จากความเดิมตอนที่แล้ว

Japan Golden Week ไปก็ไป เอาไงเอากัน#8 (Post town in Naraijuku)

https://th.readme.me/p/5012

ต้องบอกว่าวันนี้เป็นวันที่หนูเล็กจะต้องนำรถไปคืนแล้ว จากนี้ไปเราจะเที่ยวกันแบบไม่มีรถกันแล้วค่ะ

แต่เดี๋ยวก่อน !!! ก่อนจะคืนรถขอใช้บริการกันจนวินาทีสุดท้ายเลยทีเดียวเชียว

มาตามกันต่อค่ะว่าวันนี้เราจะไปไหนกันได้อีก

ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันต่อเลยค่ะ

กำหนดส่งคืนรถเรานัดไว้ที่สิบเอ็ดโมงเช้า จริงๆ ถ้าจะให้ไม่มีเศษของชั่วโมงให้ต้องเสียเงินเพิ่ม

เราก็ต้องคืนเวลาเดียวกันกับที่นัดรับรถคือเก้าโมงเช้า

ซึ่งเราไม่แน่ใจเลยว่าจะทำได้สำเร็จ ก็เลยยอมเสียค่าเช่าเพิ่มอีกสองชั่วโมง

เพราะขนาดนี้พวกเรายังต้องรีบตื่นตั้งแต่ตีสี่ เพื่อจะได้รีบออกเดินทางแต่เช้าจะว่าไปไม่ต้องโทษใคร

เพราะเราเองก็ไม่ยอมที่จะเสียค่าทางด่วนก็เลยต้องยอมตื่นเช้าและเริ่มออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังมืด

การเดินทางจาก Matsumoto สู่ปลายทางที่ Kawaguchiko ค่อนข้างไกล ระยะทางประมาณ 140 กิโลเมตร

(อย่าลืมว่าความเร็ว 50 กม./ชม.ค่ะ)

แต่เพราะเราออกแต่เช้าทำให้ถนนโล่ง รถน้อยมาก

หนูเล็กตั้ง GPS ไว้ที่ป้ายสุดท้ายของ Retro bus คือป้ายที่ 21 Kawaguchiko Shizen Seikatsukan

ปราศจากรถและผู้คน

เพื่อจะได้ทำเวลาได้อย่างที่ต้องการ พลขับของเราก็แอบมั่วๆ ขับเกินลิมิตที่เขากำหนดไปบ้างบางช่วง

เช้าวันนี้แม้ว่าทิวทัศน์จะชวนมอง แต่ดูเหมือนอาการง่วงเหงาหาวนอนของสมาชิกยังไม่สร่างซา

บรรยากาศในรถเงียบ คนนั่งก็งีบ ปล่อยให้สารถีและหนูเล็กผู้ทำหน้าที่เป็น navigator

นำพาพวกเราบุกตะลุยไปลำพังเกือบตลอดทาง

ไม่นานนักภาพภูเขาขนาดมหึมาก็ค่อยๆ เข้ามาอยู่ในสายตา เราเข้าใกล้เป้าหมายมาทุกทีแล้ว

ถึงแล้วค่ะ

เมื่อไปถึงเราเอารถไปจอดที่ลานจอดรถ ภาพตรงหน้าทำเอาแทบไม่อยากละสายตาเอาเลย

เช้านี้ งามฝุดๆ

ป้ายที่ 21 Kawaguchiko Shizen Seikatsukan เป็นจุดที่เราสามารถชมภูเขาไฟฟูจิได้โดยไม่มีอะไรมาบดบัง

และสามารถเดินเที่ยวเล่นไปจนถึง Oishi Park ด้วย

การมาเที่ยวที่นี่เขาแนะนำว่าควรไปก่อนเที่ยงเพื่อให้ถ่ายรูปออกมาไม่ย้อนแสง

จากมุมนี้จะสามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้เต็มที่อย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ

