สำหรับเนื้อหาใน Part 9 นั้น จะเป็นการเดินทางไปยังดอยปุย ที่อยู่ใกล้ๆกับดอยสุเทพน๊ะครับ

หมายเหตุ: เนื้อหาในบทความนี้ จะเล่าแต่ละสถานที่แบบคร่าวๆน๊ะครับ ส่วนรีวิว แบบละเอียดของแต่ละที่ จะแยกไปเป็นบทความของแต่ละที่อีกทีครับ

หลังจากที่ออกเดินทางจาก กทม. ในวันที่ 4 มกราคม และได้แว่ะตามจุดต่างๆ ตามนี้

"อุทยานแห่งชาติภูแลนคา" - > "มอหินขาว"
->
"อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า" -> "บ้านร่องกล้า"
->
"อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ"
->
"อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว" (ไม่ได้เดินขึ้นเขาน๊ะ)
->
"อุทยานแห่งชาติศรีน่าน" -> "ผาชู้" -> "ดอยเสมอดาว"
->
"ถนนหมายเลข 3" -> "สปัน" -> "ลานกางเต้นท์ โอเวอร์วิว @น่าน"
->
"ภูลังกา" -> "ลานกางเต้นท์ ภูซัน"
->
"อุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า" -> "ลานกางเต้นท์ GOODVIEW @ภูชี้ฟ้า"
->
"ดอยช้าง" -> "ลานกางเต้นท์ ชมตะวัน" -> "อาข่า ฟาร์มวิลล์"
->
"อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก" -> "ลานกางเต้นท์ม่อนสน" -> "ไร่ชา 2000" -> "ไร่สตรอว์เบอร์รีบ้านนอแล" -> "สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง" -> "ลานกางเต้นท์ซุยถัง" (ไม่ได้ค้าง)
->
"สันป่าเกี๊ยะ" -> "ลานกางเต้นท์ 1348 @สันป่าเกี๊ยะ"
->
"อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง"
->
"อุทยานแห่งชาติถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ" -> "ปางอุ๋ง"
->
"บ้านรักไทย" -> "ลานกางเต้นท์ฟาฉาย"
->
"อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์"  ->  "ผาดอกเสี้ยว"   ->  "กิ่วแม่ปาน"
->
"ขุนวาง"  ->  "สวนลุงเปา"  ->  "สะพานซากูระ"

สามารถเก็บสะสมแสตมป์ของอุทยาน ได้ 10 แห่ง
และเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่า 1 แห่ง

21 มกราคม 2567

และสำหรับการเดินทางเพื่อมุ่งสู่ "ดอยปุย" นั้น ผมก็ต้องขับผ่านย่านความเจริญของเมืองเชียงใหม่เล็กน้อย และได้พบกับสิ่งที่ไม่ได้เจอมานานแล้ว นั่นก็คือ

"รถติด"

ฮ่าฮ่าฮ่า และหลังจากฝ่าการจราจรอันหนาแน่นของตัวเมืองเชียงใหม่ออกมาแล้ว ก็เป็นทางขึ้นเขาอีกครั้ง แน่นอนว่า มันก็คือเส้นทางที่ขึ้นไปดอยสุเทพ นั่นเหลอะ

และถึงแม้ว่าจะรีบแค่ไหน เมื่อถึงจุดชมวิวที่น่าสนใจ ผมก็ไม่พลาด ที่จะแว่ะถ่ายรูป

และในระหว่างทางนั้น ผมก็สังเกตเห็นบางอย่างที่ข้างถนน นั่นก็คือ นอกจากที่ผมนั้นจะเห็นคนขี่รถจักรยาน ที่ขี่บ้าง จูงบ้างแล้ว ผมก็มักจะเห็น คนเดินขึ้น เดินลง บนถนนเส้นนี้อยู่ตลอดทาง

"เด้าเดินกันทำไมหว่า รถโดยสารก็มีแยอะแย่ะ" ผมนั้นคิดในใจ
"สงสัยเดินแก้บนมั้ง"

และหลังจากนั้น ผมก็ขับผ่าน "วัดพระธาตุดอยสุเทพ" ผมนั้นเหลือบไปมอง แล้วก็คิดในใจว่า

