![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7a40117bca7a4e446575.jpg)
ผมมีโอกาสมาอำเภอหาดใหญ่ หลายรอบมาก ทั้งมาเที่ยว และใช้หาดใหญ่เป็นจุดเดินทางต่อไปยังจุดหมายอื่น ๆ จนหลายครั้งเผลอคิดไปว่า อำเภอหาดใหญ่ มีฐานะเป็นจังหวัดแทนสงขลาไปเสียแล้ว เอาจริง ๆ ถึงแม้ผมจะเดินทางมาที่หาดใหญ่บ่อยครั้ง แต่น้อยครั้งมากที่ย่างกรายไปเที่ยวในอำเภออื่น ๆ ของจังหวัดสงขลา แต่ครั้งนี้ผมได้หาข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดสงขลา ก็ทำให้ผมได้เปิดโลกทัศน์มากขึ้น ได้รู้ว่าในสงขลามีอะไรดี ๆ ซ่อนตัวอยู่อีกมาก และที่สำคัญในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา คือ ระโนด สทิงพระ สิงหนคร และอำเภอเมือง เป็นแหล่งรวมเมืองโบราณหลายแห่ง ถึงขนาดที่กำลังเตรียมเสนอให้เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม สงขลา และชุมชนที่เกี่ยวเนื่องริมทะเลสาบสงขลา ภายใต้ชื่อ Songkhla and its Associated Lagoon Settlements เข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้นของศูนย์มรดกโลก โดยเป็นการรวบรวมแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม 4 พื้นที่ ได้แก่
1. เมืองโบราณพังยาง เมืองโบราณพะโคะ และเมืองโบราณสีหยัง
2. เมืองโบราณสทิงพระ
3. เมืองป้อมค่ายซิงกอร่า ณ เขาแดง และแหลมสน
4. เมืองเก่าสงขลา บ่อยาง
โดยพื้นที่ดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมด้านสถาปัตยกรรมที่มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับอารยธรรมอื่น ๆ ตามเส้นทางการค้าทางทะเลเลียบแนวชายฝั่ง หลักฐานทางโบราณคดีชองชุมชนในอดีต เป็นพื้นที่ที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการความรู้และวิทยาการในการเดินเรือในยุครุ่งเรืองของการค้าทางทะเลในสมัยต่าง ๆ รวมถึงเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการตั้งถิ่นฐานที่มีวิวัฒนาการ และการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติครับ
ทริปนี้ผมจึงวางแผนตะเวนขับรถชมสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกับเมืองเก่าในเขต 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา โดยเริ่มที่อำเภอสทิงพระเป็นอำเภอแรกครับ
วัดพะโคะ หรือวัดราชประดิษฐาน (พิกัด https://maps.app.goo.gl/mhcMb5UFBwhyQd4VA ) มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่บนเขาพะโคะหรือเขาพัทธสิงค์ ถือเป็นวัดที่เก่าแก่และมีความสำคัญยิ่งวัดหนึ่งในคาบสมุทรสทิงพระ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีศาสนา เป็นที่ประดิษฐานพระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ สูง 1 เส้น 5 วา ภายในยอดองค์เจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ รูปแบบเจดีย์เป็นศิลปกรรมทางใต้ สมัยอยุธยาแบบลังกา จากหลักฐานที่ปรากฏทำให้ทราบว่าเจดีย์สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2057 ตรงกับสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ช่วงสมัยอยุธยาตอนต้นและได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยสมเด็จพระเอกาทศรถ (พ.ศ. 2148- พ.ศ.2153) และได้รับการบูรณะซ่อมแซมเรื่อยมา ลักษณะขององค์เจดีย์ก่ออิฐถือปูนทรงระฆัง รองรับด้วยลานประทักษิณ 3 ชั้น ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ 3 ชั้น มุงกระเบื้องเกล็ดเต่า บัลลังก์รูปแปดเหลี่ยม เหนือบัลลังก์เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นประทับนั่งอยู่ภายในซุ้ม ปล้องไฉน (ฉัตรวลี) หนาและสั้นรองรับปลียอดที่มีรูปร่างเพรียวยาว เจดีย์องค์นี้ได้รับการบูรณะเมื่อปี 2525 โดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบบางประการ และเสริมความมั่นคงของเจดีย์โดยการฉาบผิวเจดีย์ด้วยปูนซีเมนต์ ตั้งแต่ปลียอดลงถึงลานประทักษิณชั้น 1
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7a78117bca7a4e446576.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7a79117bca7a4e446577.jpg)
พระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุเป็นเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลทั้งพุทธศาสนานิกายหินยานและนิกายมหายาน โดยพระเจดีย์เป็นทรงกรวยซ้อนกันบนฐานสี่เหลี่ยม เป็นการผสมผสานกันโดยนำเอาสถาปัตยกรรมแบบมณฑปมาสร้างเป็นฐานแล้วเอาเจดีย์สร้างซ้อนอยู่บน ซึ่งเจดีย์ลักษณะนี้ปรากฏมาตั้งแต่สมัยศรีวิชัย (พ.ศ.1200 – พ.ศ.1800) รูปทรงสัณฐานขององค์เจดีย์ทรงแบบนี้ฐานเป็นฐานเขียงสี่เหลี่ยม มีฐานเป็นระเบียงรับตัวเจดีย์ที่ทำเป็นแบบมณฑป มีมุขสี่ด้านเรียกว่า “จัตุรมุข” ในมุขทำเป็นซุ้มหน้าบันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำทุกด้าน ส่วนหลังคามณฑปจะก่อเป็นเจดีย์ทรงกลมมีฐานเชิงบาตรขึ้นรองรับตัวเจดีย์และยอดแบบต่าง ๆ ตรงมุมหลังคาเจดีย์แต่ละมุมนิยมสร้างเจดีย์จำลองขนาดเล็กที่เรียกว่า “เจดีย์บริวาร” หรือเจดีย์น้อย ไว้แต่ละมุมประดับองค์เจดีย์ทั้ง 4 ด้านและเป็นลักษณะเจดีย์ห้ายอด เป็นอิทธิพลของศิลปะศรีวิชัย ซึ่งรับเอาคติธรรมทางพุทธศาสนามหายาน ส่วนรูปทรงองค์เจดีย์ในสมัยอยุธยาที่สร้างในคาบสมุทรสทิงพระ นิยมสร้างเจดีย์ทรงลังกาหรือแบบกรวยกลม ซึ่งจะมีรูปทรงสัณฐานเป็นระฆังคว่ำ หรือกระทะคว่ำอยู่บนฐานเขียงและฐานเชิงบาตรที่ซ้อนกัน 2-3 ชั้น และบนคอระฆังที่เป็นกระทะคว่ำก็จะทำเป็นปล้องกลม ๆ ติดต่อกันไปเป็นแนวตั้งเป็นส่วนยอดเรียกว่า “ปล้องไฉน” หรือ "ฉัตรวลี"
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7a7a117bca7a4e446578.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7a7b117bca7a4e446579.jpg)
ผมเดินขึ้นมาด้านบนของพระสุวรรณมาลิกเจดีย์ศรีรัตนมหาธาตุ (ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงขึ้นด้านบน) มองออกไปจะเห็นเจดีย์เก่า ทรงระฆังฐานย่อมุมไม้สิบสอง องค์เล็ก ๆ ประดิษฐานอยู่ด้านหลังของวิหารพระพุทธไสยาสน์ โดยองค์เจดีย์เริ่มจะเอียงไปตามกาลเวลาครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7a7c117bca7a4e44657a.jpg)
พระอุโบสถหลังปัจจุบัน ถูกสร้างเป็นทรงไทย มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ทางขึ้นพระอุโบสถมีรูปปั้นของท้าวเวสสุวรรณ ตั้งอยู่ตรงบันได หลังคาพระอุโบสถลดชั้นไต่ระดับสองชั้น มีพาไลหน้าหลัง สำหรับตัวอาคารพระอุโบสถมีขนาดไม่ใหญ่มาก บันไดและระเบียงประดับด้วยหินแกรนิตหลากสี เสาสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง หน้าบันปูนปั้นปิดทองเป็นรูปพระอาทิตย์ชักรถเทียมสิงห์ ซึ่งจะแตกต่างจากอุโบสถอื่นที่พระอาทิตย์เทียมม้า ซุ้มประตูพระอุโบสถเป็นรูปมงกุฎซึ่งบานประตูด้านหนึ่งแกะสลักเป็นยักษ์แบกทวารบาลที่เป็นยักษ์ อีกด้านเป็นวานร (ลิง) แบกทวารบาลที่เป็นเทวดา สำหรับฝาผนังพระอุโบสถทำเป็นลายนูนต่ำพุ่มทรงข้าวบิณฑ์ บานหน้าต่างไม้แกะสลักปิดทองเป็นรูปทวารบาลแบบต่าง ๆ ไม่ซ้ำกัน มีคันทวยที่หัวเสาทุกต้น
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7a7d117bca7a4e44657b.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7a7e117bca7a4e44657c.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7bd2e7e7627a601274d6.jpg)
ในวันที่ผมไป มีการบรรพชาพระใหม่อยู่พอดี เลยได้ชื่นชมความงดงามของพระอุโบสถอยู่เพียงด้านนอกเท่านั้น
วัดพะโคะเคยเป็นที่จำพรรษาของสมเด็จพะโคะหรือหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด เมื่อประมาณ 400 กว่าปีมาแล้ว จึงมีการนำสิ่งของเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับหลวงปู่ทวดมาให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชาพร้อมนำเสนอประวัติความเป็นมาของหลวงปู่ทวดด้วยครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7bc0e7e7627a601274d3.jpg)
มีรอยพระพุทธบาทด้วยครับ แต่เดิมเชื่อกันว่าเป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า แต่ในสมัยต่อมากล่าวกันว่าเป็นรอยเท้าของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7bc1e7e7627a601274d4.jpg)
การมาวัดพะโคะของผมในครั้งนี้ ผมพลาดชมจุดสำคัญ 2 จุด คือพระพุทธไสยาสน์ (พระโคตรมะหรือพะโคะ) พระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทองฝีมือช่างท้องถิ่นภาคใต้ปางปรินิพพาน ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังพระอุโบสถ และอีกหนึ่งสิ่งคือ ลูกแก้วคู่บารมีของหลวงปู่ทวด ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ครับ