ครั้งก่อนๆ ที่หนูเล็กมาเจอฝนกระหน่ำเสียจนลงจากรถไม่ได้ มองอะไรก็ไม่เห็น

คราวนี้ขอชื่นชมแบบเต็มๆ ตาสักครั้งแล้วกัน

ภูเขาไฟฟูจิแบบจำลองทำด้วยหิน

การได้นั่งจิบกาแฟร้อนๆ พร้อมกับอาหารเช้าเบาๆ

โดยมีภูเขาไฟฟูจิตัวเป็นๆ อยู่ตรงหน้า มันช่างเป็นความสุนทรีย์ในอารมณ์เสียนี่กระไร

หลังจิบกาแฟก็เดินสำรวจบริเวณนั้นที่เขาจัดสวนไม้ดอกไม้ประดับไว้งดงามอร่ามตา

ประดับด้วยดอก shibazakura สีสันสดใส

ความงามราวภาพวาดเล่นเอาแทบสำลักความสุขกันเลยทีเดียว

อาจเป็นเพราะเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศอุ่นขึ้น หิมะที่ด้านบนก็น้อยไปเยอะจนดูเหมือนเจ้าฟูจิซังลืมสวมหมวก

แต่ก็ไม่เป็นไร ได้มีโอกาสเห็นแบบเต็มๆ ตาอย่างชาวบ้านเขาบ้างเท่านี้ก็ดีใจแย่แล้ว

สวย สง่าในทุกมุมมอง

ลองมาดูอีกมุมกันบ้าง

ไม่ว่าจะมุมไหน เห็นแล้วก็ชวนฝันทั้งนั้นเลย

เสียดายที่มีลม ไม่เช่นนั้นคงได้เงาสะท้อนที่งามกว่านี้เป็นแน่

เมื่อพวกเราเก็บบรรยากาศกันจนพอใจ หนูเล็กก็ตั้ง GPS ปลายทางจุดหมายใหม่

นั่นคือ หมู่บ้านน้ำใส Oshino Hakkai

ยังคงอยู่ในสายตาของเราไปตลอดทาง

ถนนไต่ระดับขึ้นเขาไป และแล้ว เราก็จำเป็นต้องจอดรถข้างทางโดยพลัน

ภาพอำลาของเจ้าโตโยต้า วิทซ์กับฟูจิซัง

อยากจะเก็บไว้ทุกมุมมอง

หลังจากจอดเก็บภาพฟูจิซังริมทางแล้ว เราก็เดินทางสู่หมู่บ้านน้ำใสกันเสียที

หมู่บ้านน้ำใส ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านที่ไม่ไกลจากทะเลสาบ Yamanakako มากนัก

ดูเหมือนเราจะมาถึงเช้าเกินไป ถ้าจะพูดจริงๆ ก็ดีตรงที่นักท่องเที่ยวยังน้อย

แต่ร้านค้าและร้านขายของที่ระลึก เหมือนเพิ่งเปิดให้บริการ

แต่ก็ไม่เป็นไรเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะซื้ออะไรกันมากมายไปกว่า

การได้มาชื่นชมความงามและความมหัศจรรย์ของบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งหมู่บ้านน้ำใส

เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในบริเวณทะเลสาบทั้ง 5 แห่งของภูเขาไฟฟูจิ

ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบ Kawaguchiko และ Yamanakako

น้ำในบ่อใสราวกับกระจก

หมู่บ้านนี้จะมีน้ำอยู่ทั้งหมด 8 บ่อ

น้ำที่อยู่ในแต่ละบ่อมาจากการละลายของหิมะโดยรอบภูเขาไฟฟูจิซึมผ่านชั้นของลาวาที่เป็นรูพรุน

เป็นเช่นนี้มากว่า 80 ปีแล้ว ทำให้น้ำในบ่อนั้นใสมาก

โดยได้รับการจัดลำดับเป็นแหล่งน้ำที่ดีหนึ่งในร้อยแห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น

เพราะมีความสมบูรณ์ทั้งด้านคุณภาพ ปริมาณ ประกอบกับทัศนียภาพของหมู่บ้านและบริเวณโดยรอบ

เพราะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้เต็มตา

น้ำในบ่อแต่ละบ่อใสมากแม้ว่าบ่อน้ำจะมีความลึกพอสมควร

แต่ละบ่อจะมีความลึกแตกต่างกัน 8 เมตรบ้าง 10 เมตรบ้าง

แต่ความใสของน้ำทำให้เรามองเห็นปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างมีความสุข

