***ข้อมูลต่อจากนี้เป็นเนื้อหาที่ลิ้งค์มาจากพันทิพย์เดิมค่ะในปี 2556 ค่ะ

      

   บอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกดีใจสักเท่าไหร่ มากแค่ไหนก็ไม่รู้!!

   หากใครได้เคยดูภาพยนต์เรื่องเราสองสามคนมาก่อนคงจะได้เคยได้ยินเพลงนี้มาบ้างนะคะ  สวัสดีคะ เพื่อนพันทิพย์ทุกคน ทริปนี้เป็นครั้งแรกสำหรับการนั่งรถไปต่างประเทศของเราคะ แรงบันดาลใจในการเลือกสถานที่ที่จะนั่งรถไป เกิดจากการดูเรื่องเราสองสามคนคะ เราชอบในการเที่ยวแบบเรื่อยๆ เหมือนในหนังมากเลย เลยคิดว่าจะไปบ้าง แต่วางแผนมานาน ลองดูเส้นทาง ว่าไปทางไหนได้บ้าง มาสักพักใหญ่จะไปๆ หลายครั้งแล้วไม่ได้ไปสักที จนมาวันนึง อยู่ดีๆ เปิดพาสปอร์ตจะหมดอายุไม่อีกกี่เดือน ฉันต้องเอามาประเดิม ก่อนจะเปลี่ยนเล่มใหม่ เลยเกิดทริปนี้ขึ้นมาในอีกไม่กี่วันถัดมา โดยไม่ได้วางแผนจริงจังมาก่อน ทริปนี้ เราไปเมื่อปลายปีที่แล้วนะคะ แต่พอดีว่าพึ่งจำรหัส ได้เลยอยากมาแบ่งปันคะ หากภาษาไม่สวยรูปไม่สวยก็ขออภัยนะจ๊ะ

        หลังจากนี้ไป เราจะเล่า แชร์ประสบการณ์ที่เราไปเจอมา ในดินแดนที่เรียกว่าคนไทยบอกว่าให้ระวังตัวเยอะหน่อย ถ้าไม่ได้ไปกับทัวร์ ไม่ว่าหลายๆกระทู้ บอกว่าโดนขโมยไอโฟน โดนโกง สารพัด แต่ใครจะรู้จริงเท่ากับการไปลองเสี่ยงกับตัวเองสักตั้งละคะ ทั้งๆที่เราพอจะรู้อยู่แล้วว่าก่อนหน้านี้ใครไปเจออะไรมาบ้าง แต่เราก็เลือกที่จะ นั่งรถ จากเมืองไทยไป เวียดนาม กลาง เวียดนามใต้คะ และกลับโดยสายการบินราคาถูก

                      

เรามีเป้าหมายที่แน่นอน ที่เราอยากเห็นที่สุด ในการท่องเที่ยวครั้งนี้ นั่นคือ ทะเลทราย ที่มุยเน่คะ หลังจากที่เราตกลงกันได้กับเพื่อน แบบรวดเร็ว ไม่กี่วันต่อมาเราก็ต้องเดินทางคะ เราวางแผนกันไม่ได้มาก แต่ก็ศึกษาเส้นทางที่จะไปไว้ การท่องเที่ยวครั้งนี้ ไปแบบไม่มีแผนที่ ไม่มีหนังสือนำเที่ยว เพราะอะไรหรอคะ เพราะว่า เราหาตามร้านหนังสือ ไม่มีหนังสือที่ตรงกับเส้นทางที่เราจะไปเลย คะ และทุกที่ ก็ไม่ได้แนะนำอะไร ซึ่ง พอไปเองก็ทำให้รู้คะ ว่าแต่ละคนเจอไม่เหมือนกัน เพียงแค่ลำดับว่าเราไปแบบทางเดียวกันไม่วกวนพอคะ

            แผนการเดินทางของเรา คือ

วันที่ 1 : เดินทางจากหมอชิต – มุกดาหาร (นอนบนรถทัวร์)

วันที่ 2 : เดินทางจากมุกดาหาร- สะหวันนะเขต ,    สะหวันนะเขต-เว้     (นอนโรงแรมที่เว้)

วันที่ 3 : เที่ยวที่เว้ตอนเช้า ตอนบ่ายๆ เดินทางไปฮอยอัน (นอนโรงแรมที่ ฮอยอัน)

วันที่ 4: เที่ยวฮอยอัน ตั้งแต่เช้ายันบ่ายๆ ตอนเย็นเดินทาง ไป ดาลัด (นอนบนรถทัวร์)

วันที่ 5: ถึงดาลัด เช่ารถมอไซด์ ขับเที่ยว รอบเมือง     ตอนเย็นเดินตลาดถนนคนเดินดาลัด (นอนโฮสเทล์ที่ดาลัด)

วันที่6: เที่ยวในเมืองดาลัด ตั้งแต่เช้า ถึงบ่าย     ตอนบ่าย เดินทางไปมุยเน่ (นอนโรงแรมที่ มุยเน่)

วันที่ 7: เที่ยวทะเลทรายมุยเน่ (นอนโรงแรมที่มุยเน่ ถึงเที่ยงคืน)     ตีหนึ่ง เดินทางไปโฮจมินต์(นอนต่อบนรถทัวร์)

