เปิดประสบการณ์ใหม่กับ 1,887 km กับ Vespa125ie (กทม.- อุทยานแห่งชาติพุเตย1-3 – อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ – กำแพงเพชร – สะพานมอญ – เขาช้างเผือก – กทม.)

สวัสดีครับ พี่น้องชาวไทยทุกท่านที่เข้ามาอ่าน นี่เป็นรีวิวแรกถ้าผิดพลาดประการก็ขออภัยด้วยครับและโปรดแนะนำด้วยครับ เรื่องมันมีอยู่ว่าผมแค่อยากขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆ โดยรถมอเตอร์ไซค์เป็นรถ Vespa125ie คันนี้แหละครับ ทริปนี้รวมทั้งสิ้น 1,887 กม. ครับ (ผมเริ่มออกเดินทางจาก กทม. วันที่ 25.12.14 กลับ กทม. วันที่ 07.01.15) (โดยมีวันที่ 27.12.14 - 29.12.14 ผมไปเที่ยวเขาค้อกับเพื่อนและวันที่ 30.12.14 – 03.01.15 ผมทาสีรั้วที่บ้านใหม่โดยรถของผมจอดนิ่งๆ ไว้ที่บ้าน ก็จะเหลือเวลาประมาณ 7 วันครับ) ถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ (เกาะไว้แน่นๆ น่ะครับ ผมซิ่งมาก ^^)

25 Dec 2014


เวลาประมาณ 12.00 ผมเริ่มออกเดินทางแถวๆ เทคโนบางมดครับ แต่เกือบลืมว่าต้องถ่ายรูปสักหน่อย

ตอนนั้นผมก็เปิด GPS ดูว่าจะกลับทางไหนดี ผมเลยมองไปเจอ อุทยานแห่งชาติพุเตย ที่สุพรรณบุรี และผมก็ตั้งเป้าหมายว่าเดี๋ยวคืนนี้จะนอนที่นั้นล่ะกันผมก็ขี่ไปตามเส้นทางครับ จากนั้นไม่นานก็...... เห็นป้ายแล้วโว๊ยยยยยย!!!!! (ดีใจทำไมเนี้ยอีกไกลเลย)


วันนั้นเป็นวันที่ร้อนมากอีกวันหนึ่งครับ ก็มีจอดแวะพักใต้ร่มไม้บ้าง ชมนาบ้าง


พอขับต่อมาไม่นานก็เจอทุ่งนาที่เป็นสีเหลืองๆ เห็นแล้วนึกถึงโฆษณาตัวหนึ่งเลย


ตู๊มมมม กลายเป็นโกโก้ครั้นซ์..... (บางทีเราขี่รถสนใจแต่จุดหมายจนลืมมองสิ่งขางทาง บางครั้งสิ่งข้างทางก็อาจจะสวยงามกว่าจุดหมายปลายทางของเราก็ได้)


ระหว่างทางมีสิ่งสวยๆ งามๆ เยอะมากครับ พอพักไม่ทันไรผมดูนาฬิกาเท่านั้นแหละครับพี่น้อง ผมนี้รีบไปเลยกลัวไปถึงพุเตยจะมืดก่อนที่เขาจะไม่ให้ขึ้น



เพิ่งจะเริ่มต้นเอง อย่าเพิ่งเบื่อกันนะครับ เดี๋ยวมาต่อในวันพรุ่งนี้ครับ

ขอต่อจากเมื่อคืนเลยครับ...


จากนั้นไม่นานแต่ก็นานพอสมควรแก่กาลเวลา ผมก็ถึง อ.ด่านช้าง ถามคนเติมน้ำมันว่า

ผม: พี่ครับ อุทยานแห่งชาติพุเตยไปทางไหนต่อครับ

เด็กปั๊ม: เนี้ยตรงไปทางนี้เดี๋ยวก็เจอป้าย

ผม: โอ๊ววววอีเชรี่ยยยยย ช่วยได้เยอะเลย (คิดในใจเอาน่ะ อย่าคิดนอกใจทีเดียวเชียว) ไม่ไปเป็นไรเปิด GPS ลุยต่อก็ได้ว่ะ

จากนั้นผมก็เห็นป้ายบอกทางอุทยานแห่งชาติพุเตย พอขับไปเรื่อยๆ มีป้ายเขียนว่า หน่วยพิทักษ์อุทยานที่ 1 ผมรีบถามพี่เจ้าหน้าที่เลยครับ

ผม: พี่ครับขึ้นไปอีกได้มั้ย วิวตรงนี้ไม่ค่อยสวยเลยพี่

เจ้าหน้าที่: งั้นน้องก็ลองขี่ๆ ไปทางนี้เรื่อยๆ ล่ะกัน แต่รถน้องจะไหวหรื้อ ??