วัดพะโคะมีบทบาทสำคัญมากในสมัยอยุธยาเพราะเป็นศูนย์กลางการปกครองของคณะสงฆ์ บริเวณฝั่งตะวันออกของทะเลสาบสงขลา อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่ใช้ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาของเจ้าเมืองพัทลุงในสมัยก่อนด้วยครับ
จากวัดพะโคะ ไปต่อที่วัดจะทิ้งพระครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/Y3YYqnNgQkgh2bC48 )
วัดจะทิ้งพระเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองสทิงพระ หรือสทิงปุระ เมืองเก่าแก่ของเมืองพัทลุงมาแต่โบราณ เดิมเรียกว่า “วัดสทิงพระ” ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็น “วัดจะทิ้งพระ“ สันนิษฐานว่าวัดแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอาณาจักรศรีวิชัย ต่อมาได้รับการบูรณะขี้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรส แห่งกรุงศรีอยุธยา ตามหลักฐานหนังสือกัลปนาหัวเมืองพัทลุงสมัยอยุธยา ระบุว่าวัดจะทิ้งพระแยกออกเป็นสองวัด โดยมีกำแพงกั้นกลางเป็น 2 วัด วัดแรกคือวัดสทิงพระ อีกวัดคือวัดพระมหาเจดีย์องค์ใหญ่ วัดทั้งสองแห่งนี้มีชื่อเรียกร่วมกันว่าวัดเจ้าพี่วัดเจ้าน้อง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงรวมเป็นวัดเดียวกัน ชื่อวัดจะทิ้งพระ ไม่ได้หมายความว่ากำลังจะทอดทิ้งพระ หรือไม่เอาพระแล้ว แต่สันนิษฐานว่าน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า “สทิงปุระ” ซึ่งมีความหมายว่าเมืองที่มีน้ำล้อม เมืองสทิงปุระเป็นเมืองเดียวกับสทิงพาราณสี ซึ่งเป็นเมืองที่เก่าแก่ ตั้งอยู่ทางเหนือของวัดจะทิ้งพระนั่นเอง
จุดเด่นของวัดจะทิ้งพระคือพระธาตุองค์ใหญ่เรียกว่าเจดีย์พระมหาธาตุ หรือเจดีย์พระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นเจดีย์ก่อด้วยอิฐดินและอิฐปะการังสอด้วยดิน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า เจดีย์เป็นรูประฆังคว่ำหรือรูปโอ่งคว่ำแบบลังกา มีปลียอดแหลมเช่นเดียวกับพระบรมธาตุเจดีย์ที่นครศรีธรรมราช แต่ต่างกันที่ไม่มีรัตนบัลลังก์ ฐานเดิมของเจดีย์เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ต่อมาในสมัยอยุธยาได้มีการบูรณะเพิ่มเติมฐานเป็นแบบย่อมุมไม้ยี่สิบ ทั้ง 4 ทิศจะมีซุ้มพระประดับทิศละ 1 ซุ้ม โดยประสมประสานสถาปัตยกรรมสมัยศรีวิชัยเข้ามา เช่น ทำเป็นมณฑปสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป ส่วนยอดทำเป็นสถูป มีเจดีย์บริวาร 4 มุม ตามตำนานกล่าวว่าองค์เจดีย์สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1542 ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2477 เจดีย์พระมหาธาตุชำรุดทรุดโทรมมาก ได้มีการบูรณะองค์เจดีย์ขึ้นใหม่แต่ก็ยังคงลักษณะเดิมไว้ และในวันเพ็ญเดือน 3 ของทุกปีจะมีประเพณีแห่ผ้าขึ้นห่มพระมหาธาตุเจดีย์ครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7c15e7e7627a601274d7.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7c16e7e7627a601274d8.jpg)
ติดกับเจดีย์พระมหาธาตุ เป็นที่ตั้งของวิหารพระพุทธไสยาสน์ หรือที่ชาวบ้านที่นี่เรียกกันว่า วิหารพ่อเฒ่านอน สร้างโดยการก่ออิฐถือปูน สันนิฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยา และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 หน้าบันวิหารบริเวณด้านหน้าประดับด้วยปูนปั้นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ตอนล่างมีรูปยักษ์แบกเทวดาและลายไท
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7c3b117bca7a4e44657d.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7c3c117bca7a4e44657e.jpg)
ภายในวิหารประดิษฐานองค์พระเชตุพนพุทธไสยาสน์ ก่อด้วยอิฐถือปูนยาว 14 เมตร สูง 2 เมตร ชาวบ้านเรียกว่า “พ่อเฒ่านอน” ลักษณะนอนตะแคงขวา พระหัตถ์ขวาหนุนพระเศียร สันนิษฐานว่าเป็นศิลปะศรีวิชัย ที่สร้างเลียนแบบศิลปะคุปตะ ผมว่าพระพักตร์รวมถึงรูปทรงของพ่อเฒ่านอน ดูแปลกตาจากที่ผมเคยเห็นตามวัดต่างๆ เป็นอย่างมาก
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7c3d117bca7a4e44657f.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7c3e117bca7a4e446580.jpg)
ผนังภายในวิหารบริเวณด้านข้างพระเศียรของพ่อเฒ่านอน มีภาพจิตรกรรมที่มีอายุประมาณ 100 ปี เขียนเป็นเรื่องพุทธประวัติตอนเสด็จไปโปรดพุทธมารดา และตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เขียนโดยช่างท้องถิ่นถึงสามคน โดยเขียนภาพโทนสีทองลายเส้นงดงาม แสดงถึงอัตลักษณ์ของช่างท้องถิ่นปักษ์ใต้ ภาพเขียนบนพื้นสีเหลืองอ่อน แล้วเขียนภาพลงด้วยสีขาว สีเทา สีฟ้าและสีเขียว เขียนระบายสีบางๆ ตัดเส้นด้วยสีอ่อน สภาพปัจจุบันยังคงสมบูรณ์อยู่เลยครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7c3f117bca7a4e446581.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7c41117bca7a4e446582.jpg)
ทางวัดจะปิดประตูวิหารไว้นะครับ แต่เราสามารถแง้มประตูและเข้าไปชมด้านในวิหารได้ ตอนแรกผมก็คิดว่าวิหารปิด แต่พอเดินเข้าไปตรงประตูวิหาร ไม่พบการล็อคกุญแจ จึงลองแง้มเปิดประตูวิหารเข้าไปสักการะพ่อเฒ่านอน เมื่อเราออกจากวิหารแล้ว ก็ขอให้ปิดประตูวิหารไว้เช่นเดิมนะครับ
อีกหนึ่งสิ่งที่ดูเก่าแก่ เห็นจะเป็นหอระฆัง ซึ่งเป็นหอสำหรับแขวนระฆังใบใหญ่ ก่อสร้างโดยการก่ออิฐถือปูน สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส บริเวณฐานหอระฆังประดับลวดลายปูนปั้นหนังตะลุงอันแสดงถึงศิลปะพื้นบ้านของอำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลาครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7c42117bca7a4e446583.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7c43117bca7a4e446584.jpg)
สำหรับพระอุโบสถวัดจะทิ้งพระ เป็นพระอุโบสถที่ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ ตัวอาคารเป็นเสาหินอ่อนทั้งหลัง มีความสวยงามมาก รอบ ๆ พระอุโบสถมีศาลาจัตุรมุขหินอ่อนล้อมรอบทั้ง 4 ทิศ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7c44117bca7a4e446585.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7c45117bca7a4e446586.jpg)
ความเจริญของพระพุทธศาสนาที่เผยแผ่มายังคาบสมุทรสทิงพระยังคงสืบทอดต่อเนื่องมายาวนาน ดังเช่นที่วัดจะทิ้งพระซึ่งมีโบราณสถาน ตลอดจนสถาปัตยกรรมแห่งพระพุทธศาสนามากมายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น เป็นที่เคารพศรัทธานับถือและเป็นที่พึ่งทางใจไปทั่วแว่นแคว้นของคนรอบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา-พัทลุง ในแต่ละปีผู้เลื่อมใสศรัทธาจะมาแห่ผ้าขึ้นห่มพระธาตุเจดีย์ซึ่งเป็นตัวแทนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาอย่างยิ่งต่อพ่อเฒ่านอนพระพุทธรูปปางไสยาสน์
จากอำเภอสทิงพระ ไปต่อที่อำเภอสิงหนคร โดยขอเริ่มที่เขาแดงครับ
เขาแดงนับเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญของสงขลา ด้วยดินแดนแถบนี้เคยเป็นที่ตั้งของเมืองสงขลาในยุคเริ่มแรก ผ่านวันเวลาและเรื่องราวการค้า การพาณิชย์ การศึกสงครามมาในห้วยระยะเวลาหนึ่ง จนมาถึงวันนี้เขาแดงก็ยังคงคุณค่าในด้านการเรียนรู้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวในสมัยอดีต โดยหลักฐานทางโบราณคดีที่ยังคงหลงเหลืออยู่ นอกจากวัดวาอารามแล้ว สิ่งที่น่าสนใจก็คือป้อมปราการต่าง ๆ ทั้งที่อยู่บนเขาแดงและที่ยังเหลือซากที่สมบูรณ์ไว้ให้เห็น รวมถึงเจดีย์สองพี่น้องบนยอดเขาแดงครับ
ผมเริ่มต้นที่เจดีย์สองพี่น้องบนยอดเขาแดงเป็นจุดแรก การจะชมเจดีย์สองพี่น้อง เราจะต้องเดินเท้าขึ้นไปบนยอดเขาแดง ซึ่งบันไดทางขึ้นน่าจะมีหลายจุด ผมตั้ง GPS ไปแล้วสรุปว่าหาบันไดทางขึ้นไม่เจอครับ เลยสอบถามชาวบ้านแถวนั้นจึงได้พิกัดใหม่มา ตามนี้ https://maps.app.goo.gl/aQTC4urFwgS29BoQA บริเวณทางขึ้นมีที่จอดรถให้พร้อมครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cace7e7627a601274d9.jpg)
