สวัสดีครับ เข้าหน้าฝนเต็มตัว ได้เวลาออกไปหา เขา หน้าที่ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ที่สุด ทริปนี้คู่รักตะลอนทัวร์จะพาทุกคนไปเดินป่าเขาหลวงสุโขทัยกันครับเป็นการเดินป่าครั้งแรกที่ยาวนานที่สุด เหนื่อยที่สุด และมีเรื่องช็อคสุดๆ ถึงจะอย่างไร สิ่งที่ได้กลับมามันคุ้มค่ามากๆครับ ทริปนี้ไปกันวันที่ 2-3/7/2559 ค่าใช้จ่ายคนละ 1300 บาทมีรายละเอียดท้ายทริปครับ
โปรแกรมคร่าวๆก็
วันแรกออกกลางดึกถึงเช้าแวะตลาดเตรียมเสบียงเดินขึ้นเขาหลวงกางเต็นทำอาหารแล้วเดินไปจุดชมวิว เช้าไปดูทะเลหมอกที่ผานารายณ์ แล้วเดินลง แวะอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และวัดศรีชุมครับ
เช่นเดินรูปทั้งหมดถ่ายจาก Nikon D5300 18-140 และ Gopro hero 4 silver
แวะชมคลิปก่อนได้ครับ
ทริปนี้ไปทั้งหมด 6 คน มีพี่2คนไปนอนรอที่สุโขทัยก่อนแล้ว ผมเลยว่าจะออกไปมืดๆเพื่อไปถึงจะได้นอนเอาแรงกันซะหน่อยฝากพี่เขาจอง โรงแรมในเมืองสุโขทัยไว้ให้แล้ว350 บาท เริ่มรับสมาชิกทุกคนครบตอน4ทุ่มกว่าๆเริ่มออกไปทางสายเอเชียเรื่อยๆ แล้วก็นัดเจอพี่ในกลุ่มอีกคัน แกจะกลับบ้านจังหวัดตากเลยขับไปด้วยกันจากนครสวรรค์ไปทางกำแพงเพชร
แต่แล้วเรื่องช็อคที่ว่าก็มาตั้งแต่ยังไม่ถึงไหนเลย อุปสรรคมาแบบไม่ทันตั้งตัว ขับอยู่ดีๆด้วยความเร็ว 140 ได้ ก็มี ศพหมา นอนตายอยู่ด้วยความที่มาเร็ว พี่คันหน้ารอดเพราะรถสูง รถผมเลยโดนเข้าเต็มๆเสียงดังสนั่น กลางดึกตี1 กว่าๆแถวๆกำแพงเพชร รถเซทั้งคันกลิ่นไหม้คลุ้งเข้าในรถทันที ตกใจกันทั้งคันรีบจอดแอบซ้ายทันที
โชคดีที่ไปกับพีอีกคนเขาพอมีเครื่องมีเคเบิ้ลไทร์ติดรถมา คาดว่าคงเป็นกระโหลกมาพอดีที่กระแทกจังๆใต้กันชนหน้ายัดเต็มๆคานยุบบู้ ทำให้แผงหม้อน้ำก็หลุดไม่เข้าที ส่วนกลิ่นไหม้ที่ได้กลิ่น เป็นกลิ่นเนื้อหมาโดนกับท่อรถมันเลยกลิ่นไหม้เข้ารถก้มดูใต้ท้องเนื้อแดงๆติดคาท่ออยู่เลย ตรวจสอบความเสียหายมีบังโคลนขวาหลุดหายไปเลยคานยับหม้อน้ำหลุด ใจเสียเลยทีเดียว แต่ยังใจสู้รอดูอาการสักพักสตาทได้ปกติความร้อนไม่ขึ้น เอาเคเบิ้ลไทร์รัดแล้วไปต่อ