ผม: ทำไมอะพี่ ทางมันไม่ดีหรอครับ

เจ้าหน้าที่: มันเป็นทางลูกรังนะไอ้หนุ่ม ขับระวังๆ ล่ะ

ผม: ครับขอบคุณมากครับพี่ (ผมนี้รีบขี่ไปเลยตอนนั้นก็เริ่มมืดๆ แล้ว อากาศก็เย็น)

พอขับไปสักพัก 1 ผมเจอทางแยกและป้ายบอกทาง....

ป่าสนสองใบ กับ จุดเครื่องบินตก ผมเลือกไปแค่จุดเครื่องบินตกครับ พอไปถึงผมยกมือไหว้ศาลเจ้าที่แล้ววนรถกลับด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋าเลยจ้าาาาา เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา (ตอนนั้นผมมีความรู้สึกกลัวแบบแปลกๆ อยู่ดีก็ขนลุก มันเคว้งๆ มืดๆ หนาวๆ วูปๆ อย่างบอกไม่ถูก) แล้วก็ขี่ไปเส้นทางที่ทำการต่อเลยครับ อยากจะบอกทุกคนว่า ผมเริ่มกลัวแล้ว แต่จะทำไงได้ความกลัวเราแค่สิ่งที่เราสร้างมันขึ้นมาเองฮึฮึ ไปก่อนต่อเถอะครับพี่น้อง พอขี่มาตามเส้นทางเรื่อยๆ ก็จะเจอป้ายบอกระยะทางเรื่อยๆ ครับ


โอ๊วววขี่มาตั้งนาน ไอ่เห้.... อีก 2 กม. เลยหรอว่ะ ผมรีบบิดอย่างเดียวเลยครับ(ยืนขี่) เพราะว่ากลัวจะมืดซะก่อน และมีช่วงหนึ่ง ทางลงชันที่ลงไปแล้วโค้งเลยบวกกับมันเป็นดินที่เหมือนว่าเขาเพิ่งเอามาเทไม่ได้อัดให้แน่น รถผมก็ล้มไป 1 ดอก แต่ไม่เป็นไรขับจับรถยกขึ้นแล้วไปต่อ ไม่นานก็ถึงแล้ววววววว


ถึงแล้วโว๊ยยยยยย แต่ๆๆๆๆ มันมีป้ายเขียนว่า สำนักบริหารพื้นอนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) ผมเลยนึกในใจโห๊วไอ่เชรี่ย มันมีทั้งหมดกี่หน่วยว่ะเนี้ย แล้วผมก็เข้าไปถามพี่เจ้าหน้าที่


ผม: พี่ครับมันมีทั้งหมดกี่หน่วยครับพี่

เจ้าหน้าที่: มี 3 หน่วยนี้เป็นหน่วยที่ 3 แต่เป็นที่บ้านโป่ง แล้วก็จะมีตะเพินคี่อีก (ผมคิดในใจไหนๆ กูก็มาละ ต้องไปให้สุดดิว่ะ)

ผม: แล้วหน่วยที่ 3 ตะเพินคี่มันไปทางไหนครับพี่ แล้วผมจะไปทันมั้ยครับ

เจ้าหน้าที่: มีมองรถผมแล้วบอกว่า ถ้าใจน้องไปยังไงก็ทัน (เหยดดดดโด้) แล้วก็บอกทางผมว่าลงไปทางนี้แล้วเลี้ยวขวา แล้วก็ตรงไปเรื่อยๆ จะมีป้ายบอกทางไป.....

พอผมขี่ไปเรื่อยๆ พอเจอ 3 แยกเท่านั้นแหละ ผมถามคนแถวนั้นอย่างเดียวเลย จนมาถึงทางก่อนเข้าไป ผมเจอลุงคนหนึ่ง แกชื่อลุงเดช(เกือบเมาล่ะขี่มอไซค์อยู่) ผมก็โบกให้พี่แกจอดก่อนแล้วถามความ แกก็โม้ให้ผมฟังเลย ไปทางนี้เลยไอ้น้อง แล้วบอกเจ้าหน้าที่ว่าพี่เดชฝากมา (น้าคนนี้โหดแสส) จากนั้นผมก็ไปทางที่แกบอกแต่กว่าแกจะบอกได้ท้าวความซะนานเลยน่ะคุณลุง เส้นทางนี้ขี่สบายกว่าเส้นทางก่อนหน้าที่ผมมามาก เป็นทางลูกรังเหมือนกันแต่ไม่โหดเท่า พอผมขี่ขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ได้พบกับจุดชมวิวจุดแรกครับ..... พระอาทิตย์ใกล้ตกพอดีแต่เส้นทางเริ่มมืดแล้วครับ