ใช้เวลาเดินขึ้นกว่าครึ่งชั่วโมง ถามว่าเหนื่อยไหม ตอบเลยว่า “มากกก...” ทั้งยาดมและน้ำดื่มที่แบกติดตัวไปด้วย ได้ใช้สมใจครับ ดีหน่อยที่ระหว่างเส้นทางเดินขึ้นไปด้านบนค่อนข้างร่มจากกิ่งไม้ใบไม้ ทำให้สามารถนั่งพักเหนื่อยได้ตลอดระหว่างทางก็จะมีป้อมโบราณให้ได้ออกไปชมวิว อย่างป้อมนี้คือป้อมสังเกตการณ์ฝั่งตะวันตกครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7caee7e7627a601274da.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cafe7e7627a601274db.jpg)
ไม่เกินความพยายาม ก็เดินขึ้นมาถึงด้านบน พบซากป้อมโบราณ แอบนึกดีใจเพราะคิดว่าถึงเจดีย์สองพี่น้องแล้ว แต่ที่ไหนได้ ป้อมนั้นคือป้อมเมืองโบราณหมายเลข 6 ครับ จุดนี้มองออกไปเห็นสะพานติณสูลานนท์ด้วยครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cb0e7e7627a601274dc.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cb1e7e7627a601274dd.jpg)
ส่วนเจดีย์สองพี่น้อง ต้องเดินต่ออีกครับ ดีหน่อยที่ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดแล้ว
ไม่นานก็มาถึงเจดีย์สองพี่น้อง ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาแดงครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cb2e7e7627a601274de.jpg)
องค์แรกเป็นเจดีย์องค์พี่ ลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ก่อด้วยหินฉาบปูน ยอดปรักหักพัง มีสีดำ คนทั่วไปเรียก “เจดีย์องค์ดำ” สร้างเมื่อปี พ.ศ.2375 โดยเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุญนาค)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cb3e7e7627a601274df.jpg)
เจดีย์องค์ที่สองเป็นเจดีย์องค์น้อง ลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ตั้งบนฐานสี่เหลี่ยมเช่นกัน องค์เจดีย์ก่อด้วยอิฐฉาบปูน มีสีขาว คนทั่วไปเรียก "เจดีย์องค์ขาว" สร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ.2382- พ.ศ.2384 โดยพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา (ทัด บุนนาค) ผู้เป็นน้องร่วมมารดากับเจ้าพระยาพระคลัง ชาวบ้านเรียกเจดีย์สององค์นี้ว่า "เจดีย์สองพี่น้อง"
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cb4e7e7627a601274e0.jpg)
ระหว่างองค์เจดีย์ทั้งสอง เดิมจะมีศาลาเก๋งจีน ปัจจุบันเหลือแต่พื้นที่ผนังที่เจาะช่องหน้าต่างเป็นวงกลม เจดีย์ทั้งสององค์ได้รับการขุดแต่งบูรณะขึ้นใหม่ และกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติเมื่อ พ.ศ.2525 ครับ
บริเวณเจดีย์สองพี่น้อง เราสามารถชมวิวเมืองสงขลา ทะเลสาบสงขลา และทะเลอ่าวไทย ได้แบบสุดลูกหูลูกตาเลยครับ มองดี ๆ จะเห็นนางเงือกที่หาดสมิหลาด้วย
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cb5e7e7627a601274e1.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cb6e7e7627a601274e2.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cb7e7e7627a601274e3.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cb8e7e7627a601274e4.jpg)
จากเจดีย์สองพี่น้อง ขับรถต่ออีกนิดก็มาถึงป้อมเมืองเก่าหมายเลข 9 (พิกัด https://maps.app.goo.gl/ZfiXEXXUtqvGxDjW6 ) ป้อมปราการเมืองสงขลาเก่าที่ตั้งอยู่บริเวณเขาหัวแดง ปรากฏชื่ออยู่ในเอกสารโบราณว่า Singora เป็นเมืองท่าที่เจริญรุ่งเรืองในสมัยอยุธยา ช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 22-23 มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม โดยมีคูเมืองและกำแพงเมืองเป็นปราการด้านทิศเหนือ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ส่วนทางด้านทิศใต้มีเขาแดงและเขาค่ายม่วงเป็นปราการ สำหรับป้อมหมายเลข 9 เป็นป้อมที่ก่อด้วยหิน ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบเชิงเขาน้อย ลักษณะผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 9.60 เมตร ยาว 10.20 เมตร สูง 5 เมตร มีใบบังทั้งสี่ด้าน ระหว่างใบบังจะมีช่องมองซึ่งจะต้องมองเฉียงจึงจะมองเห็นภายนอกได้ มีส่วนค้ำยันฐานผนังป้อมทางด้านตะวันออก ตะวันตกและทิศเหนือ ทำหน้าที่เป็นป้อมตรวจการณ์ด้านทิศใต้และด้านตะวันตกของเมืองสงขลาเก่าครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cb9e7e7627a601274e5.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cbbe7e7627a601274e6.jpg)
มีข้อสันนิษฐานว่า พื้นที่ตั้งป้อมเดิมนี้ มีทะเลทรายล้อมรอบ เพราะจากการขุดชั้นดินทรายสำรวจก็เจอทรายทะเล และมีทางเดินด้านหลังป้อมไปพระเจดีย์เขาน้อย ที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับหัวเขาแดง
ปัจจุบันเราสามารถพบเห็นร่องรอยของป้อมเมืองสงขลาเก่าที่ก่อด้วยหินสอปูนอย่างน้อย 14 ป้อม ตั้งกระจายทั่วเมืองสงขลา สาเหตุที่ต้องสร้างป้อมเป็นจำนวนมากเพราะเมืองสงขลามีที่ตั้งห่างจากกรุงศรีอยุธยามาก หากเกิดสงครามจะขอความช่วยเหลือจากเมืองหลวงไม่ทัน
ด้านหลังของป้อมเมืองเก่าหมายเลข 9 จะมีเส้นทางเดินเท้าเล็ก ๆ เพื่อไปยังเจดีย์วัดเขาน้อย (พิกัด https://maps.app.goo.gl/A4azT4sa4xp5X4GW6 ) ระยะทางประมาณ 400 เมตร เส้นทางเดินง่าย ๆ มีขึ้นเนินเตี้ย ๆ บ้างเล็กน้อย เดินเล่นชิลล์ ๆ แป๊บเดียวก็ถึงครับ
วัดเขาน้อยเป็นวัดแต่โบราณยุคพุทธศาสนามหายานแห่งศรีวิชัย หลังจากที่สงขลาได้ตั้งขึ้นที่เขาค่ายม่วง หรือที่เรียกว่าเมืองสงขลาหัวเขาแดง ซึ่งเป็นเมืองท่าค้าขายที่เจริญขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง วัดเขาน้อยได้กลายสภาพเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์อยู่อาศัย จนกระทั่งเมืองสงขลาหัวเขาแดงหมดสภาพจากการเมือง วัดเขาน้อยจึงได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา วัดเขาน้อยมีปูชนียสถานที่สำคัญคือ เจดีย์เขาน้อย เป็นเจดีย์ที่ไม่เจือปูน การเรียงอิฐเป็นแบบไม่มีระบบ เป็นแบบช่างสมัยศรีวิชัย ฐานเจดีย์เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมกว้างยาวประมาณ 20 เมตร ปัจจุบันองค์เจดีย์มีสภาพหักพัง เหลือเพียงฐานซึ่งมีซุ้มประตูคูหาแบบรูปโค้งแหลม ภายในมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ฝีมือช่างท้องถิ่นสมัยอยุธยาอยู่ที่มุมทั้ง 4 ของฐาน นอกจากนี้ยังพบหินแกะสลักเป็นลวดลายและใบหน้าของบุคคล โดยรูปแกะสลักเหล่านี้มีรูปแบบศิลปะที่ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะแบบคุปตะของอินเดีย จึงคาดการณ์ว่าสถูปเจดีย์องค์นี้น่าจะสร้างขึ้นในสมัยทวารวดีและศรีวิชัย แล้วชิ้นส่วนของภาพแกะสลักเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้ประกอบเป็นภาพประดับสถูปเจดีย์อีกครั้งหนึ่งในคราวต่อเติมระยะหลังช่วงสมัยอยุธยาตอนต้น ครั้งถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมสถูปเจดีย์องค์นี้อีก ตามหลักฐานที่ปรากฏทำให้เข้าใจได้ว่าเจดีย์วัดเขาน้อยองค์นี้ได้รับการบูรณะต่อเติมซับซ้อนกันมาหลายยุคหลายสมัยเป็นเวลานานหลายร้อยปีปัจจุบันยังเหลือไว้เพียงส่วนฐานเป็นพยานให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีตครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cbce7e7627a601274e7.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cbde7e7627a601274e8.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7cbee7e7627a601274e9.jpg)
จากเจดีย์วัดเขาน้อย ไปต่อที่ซุ้มประตูบ่อเก๋ง (พิกัด https://maps.app.goo.gl/VykLDVQQ8XG7C4Ls9 ) หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า "บ่อเก๋ง" เป็นอีกหนึ่งโบราณสถานที่สำคัญของเมืองสงขลา เป็นหลักฐานแสดงถึงสาธารณูปการของเมืองสงขลา บ่อเก๋ง คือปราการรักษาด้านหน้าของเมืองสงขลาเก่าที่ตั้งอยู่ฝั่งแหลมสน สร้างขึ้นประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 24 ประกอบด้วยเชิงเทิน ที่ตั้งปืนใหญ่ อาคารที่พักของผู้รักษาป้อม บ่อน้ำ และซุ้มประตู เมื่อมีการย้ายเมืองสงขลามายังฝั่งบ่อยาง (ตัวเมืองสงขลาในปัจจุบัน) ได้มีการสร้างป้อมปากแม่น้ำแหลมทราย เพื่อคอยป้องกันเมืองสงขลาฝั่งบ่อยาง ปราการบ่อเก๋งจึงถูกปล่อยร้างไป แต่ชาวบ้านละแวกนี้ยังคงใช้ประโยชน์จากบ่อน้ำจืดบริเวณบ่อเก๋งอยู่ระยะหนึ่ง ปัจจุบันภายในบริเวณบ่อเก๋งยังมีซากโบราณสถานสิ่งหนึ่งที่ยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ นั่นคือ "ซุ้มประตู" ซุ้มประตูดังกล่าวสร้างด้วยอิฐถือปูน มีสันหลังคาโค้งงอน ซึ่งขัดกับลักษณะอาคารแบบไทยประเพณี แต่ลักษณะดังกล่าวปรากฏในกลุ่มอาคารทางตอนใต้ของจีนหลายแห่ง ลักษณะของปลายสันหลังคาที่ค่อนข้างเหลี่ยมหักมุม ทำให้พอสันนิษฐานได้ว่า ซุ้มประตูดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับงานสถาปัตยกรรมแถบหมิ่นหนาน แสดงให้เห็นว่ามีชาวจีนฮกเกี้ยนอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณหัวเขาแดงด้วย โบราณสถานบ่อเก๋ง มีอายุราว 100 กว่าปี สะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน ผ่านการสร้างป้อมปราการขนาดใหญ่ และการสร้างท่าเทียบเรือในบริเวณนี้ ที่ทำให้พออนุมานได้ว่า สงขลาคือหนึ่งในเมืองท่าที่สำคัญต่อโลกแห่งหนึ่งก็ว่าได้ครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7d78117bca7a4e446587.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7d79117bca7a4e446588.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7d7a117bca7a4e446589.jpg)
