เนื้อหาต่อจาก Part 6
และผมยังคงอยู่ที่ "ดอยอินทนนท์"
19 มกราคม 2567
หลังจากเสียงนาฬิกาปลุกดัง ผมก็ยังคงนอนกลิ้งไปกลิ้งมา อยู่ใน ถุงนอน 2 ชั้น ที่แสนอบอุ่น จนไม่อยากลุกไปไหน อยู่หลายนาทีมากๆ
และหลังจากที่ทำใจได้แล้ว ผมก็รีบไปล้างหน้าแปรงฟัน เพื่อออกเดินทางไปชมพระอาทิตย์ขึ้นทันที
และหลังจากที่ไปถึง "จุดชมวิวกิ่วแม่ปาน" ที่อยู่ติดถนนนั้น ก็พบว่า ที่จอดรถตรงนั้น มันเต็มหมดแล้ว ผมจึงต้องวนรถกลับมาจอดที่จุดจอดรถด้านล่าง ที่อยู่ไม่ไกลนัก
แนะนำว่า ใครที่ต้องการมาชมพระอาทิตย์ขึ้น ตรงจุดนี้นั้น จะต้องตื่นเช้ามากๆ เพื่อมาจองที่นั่นเอง (นี่ขนาดไม่ใช่ช่วง High Season ของที่นี่น๊ะ)
อ่าๆๆๆ ทันพระอาทิตย์ขึ้นพอดี
แต่เนื่องจากว่า ทุกพื้นที่บริเวณที่ติดถนนนั้น มันเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว จนผมนั้น ไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปได้เลย (เพราะตื่นสาย)
ผมนั้นจึงเข้าโหมด "In to the Wild" ทันที (ใช้เลนเทเลถ่ายซูมแบบเจาะไปเลย)
ถ่ายป้ายหน่อย
หลักกิโลก็ไม่เว้น
พอเริ่มสายนิดหน่อย คนก็เริ่มเบาบางครับ
10 องศาครับ เช้านี้
และหลังจากที่เข้าไปพูดคุยถึงรายละเอียด ของการเดินป่าในจุดนี้นั้น ผมก็ตัดสินใจว่า จะมาเดินที่จุดนี้ ในวันพรุ่งนี้ ตอนเช้าตรู่ครับ
และนั่นจึงทำให้ผมนั้น ตัดสินใจ มาเดินที่นี่แทน หลังจากที่เมื่อวานนั้น มาถามรายละเอียดเอาไว้แล้ว
และเนื่องจากว่าผมนั้นมาเช้ามาก เค้าก็เลยยังไม่เปิดครับ
และนี่เป็นข้อกำหนดในการเดินป่าของที่นี่ครับ
และเหตุผลที่ การเดินป่าของดอยอินทนนท์ นั้น จะต้องมี Local Guild เดินไปด้วยทุกครั้ง และมีค่าบริการประมาณ 200 บาทนั้น ผมจะขอบอกในตอนที่ไปเดิน "กิ่วแม่ปาน" น๊ะครับ
มาแล้วครับ โลคอลไกด์ ของผม
และสำหรับทางเดินในช่วงแรกๆ มันก็ไม่มีอะไรมากน๊ะครับ โดยมันจะเป็นป่า ที่มีต้นไม้สูงๆเท่านั้น และการเดินส่วนใหญ่ จะเป็นการเดินลงเนินเขาครับ
และเมื่อเดินมาได้ซักครู่ ก็จะมาถึงแปลงดอกไม้ของชาวบ้านครับ (แปลงนี้ดอกยังไม่บานน๊ะครับ)
แต่โดยปกติแล้ว นักท่องเที่ยว จะไม่สามารถเข้ามาในนี้ได้น๊ะครับ แต่เนื่องจากว่า ผมมาคนเดียว โลคอลไกด์ ของผมก็เลยสามารถคอยกำกับดูแล ไม่ให้ไปเหยียบแปลงดอกไม้ของชาวบ้านได้ ผมก็เลยสามารถเข้ามาได้ครับ
แปลงนี้ เป็นแปลงที่บานแล้ว โดยดอกไม้ที่เห็นนี้ก็คือ "ดอกเบญจมาศ" ครับ
เห็นอย่างนี้ กว่าจะบานพร้อมตัดขายนี่ ใช้เวลา 4 - 6 เดือน ตามสภาพอากาศเลยน๊ะครับ
ลองใช้เลนส์เทเล ถ่ายจากระยะไกลดูครับ
ส่วนนี่เป็น เมล็ดกาแฟอราบิก้า ครับ
และเมื่อเดินลงมาเรื่อยๆ สภาพป่าก็เริ่มชุ่มชิ้นขึ้นครับ
และตรงนี้ โลคอลไกด์ ของผมก็บอกว่า กินได้ครับ
เริ่มผ่านลำธารเล็กๆ
เจอแมงมุมตัวใหญ่
เจอน้ำตกเล็กๆ
และหลังจากที่เดินมาได้ซักพักใหญ่ๆ ก็มาถึงจุดไฮไลท์ ของการเดินครั้งนี้ครับ นั่นก็คือ "น้ำตกผาดอกเสี้ยว"
และทางโลคอลไกด์ของผมนั้น ก็เล่าด้วยความภูมิใจ ถึงน้ำตกแห่งนี้ว่า เคยมีละคร และดาราชื่อดังคนหนึ่งมาถ่ายละครที่นี่ และถามผมว่า
"เคยดูมั๊ย ?"