วันที่ 8: ถึงโฮจิมินต์ ไปสนามบิน กลับเครื่องบิน

วันที่ 1 เริ่มต้น เดินทาง จากรถทัวร์ หมอชิต – มุกดาหาร

                      การเดินทางโดยรถทัวร์ ที่หมอชิต สายอีสาน เค้าน์เตอร์ขาย ตั๋วรถ จะอยู่ที่ ชั้น 3 ของอาคารนะคะ ถ้าใครยังไม่ซื้อตั๋ว สามารถไปหาตั๋วรถไปมุกดาหารได้เลยคะ การเดินทางนั่งรถ ไปเวียดนามมีหลายเส้นทางนะคะ แต่ที่เราเลือกเส้นทางนี้เพราะที่แรกที่เราจะไป คือเว้  (HUE)  และเส้นนี้ เป็นที่ใกล้ที่สุดคะ เราเลือกรอบรถที่ดีที่สุดสำหรับในการต่อรถที่ด่านไปลาวนะคะ บทสรุปของเราเลยได้สมบัติทัวร์คะ

                       เมื่อได้ตั๋วมาเรียบร้อยแล้วก็ดูรอบว่าเราไปกี่โมง ขอให้มารอก่อนเวลา สัก 15 นาทีนะคะ เพราะเวลาที่เขียนไม่ใช่เวลาขึ้นรถ แต่เป็นเวลาออกรถคะ เน้นนะคะว่าออก ดังนั้นควรมาก่อนคะ ตลอดการเดินทาง เราเลือกที่จะไปตอนดึกถึงเช้า จะได้นอนบนรถทัวร์ รถ ขับไปเรื่อยๆ มีอาหารว่าง พนักงานดูแลอย่างดีคะ ประมาณ สี่ทุ่ม รถทัวร์ก็หยุดแวะพัก ให้รับประทานอาหาร ตามเวลาที่สอบถามเจ้าหน้าที่ มา จะถึงมุกดาหารประมาณ ตี  5.30 น

                         แต่ช่วงที่เราไป ก่อนไปเราเช็คสภาพอากาศแค่ทีเวียดนามในแต่ละวัน เท่านั้น ลืมดูสภาพอากาศที่ประเทศไทยคะ เลยทำให้ขาไป ที่ไปเจอฝนตกหนัก ที่อำนาจเจริญน้ำท่วม จากหลับๆอยู่ ตื่นเลยคะ เพราะว่าน้ำท่วมครึ่งล้อรถทัวร์ ในใจคิดว่า แผนต่อไป จะทำยังไงดีถ้าเราไปต่อไม่ได้ ก็นั่งลุ้นมาตลอดทางคะ พอเข้าถึง จังหวัด มุกดาหาร สภาพอากศก็กลายเป็นอากาศสดชื่นหลังฝนตกตอนเช้าๆ เจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่า รถจะถึง ช้ากว่า เวลาที่กำหนด ประมาณ 40 นาที เพราะสภาพอากาศ ไม่สามารถทำให้ขี่ด้วยความเร็วปกติได้ แต่ถึงช้า 40 นาที จริงๆ เราก็ยังทัน รถรอบ แรกอยู่ดีคะ นั่นคือรอบ 7.30 น


วันที่ 2 : เดินทางจากมุกดาหาร- สะหวันนะเขต

    สะหวันนะเขต-เว้

               เมื่อถึงสถานีขนส่ง มุกดาหาร ต้องรีบไปต่อคิวซื้อ ตั๋วรถไปสะหวันนะเขต ประเทศลาวคะ บางคนอาจคิดว่าไม่ต้องรีบก็ได้ แต่บอกเลยนะคะ ว่าคนลาวที่มาทำงาน กลับบ้านเยอะมาก และซื้อของเยอะมาก ดังนั้น ถ้าคุณคิดว่ากระเป๋าคุณใหญ่ ให้รีบเอากระเป๋า ลงใต้ล่างเลยคะ เพราะว่า ข้างในรถคุณอาจจะต้องเป็นคนที่ต้องยืนก็ได้ กระเป๋าจะทำให้เป็นอุปสรรคนะคะ เมื่อรถเปิด แนะนำว่า ถ้าอยากนั่งให้จ่อหน้าประตูรถเลยคะ ไม่มีใครต่อแถวเลย ขึ้นได้ขึ้นก่อน ระยางไม่ไกลมาก แต่ก็ต้องลุ้น เพื่อให้ไปทัน ก่อน 9 โมง ที่สะหวันนะเขต เพราะมีรถไปเว้ ตอนเช้าแค่รอบเดียวเท่านั้น !