โห๊ววววแค่จุดชมวิวจุดแรกผมก็ประทับใจแล้ว ข้างบนน่าจะสวยกว่านี้แน่นอนผมมั่นใจมาก


จากนั้นผมก็เก็บกล้องเดินทางต่อละ ตะวันจะตกดินแล้วครับ ระหว่างทางผมก็เห็น รถมอเตอร์ไซค์ 2 คันจอดข้างทางก็ทักทายตามปกติครับ แล้วผมก็ขับผ่านไปแล้ว นึกขึ้นได้ว่า รถเขาเป็นไรป่าวว่ะ เลยวนกลับไปดู เพราะเห็นว่าขี่ vespa lxv150 (มี cb500x อีกคันมาด้วยครับ) ก็ได้รู้ความว่าพี่แกจอดรอเพื่อนที่เอารถ civic ขึ้นมา (ผมก็คิดในใจว่า ตั้งแต่ขึ้นมาไม่เห็นรถสักคันเลยนะ แล้วจะมาถึงเมื่อไรเนี้ย) จากจุดชมวิวไม่นานผมก็ถึง หน่วยพิทักษ์อุทยานที่ 3 (ตะเพินคี่) จากนั้นรีบติดต่อเจ้าหน้าที่แล้วหาจุดกางเต็นท์แล้วมาเก็บแสงเย็นเลยครับ (ก่อนจะขึ้นมาก็คิดในใจว่า ทางแบบนี้ข้างบนจะมีสักกี่กลุ่มกันเชียว)

วันนี้มีทั้งหมด 4 กลุ่มครับ กลุ่มแรกกลุ่มใหญ่มาก พวกพี่เขาเป็นคน อ.ด่านช้างครับ ผมได้ฟังเพลงเรื่อยๆ เลย กลุ่มที่ 2 เป็นแบบแนว backpack กันมาครับมีพี่ 2 คนเคยมาแล้วครั้ง 1 กลุ่มที่ 3 มาเป็นแบบครอบครัว และกลุ่มที่ 4 กลุ่มที่เอารถมอไซค์ขึ้นมาเหมือนผม ก่อนกลับผมรู้จักทั้งหมด 4 กลุ่มเลยครับ เพราะผมมาคนเดียวฮ่าๆๆๆ) พอถึงเวลางดใช้เสียงทุกคนก็งดใช้เสียงครับ ปรบมือรัวววววววว


คืนนั้นพี่คนที่จอดรถรอเพื่อนที่ผมเขาไปถาม พี่แกก็ชวนผมไปกินเบียร์ครับ ผมก็ปฏิเสธคนไม่เป็นด้วย 555+ ก็ได้รู้จักพี่เขาตั้งตอนนั้นเลย แต่ผมไม่ได้ถ่ายรูปกับพี่แกมา ลืม ยังไงก็ขอบคุณพี่ชัยกับพี่เก็ต มา ณ ที่นี้ด้วยครับ ตกดึกก็ถ่ายดาวมามั่วๆ ครับ ผมแค่อยากจะบอกว่า ที่นี้มองเห็นฟ้าแบบ 360 องศาจริงๆ เหมือนท้องฟ้าจำลองเลย เห็นดาวชัดมาก (ผมเลยขอรูปพวกพี่ๆ วันนั้นที่เขาถ่ายกันมาครับ พี่แกชื่อยงค์

ผมนี้นานราบไปกับพื้นแล้วดูดาวที่ค่อยๆ หมุนอย่างช้าๆ จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งเลย


จากนั้นเข้าเต็นท์นอน..... ไปครับบบ ไปนอนนนนนน เดี๋ยวมาเล่าต่อครับ ^_^มาต่อกันเลยครับ เพิ่งจะได้มีเวลาว่างๆ