ผมนั้นอึ้ง และคำนวณทันที ว่าจะแกล้งเออออ หรือจะตอบออกไปตามความจริงดี แต่ถ้าผมโกหก ก็อาจที่จะโดนซักถามจนความแตกได้
"ไม่เคยดูครับ"
การสนธนาเรื่องละคร ที่ผมนั้น ไม่ได้ดูมานาน ก็ถูกตัดจบ แบบ โลคอลไกด์ เซงๆทันที ฮ่าฮ่าฮ่า
น้ำตกของที่นี่ ถือว่าสวยคุ้มค่ากับการเดินมาเลยครับ
และก็เหมือนเดิม ในจุดที่อยู่ปลายสะพานที่เห็นนี้ ผมก็ไม่สามารถเอากล้องใหญ่ เข้าไปถ่ายรูปได้ครับ เพราะว่าละอองน้ำนั้น รุนแรงมากครับ
และเนื่องจากว่า ในวันนี้นั้น เป็นช่วง Low Season ของทางเดินป่าในจุดนี้ ทางโลคอลไกด์นั้น จึงได้ถามผมว่า
"จะเดินต่อมั๊ย"
ผมนั้นจึงได้คำนวณต่อในใจทันที โดยถ้าเดินกลับนั้น ก็จะต้องเดินกลับแบบขึ้นเนิน ซึ่งเหนื่อยมากแน่นอน และหลังจากการสอบถามว่า ถ้าเดินต่อไป มันจะเป็นทางราบมั๊ย ซึ่งก็ได้ทราบว่า ส่วนใหญ่ มันจะเป็นทางราบ ผมนั้นจึงตัดสินใจเดินต่อทันที
และนี่ก็คือเหตุผลที่ เค้าต้องถามว่า จะเดินต่อมั๊ยครับ
เพราะว่าจริงๆแล้ว จุดหมายปลายทาง ที่เป็นไฮไลท์ ของการเดินป่าในจุดนี้ นอกจาก "น้ำตกผาดอกเสี้ยว" นั้นก็คือ "หมู่บ้านแม่กลางหลวง" ที่มีนาขั้นบันไดครับ
โดยปกติแล้ว ที่บริเวณแห่งนี้นั้น จะสวยเฉพาะประมาเดือน ตุลาคม - พฤศจิกายน ที่เป็นฤดูทำนาครับ และที่นี่นั้น เค้าก็ทำนากันแค่ปีละครั้งครับ
เพราะถึงแม้ว่า ในบริเวณนี้นั้น จะมีน้ำอุดมสมบูรณ์ แต่บริเวณอื่นนั้น เค้าไม่มีน้ำ และถ้าตรงบริเวณนี้นั้นมีการทำนา นก ก็จะมารุมกินข้าวที่นี่ จนไม่เหลือครับ (และการทำนานอกฤดู มันก็ไม่ให้ผลผลิตเท่าไหร่ด้วย)
ตรงบริเวณนี้ ถ้าเป็นฤดูทำนา ก็คงสวยน่าดูครับ
หมายเหตุ: จริงๆแล้ว ผมก็เคยมาที่ "หมู่บ้านแม่กลางหลวง" ตอนฤดูทำนามาแล้วครับ ย้อนกลับไปดูได้ทางนี้ครับ
https://th.readme.me/p/40201
และนอกจากนั้น ในทริปการเดินของจุดนี้นั้น ก็ยังมีของแถมเป็น การเข้าชมร้านกาแฟในหมู่บ้านแม่กลางหลวง อยู่ด้วยน๊ะครับ (แต่ร้านกาแฟเหล่านั้น ก็สามารถเดินทางมาได้ด้วยรถส่วนตัวน๊ะครับ ไม่จำเป็นต้องมาเดินในทริปนี้ก็ได้)
นี่คือร้านกาแฟร้านแรกครับ
และที่นี่ ก็มี Welcome Drink ให้ชิมฟรีด้วยครับ
ทางซ้ายมือเป็นกาแฟน๊ะครับ ส่วนที่เหลือจะเป็น ชากลิ่นดอกไม้ ครับ
ส่วนรสชาติของกาแฟนั้น ผมขอใช้คำว่า รสชาติกลมกล่อมดีกว่าครับ
และแน่นอนว่า เมล็ดกาแฟ และชานั้น ก็มีขาย
และร้านต่อไปที่ โลคอลไกด์ของผมพาไปนั้น ก็คือร้านทอผ้าด้วยมือครับ