"นี่มันเป็นทริปผจญภัยโว๊ยๆๆๆ ไม่ใช่ทริปคนแก่ ที่จะต้องมาเที่ยววัด ฮ่าฮ่าฮ่า" แล้วก็ขับรถผ่านไป
"นี่ถ้ามากับเพื่อน มันต้องให้แว่ะเหมือนตอนไปเที่ยวน่าน แน่เลย อิอิ"

อ่านรีวิวการเที่ยวน่านของผมพร้อมผองเพื่อน ที่กลายเป็นทริปสายบุญ ได้ที่นี่
"สายบุญ ตะลุยน่านนน น่านน น่าน"
https://th.readme.me/p/40247

อ๊ะๆๆๆ ผ่านจุดชมวิว และพระอาทิตย์ตกพอดี แว่ะหน่อยๆๆๆ

ถึงแล้วๆๆๆ อากาศเย็นสบายครับ

และหลังจากที่จ่ายค่ากางเต้นท์แล้ว ผมก็ขอแสตมป์อุทยาน อันที่ 11 จากเจ้าหน้าที่ ที่เป็นคนอารมณ์ดีมากๆมาครับ ^^

และเมื่อตกเวลากลางคืน ผมก็ได้เห็นภาพที่สวยจนน่าทึ่ง ที่อยู่หน้าลานกางเต้นท์ของที่นี่ครับ
ผมนั้นรีบหยิบกล้อง พร้อมขาตั้งกล้องมาทันที

สวยมากครับ วิวเมืองเชียงใหม่ ยามค่ำคืน

22 มกราคม 2567

เช้าแล้วครับ

13 องศาครับ เช้านี้

มุมสวยๆของคนมีคู่ครับ

ลานกางเต้นท์ ใต้ต้นซากูระครับ

มุมสวยๆ กับเมืองเชียงใหม่ที่หายไปครับ
"สวัสดี PM 2.5"

ผมเลือกกางเต้นท์ ตรงลานจอดรถด้านบนครับ เพราะตอนมาถึงมันก็มืดค่ำแล้ว

บรรยากาศหน้าที่ทำการครับ ที่นี่ไม่มีร้านอาหารขายน๊ะครับ (จริงๆแล้วมีอยู่ใกล้ๆลานกางเต้นท์ครับ แต่เค้าไม่เปิด)
จึงมีร้านกาแฟร้านนี้อยู่ร้านเดียว (มีแต่กาแฟ และมาม่าใส่น้ำร้อนขายน๊ะครับ)
หมายเหตุ: และสิ่งที่ควรรู้ในการมากางเต้นท์ที่นี่ อีก 1 อย่างก็คือ ที่นี่ไม่มีถังขยะครับ

และหลังจากที่ผมนั้น ถ่ายรูปยามเช้าของที่นี่เสร็จแล้ว ผมก็เดินทางจาก "ลานกางเต้นท์ดอยปุย งุย งุย" (พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น)
เพื่อมุ่งหน้าไปสู่ !!! (ยังคงเป็นเสียงตื่นเต้นอยู่)
"ขุนช่างเคี่ยน" (พูดด้วยน้ำเสียงปกติ)
Reader 1: เฮ้ยๆๆๆ ทำไมไม่ใส่ เอฟเฟค หางเสียง
Reader 2: ใช่ๆ ต้องใส่ด้วยเซ่ๆๆๆ
Writer: เห้อๆๆๆ ของที่นี่ เว้นไว้ซักที่นึงเห๊อะ เด๋วที่ต่อไปค่อยใส่ก็ได้ๆๆๆ
Reader 3: คอนเท้นท์ของเราไม่สม่ำเสมอน๊ะเนี่ยๆๆๆ เห้อๆๆๆ

ถึงแล้วครับ ไม่ไกลมากครับ ขับรถ 10 กว่านาทีก็ถึง โดยในระหว่างทางนั้น ผมก็ยังคงพบกับ ชาวต่างชาติ ที่ใช้วิธีการเดินอยู่

Writer: อืมมม ทำไมเค้าไม่นั่งรถว๊ะ (แก้บนเหรอ?)