หลังจากแยกกับพี่อีกคันเหลือระยะทางอีกประมาณ 80 กว่าโล จากนั้นก็ขับกันด้วยความเร็ว60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตลอดทาง 555 จนถึงโรงแรมที่พี่อีกคันจองไว้ให้ รูปนี้ถ่ายตอนเช้ามองข้างนอกคงเหมือนไม่เป็นไรแต่ข้างในนี้บอบช้ำจริงๆ
สรุปขับทั้งๆที่ใช้เคเบิ้ลรัดหม้อน้ำไว้จนกลับมาไปเที่ยวปรานบุรี เชียงคานทับเบิกต่อ แต่ตอนนี้ซ่อมแล้วโดนค่าซ่อมไป6000 กว่าบาท ขณะที่พิมพ์ตอนนี้กำลังช็อตเลย555 โดนค่าซ่อมรถไปแต่ไม่วายมีทริปใหม่เข้ามาแล้วหาเงินกันหน้าตั้ง
ว่ากันต่อกว่าจะถึงก็เกือบตี 4 แล้วครับ ได้นอน 2 ชั่วโมงกว่าตื่นอาบน้ำออกจากโรงแรม 7โมงกว่าๆ ตรงไปที่ตลาดคีรีมาศเพื่อเตรียมเสบียงกันเลย อาหารการกินก็แล้วแต่เลยว่าทีมไหนจะกินกันยังไงนะครับ
ต้องซื้อเตรียมมื้อกลางวันบนเขาและมื้อเย็นกับมื้อเช้าพรุ่งนี้ครับ
แล้วก็ออกมาปากซอยทางเข้าตลาด แวะกินมือเช้ากันก่อนพร้อมซื้อข้าวเปล่าและไก่ย่างสักตัวไปกินบนเขาหลวงครับ ตรงนี้มีเซเว่นด้วยซื้อของกันได้เลย
หลังจากเติมพลังเติมเสบียงกันเรียบร้อยแล้วก็วิ่งเข้าซอยตรงข้ามทางเข้าตลาดมาเลยอีก 20 โลได้ครับไม่นานเราก็มาถึงทางเข้าอุยานแล้ว
ติดต่อเจ้าหน้าที่ลงชื่อจ่ายเงินครับค่าเข้า 300 บาททั้งหมด
ได้มาแล้วเข้าไปกันเลย
ชับเข้ามาอีก2กิโลก็จะถึงที่จอดรถอุยานด้านใน ตรงนี้ก็จัดแจงของอันไหนที่จะให้ลูกหาบก็เอามาวางไว้กระเป่าใส่ถุงกันน้ำไว้ด้วยเลยเพราะถ้าฝนตกลูกหาบก็ดูแลของได้ไม่หมดครับต้องช่วยคลุมไว้เลยครับ ลูกหาบกิโลละ 25 บาทเก็บเงินด้านบนครับ
จากนั้นก็เดินเข้ามาอีกนิดจะเจอที่ทำการอุทยาน ใครจะเช่าเต็นผ้าห่ม ที่รองนอน ให้ลงทะเบียนจ่ายเงินตรงนี้เลยแล้วจะได้ใบเสร็จไปรับของข้างบนครับ
พร้อมแล้วสมาชิกทั้ง 6 ทางขวาจะมีร้านค่าสวัสดิการและร้านอาหารจะเติมพลังซื้อน้ำกันตรงนี้ก่อนก็ได้
ก่อนเดินขอแนะนำรองเท้าก่อนรูปนี้เอามาจากเน็ต ผมใช้รองเท้าสตั้ดดอยแบบในรูปนี้เลย คู่ละ 120 บาทในกทม แต่พี่อีกคนซื้อแถวๆอุตรดิทถ์ 50 บาทเอง ขอบอกว่ามันแจ่มมากไอ้ปุ่มๆนี้แหละจิกโคตรดีเดินได้ง่ายมากผมไม่มีล้มเลย เด๋วเล่าให้ฟังอีกทีระหว่างทาง