รถจะขับมาจนถึง ตม ชายแดนไทย ลาว คะ  ซึ่งเราคนไทยจะ ยื่น Passport และต้องเขียนเอกสารขาออกนอกประเทศนะคะ ในตอนนั้น รีบคะเพราะว่ากลัวจะไม่ทัน รถ 9 โมง เวลากระชั้นชิดเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะว่า พี่ๆ คนลาวที่มารถคนเดียวกัน ต้องต่อแถวยาวมาก เราต้องรอให้ทุกคนในรถเสร็จพร้อมกันแล้วรถจะได้ไปต่อ ถ้าใครได้นั่งรถขามา และอยากนั่งต่อ ให้เอาของจองที่ไว้ได้เลยคะ แต่ถ้ารีบแบบเรา เราแนะนำว่าให้ยืนนะคะ เพราะจะได้ลงมาซื้รถทันเวลา การเดินทางแบบนี้ ไม่สามารถกะอะไรได้มากมายคะ ต้องลุ้นอยู่ตลอด เพราะว่า ถ้าคนเยอะเราก็ต้องรอนานหน่อย เพราะว่าส่วนใหญ่ ทุกคน ลงแค่สะหวันนะเขต ไม่มีค่อยมีใครไป เว้ ต่อเหมือนเราสักเท่าไหร่

      เมื่อขึ้นรถ รถขับไปต่ออีกสักพัก เราก็มาถึงขาเข้าประเทศลาวคะ อันนี้เราไม่ต้องเขียนขาเข้าคะ เพียงแค่ยื่นเงิน สอดไว้ใน Passport เงินไทย 40 บาท เจ้าหน้าที่ก็หยิบ Passport ที่มีเงินไปทำก่อนคะ และก็จะเจอน้ำเสียงที่เหมือนจะโหดๆ หน่อย ถามว่า “ไปไส ?” งงเล็กน้อย แต่ฟังออกแน่นอนคะ ก็ตอบไปว่า เราไปเวียดนาม เขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะว่าเหมือนทางผ่าน เมื่อเราก็ได้ตราประทับมาเรียบร้อย ก็ต้องรอคนอื่นให้เสร็จพร้อมกันเหมือนเคยคะ

เมื่อผ่านมาเข้ามา อีกไม่นานก็มาถึง สะหวันนะเขตคะ รถ ไปเว้ ออก 9 โมง แต่ว่า เรามาถึง ประมาณ 9.02 นาที เรากลับเพื่อนสองคนตกลงกันเลยว่า คนนึงหยิบกระเป๋า คนนึงวิ่งไปซื้อตั๋ว รถไป Hue จอดอยู่ คนนั่งเต็มหมด แถมมีคนยืน รถประตูปิดไม่ได้ ในขณะที่อีกคนวิ่งไปซื้อตั๋ว ทุกคนแถวนั้นบอก Hue หมดแล้ว พอหันไปดูรถถึงกับถอดใจ ถึงตั๋วไม่หมด แล้วเราจะยืนไปได้ยังไง ประมาณ 7 ชั่วโมง

               ในขณะที่กำลังคิดอยู่ มีเสียงพูดชายคนนึงพูดไทยไม่ชัดนัก เรียกว่า “น้องๆ ไปฮุเว้ ใช่ไหม?” เราก็งงๆ ว่าอะไรนะคะ เขาก็บอกพี่ก็ตกรถ “พี่เป็นคนเวียดนามจะกลับบ้าน จะเหมารถไปชายแดนเวียดนาม ไปไหม” เราก็เรียกเพื่อนอีกคนให้มาฟัง เขาบอกว่าเขาจะเหมารถไป และ ตอนนี้รวมคนได้ 5 คนแล้ว ถ้าเราสองคนก็ 7 คน ตอนแรกก็ลังเลเพราะว่าผู้ชายหมด เลย ทั้งคัน มีเราสองคนเป็นผู้หญิง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น คอยระวังตัวเองในรถและกันบอกกันกับเพื่อน เราตกลงไป กับพวกพี่ๆ เวียดนาม คนขับเป็นคนลาว คุยกันภาษาไทยกับลาวใกล้เคียงกันรู้เรื่อง ราคาเหมาะประมาณ 5,000 บาทไทย  หารกันก็ตกเจ็ดร้อยกว่าบาท ได้นั่งสบายๆ ไม่เบียดกันด้วย


วันที่ฝนไม่ตกทางเขาโหดแบบนี้ไหมนะ?

       เหมารถไปจะไวกว่า รถของขนส่งลาวนะคะ แถมยังได้นั่งตลอดทางด้วย แนะนำว่าถ้าใครไปแล้วตกรถ ไม่ต้องตื่นเต้นไปคะ เพราะว่า ทุกวันมีคนตกรถเหมือนกันกับเราคะ มีคนเหมารถไปชายแดนแทบทุกวัน ดังนั้นถ้าคุณตกรถแต่ถ้าพยายามมองหาคนหุ้น หารค่ารถเหมือนกัน ก็ถือว่า รอดคะ ราคาอาจแพงกว่าหน่อย แต่ได้นั่งและถึงไวกว่า รถเท่าตัวคะ รถขนส่ง ถึงเว้ เกือบ 3 ทุ่ม แต่ในขณะนั่งต่อๆ มาถึง ประมาณ 4 โมงเย็นคะ

    ตลอดทางที่ผ่านประเทศลาว วันที่ไปฝนตกหนักมากคะ ถนนไม่ดีเลยคะ คนลาวขับรถเลนขวานะคะ แต่ว่าถนนไม่ได้เลยต้องทำให้ขับหลบไปมา ถือว่าตลอดทาง ลุ้นบ้าง แต่นั่งไปเรื่อยๆก็เริ่มชินคะ ระยะทางก็ไกลพอสมควรคะ ไม่กล้าหลับ ในรถมีแต่ผู้ชาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไร นะคะ พวกพี่เขาใจดีมาก เราแค่คิดมากกันไปเอง