และผมเลือกมานั่งที่นี่ครับ เพราะว่ามีทั้ง กาแฟ และอาหารขาย

เมล็ดกาแฟของที่นี่ เค้าได้รางวัลด้วยน๊ะครับ

ผมก็เลยลองแบบ เอสเปรสโซ่ร้อน ดูครับ (ผมกินแบบใส่น้ำตาลน๊ะครับ)

มุมนี้ ถ้ามาตอนดอกซากูระบานเต็มที่นี่ น่าจะสวยครับ

ไม่ยอมครับ ไหนๆมาแล้วก็ต้องถ่ายดอกซากูระให้ได้ (มุดโต๊ะถ่ายเลยครับ ฮ่าฮ่าฮ่า)

และหลังจากนั้น ผมก็ขับรถย้อนกลับไปที่ "สถานีวิจัยเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน" ครับ

ทางลงชันมากน๊ะครับ ถ้าขับรถเก๋ง ตอนลงหามุมดีๆน๊ะครับ 

ด้านล่างมีที่จอดรถเล็กๆอยู่ครับ ขับลงมาได้เลย
แต่ถ้าด้านล่างเต็ม ก็ต้องจอดแอบข้างทางด้านบนครับ
ถ้าเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว ผมคิดว่า คนน่าจะแย่ะมาก ผมแนะนำว่า ถ้าขับรถมอเตอร์ไซค์มา น่าจะสะดวกกว่า หรือไม่ก็นั่งรถโดยสารมา จะได้ไม่ต้องลำบากหาที่จอดครับ

ตอนที่ผมไปดอกก็ค่อนข้างโรยแล้วครับ ก็ต้องหาถ่ายมุมสูงเอา

พอผมเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ผมก็เจอกับสิ่งนี้ครับ

ดูเหมือนว่า จะไม่มีคนเดินเข้ามานานแล้ว

และหลังจากนั้น ผมก็ขับรถกลับลานกางเต้นท์ครับ
และผมก็สังเกตเห็นชาวต่างชาตินั้น แต่งตัวพร้อมกับถือไม้ trekking สำหรับเดินป่า ผมจึงถามเจ้าหน้าที่ว่า เค้าไปไหนกัน

อัยย่ะ มันมีทางเดินป่า ที่อยู่ติดกับลานกางเต้นท์ด้วย
วิญญาณนักเดินป่าของผมเข้าสิงทันที

"จับขวดน้ำ ยัดใส่กระเป๋าๆๆๆ" "ลันล๊าๆๆๆ"

"แซ๊ะ"

หูยๆๆๆ ต้นไม้สูง "แซ๊ะ"

หูยๆๆๆ แสงอาทิตย์ ที่ลอดผ่าน "แซ๊ะ"

หูยๆๆๆ เถาวัลพันเกี่ยว ที่เลี้ยวรถ "แซ๊ะ"

อุปสรรค ที่ขัดขวาง "แซ๊ะ"

ต้นไม้เท่ห์ๆ "แซ๊ะ"

กำเนิดชีวิตใหม่ ^^

เพื่อเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่

อ๊ะๆๆๆ เจ้า "ปุยนุ่น" เจ้ามาตกอยู่ทำไมที่กลางป่าใหญ่แห่งนี้ ถ้าเช่นนั้น ข้าจะพาเจ้าเดินทาง ไปยังจุดสูงสุด เพื่อส่งเจ้าให้เดินทางต่อไปยังโลกที่กว้างใหญ่อีกครั้งเอง ^^
มาเดิน "ดอยปุย" ก็ต้องถ่ายอะไรที่มันเป็น "ปุยๆ" ซักหน่อย อิอิ

มาๆ ข้าจะพาเจ้าไปเอง

ถึงแล้วๆๆๆ
แต่ทว่า เมื่อผมนั้นได้เดินทางไปถึงจุดสูงสุดแล้ว ผมก็พบว่า ที่จุดนี้นั้น มันไม่ใช่จุดที่เปิดกว้าง เพราะมันมีต้นไม้นั้นรายล้อมอยู่
ผมนั้นจึงตัดสินใจพาเจ้า "ปุยนุ่น" นั้นเดินทางต่อไป ยังจุดชมวิว ที่อยูไม่ไกลนัก

Writer: เฮ้ยๆๆๆ
Reader: ทำไมๆ

Writer: ถนนๆ มันมีถนน แล้วข้าจะเดินมาทำไมว๊ะเนี่ยๆๆๆ
ปุยนุ่น: ก็เพราะว่าถ้าท่านมาด้วยเส้นทางนี้ เราก็จะไม่ได้พบกันน่ะซิ ^^
Writer: อ่อๆๆๆ ใช่ๆ