จากบ่อเก๋ง ไปต่อที่วัดสุวรรณคีรี (พิกัด https://maps.app.goo.gl/zo1tA1pbiL4cyVME8 ) ครับ
วัดสุวรรณคีรี หรือวัดหัวเขา สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงธนบุรีตอนปลายหรือกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ หันหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่ปากอ่าวทะเลสาบสงขลาและเมืองสงขลาฝั่งบ่อยาง ด้านหน้าวัดมีบ่อน้ำและศาลาแสดงถึงความเป็นจุดศูนย์กลางของชุมชน นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ก่ออิฐฉาบปูน ฐานเจดีย์เป็นรูปทรงกระบอก และมีก้อนหินใหญ่ประดับฐานทั้ง 4 ทิศ องค์เจดีย์ทรงระฆังแบบโอคว่ำ มีลวดลายเป็นปูนปั้นรูปพวงดอกไม้ประดับรอบองค์ ซึ่งเป็นอิทธิพลจากศิลปะจีนสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นที่ล่ำลือกันว่าหินที่ล้อมรอบเจดีย์องค์นี้งอกขึ้นมาเอง ต่อมาพระและชาวบ้านได้ช่วยกันบูรณะใหม่ รอบ ๆ ฐานพระเจดีย์ทั้ง 4 ทิศ มีรูปพระสาวกปูนปั้นนูนต่ำประนมมืออยู่ภายในวงกลม ในอดีตวัดสุวรรณคีรีเคยเป็นวัดร้างมาก่อน ต่อมาได้รับการบูรณะให้เป็นวัดสำคัญประจำเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน และถูกใช้เป็นสถานที่เพื่อประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาของเหล่าข้าราชการเมืองสงขลา นับเป็นวัดโบราณคู่บ้านคู่เมืองสงขลาอีกวัดหนึ่งครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7d7b117bca7a4e44658a.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7d7c117bca7a4e44658b.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7d7d117bca7a4e44658c.jpg)
ภายในวัดสุวรรณคีรีมีโบราณสถานที่สำคัญ คือพระอุโบสถ และยังมีหอระฆังที่ก่อด้วยปูน มีทั้งหมด 2 ชั้น ชั้นล่างก่อทึบ ชั้นบนก่อโปร่ง มีการเจาะช่องหน้าต่างเป็นรูปวงรีทั้งสี่ด้าน ภายในแขวนระฆัง รูปทรงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงศิลปะที่รับอิทธิพลจากตะวันตก นอกจากนี้ยังมีเจดีย์หินแบบจีนหรือถะศิลา ที่ด้านล่างเป็นฐานเขียง รองรับส่วนกลางซึ่งมีรูปทรงเหมือนอาคาร 6 ชั้น และอยู่ในผังแปดเหลี่ยม ด้านบนสุดประดับปล้องไฉนครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7d7e117bca7a4e44658d.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7d7f117bca7a4e44658e.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7db3e7e7627a601274ea.jpg)
มีซุ้มใบเสมาสร้างด้วยหินแกรนิตลักษณะศิลปะจีน ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นรูปดอกไม้สวยงาม ภายในเป็นเสมาหินแกรนิตแบบเสมาคู่ปักอยู่ ซุ้มใบเสมาทั้งแปดทิศเป็นพุทธศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7db4e7e7627a601274eb.jpg)
พระอุโบสถเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ทั้งส่วนผนังและหน้าบัน หน้าบันลดรูปไม่มีการประดับช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ กลางหน้าบันเป็นงานปูนปั้นลายพันธุ์พฤกษาสลับดอกไม้ โดยเกสรของดอกไม้แต่ละดอกแทนด้วยภาชนะเครื่องเคลือบประตูและหน้าต่างของอุโบสถสร้างแบบเรียบง่ายไม่มีการประดับสิ่งใด ๆ ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทองปางมารวิชัยขนาดใหญ่จำนวน 3 องค์ มีองค์พระสาวกพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ประดิษฐานด้านซ้ายขวา ตามลำดับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7db5e7e7627a601274ec.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7db6e7e7627a601274ed.jpg)
ฝาผนังอุโบสถทั้ง 4 ด้าน สมัยก่อนมีจิตรกรรมฝาผนัง ตอนล่างเป็นเรื่องทศชาติ ตอนบนเป็นเรื่องพุทธประวัติ แต่น่าเสียดายว่าปัจจุบันจิตกรรมฝาผนังถูกน้ำฝนลบเลือนไปเกือบหมดแล้ว แต่ทางวัดได้เขียนจำลองภาพจิตรกรรมฝาผนังไว้บนผืนผ้าใบ ตั้งเคียงคู่กับภาพจริง ให้เราได้จินตนาการตามภาพจำลองครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7db7e7e7627a601274ee.jpg)
ส่วนด้านหลังพระประธาน ภาพจิตรกรรมยังไม่เสียหายมากนัก โดยช่างได้เขียนเป็นภาพสวรรค์ชั้นต่าง ๆ วิมานปราสาท นางฟ้า เทพบุตร ลอยอยู่ตามหมู่เมฆ เรียงเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป จนชั้นสูงสุดเป็นภาพปราสาทใหญ่
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7dfa117bca7a4e44658f.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7dfb117bca7a4e446590.jpg)
ส่วนผนังด้านข้างทั้ง 2 ด้าน เป็นภาพทศชาติชาดก ตอนบนเหนือกรอบหน้าต่างเขียนภาพพุทธประวัติครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7e23e7e7627a601274ef.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7e24e7e7627a601274f0.jpg)
วัดสุวรรณคีรีนับเป็นอีกหนึ่งวัดในทริปนี้ที่ผมประทับใจมาก เพราะงานประติมากรรมและงานจิตรกรรมที่มีให้เห็นในวัดนี้ หาดูไม่ได้ง่าย ๆ เลยครับ
ไม่ไกลจากวัดสุวรรณคีรี เป็นที่ตั้งของวัดบ่อทรัพย์ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/7rFcidW2uxLhnw139 ) วัดสำคัญอีกหนึ่งวัดในสมัยที่เมืองสงขลาตั้งเมืองอยู่บริเวณฝั่งแหลมสน คาดว่าสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่ด้านหน้าวัดมีบ่อน้ำพื้นเมือง กรุอิฐขนาดใหญ่ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7 เมตร เรียกว่า บ่อซับ เป็นบ่อน้ำที่ซึมซับลงมาจากภูเขาอันเป็นที่มาของชื่อ “วัดบ่อทรัพย์” ในอดีตบ่อซับนี้เป็นที่เลื่องลือในการรักษาโรค ชาวบ้านมักจะนำน้ำไปดื่มกินและอาบเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อได้ดื่มได้อาบ ก็จะหายจากโรคร้ายครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7e45e7e7627a601274f1.jpg)
จากบ่อน้ำซับด้านหน้าวัด เดินขึ้นไปตามบันได ด้านซ้ายมือจะพบกุฏิไม้โบราณพื้นถิ่นภาคใต้ หลังคามุงกระเบื้องเกาะยอครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7e46e7e7627a601274f2.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7e47e7e7627a601274f3.jpg)
เดินผ่านกุฏิ ขึ้นไปตามบันไดอีก 1 ช่วง จะพบอุโบสถสีขาว รูปแบบเรียบง่าย ล้อมรอบด้วยพาไลเป็นซุ้มโค้งกลม หน้าบันดูเรียบ หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นผสมตะวันตกครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7e48e7e7627a601274f4.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7e4ae7e7627a601274f5.jpg)
ใกล้กันพบบัวเก็บอัฐิครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7e4be7e7627a601274f6.jpg)
ที่วัดบ่อทรัพย์นี้ยังมี องค์ท้าวเวสสุวรรณ หรือ จ้าวเขา ที่คนในท้องถิ่นนิยมมากราบไหว้ขอโชคลาภกันอย่างไม่ขาดสาย โดยท้าวเวสสุวรรณองค์นี้มีความแตกต่างจากที่อื่นๆ ด้วยลักษณะรูปปั้นที่มีรูปลักษณ์ดุดัน มีกระบองประจำตัว ที่ปลายด้ามเป็นหัวกะโหลก ไม่มีเครื่องประดับชฎาใด ๆ รูปร่างผอมสูง คาดว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2483 เชื่อกันว่าองค์ท้าวเวสสุวรรณองค์นี้ปั้นขึ้นจากดินเปลว หรือดินจากป่าช้าของวัดบ่อทรัพย์ ผู้ที่มีความเชื่อความศรัทธา มักจะมาบนบานต่อท่านอยู่เป็นประจำ ในวันที่ผมไปเยือนก็ยังมีผู้เลื่อมใสศรัทธามากราบไหว้และแก้บนอยู่หลายคณะเลยครับ ของแก้บนส่วนใหญ่จะเป็นเหล้าขาว เนื้อวัวสด ผ้านุ่งแดง ดอกกุหลาบแดง ยาสูบ น้ำแดง และมีการจุดประทัดร่วมด้วยครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7e4ce7e7627a601274f7.jpg)