ต้นไม้น้ำที่พริ้วไหวไปตามแรงกระเพื่อม

สามารถเห็นปลาได้ชัดเจน

มีความเชื่อกันว่าน้ำในบ่อนั้นเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพราะชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อเกี่ยวกับภูเขาไฟฟูจิว่าเป็นที่สถิตย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ผู้คนจึงพากันเดินทางมาขอพร และยังเชื่ออีกว่าน้ำแต่ละบ่อจะให้ผลสัมฤทธิ์ในเรื่องต่างๆกัน

เช่น สุขภาพ คู่ครอง การเงินฯลฯ

และอาจเป็นเพราะความเชื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์จึงทำให้มองเห็นเหรียญที่นักท่องเที่ยวอธิษฐานและโยนลงไปที่ก้นบ่อ

ความใสของน้ำทำให้เราสามารถมองเห็นได้ลึกถึงเพียงนี้เลยทีเดียว

บ่อหลักซึ่งมีความลึกถึง 10 เมตร

สำหรับบ่อหลักจะเป็นบ่อกลมที่นักท่องเที่ยวจะต้องเดินผ่านร้านขายของที่ระลึกก่อนแล้วจึงจะไปถึงบริเวณนั้น

ความงดงามของน้ำใสๆ ทัศนียภาพของหมู่บ้านที่สวยงามหมดจดกับภูเขาไฟฟูจิขนาดมหึมาที่เด่นเป็นสง่า

เห็นได้ชัดเจนจากหมู่บ้าน

นี่อาจเป็นเสน่ห์หนึ่งที่ทำให้ใครๆ ก็อยากมาเยี่ยมเยือน

เห็นต้นไม้น้ำที่ก้นบ่อได้ชัดเจน

ปลาแหวกว่ายอย่างมีความสุข

ลองไปเดินดูของที่ระลึกกันค่ะ

โมจิปิ้งกลิ่นหอมกรุ่น

หากเดินผ่านร้านขายของที่ระลึกจะมีทางออกไปสู่เกาะกลางบ่อ

ดูปลากันแบบชัดๆ เลยค่ะ

น่าอิจฉาพวกมันจริงๆ เลย

ศาลเจ้าเล็กๆ ให้สักการะ

บรรยากาศทั่วไปร่มรื่นดีจริงๆ

ที่นี่คงเป็นที่ท่องเที่ยวสุดท้ายสำหรับพวกเราในยามที่มีรถ หมดเวลาการผจญภัยแบบนี้กันจริงๆ แล้ว

เราขับรถย้อนกลับไปยังสถานีรถไฟ Kawaguchiko อย่างไว เพราะใกล้เวลานัดหมายคืนรถแล้ว

และชาวญี่ปุ่นก็เป็นนักตรงเวลากันด้วย อย่าช้า ไปอย่างด่วนเลย........

หลังจากคืนรถที่บริษัท ณ จุดที่เช่ามาคือที่สถานีรถไฟ Kawaguchiko

ตรวจความเรียบร้อยกันแล้ว ไม่มีอะไรเสียหาย จ่ายเพิ่มใด ๆ

เราก็ไปซื้อตั๋วรถบัสเพื่อกลับสู่ Shinjuku แบบเดียวกับขามากันในบัดดล

ซึ่งเคาน์เตอร์จำหน่ายจะอยู่ในอาคารสถานีรถไฟ หาไม่ยาก

แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เรามาช้าไปนิดเดียว ทำให้รถบัสปลายทาง Shinjuku เต็มแล้ว หากจะไปต้องรออีกเป็นชั่วโมง

เจ้าหน้าที่แจ้งว่าแต่หากไม่อยากรอก็จะมีรถบัสอีกสายหนึ่งที่ปลายทางคือ Shibuya

เอาน่ะ คงดีกว่าที่จะต้องรอให้เวลาผ่านไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลย จาก shiubuya ไปที่พักคงไม่มีอะไรยากหรอก