ในรถมี 3 สัญชาติ 1 คนลาว (คนขับรถ) 2 คนสาวไทย และ 5 หนุ่มเวียดนาม การสื่อสารในรถ ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบ ที่คนไทย กับคนลาว ฟังกันรู้เรื่อง ในรถเลยใช้ภาษาไทยและลาว ในการสื่อสารกัน พวกพี่ๆ เวียดนามก็มาทำงานในไทย สามารถฟังไทยออก พูดได้เกือบทุกคน บางคนก็พูดไม่ได้แต่ฟังออก แต่เขาก็พยายามช่วยเหลือนะคะ

เมื่อถึงชายแดน  เสียค่าผ่านด่านขาเข้าเวียดนาม 50 บาทไทยคะ เจ้าหน้าที่ เวียดนามตรวจสอบเยอะมากคะ เพราะว่าเรามากับคนเวียดนาม มองเราแปลกๆ แต่ก็ผ่านมาได้ไม่มีปัญหาคะ

มีใครเคยเห็นภาพชายแดนประตูเหลืองๆขนาดใหญ่ในเรื่องเราสองสามคนมาก่อนไหมคะ แปลว่าเราถึงแล้ว หล่ะ เวียดนาม!! แต่ฝนก็ยังคงตกต่อไป

                      เมื่อผ่านเข้ามายันประเทศเวียดนาม ภาษาอังกฤษหาแทบไม่เจอแล้วคะ งงไปหมด เขาต้องต่อรถไป เว้( HUE ) คะ เราแวะพักทานเข้ากันก่อน พวกพี่ๆ เวียดนามที่นั่งรถมาด้วยกัน เป็นคนพาพวกเราไปกิน จริงๆ เราไม่เคยเห็นอาหารเวียดนามหน้าตาแบบนี้มาก่อน พวกพี่ๆ เวียดนามเลยสั่งมาให้ อาหารอร่อยกว่าที่คิดมาก ทุกคนที่นี่ใช้ตะเกียบกินข้าวนะคะ ใครไม่สันทัดก็สามารถขอช้อนได้คะ


               เรานั่งต่อรถมา เป็นรถตู้แบบบ้านเราคะ ที่เวียดนามขับรถทางขวาเหมือนลาวคะ แต่ที่ต้องทำใจหน่อย คือ เสียงบีบแตร เขาบีบกันตลอดเวลาจริงๆ คะ ค่ารถของเราสองคน ได้ในราคาเท่ากับคนเวียดนามคะเพราะว่า พี่ๆ เวียดนามที่นั่งมาด้วยกัน บอกคนขับว่ามาด้วยกัน คนขับเลย คิดราคาเท่ากับคนเวียดนามคะ แถมยังเอาใจเปิดเพลงสนุกๆ เป็นภาษาไทยเอาใจตลอดทาง

ทางที่มาเว้ จะมีเขาบ้าง สลับกับแม่น้ำให้เห็นข้างทางคะ ตามแบบในเรื่องเราสองสามคนเลย นั่งมาสักพักใหญ่ เราก็เริ่มเข้าสู่ในเมือง อยู่ดีๆ เขาก็จอดท่ารถ เอากระเป๋าเราลงหมด เลย คนเวียดนามกันเองยังงงเลยคะ ว่าทำอะไร พี่เขาแปลให้ใจความว่า ต้องเปลี่ยนรถใครจะไปเมืองไหน ก็ต่อรถเมืองนั้น พี่ที่มาดัวยกันกับเราแต่แรก ต้องแยกไปอีกเมืองคะ เราต้องพจญภัยกันเองต่อ แบบไม่มีภาษาอังกฤษคะ แต่ยังโชคดีมีอีกคนนึงมากับเรา พูดไทยไม่ค่อยได้ แต่ว่าฟังภาษาไทยออก เขาก็จะไป Hue เหมือนกัน

นั่งเบียดกันไปในคันเดียวกัน ลงไหนก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าไปด้วยแหละ ไม่ใช้เว้ แต่เป็น ฮุเว้ นะคะ

            ตลอดการเดินทางไม่มีป้ายให้เป็นภาษาอังกฤษ แถมรถนี้ถ้าไม่มี เพื่อนเวียดนามคนนี้มาด้วยบอกได้เลยคะ อาจจะหลงก็เป็นได้ เพราะว่าไม่มีอะไรที่บ่งบอกเลยคะว่า มาถึงเว้แล้ว ขนาดเพื่อนยังงงเลยคะ อยู่ดีๆจะให้ลงก็ลง แถมตลอดทาง ยังมีการบีบแตรเรียกลูกค้าขึ้นรถอีกคะ เล่นเอางง นั่งอัดๆ กันไป แถวนึง อัดไปสี่ ห้าคน