และสุดท้าย ก็เป็นร้านกาแฟ ที่ผมนั้นขอแนะนำเลยครับ
ร้านนี้ครับ
เครื่องบดเมล็ดกาแฟ
โดยขั้นตอนทุกอย่างของที่นี่ ยังใช้วิธีเดิมๆอยู่ครับ
และหลังจากที่ผมนั้น ทดลองชิมดูแล้ว ก็พบว่า รสชาตินั้น เข้มข้นมาก จนผมนั้น ดืื่มหมดแก้ว โดยต้องใส่น้ำตาลเพิ่มลงไปนิดหน่อยครับ
หมายเหตุ: และสำหรับการเดินทางกลับจาก "หมู่บ้านแม่กลางหลวง" นั้น ถ้ามากันเป็นกลุ่ม 10 คน ก็จะต้องทำการจ้างรถกระบะ ของชาวบ้าน ให้มาส่งที่จุดเริ่มต้นเดิน ที่รถของเราจอดอยู่ครับ โดยมีค่าบริการ 150 บาท
ส่วนในกรณีของผม ที่มาคนเดียว ก็จะเป็นมอเตอร์ไซค์ โดยมีค่าใช้จ่าย 50 บาท
และหลังจากที่ผมเสร็จภารกิจจาก "ผาดอกเสี้ยว" แล้ว ผมก็เดินทางไปยัง "ดอยผาตั้ง" ทันที
ขับรถเข้ามาจากทางหลัก ลึกพอสมควรครับ
และในวันนี้ ดอกซากูระ ก็บานมากกว่าครึ่งครับ
และก็น่าเสียดาย ที่ ที่นี่นั้นไม่อนุญาติให้กางเต้นท์ครับ
และเมื่อเสร็จภารกิจจาก "ดอยผาตั้ง" ผมก็ม่งสู่จุดสูงสุดของประเทศอีกครั้ง
เพื่อไปทำภารกิจ เดินป่า ใน "เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา" (แต่จริงๆแล้วจุดนี้ คือการเดินบนสะพานไม้ ในระยะทางสั้นๆเท่านั้นน๊ะครับ)
แต่เนื่องจากว่า จุดตรงนี้ มันแทบจะอยู่จุดเดียวกับจุดสูงสุดของดอยอินทนนท์ แถมทางเดินยังอยู่ในหุบเขา ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่สูงใหญ่ปกคลุมอยู่ อากาศจึงหนาวเย็นมากครับ
แผนที่คร่าวๆครับ
และเนื่องจากเส้นทางนี้นั้น ค่อนข้างเงียบสงบ จึงเป็นที่นิยมของ นักส่องนก มากครับ (ในวันที่ผมไปนั้น เจอนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เป็นนักส่องนก อยู่แย่ะมากครับ)
และมีสิ่งหนึ่ง ที่ทุกคนนั้นควรรู้เอาไว้ครับ
ว่าจริงๆแล้ว เทือกเขาของยอดดอยอินทนนท์นั้น ก็เป็นแนวเทือกเขาเดียวกับ "หิมาลัย" ครับ
Writer: ใช่แล้วๆๆๆ เรามาเดินเล่นที่ "หิมาลัย" กันเถอะ เย้ๆๆๆ
นี่ครับ ทางเดินมันเป็น วงกลม ครับ
ทางเดินร่มรื่น และหนาวเย็นมากครับ (มือผมนี่ เย็นเฉียบเลยครับ)
และหลังจากเสร็จภารกิจที่ "อ่างกา" แล้ว ผมก็ได้ไปทำภารกิจ ที่จุด landmark ที่สำคัญที่สุดของที่นี่ต่อทันที
ใช่แล้วครับ "พระมหาธาตุเจดีย์" ครับผม
โดยการเดินทางมาที่นี่นั้น จะต้องจอดรถเอาไว้ตรงบริเวณ "กิ่วแม่ปาน" และนั่งรถสองแถวอย่างนี้ ที่เป็นบริการฟรีน๊ะครับ
