาแจม เพื่อถ่ายรูป ทางช้างเผือก ตรงจุดนี้ให้ได้ครับ ^^)

แน่นอนว่า ผมก็ต้องไม่พลาดที่จะขึ้นไปยัง จุดสูงสุดของประเทศไทย

8 องศาครับ (มือเย็นเป็นน้ำแข็งเลยครับ)

เข้าไปเดินแป๊บนึงครับ

"หืมมม"
และหลังจากที่มองซ้าย มองขวา และพบว่า ไม่มีคนอยู่เลย
"เห่ะๆ"
Writer: นี่ตอนนี้ ข้าคือคนที่อยู่บนจุดสูงสุดของประเทศไทยน่ะซิ ฮ่าฮ่าฮ่า
Reader: ไอ้บร้าๆๆๆ คนที่นั่งเครื่องบินอยู่ มีเยอะแยะไป โว๊ยๆๆๆ
Writer: นับเฉพาะคนที่ยืนอยู่บนพื้นดิน ซิโว๊ยๆๆๆ

และหลังจากนั้นผมก็เดินเข้าไปในจุดชมวิวของที่นี

แต่เนื่องจากทางด้านหลังของที่นี่ เค้าห้ามถ่ายรูป จึงถ่ายรูปมาได้แค่มุมนี้ ซึ่งในคราวหลัง มุมนี้ผมก็คิดว่า จะขึ้นมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นซักครั้งหนึ่ง

และหลังจากนั้น ผมก็กลับไปยังลานกางเต้นท์

เวลาประมาณ 2 ทุ่ม

"ก้งเก๊ง ซ้งเช้ง..."
"มาๆ ช่วยกันกางเต้นท์หน่อย"
"เออๆๆๆ ดึงตรงนั้นหน่อย"

และเนื่องจากในวันนั้นมันเป็นช่วงงาน ปีใหม่ม้ง พอดี ที่โรงเรียนใกล้ๆกัน มันจึงมีงาน คอนเสิร์ต ที่เหล่าวัยรุ่นชาวม้งนั้น ได้มาสนุกกัน 
"เอ้าๆๆๆ ขอเสียงหน่อยๆๆๆ" (จริงๆแล้ว เค้าไม่ได้พูดภาษาไทยน๊ะครับ เค้าพูดภาษาม้ง และผมก็คิดว่า มันน่าจะแปลได้ตามนี้)
"เฮ้ๆๆๆ" "กรีดๆๆๆ"
"เฮ้ๆๆๆ" "กรีดๆๆๆ"
"เฮ้ๆๆๆ" "กรีดๆๆๆ"
และเหล่าวัยรุ่นชาวม้งนั้น ก็ส่งเสียงกันอย่างสนุกสนาน
จนถึงเวลา 5 ทุ่ม

Writer: แล้วทำไม เมื่อคืนกรูถึงไม่เข้ามากางเต้นท์ที่นี่ว๊าๆๆๆ T_T

หมายเหตุ: และเนื่องจากว่า ที่ดอยอินทนนท์ นั้น ผมได้ค้างที่นี่ ถึง 3 คืน และได้ไปตามจุดท่องเที่ยวของที่นี่เกือบทั้งหมด จึงจะขอตัดรีวิว ของที่นี่ ออกไปอีกพาร์ทนึง เพราะว่า รูปมันแย่ะมากครับ

แบกกล้อง

 วันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เวลา 15.32 น.

ความคิดเห็น