แล้วผมก็พบกับจุดนี้ ที่น่าจะเคยเป็นลานกางเต้นท์มาก่อน

แล้วผมก็เดินทางมาถึงจุดชมวิว "ดอยหัวหมู"

"ถึงเวลาที่ต้องจากลากันแล้วซิน๊ะ"

"ไปเลยๆๆๆ การเดินทางที่ยิ่งใหญ่ สู่โลกกว้างของเจ้านั้นรออยู่ เจ้าปุยนุน งุ่น งุ่น"

"เม่ะ" แล้วเจ้าปุยนุ่น ก็ตกลง อยู่ที่พุ่มหญ้า ข้างหน้าผม ที่ห่างไปไม่ถึง 10 เมตร
Writer: อะไรว๊าๆๆๆ ไม่เห็นเหมือนในหนังเลยๆๆๆ

แล้วการเดินทางของเจ้าปุยนุ่นก็จบลง โดยหวังว่าซักวันหนึ่ง มันก็อาจจะได้เติบโต เพื่อกลายเป็นต้นไม้ที่สูงใหญ่ อยู่บนยอดดอยแห่งนี้ เพื่อเป็นร่มไม้ให้ที่พักพิง แก่ผู้ที่มาเยือนในที่แห่งนี้

つづく

แต่ทว่า การเดินทางของผมนั้น ยังไม่จบ

เพราะเมื่อผมนั้นหันไปมองที่ด้านขวา ก็พบกับทางเดินลงอีกทาง

ผมจึงตัดสินใจเดินต่อไปจนพบกับสิ่งนี้

ใช่แล้ว "หมู่บ้านขุนช่างเคี่ยน" โดยที่มี "สถานีวิจัยเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน" อยู่ด้านล่าง นั่นเอง

ซูมๆๆๆ

เหมือนถ่ายจากโดรนเลย ฮ่าฮ่าฮ่า

และผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่า ทางเดินตรงนี้ ก็คือทางเดินขึ้นอีกทาง ที่เรียกว่า ทางเดินขึ้นเขาของดอยหัวหมู นั่นเอง
แน่นอนว่า วิญญาณของนักผจญภัยของผมนั้นบอกว่า "เดินต่อไป" "เดินต่อไป" ทันที
และแน่นอนว่า ผมนั้นตกลงทันที เพราะถ้าเดินย้อนกลับทางเก่า มันก็คือ วิวเดิมๆ นั่นเอง

และที่ผมนั้นเลือกเดินต่อ ก็เพราะว่าผมนั้นจำได้ว่า เมื่อตอนเช้านั้น ผมพยายามที่จะมาเดินขึ้นที่ดอยหัวหมู แต่ทว่าเจ้า GooGle Map ของผมนั้น พาผมไปยังจุดทางขึ้นที่ต้องขับเลยมาจากลานกางเต้นท์เล็กน้อย แต่เนื่องจากตรงจุดนั้น มันมีที่จอดรถเล็กๆ แคบๆ เปลี่ยวๆ ผมก็เลยตัดสินใจไม่เดิน

Writer: ถ้างั้นเราเดินลงตรงนี้ แล้วเดินกลับลานกางเต้นท์ก็ได้ ใกล้ๆเอง แถมได้วิวใหม่ๆด้วย (เรานี่ฉลาดจริงๆเลย ฮ่าฮ่าฮ่า)

และหลังจากที่เดินลงไปซักพัก ผมก็ได้เจอกับ

นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ครับ
หมายเหตุ: ที่ไม่ได้เซนเซอร์หน้า ก็เพราะว่า นักท่องเที่ยวสุดแกร่ง และอารมณ์ดีกลุ่มนี้นั้น ได้ตะโกนขอให้ถ่ายรูป และบอกว่า จะมาเอารูปจากเพจ ที่ได้บอกกล่าวกันเอาไว้ก่อนครับ

ขอให้สุขภาพแข็งแรงน๊ะครับ ^^

และที่ผมนั้นใช้คำว่า "สุดแกร่ง" นั้น ก็ไม่น่าจะเป็นคำที่ผิดนัก
เพราะจากคำบอกเล่าจากน้อง ที่ผมพบกันเมื่อคืนนั้น น้องเขาก็เล่าว่า ทางเดินของดอยหัวหมู นั้น มันโหดมากๆ
และจุดที่ผมพบกับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้นั้น ก็คือจุดที่เกืบถึงยอดแล้วนั่นเอง
และเมื่อผมเดินต่อไปเรื่อยๆนั้น ผมก็พบว่า มันเป็นทางเดินที่ชัน แบบชันมากๆ และระยะทางนั้น ก็ไม่ใช่ใกล้ๆเลย (แต่ผมเดินสบายน๊ะครับ เพราะว่าผมเดินลง)