โอเค ไปไหนไปกัน มาถึงขนาดนี้แล้ว

ระหว่างทางบนรถบัสอาจจะเป็นเพราะความอ่อนเพลียที่ต้องตื่นตั้งแต่เช้า

และการเดินทางตระเวนขับรถเที่ยวเปลี่ยนที่นอนกันทุกวัน

ทั้งคนขับรถ ทั้งเนวิเกเตอร์ที่ร่วมลุ้นกันตลอดทางก็เลยพากันหลับสลบไสล

มาตื่นอีกทีก็ตอนที่เริ่มใกล้ถึงที่หมายแล้ว

บัสมาจอดที่สถานี Shibuya

เมื่อถึงสถานี Shibuya ก็ได้เวลาอาหารกลางวันพอดี

ก่อนออกเดินทางต่อเราจึงพากันเดินออกไปนอกสถานีเพื่อหาอาหารในเมืองหลวงมื้อแรกรองท้องกัน

แต่ทั้งนี้ก็ไม่ลืมแวะทักทาย “ฮาจิโกะ" สุนัขยอดกตัญญูหน้าสถานี Shibuya ด้วย

ฮาจิโกะ ยอดกตัญญู

ถ้าใครเคยมาญี่ปุ่นจะรู้จัก Shibuya อยู่สองเรื่อง

เรื่องแรกก็คือ รูปหล่อบรอนซ์ของสุนัขพันธุ์อากิตะไอนุที่ชื่อฮาจิโกะที่หน้าสถานีรถไฟ

เพื่อเป็นที่ระลึกถึงความซื่อสัตย์ของมันต่อศาสตราจารย์ Ueno ผู้เป็นเจ้าของ

ส่วนอีกเรื่องที่เลื่องลือก็คือ "ห้าแยกชิบุย่า" (Shibuya Crossing)

ยิ่งถ้าเป็นช่วงเลิกงานหรือวันหยุด ผู้คนจะขวักไขว่ วุ่นวายเต็มไปหมดจนถึงกับมีคนขนานนามที่นี่ว่า "ห้าแยกนรก"

ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่ปรากฏในภาพยนตร์หลายเรื่องไม่เว้นแม้แต่เรื่อง Fast and Furious : Tokyo Drift

ที่ตอนจบมีเฉลยว่า พี่ Han สไลด์ RX7 F3DS สีเหลืองส้มคาดดำที่แต่งด้วยชุดคิท Veilside Fortune คันเก่ง

ขับไปชนกับ Benz S Class กลางแยกแถวย่าน Shibuya กลางโตเกียว ที่จริงๆ แล้วไม่ใช่อุบัติเหตุ

แต่เป็นการโดนตามเชือดจากขาโหด

เดินมั่วไปมั่วมา เห็นร้านนี้อยู่ริมถนน อ่านไม่ออกสักตัว แต่ดูรูปแล้วมันโดน ก็จัดไป

ร้านด่วนๆ แบบนี้เต็มไปด้วยคนทำงาน

การสั่งอาหารที่ญี่ปุ่นไม่ค่อยมีอะไรยาก เพราะส่วนใหญ่มีรูปให้ดูสามารถชี้ได้เลยแถมมีราคาติดไว้ชัดเจน

ร้านอาหารแบบนี้เป็นร้านที่คนญี่ปุ่นนิยมเพราะสะดวกรวดเร็วราคาไม่แพงมากนัก

เหมาะกับคนทำงานที่นิยมความเร่งรีบในมื้อที่ไม่ต้องพิถีพิถันอะไรในวันกลางสัปดาห์

ส่วนมื้อพิเศษๆ อร่อยๆ นั่นก็ค่อยจัดเต็มกันอีกแบบ

อาหารจานด่วนของคนประหยัด

เมื่ออิ่มหนำสำราญกองทัพของเราก็ฝ่าฝูงชนกลับมายังสถานีรถใต้ดินแล้วออกเดินทางสู่ที่พักกันได้จริงๆ เสียที

ที่พักที่จองไว้คราวนี้ หนูเล็กลองใช้บริการจาก Airbnb (https://th.airbnb.com/)

อาจเข้าทางเว็บไซต์หรือโหลด App มาเพื่อใช้บริการได้ค่ะ

Airbnb เป็นการเช่าที่พักไม่ซ้ำใครกับเจ้าของที่พักซึ่งเป็นคนในท้องถิ่นในกว่า 190 ประเทศทั่วโลก

เจ้าของที่พักและผู้เข้าพักต่างแชร์ profile กันเพื่อการเรียนรู้กันและกันเล็กๆ น้อยๆ ก่อนแบ่งปันที่พักกัน

