ใครสนใจไปเที่ยวฟูจิยกมือขึ้น!?

ผมโปรยข้อความลงไปในไลน์ชักชวนเพื่อนๆ เผื่อมีใครอยากเดินทางไปด้วยกัน

สร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยเสียงตอบรับในมือถือกลับมาดังปิ๊งปั๊งเกรียวกราวจนผมพิมพ์ตอบแทบไม่ทัน

ไปๆ ไปด้วย!ไปเมื่อไหร่? ไปกี่วัน? ใครไปบ้าง? ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่? มีงบแค่นี้ไปได้ป่ะ?

พาไปสวนสนุกด้วยนะ!!

ห๊ะ!!


เจ็ดโมงสิบห้าเสียงโอเปอเรเตอร์ประกาศตามสาย

เครื่องบินจากกรุงเทพฯกำลังร่อนลงจอดเทียบท่าอากาศยาน

ไม่กี่นาทีถัดมาผู้โดยสารต่างพากันเดินกรูออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้า

ผมชิงเห็นอะมูนิโต้ก่อนระหว่างเขากำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหา

พวกเราทักทายกันพอเป็นพิธีก่อนชวนขึ้นรถมุ่งหน้าสู่ภูเขาฟูจิทันที

จากถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ตัดเข้าสู่ทางหลวงสายย่อย

วิวสองข้างทางเป็นทุ่งนาเขียวขจีลัดเลาะไปตามหุบเขา

ประมาณ 60 กิโลเมตร จากสนามบินพวกเราก็มาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว

ซึ่งต้องเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อน เพราะเส้นทางต่อจากนี้ห้ามนำรถขับขึ้นไปเอง

โดยจุดนี้ไม่ได้เป็นการปีนขึ้นฟูจิโดยตรง หากแต่เป็นการขึ้นไปยังภูเขาลูกที่ตั้งอยู่ตรงกันข้าม

ซึ่งภูเขาลูกนี้ถือเป็นจุดชมทัศนียภาพของฟูจิในมุมกว้างได้ถนัดชัดเจนที่สุด




รถอีแต๊กหรือรถทำการเกษตรขนาดเล็กถูกดัดแปลงให้เป็นพาหนะในการพานักท่องเที่ยวขึ้นสู่จุดชมวิวด้านบน

โดยต่อเติมทำเป็นที่นั่งด้านหลังสองแถวอัดได้ 5-6 คนสบายๆ

ส่วนด้านหน้ารถที่หมายถึงบริเวณหน้าคนขับอีกที

ก็ต่อออกไปเป็นที่สำหรับนั่งห้อยขากินลมชมวิวแบบไม่ต้องมีโชเฟอร์มาบังให้เสียอรรถรส

เราสองคนจึงไม่ลังเลที่จะกระโดดไปนั่งหน้ารถทันที!

สองคน!?

ใช่ครับ ทริปนี้เหลือแค่ผมกับอะมูนิโต้!

นอกนั้นสละสิทธิ์และติดธุระขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าภูเขาฟูจิที่ผมจะพาไป

ตั้งอยู่ในจังหวัดเลย ประเทศไทย!



การเดินทางของผมก็เหมือนกับการขึ้นรถไฟใครชอบใครอยากไปด้วยก็กระโดดขึ้นมา

บางครั้งอาจจะไม่มีผู้โดยสารเลย แต่รถไฟขบวนนี้ยังคงแล่นไปตามรางสู่จุดหมายปลายทางของมันอยู่ดี

เผอิญอะมูนิโต้เป็นคนชอบเที่ยวชอบถ่ายรูปเหมือนกัน

ทริปนี้เวลาว่างตรงกันพอดี แม้จะเหลื่อมวันกันนิดหน่อย

ผมจึงล่วงหน้ามาก่อนหนึ่งคืน ส่วนอะมูนิโต้นั่งเครื่องตามมาจากกรุงเทพฯ

ตอนเช้าผมก็ขับไปรับที่สนามบิน ต่างคนต่างง่ายๆ ไม่ต้องมีเงื่อนไขอะไรมากมาย

ไม่ต้องอิงกับใคร แค่ใจอยากไปก็ไปกัน ขืนมัวมารอคนนั้นคนนี้อยู่ก็ไม่ได้ไปกันพอดี

เวลาในชีวิตหมุนเร็วกว่าที่เราคิด เมื่อมีโอกาสทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำก็ทำซะตอนนี้เลย

ดีกว่ารู้ตัวอีกทีตอนที่โอกาสมันผ่านพ้นไป แล้วสุดท้ายได้แต่มานั่งนึกย้อนเสียดายเอาภายหลัง



รถอีแต๊กแล่นไต่ขึ้นเนินเขาไปตามถนนลูกรังแบบไม่รีบร้อน เพราะคงเร่งได้เต็มที่แค่นี้จริงๆ