มาถึงป้ายนี้ขอเก็บภาพไว้หน่อยมีพี่ๆเจ้าหน้าที่มาขอถ่ายรูปนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มครับเอาไว้เก็บเป็นรายงานพี่เขาว่าเลยให้พี่เขาถ่ายให้เรา
เริ่มเขามาจากป้ายทางขวามือก็ไหว้สักการะเอาฤกษ์เอาชัยกันหน่อย
ได้เวลา สตาร์ท กระเหี้ยนกระหือรือโหยหากันมานานแล้วว 555 เราเริ่มเดินกัน ตอน9.30 เดี๋ยวไปดูกันว่าเราจะถึงกี่โมง
หนทางช่วงแรกยังชิวๆครับทางราบเรื่อยๆยิ้มแย้มกัน
เจออะไรก็ถ่ายๆกันครับพลังยังเต็ม100ช่วงนี้
ฮั่นแน่ๆ จอดกันทุกป้ายย จุดนี้พึ่งแค่ประมาณ 300 เมตรได้ครับ หลังจากนี้ละจะเริ่มของจริง
นี้ละครับหนทางป็นประมาณนี้แล้วก็ชันตลอดไปอีก3โลกว่ายาวๆ
ผ้าเย็นนี้ช่วยได้ดีครับแนะนำให้พกติดตัวมาอย่างน้อยคนละผืน เย็นชื่นใจดี
ตอนนี้เริ่มมีความเหนื่อยมาแล้วครับตอนแรกพวกเราตั้งใจว่าจะไม่จ้างลูกหาบ แต่ตอนนี้คิดถูกแล้วที่จ้างลูกหาบเพราะแค่เดินกันตัวปลิวๆยังเหนื่อยเลย มีเพื่อนสะพายกระเป่าอยู่ใบนึงใส่ไก่ย่างยังแทบไม่อยากกิน 555
ความชันเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆไม่ลดละ ผ่านป่าไผ่ เลยหักไผ่มาเป็นไม่ยันกันช่วยได้ดีเลยครับ น้ำหนักเบา แจ่มมาก
อาการหอบเริ่มมาครับ55
หลังจากนั้นก็มีสภาพนี้หน้าเริ่มมุ่ยไม่มองกล้อง
แต่ได้วิวแบบนี้ นั่งพักแปบบ
จุดนนี้เดินมาประมาณ1ชม ได้ น่าจะประมาณกิโลแรกครับ
ไปต่ออ
เริ่มไม่ค่อยได้หยิบมาถ่ายแล้วครับรู้สึกว่ากล้องมันหนักเหลือเกิน
พรานโยน่าจะกำลังทบทวนอะไรบางอย่างเห็นยืนนิ่งอยู่นาน 555
ระหว่างทางมีวิวให้เห็นแบบนี้ก็ค่อยยังชั่วครับ
ถึงจุดชมวิวนี้คาดว่านะจะเกือบครึ่งทางได้แล้วพักกันอีกสักรอบ ที่เขาหลวงนี้ที่จริงจะมีจุดเติมน้ำตลอดเส้นทางนะครับแต่ก่อนหน้าที่ผมไปนั้นมีไฟป่าทำให้ท่อน้ำไหม้หมด เลยไม่มีน้ำเลยต้องพกกันมาเองแต่คนละไม่เกิน2ขวดก็พอ ใช้จิบๆเอาอย่ากินมากเดี๋ยวจะจุก
นู่นนที่ทำการข้างล่างนี้เดินมาไกลเหมือนกันนะเนี่ย
สวยจริงๆ