             ลงจากรถมา เราก็เห็น รถ Taxi จอดอยู่คะ บางที เราเลยตัดสินใจขึ้นแท็กซี่ต่อไป ตัวเมืองเว้คะ ที่เราจองที่พักไว้คะ เพื่อนเวียดนามอาสามาส่ง ถึงหน้าโรงแรม เพราะกลัวหลงคะ เป็นมิตรภาพที่ประทับใจมาก และตลอดทาง มาเราจะเห็นเมืองเก่า เป็นเอกลักษณ์ของเมืองเว้ สวยคะ แต่เสียอย่างเดียว รถมอไซด์ เยอะ เสียงแตรเยอะมาก ไม่สงบเหมือนสถานที่ ประวัติศาสตร์บ้านเราคะ

ถึงแล้วนะเว้ พี่เวียดนามบอกเว้ฝนไม่ตกหรอกไม่ต้องกลัว คือไม่ตกจริงๆคะ แถมร้อนมากๆด้วย

เมื่อถึงโรงแรมที่เราจองมาจากเว็บ ที่เดียวเท่านั้น ที่เหลือแบกเป้หาเอาคะ โรงแรมนี้ เราสองคนอึ้งเล็กน้อย เพราะว่า ในแผนที่ที่ ลงในเว็บ มันไม่ต้องเข้าซอยลึกไปอีก แต่เขาบอกว่าอยู่ในนี้ ซอยเล็กๆ เราต้องเดินต่อเข้าไป ไม่ได้ไกลมาก ก็มีคนมาช่วยเราหิ้วกระเป๋า เป็นผู้ชายสองสามคน ด้วยความตกใจ เพราะว่าทางเข้าซอย ดูเหมือนจะเป็นบ้านคนธรรมดาไม่ได้โรงแรม เลยไม่ไว้ใจให้หิ้วกระเป๋าให้ แต่พอเขาบอกชื่อโรงแรม Cannary Boutique hotel มาเราถึงไว้ใจได้ จริงๆ ไม่ได้ลึกมากเท่าไหร่ แต่ว่า ป้ายเรามองไม่เห็น แถมยังมีเด็กๆ เวียดนาม นั่งเก้าอี้ยองๆ จุดไฟเผา ไหว้ศาลเจ้ากันแบบ ไม่น่าจะเป็นโรงแรม

แต่พอเข้าไปในโรงแรมสภาพโอเคเหมือนในอินเตอร์เน็ตที่เปิดมาคะ พนักงาน เอาขนม น้ำ ผ้าเย็น มาต้อนรับอย่างดี แถมพนักงานภาษาอังกฤษ ก็ใช้ได้ เราจองห้องเอาไว้ในเน็ต แต่เราจะขอดูสภาพห้องก่อนเพราะว่า เราเห็นโรงแรมข้างนอกมีมากมายให้เลือก พอเราขอพนักงานดูห้อง ทุกอย่างเป็นที่พอใจ เลยตกลง พักที่นี่ พนักงานของ Passport ตัวจริงไว้ ทั้งสองคน และเวลาก่อนออกจะต้องฝากกุญแจไว้ที่ counter คะ

    ในที่สุดเราก็ได้ถึงจุดหมายแรก นั้นคือเมือง เว้ และเนื่องจาก เรามาเที่ยวกันแบบไม่มีแผนที่ อย่างกับพนักงานรู้ เอาแผนที่เมืองเว้มาให้ อธิบายสถานที่ท่องเที่ยวว่าต้องไปที่ไหน ยังไงบ้าง เราทำหาย ขอมาสองสามแผ่น เขาก็ไม่ว่าคะ เราเดินออกมาถนนใหญ่ ตัดสินใจ เดินไป Night market ตรงใต้สะพาน แรก ของแม่น้ำหอมคะ

ตลาดจะอยู่ใต้สะพานนะคะ มีของกินเสื้อผ้าไม่เหมือนถนนคนเดินบ้านเราคะ และก็ไม่ได้ยาวมาก เดินแปปเดียว ก็หันมาเห็น ขนม แปลกๆ ซึ่งหน้าตาคล้ายๆ กับขนมบ้านเราเหมือนกันคะ แต่ว่า อันนี้ตักทุกอย่างใส่รวมกันในแก้วใบเดียว และใส่น้ำเชื่อม ตอนแรก ก็ไม่รู้ว่าต้องคนก่อน น้องเจ้าของร้านบอกต้องคนก่อน แล้วค่อยกิน เลยทำตาม ราคา ตอนแรก กับหลังกิน มีการเปลี่ยนราคาด้วยนะคะ นักท่องเที่ยว จะแพงกว่า ปกติ ก็ถ้าเทียบเป็นเงินไทยก็ไม่ได้แพงมากจนเกินไป

เราสองคนเดินหิวกันมาในซอยนักท่องเที่ยว ที่มีร้านอาหารที่เขียนเมนูแนภาษาอังกฤษ หาร้านอาหาร ที่เราคิดว่า โอเค คือ ดูจากด้านหน้าร้านอย่างเดียวล้วนๆ แล้วเราก็เลือกร้านที่ดู สะอาด ๆ จีนๆนิดนึงคะ เมนูอาหารอ่านแล้วทำความเข้าใจอยู่นาน เพราะว่า ไม่มีภาพให้ดู เราสั่งมาสองจาน จานนึงเนื้อหมู จานนึงเนื้อเป็ด