ส่วนค่าเข้านั้น ก็คนละ 50 บาท ครับ
หมายเหตุ: เด๋วสถานที่นี้ จะมีรีวิวแยกน๊ะครับ เพราะว่ารูปแย่ะมากครับ
และผมก็เลือกเดิน พระมหาธาตุฝั่งซ้าย ที่มีชื่อว่า "นภเมทนีดล" ก่อนครับ
ทางเดินขึ้นครับ
ด้านในครับ
สวนบริเวณด้านข้างครับ
แล้วก็พระมหาธาตุ ฝั่งขวาครับ "นภพลภูมิสิริ"
ทางขึ้นครับ
ด้านในครับ
สวนด้านหน้า
สวนด้านหลังครับ
หมายเหตุ: ถ้าถามผม ผมคิดว่า สวนตรงนี้สวยที่สุดครับ
และหลังจากที่มีเวลาเหลือ ผมก็มีความสงสัยใครรู้ว่า "หอดูดาวแห่งชาติ" ที่อยู่ระหว่างทางนั้น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหรือเปล่า (เพราะมันมีคำว่า "แห่งชาติ" อยู่)
ผมก็เลยลองเลี้ยวเข้าไปดูครับ
หู๋ๆๆๆ โครตเท่ห์เลยครับ
และเมื่อทำการสอบถามกับเจ้าหน้าที่บริเวณนั้น ก็ได้ทราบว่า ที่นี่เป็นสถานที่ราชการครับ ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว
แต่ว่า ทางเจ้าหน้าที่นั้น ก็ได้อนุญาติ ให้เข้าไปได้ที่ชั้น 2 ที่เป็นห้องจัดนิทรรศการครับ
และหลังจากที่ผมหาที่จ่ายค่ากางเต้นท์เจอ ก็ไปจ่าย และทำการขอแสตมป์ครับ
หมายเหตุ: ลานกางเต้นท์ และที่จ่ายเงินนั้น มันอยู่ห่างกับเกือบ 1 กิโลน๊ะครับ ก็เลยรู้สึกว่าไม่สะดวกเลย โดยเฉพาะชาวต่างชาติ หรือนักท่องเที่ยวที่เช่ามอเตอร์ไซค์มา เพราะว่าพวกเค้าต้องมาขนแผ่นรองนอน และหมอนจากที่นี่ ซึ่งมันมีขนาดใหญ่ และอันตรายมากครับ เวลาต้องขับรถมอเตอร์ไซค์มารับน่ะครับ
และเย็นวันนี้ ก็มาเดินเล่น ที่ตลาดด้านหน้า ลานกางเต้นท์ ซักหน่อย
มีชุดสาวม้ง สวยๆขายด้วย
และก็จริงๆแล้ว ตั้งแต่ "ภูหลงถัง" ผมก็พบว่า หมู่บ้านม้ง นั้น มีการจัดงานปีใหม่มาตลอดทาง และสาวม้งนั้น ก็นิยม แต่งชุดแบบนี้ เพื่อออกมาถ่ายรูปเล่นกันจำนวนมาก และผมก็อยากถ่ายรูปสาวม้งมาตลอด แต่ก็ยังไม่มีโอกาศซักที
และก็ที่ลานกางเต้นท์ ของอุทยานอินทนนท์นั้น ก็มีทั้งสาวม้งหลายคน มาเดินถ่ายรูปเล่น แต่ผมก็ยังไม่กล้าไปขอถ่ายรูปน้องเค้าซักที (เพราะว่าแฟนเค้ามาด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า)
ลองเดินเข้าไปในงานปีใหม่ม้ง ที่จัดขึ้นในโรงเรียนใกล้ๆดู
เครื่องเล่นที่เด็กๆชอบมากครับ
และ เฮ้ยๆๆๆ มีประกวดสาวม้งด้วยๆๆๆ (ในตอนนี้เค้าซ้อมกันอยู่น๊ะครับ)
แน่นอนว่า ในวันจริง เด๋วผมจะมาถ่ายรูปแน่นอนครับ ความฝันเป็นจริงแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า
20 มกราคม 2567