อ่าๆๆๆ ดอกไม้ข้างทาง "แซ๊ะ"

เจ้าต้นสนน้อยๆ ที่พยายามเติบโตในตอไม้ที่ตายแล้วครับ "สู้ๆ ครับ"

"เอ๊ะ" ตรงไปหรือเลี้ยวขวาดี เลี้ยวขวาดีกว่า
หมายเหตุ: ต้องขอบคุณคนที่เอาไม้มาวางขวางไว้ครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

และเมื่อผมนั้น ใช้เวลาซักพักใหญ่ๆ ในการเดินลงเนินเขาที่สูงชัน

Writer: เฮ้ยๆๆๆ (ผมนั้นร้องออกมาด้วยความตกใจ)
Reader: ถนนเหรอๆๆๆ มุกนี้เล่นไปแล้ว เห้อๆๆๆ

Writer: ไม่ใช่ๆ ป้ายนี้ ข้าจำได้
Reader: จำได้ว่า?
Writer: มันเป็นป้าย ที่อยู่ก่อนถึง "หมู่บ้านขุนช่างเคี่ยน"
Reader: แล้ว?
Writer: มันอยู่ไกลมากๆๆๆ โว๊ยๆๆๆ

และผมก็ได้รู้ความจริงว่า จริงๆแล้ว จุดเดินขึ้นดอยหัวหมู ที่ขึ้นชื่อมาโหดมากนั้น เขาเดินขึ้นกันตรงนี้ และตรงนี้ก็มีที่จอดรถที่กว้างขวางมาก

ผมนั้นตรวจสอบระยะทางการเดินจาก GooGle Map ทันที

Writer: ห๋าๆๆๆ นี่ข้าต้องเดินเกือบชั่วโมงเลยเหรอๆๆๆ T_T

"และแล้ว การผจญภัยบทใหม่ของผมนั้น ก็ได้เริ่มขึ้นทันที T_T"

อ่าๆๆๆ เราเจอกันอีกรอบแล้วน๊ะ

อ่าๆๆๆ เดินผ่านร้านกาแฟ ที่แทบไม่มีที่จอดรถ จึงไม่ได้แว่ะในตอนแรก

โอ้ๆๆๆ มุมนี้ ที่ตอนแรกขับรถผ่านนั้น ไม่ได้สังเกตเห็น เพราะว่าดอกซากูระนั้น ไม่ได้บานเต็มที่
แน่นอนว่า ในวันที่บานเต็มที่นั้น ตรงจุดนี้นั้นจะต้องสวยมากๆแน่ๆ

"คอนนิจิว๊ะ" ผมนั้นปลอมตัวเป็นชาวต่างชาติทันที
แล้วนั่นก็ทำให้ผมนั้นรู้ทันทีว่า พวกชาวต่างชาตินั้น เค้าเดินกันทำไม ฮ่าฮ่าฮ่า

อ่าๆๆๆ เชียงใหม่กับ PM 2.5
หมายเหตุ: แต่เป็นที่น่าแปลกอย่างมาก เพราะในตอนกลางคืนนั้น อากาศปลอดโปร่งอย่างมาก จนผมนั้นสามารถถ่ายรูปตัวเมืองเชียงใหม่ได้อย่างชัดเจน

และหลังจากที่ผมนั้น เดินไป ถ่ายรูปไป อย่างอารมณ์ดี

ผมก็สามารถทำ Mission เล็กๆสำเร็จได้ โดยใช้เวลาการเดินไปประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที ฮ่าฮ่าฮ่า

และหลังจากนั้นผมก็ขับรถลงไปนอนที่ตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อเดินทางต่อไปยัง ดินแดนสุดมหัศจรรย์ของเมืองไทยอีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ

"อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ง้อน ง้อน"
ที่อยู่ในจังหวัด "ลำปาง งาง งาง"

ดินแดนที่มี "น้ำแร่ออนเซ็น" เหมือนกับประเทศ "ญี่ปุ่น งุ่น งุ่น"

แบกกล้อง

 วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เวลา 12.50 น.

ความคิดเห็น