มีทั้งบ้านทั้งหลัง ห้องส่วนตัว และห้องรวม ที่ราคาต่างกันไป

เจ้าของที่พักเขาจะบรรยายที่พักของพวกเขาแบบละเอียด

รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกแต่ละรายการ เวลาที่ผู้เข้าพักเดินทางมาถึงและจากไป

และผู้เข้าพักที่เคยพักจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาเอาไว้ให้เราไปอ่านก่อนการตัดสินใจ

แต่ก่อนจะใช้งานเราต้องสมัครสมาชิกก่อน ซึ่งก็ไม่ยากอะไรค่ะ

มีสิ่งหนึ่งที่เขากำหนดไว้คือต้องลงรูปจริงๆ ของเราด้วย

เจ้าของที่พักจะได้รู้ตอนที่นัดเจอกัน เป็นการเปิดเผยข้อมูลกันและกันเพื่อความสบายใจทั้งสองฝ่าย

พูดง่ายๆ ก็คือที่พักแบบนี้คล้ายๆ กับ B&B หรือที่รู้จักกันดีว่าคือ Bed and Breakfast

คือการไปพักร่วมกับเจ้าของบ้านและมีอาหารเช้าให้ด้วย

แต่ Airbnb จะแตกต่างกว่าตรงที่ที่พักแบบนี้มีหลากหลายรูปแบบมากกว่า

มีทั้งที่เจ้าของต้องการแชร์ห้องให้คนมาพักด้วย หรือการซื้อห้อง

ซื้อบ้านไว้เพื่อให้คนมาพัก การตกแต่งจะเป็นแนวอาร์ตๆ เพื่อให้คนสนใจมาพัก

อยากจะนำเสนอที่พักเก๋ๆ ของตัวเอง หรืออยากมีประสบการณ์ได้พบปะกับผู้คนทั่วโลกที่จะมาใช้บริการ

มีราคาและเงื่อนไขการเข้าอยู่ชัดเจน มีรูปและรายละเอียดต่างๆ ไว้ทั้งหมด

การจองจะตัดเงินที่บัตรเครดิตเลย แต่เจ้าของที่พักจะได้เงินก็ต่อเมื่อเราเข้าพัก

ดังนั้น จึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีปัญหาเพราะมีการประกันตรงนี้ไว้

นับเป็นครั้งแรกของหนูเล็กที่จะลองใช้บริการแบบนี้ที่ญี่ปุ่นดู

และนี่คือที่พักที่หนูเล็กเลือกค่ะ


เรียนรู้เจ้าของที่พักได้จาก profile ที่ให้ไว้


ถ้าดูจากแผนที่จะเห็นว่ามีรถไฟ Keisei Line วิ่งผ่านบริเวณนี้ นี่คือเหตุผลที่เราเลือก เพื่อความสะดวกในวันกลับ


การเดินทางค่อนข้างสะดวก มีรถไฟใต้ดินสาย Chiyoda Line ผ่าน

จากการติดต่อกันเธอให้คำแนะนำการมาที่พักไว้ชัดเจน เธอบอกไว้ว่าถ้ามาถึงสถานี Machiya ให้ส่ง message มา

เธอจะเดินออกมารับ ดังนั้น เมื่อหนูเล็กมาถึงก็ส่งข้อความถึงเธอ และแล้วเราก็ได้เจอหน้ากัน

และนี่คือห้องพักที่เธอจัดเตรียมไว้ให้

Erin Kuma เป็นสาวญี่ปุ่นตัวเล็กๆ อัธยาศัยดี บ้านของเธออยู่ติดกับทางรถไฟ มีรถไฟวิ่งเกือบตลอดเวลา

ถ้าจะนับเรื่องความสะดวกก็สะดวกดี

แต่ถ้าจะรู้สึกรำคาญก็มีบ้างเหมือนกัน เพราะทั้งเสียงรถไฟและเสียงสัญญาณเตือนเวลาไม้กั้นลงมาก็จะได้ยินตลอด

ทางรถไฟอยู่ตรงหน้าต่างหัวนอน ผ่านกี่ขบวนได้ยินหมด

ที่พักของ Erin จะจัดให้แขกพักที่ชั้นบนซึ่งจะมีห้องเล็กหนึ่งห้อง ห้องใหญ่หนึ่งห้อง