หลังจากจุดชมวิวนี้ไปจะเป็นป่าทึบแล้วครับไม่ค่อยมีวิวหรือมีลม ยุงจะเยอะเลยให้ทายากันยุงกันมาด้วยนะครับ หลังจากเข้าป่าทึบก็แทบไม่ได้ถ่ายเลยมีจุดให้ถ่ายรูปต่างๆมีป้ายบอกแต่ว่าไม่ไหวเหนื่อยมาก แต่พอจะหยุดพักได้แปบนึงยุงก็มารุม ก็ต้องเดินต่อเรื่อยๆ ตอนนี้เราแบ่งเป็น 2 ทีมแล้วครับ ตอนแรกไม่ได้จะแบ่งแต่พอเดินมาก่อนพักนึงกำลังหยุดรอ ยุงมันก็มาตอมก็หยุดไม่ได้เลยเดินมาเรื่อยๆคราวนี้ก็ทิ้งยาวเลย ผมทีมผู้นำเดินได้เรื่อยๆเลยเดินมาก่อน555 ทิ้งแฟนอยู่กลุ่มหลังกับเพื่อนเลยพอเจอที่โล่งๆพอมีลมพัดไม่มียุ่ง เลยแวะกินหมูข้าวเหนียวที่ซื้อมากันก่อน 3 คน รอทีมหลังแต่รอตั้งนานก็ยังไม่มาสงสัยจะแวะกินเหมือนกันเพราะไก่ย่างอยู่ในกระเป๋าของพรานโย ตอนนี้ก็เที่ยงกว่าๆแล้ว เจอลูกหาบแซงแล้วครับ ลูกหาบบอกอีก900 เมตรค่อยใจชื่นลุยกันต่อ
หลังจากอิ่มก็เดินต่อ จะมีช่วง300เมตรสุดท้ายที่เป็นทางราบให้ดีใจว่าถึงแล้วสบายแล้วโว้ยยย แต่ยังมี 200 เมตรสุดท้ายที่แทบกระอักมันชันสุดๆแบบว่าเนื้อขาตรงต้นขาเต้นตุบๆๆๆ แทบจะไม่ไหว แล้วหนักไปกว่านั้นดันมาปวดขี้อีก ตอนแรกปวดตอนครึ่งทางและแต่เบาๆไม่เป็นไรสงสัยตอนนี้อาหารมันย่อย ทรมานมากตรง 100สุดท้ายที่กำลังจะถึง แต่แล้วพอเห้นป้ายนี้ให้ร้องเฮกันได้เลยเรามาถึงกันแล้ว เย้ๆๆ
ผมพอขึ้นได้ก็ดิ่งไปที่ห้องน้ำทันที ห้องน้ำสะอาดขับถ่ายสบายน้ำโคตรเย็นเลยครับ สะใจสุดๆ ได้ฝากเครื่องเตือนใจฝั่งไว้บนยอดเขาหลวงแล้วสบายใจ 5555
นั่งชมวิวไปพลางๆระหว่างรอชุดหลัง สรุปผมใช้เวลาเดินไปทั้ง 3.45 ชม. เริ่ม9.30 ถึง 13.15 ถือว่าไม่ช้าไม่เร็วกำลังดีต้องยกให้สตั้ดดอยเลยเดินง่ายไม่ตัดกำลังก้าวจิกดีมากครับ
และแล้วชุดหลังของเราก็มาถึงแต่เอ๊ะพรานโยเราหายไปไหน
อ้ออยู่นี้ไงพานโยเอ้าสู้เขาหน่อยจะถึงแล้วอีกนิดเดียว 555
ตอนจะถึงนี้แหละมันเหนื่อยสุดๆ สรุปชุดหลังทำเวลาไปได้ 4.30 ชม มาถึงบ่าย 2 พอดี ถึงพร้อมลูกหาบของพวกเราพอดีเลย
จากนั้นก็มาจ่ายเงินค่าลูกหาบตรงศาลาครับของผมโดนกันไปทั้งหมด600 กว่าบาท แล้วก็ยื่นใบเสร็จเครื่องนอนเต็นให้เจ้าหน้าที่ครับแล้วเดี๋ยวเขาจะจัดหามาให้ เลือกกางเต็นตามต้องการเลย