อีกหนึ่งสิ่งที่นับเป็นเรื่องแปลก นั่นคือบริเวณข้อศอกทั้งสองข้างของท้าวเวสสุวรรณจะมีน้ำหยดออกมาตลอดเวลา ราวๆ 10 นาทีก็จะมีน้ำหยดลงมาที ชาวบ้านจะมารองน้ำที่หยดเพื่อไปทำเป็นน้ำมนต์ และล้างบริเวณใบหน้า ซึ่งผมเองก็ได้นำมาพรมหัวตัวเองเพื่อความเป็นสิริมงคลด้วยครับ
พื้นที่โดยรอบวัดบ่อทรัพย์ เต็มไปด้วยต้นซาหวา หรือต้นละมุดนับร้อยๆ ต้น ที่อยู่คู่กับวัดมายาวนานไม่ต่ำกว่า 70 ปี ทุกต้นยังคงออกลูกเต็มต้น ให้ความร่มรื่นกับวัดเป็นอย่างมากครับ
วัดบ่อทรัพย์จะมีทางเดินเชื่อมไปยังวัดศิริวรรณาวาส (พิกัด https://maps.app.goo.gl/kAUTu6FtAoWM5qV77 ) ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ติดกันเลยครับ
วัดศิริวรรณาวาส เป็นวัดโบราณแห่งหนึ่งที่เจ้าเมืองสงขลาต้นตระกูล ณ สงขลา สมัยตั้งเมืองอยู่ที่ฝั่งแหลมสนเป็นผู้สร้าง เดิมวัดศิริวรรณาวาสมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่าวัดตก และเคยเป็นวัดร้างมาก่อน แต่ปัจจุบันได้มีพระสงฆ์เข้ามาจำพรรษาแล้ว
โบราณสถานในวัดประกอบด้วย พระอุโบสถ สถาปัตยกรรมแบบไทยผสมจีนแบบพระราชนิยมรัชกาลที่ 3 มีลักษณะสำคัญคือ หน้าบันฉาบปูนเรียบ ไม่มีเครื่องลำยอง พาไลมีกำแพงรับ เว้นช่องมีทางเท้า ไม่มีเสา หลังคามุงกระเบื้องดินเผาเกาะยอปลายแหลม มีประตูทางเข้าด้านหน้า 1 ช่อง มีเสมาหินอยู่โดยรอบ กำแพงแก้วก่ออิฐฉาบปูน ประตูทางเข้าด้านตะวันออกเป็นซุ้มแบบจีน ภายในอุโบสถมีพระพุทธรูปปั้นศิลปะพื้นบ้าน ไม่มีจิตรกรรมฝาผนังครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7ea7e7e7627a601274f8.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7ea9e7e7627a601274f9.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7eaae7e7627a601274fa.jpg)
นอกจากนี้ยังมีซากหอระฆังชำรุดเหลือแค่ฐานและบันได ชาวบ้านนิยมมาขอพรในเรื่องชื่อเสียงและธุรกิจที่เปิดใหม่ ให้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนเสียงระฆังครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7eabe7e7627a601274fb.jpg)
บัวที่เก็บอัฐิครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7eace7e7627a601274fc.jpg)
ติดกับวัดศิริวรรณาวาสเป็นที่ตั้งของวัดภูผาเบิก (พิกัด https://maps.app.goo.gl/uH7r1TuBQH4CZE5B7 ) ครับ
วัดภูผาเบิก มีศาลาการเปรียญแบบพื้นถิ่นภาคใต้ มีปูนปั้นประดับหน้าบัน เขียนสีสดใส ผนังรอบศาลาเป็นปูนปั้น ตกแต่งด้วยกระเบื้องปรุแบบจีนและมีพาไลรอบ มุงสังกะสี รับด้วยเสาไม้ต้นเล็กๆ เห็นว่าด้านในมีการตกแต่งเพดานเป็นภาพพระพุทธเจ้าและเขียนลวดลายด้วยสีสดใสแบบพื้นบ้านด้วย เสียดายตอนที่ผมไปถึง ผมไม่เจอใครเลย ในวัดเงียบกริบ แถมยังมีฝูงสุนัขมาเห่าเต็มไปหมด เอาจริงๆ รู้สึกหลอนกับบรรยากาศเก่าๆ และวังเวงที่วัดนี้ครับ เลยรีบถ่ายภาพ รีบกลับครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7eeae7e7627a601274fd.jpg)
อุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมแบบผสมกับวัฒนธรรมตะวันตกหรือแบบเปอร์เซีย รอบอุโบสถเหลือใบเสมาอยู่เพียงใบเดียว มีหอระฆังตั้งเคียงคู่อยู่กับพระอุโบสถครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7eebe7e7627a601274fe.jpg)
นอกจากนี้ ในบริเวณวัดยังมีกุฏิเป็นเรือนไทยพื้นถิ่นภาคใต้ กุฏิเรือนขนมปังขิงครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7eece7e7627a601274ff.jpg)
กลุ่มวัดสุวรรณคีรี วัดบ่อทรัพย์ วัดศิริวรรณาวาส และวัดภูผาเบิก มีความต่อเนื่องกันในด้านการวางผัง และภูมิสถาปัตยกรรม มีการทำกำแพงกันดินด้วยหินภูเขา ใน 3 ระดับ มีทางเดินและบันไดเชื่อมต่อกันระหว่างวัด ปูด้วยกระเบื้องหน้าวัวโบราณซึ่งมีลวดลายในเนื้อกระเบื้องอันเป็นเอกลักษณ์กระเบื้องดินเผาเกาะยอ นับเป็นตัวอย่างที่สำคัญทั้งในด้านสถาปัตยกรรม และภูมิสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจครับ
จากอำเภอสิงหนคร ไปต่อที่อำเภอเมือง โดยขอเริ่มที่วัดท้ายยอครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/ty1mMSXXwNBEt4m97 )
วัดท้ายยอ สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ต้นกรุงธนบุรี ชื่อเดิมคือ วัดคงคาวดี แต่ชาวบ้านมักจะเรียกกันติดปากว่า วัดท้ายเสาะ ตามชื่อของหมู่บ้านเก่าแก่ของเกาะยอ ต่อมาชาวบ้านได้เรียกวัดแห่งนี้ว่า วัดท้ายยอ ตามชื่อของเกาะ และคาดว่าน่าจะได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
วัดท้ายยอมีโบราณวัตถุที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม อาทิ กุฏิเจ้าอาวาสที่เป็นกุฏิแบบเรือนไทยปั้นหยา อายุประมาณ 200 ปี สร้างขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วยเรือน 3 หลัง เรียกตามลักษณะมงคลสูตรว่าแบบพ่อแม่พาลูก สร้างด้วยสถาปัตยกรรมไทยพื้นถิ่นภาคใต้ผสมผสานอิทธิพลจีน ที่ถึงพร้อมด้วยมงคลสูตร และมาตราสูตรคือด้านหน้าหันออกสู่ทะเลสาบสงขลามีลานกว้าง ส่วนด้านหลังเป็นเขาเรียกว่าเขาเพหาร ซึ่งหมายถึงวิหารนั่นเอง ลักษณะเด่นของกุฏิคือเสาเรือนของกุฏิจะไม่ฝังลงในดิน แต่จะตั้งอยู่บนตีนเสาซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นในการสร้างบ้านเรือนในภาคใต้ อีกทั้งการมุงหลังคาด้วยกระเบื้องเกาะยอและกระเบื้องลอนแบบเก่า นับว่างดงามและหาดูยากแล้วในสมัยปัจจุบันนี้
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7f34117bca7a4e446591.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7f35117bca7a4e446592.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7f37117bca7a4e446593.jpg)
ติดกับกุฏิเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถ ที่ก่อด้วยอิฐถือปูนแผนผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งอยู่ในเขตกำแพงแก้ว หันหน้าไปทางทิศตะวันออกตามความเชื่อในเรื่องทิศที่เป็นมงคล อุโบสถมีช่วงฐานเตี้ย ผนังทึบ หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา เป็นหลังคาชั้นเดียวต่อด้วยปีกนก รอบอาคารไม่มีเสาพาไล บริเวณตอนล่างของฐานกรุด้วยเซรามิคลายดอกสี่กลีบ ตัวอุโบสถมีบันไดทางเข้าด้านข้าง 2 ช่อง ตรงผนังใต้หน้าต่างทำเป็นช่องระบายอากาศรอบอาคาร โดยทำเป็นช่องประดับกระเบื้องปรุ หน้าบันมีไขราหน้าจั่ว มีใบเสมาตั้งอยู่บนฐานปัทม์มน 2 ชั้นเตี้ย ๆ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย เสียดายวันที่ผมไป พระอุโบสถปิด เลยไม่มีโอกาสได้เข้าชมด้านในครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7f38117bca7a4e446594.jpg)
ใกล้กันเป็นที่ตั้งของหอระฆังที่เก่าแก่ ซึ่งชาวบ้านได้ร่วมมือร่วมแรงและร่วมใจสร้างกันขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและใช้ประกอบพิธีการงานบุญต่าง ๆ ครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7f39117bca7a4e446595.jpg)
ด้านหลังของวัดท้ายยอเป็นที่ตั้งของเขาพิหารหรือเขาวิหาร ซึ่งด้านบนยอดเขาวิหารเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์ทรงลังกา หรือทรงระฆัง อายุประมาณ 240 ปี คาดว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 สันนิษฐานกันว่าบนยอดเขาเดิมเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถเก่า ต่อมาพระอุโบสถมีสภาพชำรุดทรุดโทรม จึงได้มีการรื้อถอนอุโบสถและทำการก่อสร้างพระเจดีย์ครอบหลวงพ่อดำ ซึ่งเป็นพระประธานของอุโบสถเดิมเอาไว้ เจดีย์มีลักษณะทรงระฆังหรือทรงลังกา โดยก่ออิฐถือปูนมีลวดลายปูนปั้นประดับ อันเป็นฝีมือช่างท้องถิ่นภาคใต้ และมีทางเข้าสู่คูหาที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ตอนล่างเป็นฐานสี่เหลี่ยม มีลานประทักษิณ ระเบียงลูกกรงกรุด้วยเซรามิคสีเขียวลายดอกสี่กลีบโปร่ง และมีการตกแต่งด้วยลายปูนปั้นที่สวยงาม ด้านนอกมียักษ์ 2 ตน เฝ้าองค์เจดีย์ ตามความเชื่อของชาวบ้านยักษ์ 2 ตนนั้นเรียกว่าพ่อแก่ยักษ์ นอกจากเฝ้าองค์เจดีย์และพระพุทธองค์แล้ว ยังคอยดูแลช่วยเหลือความเป็นอยู่ของชาวเกาะยอให้มีความสุขสบาย ตลอดจนการประกอบอาชีพให้สำเร็จผลครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7f3a117bca7a4e446596.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7f3c117bca7a4e446597.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7f3d117bca7a4e446598.jpg)
ด้านข้างวัด จะมีศาลาริมน้ำ สามารถมายืนชมวิวทะเลสาบสงขลา และวิถีชีวิตของชาวเกาะยอได้ครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7f3e117bca7a4e446599.jpg)