ผลที่ออกมาคือ เมนูเดียวกัน น้ำเดียวกัน แต่ว่าเปลี่ยนคนละเนื้อ ถึงกับอึ้ง เล็กน้อยคะ แต่ก็รสชาติ พอไปได้ เหมอืนผัดเปรี้ยวหวานของไทย ชาของที่นี่ ถ้าเป็นลิปตัน จะจืดๆ ธรรมดา ไม่มีอะไร แต่ถ้าสั่ง ชาเวียดนาม จะยังพอมีกลิ่นหอมๆ อยู่บ้างคะ

       ก่อนกลับเข้าโรงแรม ถ้าอยากซื้อน้ำ ซื้อขนม แนะนำให้ซื้อร้าน A mart ที่ เว้นะคะ เป็นเหมือน mini mart มีราคาติดแน่นอนไม่ต้องถาม และต่อรองคะ นักท่องเที่ยวนิยมเข้าไปซื้อจำนวนมาก เพราะราคาแน่นอนคะ ขากลับโรงแรม เราจะต้องซื้อตั๋วรถไป ฮอยอันวันพรุ่งนี้ ซึ่งตอนเช้าเราถามที่โรงแรม มีราคาแพง เลยยังไม่ตัดสินใจ ออกมา หาบริษัททัวร์ข้างนอก

    เราเดินถามมาหลายร้าน จนได้ร้านที่เราสามารถต่อรองลดราคาได้นิดหน่อย เราเลยตัดสินใจเอา เราเลือกรอบบ่ายเพราะตอนเช้าจะไปเที่ยว พระราชวังเว้คะ

    การดูโทรทัศน์ที่โรงแรม ขนาดเราดูผ่านๆ ยังทำให้เรารู้ว่า คนเวียดนาม ติดเกาหลีมาก แถบทุกช่อง มีหนังเกาหลี เพลงเกาหลี ศิลปิน เลยไม่แปลกใจว่าทำไม เวลาเขาร้านขายขนม ของกิน ไอติม ส่วนใหญ่มาจากเกาหลีแทบจะทั้งนั้นคะ และวันแรกของการเดินทางจากรถ ที่หมอชิต ก็นำเราถึงเว้ ที่เวียดนาม อย่างสวัสดิภาพคะ

วันที่ 3 เที่ยวชมเมือง เว้  , ชมเมืองโคมไฟ ที่ฮอยอัน

นี่แหละคะ อาหารเช้ามื้อแรกที่เวียดนาม

         หลังจากเมื่อวานได้พักผ่อนไป อย่างเต็มที่ที่เว้ เราตื่นมา ตี 5 ครึ่ง เปิดผ้าม่านถึงกับตกใจ นึกว่านาฬิกาตาย คือสว่างมาก!! พระอาทิตย์ขึ้นอย่างกับ จะเจ็ดโมงเมืองไทย เลยตื่นตัว อาบน้ำอาบท่ารอ อาหารเช้า ที่จะพร้อมตอน 7 โมง ซึ่งรวมไปกับ ราคาค่าห้องแล้ว อาหารเช้าแบบสไตล์เวียดนามที่ทุกคนๆ รู้ดี นั่นคือขนมปังฝรั่งเศสยาวๆ แข็งๆ นั่นแหละแหละคะ จะเป็น Main หลักของอาหารเช้า เราเลือก Boil Egg ในใจคิดว่าจะเป็นไข่ลวกแบบบ้านเราคะ แต่ที่ไหนได้ ไข่ต้ม แบบต้มสุก มาพร้อม แม็กกี้เวียดนาม และเสริ์ฟพร้อมขนมหวาน ส่วนเพื่อน เลือก Omelet คือไข่เจียว กับขนมปังคะ เสริ์ฟพร้อมน้ำผลไม้ ซึ่ง เป็นผลไม้จืดๆ ไม่มีรสชาติแบบบ้านเราคะ

     เราเดินออกมาเช่าจักรยานที่เมื่อคืนได้สอบถามราคาไว้ ซึ่งจะต้องใช้บัตรประชาชนวางเอาไว้นะคะ ตรวจเช็คสภาพรถให้ดีคะ (เพราะเรามีเรื่องเล่าให้ฟัง ตอนไปมุยเน่ที่เราไม่เช็คสภาพรถก่อน) พนักงานจะคอย เลือกรถตามขนาดความสูงด้วย การขับจักรยานที่นี่ไม่ยากหรอกคะ แต่!! การจาจรที่นี่ขับเลนส์ขวานะคะ ตอนออกตัว ครั้งแรก ถือว่า เสี่ยงเล็กน้อย เพราะว่า รถเขาไม่มีหยุดมีแบรคให้กับนักท่องเที่ยว อย่างเราๆ แน่คะ หลังจากที่สามารถตีไปลนส์ขวาได้แล้ว สิ่งที่ตามมาคือ เสียงแตรกระหน่ำคะ ซึ่งอาจะไม่ได้ บีบเรา แต่การที่เราไปขับแบบสภาพวะแบบนั้นครั้งแรก มันก็ปวดหัวเล็กน้อย แต่ไม่ต้องแคร์คะ เพราะว่าประเทศเขาก็ไม่แคร์เรื่องแตรนี่เท่าไหร่

ตลาดบ้านเขาก็ไม่ต่างกับบ้านเรามากนัก แต่ผักที่เวียดนามอร่อย และมีให้ลองมากเลยคะ เขียวๆเต็มตลาด