ที่กางมีเยอะเพียงพอครับวันนี้มีน่าจะคร่าวๆ50-60 คนได้ ไม่แน่นครับที่เหลือเฟือส่วนพวกผมเลือกกางในร่มศาลาครับ กลัวฝนจะตกเพราะไม่ได้เตรียมที่กันฝนมาเยอะกลัวจะนอนตากฝนกัน แต่กลุ่มอื่นเขาจัดเต็มมีที่กันฝนครับ กางกันข้างนอกหมดเลยมีแค่พวกผมขออยู่ในร่ม นั่งพักกินน้ำกันก่อน น้ำอัดลมกระป๋องละ น่าจะ30หรือ35 ที่ร้านค่ามีน้ำขายแล้วก็อาหารแห้งครับ
เหนื่อยๆมาเจอโค๊กเข้าไปชื่นใจจริงๆ
ประมาณ 3 โมงก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ เรามีเป้าหมายจะไปพิชิตยอดเขาทั้งหมดบนเขาหลวงครับที่สามารถเดินได้เป็นวงกลมว่าแล้วก็ไปกัน
เป้าหมายอยากไปเขาภูกาเขาว่าสวยมาก
เดินมาได้หน่อยเอ้าเจอทางชันอีกและ เริ่มมีอาการล้าขา
หนูๆเดินกันไวๆหน่อยยังเป็นเด็กแรงไม่มีกันหรือไง555 จริงๆพี่เขาก็ไม่ได้แก่นะครับ
หลังจากผ่านแยกขวายอดเขานารายณ์ เราเลี้ยวซ้ายไปทางเขาเม่ย่าที่สามารถเดินเป็นวงกลมได้ เริ่มเข้าป่าทึบอีกครั้ง ฟ้าเริ่มครึ้มๆ
เดินไปสักพัก มีความรู้สึกว่าเหมือนฝนจะตก หมอกขาวเยอะมาก
มืดขึ้นๆ
ถึงแยกเขาแมาย่าแล้ว แวะถ่ายรูปกันก่อน
ณตอนนี้ มองไม่เห็นอะไรแล้วขาวโพลนไปหมดไอหมอกปะทะตัวเย็นสดชื่น ฟินมากๆ
แต่ก็น่าเสียดายเพราะเรามองไม่เห็นวิวอะไรเลย ตอนถ่ายรูปนี้ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว มีฟ้าร้องด้วยเลยตัดสินใจว่าถ้าเดินไปก็คงไม่เห็นอะไรเลยต้องยกเลิกภารกิจนี้ไปเดินกลับกัน
โชคดีที่เราทุกคนเตรียมพร้อมเอาเสื้อกันฝนมาทุกคนเพราะคิดไว้แล้วว่ามาป่าหน้าฝนมันต้องได้เดินตากฝนสิวะ แล้วก็จริงๆ ยังดีนะเจอตอนนี้ถ้าเจอตอนเดินขึ้นตอนแรกคงจะเหนื่อยกว่านี้
ฝนก็ช่างกระหน่ำซัมเมอร์เซลลงมาหนักเลย พื้นก็แฉะ แต่ก็ขออวยสตั้ดดอยอีกเช่นเคย เดินจิกดีจริงๆขนาดลื่นๆยังมีอาการเป๋ออกมาน้อยมากไม่มีล้มเดินชิวๆ สุดยอดด อิอิ
พอมาถึงลานกางเต็นเหมือนฝนหยุดแต่หมอกยังฟุ้งขาวโพลน โชคดีจริงๆที่เรากางในศาลาเพราะเราเอาของไว้ข้างนอกหมดไม่คิดว่าฝนจะตกตอนนี้ รอดตัวไป