ไม่ไกลจากวัดท้ายยอ เป็นที่ตั้งของวัดแหลมพ้อ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/oVbNGUkdfxqS4x9W9 ) ซึ่งตั้งอยู่เชิงสะพานติณสูลานนท์ครับ สันนิษฐานว่าวัดแหลมพ้อสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ราวช่วงรัชกาลที่ 2 เนื่องจากพื้นที่บริเวณวัดเป็นแหลมยื่นออกไปในทะเลสาบสงขลา อีกทั้งยังมีต้นพ้ออยู่เป็นจำนวนมาก จึงเรียกชื่อวัดกันต่อ ๆ มาว่า วัดแหลมพ้อ สิ่งที่โดดเด่นของวัดแหลมพ้อ เห็นจะเป็นพระพุทธรูปปางปรินิพานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งองค์พระสร้างขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ.2537 องค์พระนอนแหลมพ้อ เป็นชื่อเรียกของพระพุทธลักษณะบรรทมตะแคงเบื้องขวา หลับพระเนตร พระเศียรหนุนพระเขนย (หมอน) พระหัตถ์ซ้ายทอดทาบไปตามพระวรกาย พระหัตถ์ขวาวางหงายอยู่ข้างพระเขนย พระบาทซ้ายทับซ้อนพระบาทขวา ส่วนของพระบาทจะมีลวดลายภาพศิลปะของภาพมงคล 108 ประการครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7f3f117bca7a4e44659a.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7f41117bca7a4e44659b.jpg)
จริง ๆ แล้ววัดแหลมพ้อยังมีโบราณสถานที่น่าสนใจอีกหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถ หอระฆัง เจดีย์ แต่เนื่องจากแสงแดดที่แรงกล้าบวกกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว ผมจึงขอยกธงขาวยอมแพ้ ทำได้แค่ชื่นชมความงดงามของวัดแหลมพ้อแค่องค์พระนอนครับ
จากวัดแหลมพ้อ ผมขับรถขึ้นเขาเพื่อไปชมวิวของทะเลสาบสงขลามุมสูง ที่สำนักสงฆ์เขากุฏิ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/XK6KYgZiUBx5KDQi8 ) สำนักสงฆ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดสูงสุดของเกาะยอเลยครับ ด้านบนเป็นที่ประดิษฐานของเจดีย์โบราณ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า “เขากุฏิ” นั่นเอง
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7f9d117bca7a4e44659c.jpg)
องค์เจดีย์เป็นเจดีย์ทรงระฆังสีขาว ทุก ๆ ปีชาวเกาะยอจะจัดบุญประเพณีแห่ผ้าขึ้นเขากุฏิเพื่อห่มองค์เจดีย์ นับเป็นประเพณีดี ๆ ที่ชาวเกาะยอร่วมกันสืบสานมาจากอดีตจนถึงปัจจุบันครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7f9e117bca7a4e44659d.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7f9f117bca7a4e44659e.jpg)
ด้วยที่เจดีย์โบราณตั้งอยู่บนยอดสูงสุดของเกาะยอ เวลาที่เรามองออกไปจะมองเห็นตึกรามบ้านช่องในตัวเมืองสงขลา เรียงรายไปบนแหลมที่ยื่นออกปิดกั้นทะเลไว้ ทำให้สงขลาเป็นเมืองสองทะเล คือมีอ่าวไทยเป็นทะเลนอก และทะเลสาบสงขลาเป็นทะเลในครับ
จากเขากุฏิ ไปต่อกันที่พิพิธภัณฑ์คติชนวิทยา (พิกัด https://maps.app.goo.gl/Ei1cVKhWSZ1eWrEN9 ) ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน การเข้าชมที่นี่มีค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 50 บาท ครับ
พิพิธภัณฑ์คติชนวิทยา เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่น ศิลปหัตถกรรม ตลอดจนประวัติศาสตร์ โบราณคดี อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นภูมิปัญญาของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในภาคใต้ โดยมีการใช้วัตถุของจริงร่วม 50,000 ชิ้นเลยครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7fa0117bca7a4e44659f.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7fa1117bca7a4e4465a0.jpg)
ภายในพิพิธภัณฑ์คติชนวิทยามีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง แถมยังมีอาคารจัดแสดงหลายจุดเลยทีเดียว เช่น อาคารนวมภูมินทร์ อาคารกลุ่มบ้านหลังคาบลานอ อาคารกลุ่มบ้านหลังคาปั้นหยา อาคารกลุ่มบ้านหลังคาจั่ว ลานบนอาคารนวมภูมินทร์ โดยแต่ละอาคารก็จะมีการจัดแสดงที่แตกต่างกันออกไปครับ
เนื่องจากผมมีเวลาน้อย เลยเลือกเข้าชมเพียงอาคารเดียว คือ อาคารนวมภูมินทร์ครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7fa2117bca7a4e4465a1.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7fa3117bca7a4e4465a2.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7fa4117bca7a4e4465a3.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7fa5117bca7a4e4465a4.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7fa6117bca7a4e4465a5.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7fa7117bca7a4e4465a6.jpg)
ภายในอาคารนวมภูมินทร์ จัดแสดงข้อมูลทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีมากมาย เช่นโบราณวัตถุที่เกิดจากภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่น รวมถึงโบราณวัตถุที่แสดงว่ามีการติดต่อระหว่างคนพื้นเมืองภาคใต้กับกลุ่มชนภายนอก เช่น จีน อินเดีย มลายู อาหรับ และกลุ่มประเทศทางตะวันตก ครับ
สิ่งที่น่าสนใจ ไม่ได้มีเพียงอาคารพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ เท่านั้น แต่วิวที่เรามองออกไปด้านนอกนี่ซิ มันสวยงามจริง ๆ ครับ
จุดแรก มองออกไปเห็นสะพานติณสูลานนท์ สะพานคอนกรีตที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดยเชื่อมเกาะยอ 2 ด้าน ระหว่างอำเภอเมืองสงขลา และอำเภอสิงหนคร โดยสะพานแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก 940 เมตร และช่วงที่สอง 1,700 เมตร รวมเป็น 2,640 เมตร สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัย ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7ffd117bca7a4e4465a7.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7ffe117bca7a4e4465a8.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b7fff117bca7a4e4465a9.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8000117bca7a4e4465aa.jpg)
ต้องบอกเลยว่าสะพานแห่งนี้มีประโยชน์มาก เพราะช่วยเชื่อมต่อระหว่างตัวอำเภอสิงหนครและอำเภอเมืองสงขลาให้ไปมาหาสู่กันสะดวกมากยิ่งขึ้น ก่อนหน้าที่จะมีสะพาน การเดินทางจากอำเภอสิงหนครไปยังเมืองสงขลา เส้นทางที่ใกล้สุดคือการนำรถขึ้นบนแพขนานยนต์ ถึงแม้จะใช้เวลาอยู่บนแพขนานยนต์ไม่นาน แต่ถ้าหากช่วงเวลาใดมีผู้คนสัญจรมาก ก็จะเสียเวลาในการต่อคิวเพื่อขึ้นแพขนานยนต์เป็นเวลานาน สำหรับรถใหญ่ เช่นรถบัสโดยสาร รถบรรทุกใหญ่ จะไม่สามารถใช้บริการแพขนานยนต์ได้ จึงจำเป็นต้องใช้เส้นทางอื่นที่ไกลมาก ทำให้เสียเวลาในการเดินทางครับ
จุดที่สอง เราจะมองเห็นวิถีชีวิตของชาวเกาะยอ ซึ่งประกอบอาชีพประมงเป็นหลัก มีทั้งการออกเรือไปจับปลา จับกุ้งตามธรรมชาติในทะเลสาบสงขลา รวมถึงการเลี้ยงปลากะพงขาวในกระชัง เป็นอีกหนึ่งวิถีชีวิตที่หาดูได้ยากแล้วครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8002117bca7a4e4465ab.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8003117bca7a4e4465ac.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8004117bca7a4e4465ad.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8005117bca7a4e4465ae.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8006117bca7a4e4465af.jpg)
ยามที่แสงอาทิตย์ย้อนแสงมา ทำให้ผิวน้ำดูระยิบระยับเหมือนมีคนเอากากเพชรไปโรยไว้ในทะเลสาบสงขลา ภาพกระชังปลาที่มองออกไป สวยงามราวดังกับภาพวาดเลยครับ
เที่ยววัดมาเยอะแล้ว ขอเบรกไปเดินเล่นหามุมเก๋ ๆ ถ่ายรูป หาร้านอาหารอร่อย ๆ ทานบ้างดีกว่า ผมเลือกปักพิกัดที่ย่านเมืองเก่าสงขลาครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/D9xs3Tf8JWrZaNCV8 ) ย่านเมืองเก่านี้มีประวัติความเป็นมาและมีอายุยืนยาวกว่า 200 ปี โดยมีถนนที่สำคัญ 3 สาย คือ ถนนนครนอก เป็นถนนที่ติดกับฝั่งทะเลสาบ ว่ากันว่าในอดีตบริเวณนี้เป็นท่าเทียบเรือเพื่อการค้าขายและขนส่งสินค้าจากต่างประเทศ ถนนนครใน เป็นถนนที่อยู่ตรงกลางระหว่างถนนนครนอกและถนนนางงาม และถนนนางงาม เดิมชื่อถนนเก้าห้อง หรือเรียกว่าย่านเก้าห้อง ถนนเส้นนี้เกิดจากการตัดถนนเพื่อเป็นเส้นทางในการประกอบพิธีสมโภชเสาหลักเมือง ซึ่งตลอดสองฝั่งฟากถนนทั้ง 3 สาย เราจะได้พบกับบ้านเรือนที่ก่อสร้างตามสถาปัตยกรรมผสมผสานกันระหว่างตึกแถวแบบจีนดั้งเดิม ตึกแถวแบบจีนพาณิชย์ ตึกแถวแบบจีนสมัยใหม่ และตึกแถวแบบสงขลาดั้งเดิม ที่เรียกว่า ชิโน-ยูโรเปียนครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8033e7e7627a60127500.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8034e7e7627a60127501.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8035e7e7627a60127502.jpg)