ห้องเล็กก็มีแขกพักอยู่เหมือนกัน ห้องน้ำและห้องอาบน้ำใช้ร่วมกับเธอ

หลังจากเก็บของเข้าที่ทางเรียบร้อยก็ออกไปหาอาหารเย็นรับประทานในละแวกที่พักทานกัน


ตู้แบบนี้เห็นจนชินตาในญี่ปุ่น

ย่าน Machiya ที่ค่อนข้างเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย

อาหารเย็นราคาประหยัด จบลงที่ร้านนี้ค่ะ

ร้านอาหารหยอดเหรียญ

ร้านพวกนี้จะตั้งอยู่ในย่านชุมชน สถานีรถไฟ หน้าร้านจะมีเมนูและรูปภาพให้เลือกพร้อมราคา

หากอยากรับประทานทานอันไหนก็ดูตามรูป

หยอดเหรียญที่ตู้กดแล้วกดหมายเลขอาหารที่ต้องการ

คูปองรายการอาหารใบเล็กๆ ขนาดเท่าตั๋วรถไฟใต้ดิน

เอาคูปองที่ได้ยื่นให้พนักงาน ซึ่งเขาจะตะโกนสั่งไปที่พ่อครัวด้านในซึ่งจะปรุงอาหารตามสั่งอย่างรวดเร็วทันใจ

บางร้านมีที่นั่งให้รับประทานอย่างดี ร้านที่มีพื้นที่จำกัดก็จะให้ยืนรับประทานตรงเคาน์เตอร์นั่นเลย

มีน้ำเย็นไว้บริการเรียบร้อยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม

มีเครื่องปรุง ตะเกียบ แก้วน้ำไว้สำหรับบริการตัวเองพร้อมสรรพ

เมนูนี้ 550 เยน อิ่มกำลังดี ราคาย่อมเยา


ตามธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อทานเสร็จก่อนออกจากร้านนอกจากกล่าวคำลาแล้ว

ชาวญี่ปุ่นมักพูดชมว่าอาหารอร่อยนะเพื่อให้พ่อครัวชื่นใจ

ร้านอาหารแบบนี้จึงเป็นขวัญใจของนักเดินทางแบบ Backpack แบบหนูเล็กที่นิยมกินอยู่อย่างประหยัด

เพราะสะดวก รวดเร็ว ราคาไม่แพง รสชาติอร่อย และปริมาณสมกับราคา

ซึ่งสำหรับกระเพาะคนไทยจัดได้ว่ากำลังพอดีอิ่ม ร้านแบบนี้จึงมักได้รับการต้อนรับหนูเล็กอยู่เนืองๆ

มื้อง่ายๆ จบลงก่อนที่พวกเราจะพากันกลับเข้าที่พัก

โดยไม่ลืมแวะร้านมินิมาร์ทหาขนมนมเนยหน้าตาน่ากินมาทดลองกันด้วย

ปิดท้ายด้วยขนมหวานที่เพิ่งออกมาวางขายอย่างชูว์ครีมรสชาเขียว (Green Tea Choux Cream)

อันนี้ซื้อจาก Family Mart ที่สถานีรถไฟ

โยเกิร์ตพร้อมดื่มเพื่อช่วยการขับถ่าย อันนี้จำหน่ายใน 7 Eleven ริมทาง

ส่วนกองนี้สำหรับกินพรุ่งนี้เช้าค่ะ

นี่ละคือเสน่ห์ของการเที่ยวต่างแดน เราได้ลิ้มลองอะไรใหม่ๆ ให้ได้ประสบการณ์ที่น่าจดจำกลับไป

การเช่ารถขับตะลอนเที่ยวเพื่อจะเปลี่ยนที่นอนกันทุกคืนได้จบลงอย่างบริบูรณ์แล้ว

ตั้งแต่เช้าพรุ่งนี้ไปพวกเราจะเริ่มใช้บริการรถสาธารณะสำหรับการท่องเที่ยวในวันที่เหลืออยู่

ส่วนที่ว่าหนูเล็กจะพาไปเที่ยวไหนต่ออีกบ้าง

ติดตามกันต่อได้ค่ะ


แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางของพี่ใหญ่กับหนูเล็กและทักทายกันได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/

Piyai&Noolek

 วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.35 น.

ความคิดเห็น