หลังจากนั้นก็ไปอาบน้ำเตรียมทำกับข้าวกินกันครับ วันนี้เราจะทำอาหารง่ายๆต้มยำมาม่าปลากระป๋องกับข้าวเปล่าและไก่ย่างที่ซื้อมาจากตลาด ขั้นแรกจุดไฟกันก่อน เตาแก็สสนามนี้ใช้ประโยชน์ได้ดีแต่ควรเลือกอันที่มีประสิทธิภาพหน่อยอันนี้พรานโยเตรียมมา ตอนเปิดใช้กันไม่เป็นแก้สพุ่งแรงอันตรายดีนะอยู่ที่โล่ง เปิดไปเปิดมาที่เปิดพักอีกยังดีใช้ไฟแช้กจุดได้
พรานโยแสดงฝีมือการจุดไฟ คิ้วเกือบไหม้ไปข้าง 555 ที่เรียกพรานโยไม่ใช่อ่ะไรเพื่อนผมเขาเตรียมอุปกรณ์มาจัดเต็มหม้อสนามเตาแก็สสนาม กล้องส่องทางไกล ไฟฉาย เลยเรียกพรานโย
ส่วนหม้อไหจานชามเตาสามารถเช่าทางข้างบนนี้ได้เลยครับไม่กี่บาทเล็กๆน้อยๆช่วยกันบำรุงสถานที่ครับ
และแล้วก็ออกมาเป็นแบบนี้ต้มยำมาม่าปลากระป๋อง
หน้าตาอาจจะไม่ค่อยหน้าทานแต่รสชาติขอบอกว่าอร่อยมาก ตอนนั้นสายฝนก็ลงมาตลอดเวลาครับตั้งแต่เย็นเบาบ้างแรงบ้าง ได้ซดน้ำร้อนๆตอนนั้น มันบรรยายไม่ถูกครับ อาหารธรรมดาๆแต่ได้กินที่บรรยากาศดีๆ ร่วมวงกับเพื่อฝูงที่รู้ใจ ก็ทำให้รสชาติของมื้อนั้นมีสีสันและอร่อยขึ้นมาทันทีครับ
หลังจากกินเสร็จก็คุยเล่นกันตามประสา สายฝนกตกมาไม่หยุดด้วยความเหนื่อยเพลียเลยแยกย้ายกันนอนตั้งแต่2ทุ่มกว่าๆ หวังไว้ลึกๆว่าพรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้ามาเจอทะเลหมอกสวยๆ
และแล้วเหมือนความฝันที่เป็นจริงเป็นเหมือนรางวัลของความพยายามอดทน ถ้าหากจุดเริ่มต้นตั้งแต่ชนหมาแล้วเราถอดใจยกเลิกทริปนี้ เราก็คงไม่มีโอกาศได้มาเห็นสิ่งสวยงามแบบนี้อีก หลังจากที่ฝนตกกันทั้งคืนยันตี5กว่าๆ พอฝนหยุด ธรรมชาติก็ได้สร้างทะเลหมอกสวยๆ ออกมาใหเราได้ยลโฉม ตอนแรกผมตั้งปลุกแต่ตี5กว่าๆ แต่ได้ยินเสียงฝนกับหลังคาเลยคิดว่าฝนไม่หยุด จน 6 โมงผมเริ่มเซงว่าทำไมฝนไม่หยุด เลยออกไปดูอ้าวปรากฎว่าฝนหยุดแล้ว แต่เป็นเสียงน้ำฝนจากยอดใบไม้ที่ลมพัดไปมาทำให้น้ำฝนตกใส่หลังคาเสียงดังเปาะเปะตลอดผมเดินมาดูตรงป้ายผู้พิชิต มองออกไปเห็นเป็นหมอกปุยๆขาวๆผมมั่นใจเลยว่าต้องมีทะเลหมอกเยอะแน่ๆ เลยรีบไปปลุกเรียกเพื่อนๆไปที่ผานารายณ์กัน ผมกับแฟนไม่รอช้ารีบล่วงหน้าไปกันก่อน