ไฮไลต์ของถนนนครนอกคือโรงสีแดง “หับ โห้ หิ้น” เป็นอาคารโรงสีข้าวที่ใช้เครื่องจักรไอน้ำขนาดใหญ่ ที่ถูกทาด้วยสีแดงสดใส มีปล่องไฟสูง 34 เมตร ตั้งอยู่ตรงเกือบสุดถนนนครนอก เริ่มดำเนินกิจการในปี พ.ศ.2470 เป็นยุคที่การค้าข้าวในลุ่มทะเลสาบสงขลารุ่งเรืองที่สุด ในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา โรงสีแดงแห่งนี้ถูกยึดเป็นคลังเก็บเวชภัณฑ์และศูนย์บัญชาการตลอดช่วงสงคราม หลังสงครามยุติลง โรงสีได้ปรับปรุงเป็นท่าเทียบเรือระหว่างสงขลากับระโนด และแปรสภาพเป็นโกดังเก็บยางพารา ท่าเทียบเรือขนาดเล็ก และท่าโม่น้ำแข็ง ก่อนเลิกกิจการไป คำว่า “หับ โห้ หิ้น” มาจากภาษาจีนฮกเกี้ยน แปลว่า “สามัคคี กลมเกลียว เจริญรุ่งเรือง” ปัจจุบันด้านในหับ โห้ หิ้น จัดพื้นที่เป็นนิทรรศการขนาดเล็ก ย้อนตำนานตั้งแต่ยุคซิงกอราสงขลาเขาแดง ยุคสงขลาแหลมสน ทะเลสาบสงขลา รวมทั้งความเป็นมาของโรงสีแดง ส่วนด้านหลังโรงสีแดงเป็นท่าเทียบเรือประมงขนาดเล็ก ที่สามารถมองเห็นบรรยากาศของทะเลสาบสงขลาครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8721117bca7a4e4465b0.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8722117bca7a4e4465b1.jpg)
บ้านนครใน ตั้งอยู่บนถนนนครใน จะเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งการอนุรักษ์ เสริมสร้างคุณค่า บ้านนครในเป็นบ้านไม้จีนแบบโบราณ และบ้านตึกสีขาว ภายในจะเป็นการจัดแสดงของเก่าให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันแบบฟรี ๆ ครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8723117bca7a4e4465b2.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8724117bca7a4e4465b3.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8725117bca7a4e4465b4.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8726117bca7a4e4465b5.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8729117bca7a4e4465b7.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b872a117bca7a4e4465b8.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b872c117bca7a4e4465ba.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b875d117bca7a4e4465bc.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b872d117bca7a4e4465bb.jpg)
ถนนอีกสายคือถนนนางงาม มีสถานที่สำคัญคือ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา ศาลเจ้าพ่อกวนอู ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้าน คู่เมืองของชาวสงขลา และเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยเชื้อสายจีนครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8781117bca7a4e4465bd.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8782117bca7a4e4465be.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8783117bca7a4e4465bf.jpg)
ผมมาฝากท้องที่ร้านข้าวสตู เกียดฟั่ง เจ้าแรกต้นตำรับในสงขลา บอกเลยว่าลูกค้าเยอะมาก ทั้งคนไทยและคนมาเลเซีย ร้านตั้งอยู่ใกล้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เปิดบริการมาตั้งแต่ พ.ศ.2480 ครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8785117bca7a4e4465c0.jpg)
ร้านเปิดขายตั้งแต่ 07.00 – 13.00 น. แต่ถ้าวันไหนของหมด ก็จะปิดก่อนเวลาครับ มาร้านสตู ก็ต้องสั่งหมูสตู ทานคู่กับข้าวหมูแดงครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8786117bca7a4e4465c1.jpg)
อีกหนึ่งสิ่งที่อยากให้ลอง เพราะเตะตาตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านแล้ว กับซาลาเปาลูกใหญ่เบิ้ม ที่มีทั้งไส้หมูสับ ไส้หวาน ไส้งาดำ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8787117bca7a4e4465c2.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8788117bca7a4e4465c3.jpg)
จบของคาว ไปต่อที่ของหวาน ผมเลือกชิมไอติมถั่วเขียวโบราณที่ร้านบันหลีเฮง เมนูไอติมมีให้เลือกหลากหลาย แต่อยากบอกเลยว่า เมนูไอติมถั่วเขียว กลิ่นถั่วเขียวมาแบบเต็มๆ อร่อยมากครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8789117bca7a4e4465c4.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b878a117bca7a4e4465c5.jpg)
ลองไอติมถั่วเขียวมาแล้ว ขอลองชิมไอติมโอ่งดูบ้าง พอดีเห็นคนแน่นร้าน นอกจากไอติมแล้ว ร้านยังมีขายลูกชิ้นทอดด้วย ผมสั่งไอติมทรงเครื่องใส่ไข่ครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b878b117bca7a4e4465c6.jpg)
ตรงข้ามกับร้านไอติมโอ่ง มีร้านรถเข็น ติดป้ายกะลอจี๊ เลยไม่รอช้า สั่งมาชิมสักกระทงครับ กะลอจี๊เป็นขนมสัญชาติจีน ทำจากแป้งข้าวเหนียวกวนกับน้ำ แล้วนำไปนึ่งให้สุก จากนั้นจะนำมาทอดน้ำมันจนกรอบ นำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วคลุกด้วยงาและน้ำตาลครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b878c117bca7a4e4465c7.jpg)
บนถนนนางงาม มีร้านขายขนมไทยหลายร้านเลย แต่ที่เตะตา เห็นจะเป็นร้านบ้านขนมไทย สอง-แสน ร้านใหญ่โต ติดแอร์ ตกแต่งสวยงาม มีขนมไทยให้เลือกมากมาย ทำกันใหม่ๆ เหมาะกับการซื้อทานและซื้อเป็นของฝากเพราะรูปลักษณ์ของขนมและแพคเกจดูสวยงาม นอกจากขนมไทยแล้ว ยังมีเครื่องดื่มเย็นๆ ไว้ให้บริการด้วย ผมมานั่งพักเอาแรงอยู่ในร้านอยู่นานพอสมควรครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b878d117bca7a4e4465c8.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b878e117bca7a4e4465c9.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b878f117bca7a4e4465ca.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8790117bca7a4e4465cb.jpg)
ถนนนครนอก ถนนนครใน และถนนนางงาม ล้วนมีเอกลักษณ์ทางด้านสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย ทำให้ย่านเมืองเก่าสงขลาแห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้ สถาปัตยกรรม วัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ได้เป็นอย่างดี โดยมีการเล่าเรื่องราวผ่านภาพเขียนสีตามฝาผนังของอาคารและบ้านเรือน เพื่อสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรม การดำเนินชีวิตของคนในท้องถิ่นครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8791117bca7a4e4465cc.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8792117bca7a4e4465cd.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8793117bca7a4e4465ce.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8794117bca7a4e4465cf.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8795117bca7a4e4465d0.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8796117bca7a4e4465d1.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8797117bca7a4e4465d2.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8798117bca7a4e4465d3.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8799117bca7a4e4465d4.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b879a117bca7a4e4465d5.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b883be7e7627a60127572.jpg)
จากอำเภอเมือง ไปต่อที่อำเภอหาดใหญ่ ขอเริ่มที่มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลาครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/mRNgZsAYek6cz8gP7 )
มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา หรือ มัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดสงขลา เป็นมัสยิดที่ดูสวยงามมากครับ ด้านหน้ามีสระน้ำที่ทอดตัวยาวกว่า 200 เมตร โครงสร้างของอาคารมีขนาดใหญ่ตามสถาปัตยกรรมแบบอิสลาม ภายในตกแต่งด้วยความพิถีพิถัน ทางเดินปูด้วยหินอ่อนทุกตารางนิ้ว ผมไปถึงตอนบ่ายแล้ว ด้านนอกอากาศร้อนมาก ๆ แต่เมื่อได้ก้าวเข้ามาด้านในมัสยิด ให้ความรู้สึกถึงความเย็น ความสงบ จนไม่อยากไปไหนต่อเลยครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8882e7e7627a60127573.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8883e7e7627a60127574.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8885e7e7627a60127575.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8886e7e7627a60127576.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8887e7e7627a60127577.jpg)