ประมาณ 15 นาทีก็มาจอดตรงบริเวณจุดชมวิวแรกให้พวกเราได้ลงไปยลโฉมฟูจิกันแบบเต็มตา

เราสองคนไม่พูดไม่จารัวชัตเตอร์กันอย่างเดียว

ก็นี่มันภูเขาไฟฟูจิชัดๆ! จะต่างกันตรงที่ไม่ได้มีสีขาวของหิมะในส่วนบนของยอดภู



คุณลุงคนขับบอกว่าถ้ามาช่วงหน้าหนาวในตอนเช้าๆ จะยิ่งสวย

เพราะจะมีทะเลหมอก บางวันจะมีเมฆมาล้อมรอบจะยิ่งดูคล้ายฟูจิของจริงเข้าไปใหญ่

'ฟูจิเมืองเลย' หรือ 'ภูหอ' ไม่ใช่ภูเขาไฟหากแต่เป็นภูเขาหินปูนยอดตัดรูปทรงจึงดูคล้ายภูเขาไฟ

ตั้งอยู่ในเขตอำเภอภูหลวง จังหวัดเลย

ส่วนที่เรายืนชมวิวกันอยู่นี้เรียกว่า 'ภูป่าเปาะ' ตั้งอยู่ในเขตอำเภอหนองหิน

บนภูป่าเปาะมีจุดชมวิว 4 จุดด้วยกัน จุดแรกจะเห็นฟูจิแบบมุมตรงชัดเจนที่สุด



ส่วนจุดที่สองอยู่สูงขึ้นไปเห็นฟูจิเฉียงๆ หน่อย แต่มีชิงช้า มีป้ายมีพร็อพให้ถ่ายรูป



จุดที่สามเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ระเบียงชมวิวอยู่อีกด้านของภู

แต่สามารถมองย้อนไปเห็นฟูจิได้ มองเห็นแนวสันเขาของภูป่าเปาะและเส้นทางที่นำเราขึ้นมา




ส่วนจุดสุดท้ายต้องออกแรงเดินขึ้นไปเองตามบันไดดิน

ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่แค่พอได้หอบ

แต่ฟูจิจะตอบแทนแรงที่เสียไปด้วยภาพประทับใจกับวิวพาโนราม่าแบบ 360 องศาบนยอดภู



ผมเสียดายแทนเพื่อนหลายคนที่ไม่ได้มา แต่ต่างคนต่างเห็นคุณค่าไม่เท่ากัน

บางคนอาจมองเห็นฟูจิเมืองเลยเป็นเพียง 'ภูหอ' ภูเขาธรรมดาลูกหนึ่ง

มองการเดินทางในประเทศเป็นเรื่องไม่น่าตื่นเต้นไร้ซึ่งความแปลกใหม่

ไม่มีใครผิดใครถูก เส้นทางแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ต่างคนต่างความคิดต่างความชอบ ต่างตีค่าให้ความหมายแตกต่างกันไป

แต่มันสำคัญอยู่ที่ว่าใจเรานั้นมีความสุขกับสิ่งที่ได้ไปสัมผัสหรือเปล่าแค่นั้นเอง





เส้นทางของไอฟายน้อยสู่ฟูจิเมืองเลย

จากกรุงเทพฯใช้ถนนพหลโยธินมุ่งหน้าสู่จังหวัดสระบุรี

ออกเส้นบายพาสเลี่ยงเมืองสระบุรีไปทางจังหวัดลพบุรี

ถึงแยกพุแคเบี่ยงขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 21

ทีนี้ตรงยาวอย่างเดียวผ่านอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ อำเภอหล่มสัก อำเภอหล่มเก่า




เลยตัวอำเภอหล่มเก่ามาประมาณ 12 กิโลเมตร ให้เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2216

ตรงไปตามทางประมาณ 24 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2206

ตรงต่อไปอีกประมาณ 47 กิโลเมตร ให้เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2473

ยังตรงไปตามทางจะเข้าทางหลวงหมายเลข 3021 เอง

ลัดเลาะไปตามเส้นทางอีกประมาณ 13 กิโลเมตร เจอสามแยกให้เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 4016

ตรงไปตามป้ายอีกประมาณ 10 กิโลเมตร จะเจอทางเข้าสวนหินผางามให้ขับเลยมาอีกประมาณ 3 กิโลเมตร

จะเห็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูป่าเปาะตั้งอยู่ทางซ้ายมือ

รวมระยะทางจากกรุงเทพฯประมาณ 524 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง

(เส้นทางดังกล่าวเป็นกรณีขับรวดเดียวมาจากกรุงเทพฯแล้วอยากหาที่พักแถวภูป่าเปาะเพื่อรอขึ้นชมทะเลหมอกตอนตีห้าครึ่ง)

แต่ทริปนี้ผมไปพักตัวเมืองเลยก่อน 1 คืน เพราะนัดรับเพื่อนที่สนามบินตอน 7 โมงเช้า



ค่ารถอีแต๊กขึ้นภูป่าเปาะคนละ 60 บาท


ติดตามผลงานเรื่องอื่นๆ ของไอฟายน้อยได้ที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=ifind



ความคิดเห็น