รูปนี้ถ่ายระหว่างทางเดินไปยังผานารายน์
ถึงแล้วผานารายณ์ ทะเลหมอกแบบ 360 องศา ไปดูกันเลย
อันนี้ท่าประจำตัว 555
จัดเต็มมากๆทะเลหมอกวันนี้
มาถึงแล้วต้องเช็คอินท่าคู่รักตะลอนทัวร์ อิอิ
พรานโยนั้งทางใน
มาดูทางยอดผานารายณ์ ขาวๆนั้นหมอกทั้งนั้นมันขาวจนกลืนกับทองฟ้าเลยวันนี้พระอาทิตย์ขี้อายครับไม่ออกมาเลย ท้องฟ้าเลยขาวๆกลืนๆกับทะเลหมอก
ชื่นใจอิ่มหมอกกันแบบสุดๆ
ลงมาที่ลานกางเต็นเตรียมกินมื้อเช้าแล้วเดินลงกัน บรรยากาศยังเย็นๆสบายๆ
เตาแก้สสนามนี้ใช้ดีมีประโยชน์
เช้าๆอากาศเย็นๆแบบนี้ไม่พ้นมาม่า ใส่ไข่นกกระทาเตรียมมาจาก กทม. พร้อมเพิ่มห่อเล็กกันอีกคนละ ห่อ อิ่มอร่อยแบบประหยัด เข้ากับบรรยากาศ
เตรียมตัวลงเก็บของสัมภาระ เอาของไปช่างน้ำหนัก ของกินไม่มีแล้วแต่น้ำหนักทำไมยังเท่าเดิม พรานโยบอกขอเดินตัวปลิวๆบ้างขาขึ้นมามีของเต็มกระเป่าเลยให้ลูกหาบขากลับ รอบนี้อีก600กว่าบาทเช่นเคย หลังจากนั้นก็เดินลงตอน9.30 เหมือนเดิม รอบนี้พอได้ถ่ายจุดที่ไม่ได้ถ่ายตอนมา
ขาลงนี้เดินไม่ร้อนเลยป่าชุ่มชื่นมาก สดชื่นสูดได้เต็มปอด
ธรรมชาติอุดมสมบุรณ์ครับ
หมอกปกคลุมตลอดขาลง
ลงมาถึงจุดชมวิวเมื่อวานแต่ตอนนี้หมอกขาวหมดไม่เห็นวิว จะมาอวยสตั็ดดอยอีกแล้ว
นี่ๆๆให้ดูรองเท้า จากที่ปุ่มเยอะมันมีดินเต็มไปหมดเลย ด้วยที่ป่ามีฝนตกลงมาพื้นเลยแฉะๆแต่สตั้ดดอยเอาอยู่ ซ้ายลื่นเตรียมจะจั้มเบ้า แต่ขาขวายังจิกไว้ได้ดึงตัวกลับมา ช่วยให้ผมไม่ล้มหลายรอบเลย สุดยอดจริงๆครับ 555
ขาลงก็ลงมาเรื่อยๆพอถึงช่วงน่าจะโลสุดท้ายมันเป็นหินและชันเบรคแล้วมันจะปวดเขาอวยสตั้ดดอยอีกและผมกับพี่อีกคนเลยวิ่งลงเลย ไม่เชิงวิ่งแบบว่าก้าวไม่หยุดลงๆๆเรื่อยไวๆเลยไม่ต้องเบรคเพราะเบรคแล้วมันปวดเข่าเลยไหลลลงมาเรื่อยๆมันทำหน้าที่ได้ดีมากจิกทุกก้าว 5555 พอและอวยเกินไปแต่มันดีจริงๆใครจะเดินป่าแนะนำให้ใส่ไปเดินเลยไม่่ต้องพึ่งรองเท้าแพงๆใช้แบบนี้แหละ เอาอยู่
เห็นป้ายนี้ก็ร้องเฮกันได้อีกรอบ ขาลงผมทำเวลาได้ 2.30 ชม. ส่วนที่เหลือใช้เวลาไป3-3.15 ชม.