ช่วงเย็น ๆ ที่นี่จะสวยงามเป็นพิเศษ ยิ่งในวันที่ฟ้าเปิด พระอาทิตย์จะตกด้านหลังมัสยิด แสงสีต่าง ๆ จะแข่งกันอวดโฉม ได้เห็นเงาสะท้อนน้ำของมัสยิด จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่จึงได้รับฉายาว่าทัชมาฮาลเมืองไทยครับ
ส่วนใหญ่เราจะเห็นตลาดน้ำในแถบภาคกลางใช่ไหมครับ แต่อยากจะบอกว่าที่สงขลาก็มีตลาดน้ำด้วยนะครับ และอยู่ไม่ไกลจากมัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลาด้วย ถ้าหากใครมาเที่ยวสงขลาในวันศุกร์-อาทิตย์ ลองมาเที่ยวตลาดน้ำคลองแห (พิกัด https://maps.app.goo.gl/vc4Pb1tpNqjWcNqo6 )ซึ่งเป็นตลาดน้ำเชิงวัฒนธรรมแห่งแรกของภาคใต้ ที่มีการผสมผสานระหว่างตลาดน้ำ โดยจำหน่ายสินค้าในเรือ และตลาดโบราณ ที่จำหน่ายสินค้าบนบก สินค้าที่นำมาจำหน่ายมีทั้งอาหารพื้นบ้านคาว-หวาน รวมถึงสินค้าที่ผลิตในท้องถิ่นและผลผลิตทางการเกษตรของคนในพื้นที่ มีให้เลือกมากมายเลยครับ หลายเมนูผมก็เพิ่งจะเคยเห็นที่นี่ อย่างเต้าคั่ว ก๋วยจั๊บพลก ขนมมด ขนมด้วง ขนมโค ขนมปำ ขนมต้มย่าง ขนมบอก น้ำมะเน็ต แต่ที่โดนใจผมมากๆ ขอยกให้ไข่ปลาทะเลน้อยทอดครับ ใครอยากรู้ว่าอร่อยยังไง ไปลองหาชิมที่ตลาดน้ำคลองแหดูนะครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8888e7e7627a60127578.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8889e7e7627a60127579.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b888ae7e7627a6012757a.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b888be7e7627a6012757b.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b888ce7e7627a6012757c.jpg)
ตลาดน้ำคลองแหเปิดทุกวันศุกร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 13.00 – 21.00 น. ตลาดน้ำแห่งนี้เป็นที่นิยมของชาวจังหวัดสงขลา และจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงชาวมาเลเซียเป็นอย่างมาก วันที่ผมไปเที่ยว ผู้คนล้นหลามเลยทีเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวที่ข้ามมาจากมาเลเซียที่มาเที่ยวกันนับสิบรถบัสเลยทีเดียว
ไปชมวิวเมืองหาดใหญ่มุมสูงบนยอดเขาคอหงส์กันครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/GDPQDT9fb24WHYnp9 )
เขาคอหงส์เป็นผืนป่าของหาดใหญ่ ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่ ที่ดัดแปลงพื้นที่จากภูเขาทั้งลูกให้เป็นสวนสาธารณะ มีเนื้อที่กว่า 900 ไร่ บนเขาคอหงส์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมงคลมหาราช พระพุทธรูปปางห้ามญาติที่มีความสูงถึง 19.90 เมตร เป็นพระพุทธรูปประจำเมืองหาดใหญ่ ที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนเขาคอหงส์ครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b88c6e7e7627a6012757d.jpg)
และตรงจุดที่ประดิษฐานพระพุทธมงคลมหาราช ยังเป็นจุดชมวิวตัวเมืองหาดใหญ่มุมสูงที่สวยมาก ๆ ครับ มองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตาเลย รวมถึงมองเห็นมัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลาด้วยครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b88c7e7e7627a6012757e.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b88c8e7e7627a6012757f.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b88c9e7e7627a60127580.jpg)
อีกหนึ่งจุดที่อยากให้แวะสักการะ คือพระโพธิสัตว์กวนอิมเขาคอหงส์ ซึ่งเป็นรูปสลักปางประทานพร สูง 9.9 เมตร แกะสลักจากหินหยกขาว จำนวน 8 ท่อน โดยช่างชาวจีนครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b88cae7e7627a60127581.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b88cce7e7627a60127582.jpg)
จากเขาคอหงส์ ไปต่อที่วัดฉื่อฉาง (พิกัด https://maps.app.goo.gl/zg8goQteTEUNi2sS6 ) วัดในสังกัดคณะสงฆ์จีนนิกายแห่งประเทศไทย เป็นวัดในศาสนาพุทธนิกายมหายาน ก่อสร้างตั้งแต่ พ.ศ.2479 สร้างโดยชาวจีนที่เข้ามาทำการค้าขายในเมืองหาดใหญ่ ก่อนหน้านั้นเป็นเพียงศาลเจ้าเล็ก ๆ มาก่อน โดยมีองค์เทพหลื่อโจ้ว ทำให้คนทั่วไปเรียกที่นี่ว่า ศาลเจ้าหลื่อโจ้ว ต่อมาในปี พ.ศ.2480 ได้ทำการมอบถวายศาลเจ้าแห่งนี้ให้แก่พระภิกษุจีนที่เดินทางมาจากประเทศจีน เพื่อทำการยกฐานะจากศาลเจ้าเป็นวัดในพระพุทธศาสนา ต่อมาจึงได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดจีนแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ จนเมื่อปี พ.ศ.2531 เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเมืองหาดใหญ่ ทางวัดเกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก จนไม่สามารถซ่อมแซมได้ จึงได้ทำการรื้อวิหารหลังเก่าและสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้น ตัววัดเป็นอาคารขนาดใหญ่ 4 ชั้น โดยเป็นการออกแบบศิลปะร่วมกันไม่ว่าจะเป็นไทย จีน และธิเบต ตัวอาคารตกแต่งด้วยกระเบื้องทั้งหลัง ทั้งข้างนอกและข้างใน ซุ้มประตู กำแพง โดยที่กำแพงจะเป็นภาพเล่าเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญของหาดใหญ่ เช่นเหตุการณ์น้ำท่วม หรือสถานที่ที่เขารื้อไปแล้ว อย่างโรงภาพยนตร์ ที่ว่าการหลังเก่า ทำให้ใครผ่านไปผ่านมาต้องสะดุดกับความสวยงามแปลกตาของวัดแห่งนี้
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8909117bca7a4e4465d6.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b890a117bca7a4e4465d7.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b890b117bca7a4e4465d8.jpg)
ภายในตัววิหารชั้นที่หนึ่งมีทั้งองค์พระพุทธรูป และองค์เทพต่าง ๆ มากมาย มีพระประธานคือองค์หลื่อโจ้ว และจะมีองค์เทพไฉ่ซิงเอี๊ย กวนอู และด้านข้างมีพระโพธิสัตว์กวนอิมพันกร พระกษิติครรภโพธิสัตว์ครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b890d117bca7a4e4465d9.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b890e117bca7a4e4465da.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b890f117bca7a4e4465db.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8910117bca7a4e4465dc.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8911117bca7a4e4465dd.jpg)
วัดฉื่อฉาง อยู่ใกล้ตลาดกิมหยง ใครช้อปปิ้งของฝากเสร็จแล้ว สามารถแวะมาสักการะขอพรองค์พระพุทธรูป รวมถึงองค์เทพต่าง ๆ ได้ โดยทางวัดจะเปิดให้สักการะทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 07.00-18.00 น. ครับ
ผมขอปิดท้ายที่วัดมหัตตมังคลาราม (พิกัด https://maps.app.goo.gl/Z4FwDcR6sKnUTtREA ) หรือที่ชาวหาดใหญ่รู้จักกันดีในชื่อ วัดหาดใหญ่ใน สิ่งที่ดึงดูดให้ผมมาที่วัดหาดใหญ่ใน คือพระพุทธมหัตตมงคล หรือพระนอน ซึ่งมีความยาวถึง 35 เมตร สูง 15 เมตร มีการเคลมว่าองค์พระนอนองค์นี้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก โดยมีสถาปัตยกรรมและศิลปะอันงดงาม เด่นสง่า เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวหาดใหญ่เป็นอย่างมาก องค์พระนอนสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2515 ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารขนาดใหญ่ครับ
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b8939e7e7627a60127583.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b893ae7e7627a60127584.jpg)
![](https://asset.readme.me/files/47930/663b893be7e7627a60127585.jpg)
หวังว่ารีวิวนี้จะเปิดมุมมองใหม่ในการท่องเที่ยวสงขลาของเพื่อนๆ ไม่มากก็น้อยนะครับ การมาเที่ยวสงขลาครั้งนี้ของผม ต้องบอกเลยว่าร้อยละ 90 ของสถานที่ที่ผมไป เป็นสถานที่ที่ผมยังไม่เคยไปมาก่อน รู้สึกทึ่ง อึ้ง และประทับใจในหลายๆ แห่ง และถ้าหากเพื่อนๆ ได้ตามรอยรีวิวนี้แล้ว ผมคิดว่าเพื่อนๆ คงจะได้รับความประทับใจเหมือนกับผมเช่นกัน มาเที่ยวสงขลาแล้ว อย่าลืมส่งแรงใจให้สงขลาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมกันด้วยนะครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันพฤหัสที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 09.56 น.