และหลังจากที่เสียงนาฬิกาปลุกดัง ผมก็นอนกลิ้งไปกลิ้งมา ในถุงนอนอยู่ซักพัก แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า วันนี้จะต้องได้คิวแรก ของการเดิน "กิ่วแม่ปาน" ให้ได้
ผมนั้นจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อไปล้างหน้าแปรงฟันอย่างเร่งรีบ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นมากๆ
โอ้วๆๆๆ 4 องศา นี่ผมจะต้องเดินป่า ที่ "กิ่วแม่ปาน" ตอน 4 องศาเหรอเนี่ยๆๆๆ
ส่วนอื่นไม่เท่าไหร่ครับ แต่มือนี่เย็นเป็นน้ำแข็งเลยครับ ผิงไฟหน่อยแล้วกัน
และสุดท้ายผมก็ไม่ได้คิวแรกน๊ะครับ แต่ได้คิวที่ 6
นี่คือเส้นทางเดินครับ
และเนื่องจากว่า ในตอนนี้นั้น ยังมืดอยู่ ในจุดที่ 1 - 6 นั้น ผมก็เดินเลยไปแบบไม่ได้หยุดถ่ายรูปเลยครับ
และหลังจากที่เดินอยู่ในป่าซักพักใหญ่ๆ ก็มาโผล่ตรงนี้ครับ
ตรงนี้คือจุดที่ 7 ครับ
และทาง โลคอลไกด์ ของผมก็ชี้ให้ดู "แม่คะนิ้ง" ครับ
หมายเหตุ: แต่จริงๆแล้วในวันนี้นั้น ที่จุดชมวิวสูงสุดนั้น มี "แม่คะนิ้ง" ที่สวยกว่านี้น๊ะครับ
โดยน้องที่กางเต้นท์ใกล้ๆกัน เค้าเอารูปมาให้ผมดู โดยมันเป็น "แม่คะนิ้ง" ที่เกาะอยู่บนขอบๆ ใบไม้สีเขียว มันจึงทำให้สวยมากครับ
ไม่ใช่ "แม่คะนิ้ง" ที่อยู่บนใบไม้ที่ตายแล้ว เหมือนของผมครับ
วันนี้มีทะเลหมอกนิดเดียวครับ
ถึงแล้วครับ จุดชมวิว จุดที่ 8 ที่น่าจะเป็นจุดที่สวยที่สุด
ถ่ายรูปๆ
และก็เดินกันไปตามแนวสันเขาอย่างนี้ครับ
แต่ปลอดภัยครับ เพราะว่ามีรั้ว
เดินกันไป พร้อมชมวิวยามเช้า อันสวยงามครับ
และก็ถ่ายรูปพันธุ์ไม้ตามทางครับ
แต่ดอกไม้ที่เป็นไฮไลท์ของการเดินป่าครั้งนี้ก็คือนี่ครับ "กุหลาบพันปี"
ที่นี่มีให้ถ่ายแย่ะมากครับ และนี่ก็คือต้นที่ขึ้นตามแนวผา
อ่าๆๆๆ จุดไฮไลท์ อีกจุดครับ สามารถขอหวย เอ๊ยๆๆๆ ขอพรคู่รักได้ครับ ฮ่าฮ่าฮ่า
อธิษฐาน ได้เลยครับ
เนินเขาสวยๆครับ
โดยโลคอลไกด์ของผมเล่าว่า จุดนี้เคยเป็นทางวิ่งเทรลมาก่อนครับ
แต่ทริปการเดินทริปนี้ ไม่อนุญาติให้เดินลงไปน๊ะครับ
ถ่ายเล่นกับแสงนิดนึงครับ
และในทริปนี้ ก็จะมีจุดที่สามารถมองเห็น "พระมหาธาตุ" ทั้งสองได้ครับ
แต่ย้อนแสงสุดๆครับ
หมายเหตุ: และทางโลคอลไกด์ของผมก็บอกว่า ในจุดชมวิวตรงนี้นั้น สามารถรับชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามได้ แต่ว่าจะต้องมาเดินในรอบสุดท้าย ก็คือช่วง 16:00 น๊ะครับ และก็ต้องแจ้งเค้าด้วยว่า จะรอชมพระอาทิตย์ตกดินครับ เพราะว่าเค้าจะได้จัด โลคอลไกด์ ที่เป็นผู้ชายให้ครับ