หลังจากลงมาแล้วก็อาบน้ำกันอีกรอบ มีห้องน้ำสะอาดอย่างดีแต่น้ำไม่ค่อยแรงครับ น้ำยังเย็นแต่สู้ข้างบนไม่ได้ข้างบนเย็นเยือกมากๆ หลังจากเสร็จแล้วก็ถ่ายรูปรวมทางเข้าหน่อยเตรียมเดินทางกลับ ไว้มีโอกาศจะมาหาใหม่นะเขาหลวงแต่คงไม่ใช่เร็วๆนี้เพราะระบมเข่าเหลือเกิน 555
จากนั้นก็ได้เวลามื้อเที่ยง เลยเปิดหาร้านอร่อยเลยได้เป็น ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย เจ๊แฮ อยู่ริมถนนเลยหาไม่ยาก
รสชาติดีอร่อยเลยครับ
ผัดไทกุ้งสดกะมีรสชาติอร่อยเหมือนกัน เยี่ยมเลยครับร้านนี้
ออกจากร้านมาถึงสุโขทัยแล้วอย่าลืมแวะอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
ที่อุทยานสามารถนำรถเข้าด้านในได้เพราะว่าใหญ่มากหลังจากเสียค่าเข้าทั้งคนและรถก็จะให้แผนที่เรามาเลือกได้ว่าจะขับไปชมจุดไหนครับ ไปดูรูปกันเลย
ขอนั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบสักครู่ 555
ขับวนดูไปเรื่อยๆ
ปิดท้ายด้วยแฝดสยามแห่งวีออส 55
จุดหมายสุดท้ายของวันนี้นั้นคือวัดศรีชุม ในส่วนวัดศรีชุมนีต้องเสียค่าเข้าต่างหากครับไม่ได้อยู่ในอุทยานค่าเข้าคนละ 20 สามารถเข้าวัดศรีชุมและวัดพระพลายหลวง
ซึ่งภายในวัดศรีชุมจะเป็นที่ประดิษฐานองค์
ครบจบทุกเป้าหมาย
ออกจากวัดศรีชุมประมาณ 4โมงกว่าๆ มาแวะกินข้าวอีกทีแถวสิงห์บุรี ประมาณ ทุ่มนึง ส่งสมาชิกถึงบ้านโดยสวัสดภาพทุกคนถึงบ้าน5ทุ่มกว่าๆ เป็นอันจบทริป2วัน1คืนแบบ เกือบจะแฮปปี้ถ้ารถไม่ชนแต่เริ่มทริป แต่ยังไงทุกเรื่องราวระหว่างทางมันก็ทำให้เราได้เพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ ครับ
สรุปค่าใช้จ่าย
น้ำมัน 300/4
แก้ส 900/4
ที่พักสุโขทัย 700/4
ตลาดคีรีมาศ 40
เซเว่นหน้าตลาดพวกมาม่าปลากระป๋องของใช้ 200/6
ไก่ย่าง 220/6
ค่าเข้าอุทยาน 300/6
ค่าเช่าเต็น 170
ค่าลูกหาบไปกลับ 1300กว่าๆ/6
ค่าจิปาถะต่างๆน้ำขนมค่ากินมื้อเช้าก่อนขึ้นเขา
ค่ากินก๋วยเตี๋ยวเจ็แฮ 300กว่าบาท/6
ค่าเข้าอุทยานประวัติศาสตร์ 260/6
ค่าเข้าวัดศรีชุม 120/6
ค่าข้าวมื้อเย็นที่สิงห์บุรี 300/6
สรุปค่าใช้จ่ายมีตามหัวข้อนี้เลยแต่บางข้อลืมจด แต่อันไหนใช้รวมกันก็จะหารเท่าทุกคน รถผมไป4 คนค่าใช่จ่ายจะหมดคนละ 1300 กว่าบาทต่อคน ส่วนพี่อีก2คน จะแพงกว่าหน่อยเพราะค่าแก้สหาร2 ของผมหาร4 ที่เหลือเท่ากันหมด
จบไปอีกหนึ่งทริปทุกการเดินทางมีเรื่องราวระหว่างทางที่น่าจดจำเสมอไม่ต้องกังวลว่าปลายทางจุดหมายจะเป็นไปดั่งที่ตั้งไว้ไหมถ้ามันใช่ถือว่าเป็นกำไรที่ดี เพราะยังไงซะความทรงจำระหว่างทางนี้แหละมันทำให้ผมมีความสุขทุกครั้งที่ออกเดินทาง
ฝากติดตามพูดคุยเรื่องเที่ยวได้ที่เพจ "เหลี่ยมพาเที่ยว"
แล้วพบกันใหม่กับคู่รักตะลอนทัวร์สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ
เหลี่ยมพาเที่ยว
วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 02.06 น.