         สถานที่แรกที่เราจะไป คือตลาดดงบาคะ ขนาดมีแผนที่แต่การขับรถ ของที่นี่ทำให้สับสนเอามากในตอนแรก เราเลยใช้วิธี ถามทาง แบบใช้แค่ คีย์เวิรด์ มาตลอดทางคะ คือ แค่ “ดงบา ดงบา?” และก็ดูว่าเขาจะชี้ไปทางไหนคะ ก็ตามไปทางนั้น เราขับไปจนถึงตลาด ก็ไม่ได้มีของที่เราอยากได้ สักเท่าไหร่ เราเลยไปต่อกันที่ ป้อมปราการ เมืองเก่าคะ เราต้องเข้าประตูทางขวาสุดนะคะ ที่มีมอไซด์เข้าเยอะ เพราะว่านั่นคือทางเข้าคะ เป็นทางเข้าเลนส์เดียว

         ก่อนเราจะเข้าไป เนื่องด้วยอากาศที่เว้ ร้อนมากๆ สามสิบปลายๆ เกือบ 40 เล่นเอา ผิวชาไปหมด เราเลยแวะพัก หาน้ำเย็นๆ กิน ซึ่ง หันไป หันมา ก็เจอ แม่ค้าเวียดนามนั่งขาย ถุงพลาสติกใส่หลอด อยู่ในถังเย็นๆ เป็นโยเกริต รสชาติอร่อยมาก คล้ายร้อน เป็นเกล็ดน้ำแข็ง ราคา ไม่แพงด้วยคะ แค่ 5,000 VND (ประมาณ 8 บาทไทย) ก่อนเข้า เราจะต้องจอดรถจักรยานก่อน เสียค่าจอดไม่แพงมาก ข้างนอกป้อมปราการ เราจะเห็น พนักงานขับรถสามล้อเวียดนามจำนวนมาก มายืนเรียกนักท่องเที่ยว

อร่อย สดชื่น เกินราคามากๆ ดูไม่น่ากิน แต่กินไปแล้วฟินนะคะ

เพราะเรากับเพื่อนปั่นจักรยานหน้าร้อนมาแล้ว เราเลยตัดสินใจต่อราคา ที่น่าพอใจว่าเขาให้ไหม คือเขาจะบอกราคาที่สูงมาก เพราะว่าเราถามราคาจากโรงแรมมา เขาบอกราคามาตราฐาน ไว้เรารู้เอาไว้ เมื่อเราต่อได้สำเร็จ ก็ ได้เวลา นั่งรถเที่ยวคะ คนขับรถ พูดภาษาอังกฤษได้มากนะคะ ตลอดทาง แนะนำได้หมด คือเขาจะพาไปเที่ยว ที่ ที่ ไม่ใช่ป้อมปราการ คือดูเมืองเก่าๆ รอบๆ แล้วค่อยพากลับมาข้างหน้าเพื่อซื้อตั๋วเข้าไปชมป้อมปราการ

          รถสามล้อนี้ ดูเหมือนนั่งได้คนเดียว แต่พอเอาเข้าจริง เพียงแค่เพิ่มไม้ กระดานเข็งๆ ซ้อนข้างบนอีกอัน ก็สามารถนั่งได้อีกคนแล้วคะ ถือว่าเป็นภูมิปัญญาเวียดนามที่ดี อากาศร้อนมาก สถานที่ท่องเที่ยวที่พาไป ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอะไรคะ บางอย่างเสียค่าเข้าก็ไม่คุ้มด้วยคะ เราแวะพักกินน้ำอ้อย ของเวียดนาม เขาคั้นสดๆ และผสมน้ำส้มเล็กน้อย รถชาติ ไม่หวาน มากนะคะ และมีเปริ้ยวๆ จากส้ม ก็แปลกๆ ดีคะ


     เพราะเรากับเพื่อนปั่นจักรยานหน้าร้อนมาแล้ว เราเลยตัดสินใจต่อราคา ที่น่าพอใจว่าเขาให้ไหม คือเขาจะบอกราคาที่สูงมาก เพราะว่าเราถามราคาจากโรงแรมมา เขาบอกราคามาตราฐาน ไว้เรารู้เอาไว้ เมื่อเราต่อได้สำเร็จ ก็ ได้เวลา นั่งรถเที่ยวคะ คนขับรถ พูดภาษาอังกฤษได้มากนะคะ ตลอดทาง แนะนำได้หมด คือเขาจะพาไปเที่ยว ที่ ที่ ไม่ใช่ป้อมปราการ คือดูเมืองเก่าๆ รอบๆ แล้วค่อยพากลับมาข้างหน้าเพื่อซื้อตั๋วเข้าไปชมป้อมปราการ

           รถสามล้อนี้ ดูเหมือนนั่งได้คนเดียว แต่พอเอาเข้าจริง เพียงแค่เพิ่มไม้ กระดานเข็งๆ ซ้อนข้างบนอีกอัน ก็สามารถนั่งได้อีกคนแล้วคะ ถือว่าเป็นภูมิปัญญาเวียดนามที่ดี อากาศร้อนมาก สถานที่ท่องเที่ยวที่พาไป ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีอะไรคะ บางอย่างเสียค่าเข้าก็ไม่คุ้มด้วยคะ เราแวะพักกินน้ำอ้อย ของเวียดนาม เขาคั้นสดๆ และผสมน้ำส้มเล็กน้อย รถชาติ ไม่หวาน มากนะคะ และมีเปริ้ยวๆ จากส้ม ก็แปลกๆ ดีคะ