และในระหว่างทาง ก็มีนักท่องเที่ยวลื่นล้มครับ ทุกคนนั้นจึงได้รู้ความจริงว่า ภายในเป้ ของโลคอลไกด์นั้น เค้ามีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลอยู่ด้วย
และก็กลับเข้าไปเดินในป่าครับ
เจออะไรก็ถ่ายไปครับ
อ๊ะๆ เจอเห็ดด้วยๆๆๆ กำลังหิวเลยๆๆๆ
ปล. มันเป็นมุกน๊ะครับ ไม่น่าจะกินได้ เพราะถ้ากินเข้าไป ไม่ตาย ก็น่าจะหัวเราะทั้งวัน
และอย่างที่ผมบอกไว้ก่อนหน้านี้ครับ ว่าทำไมการเดินป่าที่ดอยอินทนนท์นั้น จะต้องมีโลคอลไกด์ และเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 200 บาท เสมอ
ก็เพราะว่า เมื่อหลายปีก่อนนั้น มีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น หายไปบริเวณนี้ครับ และทุกวันนี้ ก็ยังหาไม่พบครับ (ลอง Search ใน Internet ดู ก็น่าจะเจอข่าวนี้ครับ)
.
.
.
และหลังจากนั้น ผมก็ได้ลองเดินทางไปที่
"สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์"
ที่นี่เสียค่าเข้า 20 บาทน๊ะครับ และผมก็พบว่า มีนักท่องเที่ยว มาเที่ยวที่นี่น้อยมาก ทั้งๆที่อยู่ใกล้ ลานกางเต้นท์อย่างมาก
และเนื่องจากว่า สวนดอกไม้แห่งนี้ อยู่ในโรงเรือน จึงทำให้สภาพดอกไม้นั้น ยังดูดีกว่าที่อื่นมากๆ
และหลังจากนั้น ผมก็กลับลานกางเต้นท์ และเตรียมตัว แบกกล้อง ไปถ่ายสาวม้ง ที่งานประกวด ที่โรงเรียนใกล้ในช่วงค่ำคืน
และก็พบว่า ในช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่มนั้น ก็มีงานคอนเสิร์ต สุดมันส์ ของวัยรุ่นชาวม้ง
เค้าเป็นใครผมก็ไม่รู้หรอก แต่รู้ว่า ร้องเพลงมันส์ และสนุกมาก
แน่นอนว่า เค้าร้องเป็นภาษาม้ง ที่ผมนั้น ฟังไม่ออก
เหล่าวัยรุ่นชายหญิงชาวม้งนั้น ออกมาเต้นกันอย่างสุดมันส์
และหลังจากนั้น ในเวลาประมาณ 4 ทุ่ม เมื่อมีนักการเมืองท้องถิ่น ขึ้นมากล่าวสวัสดีปีใหม่ เหล่าวัยรุ่นจรงนี้ทั้งหมด สลายตัวทันที (แบบไม่เหลือซักคน) ฮ่าฮ่าฮ่า
ผมนั้นนึกในใจ อ่าๆๆๆ เด๋วหลังจากนี้ คงเป็นงานประกวดนางงามแล้วเหลอะ
และหลังจากนั้น เค้าก็มามันส์กันต่อ จนถึงเวลาประมาณ 5 ทุ่ม
และผมก็มารู้ภายหลังว่า จริงๆแล้ว งานประกวดนั้น เค้าจัดกันช่วงเวลากลางวัน และตัดสินกันไปเรียบร้อยแล้ว T_T
แบกกล้อง
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เวลา 17.29 น.