จากนั้นเราก็กลับมาที่เดิม คะตรงทางเข้า ป้อมปราการ เหตุการณ์หลังจากนี้คงจะเป็นเหตุการณ์ที่หลายๆคนเจอ แล้วแหล่ะคะ คือ ตอนแรกตกลงไว้ 100,000 VND และตอนนี้ พอคิดเงินเท่านั้นแหละคะ คนขับบอก 400,000 VND ฮะ อะไรนะ เราสองคนแบบ เอาและซิ เข้าตำรานักท่องเที่ยวในเวียดนามที่เขาว่ากัน เถียงกันเป็นยกใหญ่ เขาบอกว่า ปั่นมาสองชั่วโมงแล้ว เหนื่อยมากปั่นสองคน 100,000 หน่ะ ไม่ใช่ราคาเหมานะ เป็นราคา ต่อคน อ้าว!! ไม่บอกแต่แรก เราบอกว่า เขาไม่เคลียร์ เอง เราก็บอกว่า งั้นให้เป็น tip เขาก็ได้ 400,000 VND เมื่อ ชาวเวียดนามละแวกนั้น เห็นท่าไม่ดี เลยอาสาเข้ามาช่วยคะ เขามาบอกว่า ให้ถ่ายรูป เบอร์รถเอาไว้ แล้วไปบอก   tourist information ขนาดคนขับรถรายอื่น ยังบอก ราคา 200,000 VND นั่นแหละพอแล้ว เราเลย วางเงินไว้ 200,000 VND ที่ตกลงไว้ตอนแรก และเดินจากไปคะ เจ้าหน้าที่ที่ใส่ชุดตำรวจเวียดนาม เข้ามาคุยกับคนขับให้ไป เหมือนเขารู้ว่า นักท่องเที่ยวโดนแบบนี้บ่อยคะ ในมุมแย่ๆ ก็ยังมีคนดีๆ ที่อยากจะให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเวียดนามอยู่นะคะ

       เราเดินมาถึงหน้าป้อมปราการ มีราคานักท่องเที่ยวกับชาวต่างชาติคะ ร้อยละ 80 คนเวียดนามจะเข้าใจว่าเราเป็นคนเวียดนามเหมือนกันคะ เพราะว่าหน้าตาที่คล้ายๆกัน แต่ด้วยบุคคลิก หลายๆอย่าง เลยทำให้ พอเขาทักมาหนึ่งคำ เขารู้ได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่คนเวียดนาม บางคนก็บอก ลาวหรอ พอบอกไม่ใช่ เขาก็บอกว่า ไทยแลนด์ๆ มาทันทีคะ เราเลือกที่จะถ่ายรูปอยู่เพียงแค่ด้านนอกคะ เพราะว่า เราต้องไป ฮอยอันต่อตอนบ่าย และเราต้อง ไปโรงแรมเพื่อ check-out ให้ทันเวลาคะ

              เมื่อถึงเวลา เราก็เตรียมเข้าของ จ่ายค่าห้อง พอถึงเวลา พนักงานที่เราซื้อตั๋วไว้เมื่อคืนเดิน มาหาเรา และบอกว่า จะมีรถไปส่งที่ท่ารถ เราก็ขึ้นรถไป เจอบริษัทท่ารถ นักท่องเที่ยวเยอะมาก มีหลายสถานที่ที่ทุกคนกำลังจะไป แต่ต้องมาต่อรถที่นี่คะ เราเดินมา เอา tag ติดกระเป๋า ลงใต้ท้องรถ


เมื่อรถมาถึง เป็นรถ แบบ sleeping bus แบบเวียดนามคะ หลายๆคน ตื่นตาตื่นใจกับรถนี้มาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยว เพราะว่านี่คือรถนอนที่นอนจริงๆ คะ นอนยืด มีสองชั้น ก่อนจะขึ้นรถ ต้องถอดรองเท้า ใส่ถุงพลาสติกที่คนขับรถ ส่งมาให้ด้วยนะคะ จากนั้น ก็เกิดอาการงง คะ นั่งไหน ยังไง เนี่ย สักพักก็มีคนมาบอกว่า นั่งตรงไหน เราได้ทำเลหลังสุด ชั้นบน ยืดขาได้สบายเลยคะ แถมไม่ต้องกังวัลว่าจะมีใครข้างบนลงมาไหม สบายเลยทีเดียว Nest station ของเราคือ ฮอยอันจ้าา

ยืดขาได้สบายเลยคะ ถ้าใครนอนตรงที่เดียวกับเราไม่ติดกับใคร แต่ถ้านั่งยาวๆ ชั้นบนจะหลับคงต้องรัดเข็มขัดหน่อยนะคะ เพราะเวลารถขยับเหมือนจะตกใจตื่นคะ

ติดตามตอนที่สองได้ที่ >> http://pantip.com/topic/33461113/comment4 จ้า

Mallibell

 วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2567 เวลา 23.21 น.

ความคิดเห็น