26 Dec 2014

ถึงเวลาไปเขาเทวดากันแล้ววว!! ตื่นมาตี 4 เตรียมตัวไปเขาเทวดา (ตอนแรกก็สงสัยว่าข้างบนนั้นมันมีอะไร) มีพี่เจ้าหน้าที่ขับรถพาพวกเราทั้งหมด 3 กลุ่มไปครับ ตอนแรกผมจะเอารถผมขี่ตามไปแต่พวกพี่มิน เขาใจดีให้ผมติดรถไปด้วย (พวกพี่ชัยพี่เก็ต ไม่ตื่นครับ = =!! เลยเหลือ 3 กลุ่ม) จากนั้นพี่เจ้าหน้าที่รอด้านล่างแล้วให้พี่บอสและพี่มินนี่นำทาง เพราะพี่แกเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง หลงบ้างนิดหน่อยครับ แต่เราเข้าใจครับว่าทางมันมืดก็อาจจะหลงๆ กันบ้าง

จากนั้นไม่นานเราก็หาทางขึ้นจนเจอแล้วก็เติมไปตามทางเลยครับ ทางขึ้นมีระยะทาง 800 เมตรที่โครตชันและเหนื่อยมาก จริงๆ แนะนำให้ออกกำลังกายก่อนมาครับ พอถึงยอดเขาผมก็หายเหนื่อยครับ นี้เป็นรางวัลของการเดินขึ้นเขาเทวดา (ขออนุญาติรวมรูปของผมและของพี่ยงค์น่ะครับ)


เรามาทักทายพระอาทิตย์พร้อมๆ กันครับ

พระอาทิตย์กำลังขึ้นครับ บางทีเราก็ยืนดูในสิ่งที่ไม่ควรพลาดอย่างเงียบๆ มันก็มีความสุขแบบอย่างบอกไม่ถูก (เนี้ยแหละครับของขวัญของเขาเทวดา)


อันนี้ผมเอง มีกลุ่มของพวกพี่ อ.ด่านช้าง ถ่ายไว้ ^_^


จุดนี้เป็นลานกางเต็นท์ของพวกเราครับ เต็นท์เล็กมาก ข้างบนก็จะเห็นวิวได้ 360 องศาเลยครับเปิดโลกกว้างมาก


อีกมุมหนึ่งของเขาเทวดาครับ คุ้มค่ากับการเดินขึ้นมาจริงๆ เป็น 800 เมตรที่เหนื่อยเชรี่ ยยๆๆ


พอพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ เห็นตามภาพนี้ล่ะครับไม่อยากลงไปเลย อยากกางเต็นท์นอนข้างบนสักคืน


ออกไปกอดเมืองไทยให้หายเหนื่อยกันครับ ^_^


ภาพของพี่ยงค์ครับ สวยกว่าผมอีก ฮ่าๆ


พอเราอยู่กันจนหายเหนื่อย เสพธรรมชาติเสร็จก็ถึงเวลาต้องจากแล้วครับ เวลาเดินลงก็เหนื่อยไม่แพ้กันครับ


พอขาลงเท่านั้นแหละรู้เลยยยยย ชันไปไหนนเหมือเดินขึ้นบันไดเลย


น่าสงสารพี่บอสที่ให้พี่มินนี่ ขึ้นขี่หลังขาลงเขา จะไหวมั้ยเนี้ยยยยยยย ทุกคนหันมาให้กำลังใจนิสสสสสนึง เดินมาเรื่อยก็เหนื่อยเอ้ยถึงทางเข้าแล้วครับฮ่าๆ


พอลงมาก็รู้ว่ามันเป็นไร่ของชาวบ้านแถวนี้ทั้งหมด


จากนั้นก็ขึ้นรถพี่เจ้าหน้าที่กลับที่พัก


ทำธุรกิจส่วนัวให้เสร็จส่วนผมก็ ลงมาถึงต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กินกาแฟพร้อมกับดูแสงแดดยามเช้านิดหน่อ แล้วเก็บข้าวของเดินทางต่อครับ (ข้าวของผมก็มีแค่นี้แหละครับ)


ถ่ายรูปเก็บไว้สักใบกับพวกพี่ๆ อ.ด่านช้างหน่อยครับ (เจ้าของบ้าน)


พอถ่ายรูปกันเสร็จ จากนั้นผมก็แพ็คของขึ้นรถโบ๊กมือบ๊ายบายยยยย ผมก็ออกมาก่อนเลยครับเกรงว่าตามหลังรถพี่เขาจะได้กินฝุ่นตลอดทางลง


Next Station... อุทยานแห่งชาติแม่วงก์


ทางขึ้น-ลงที่ตะเพินคี่นี้แบบสุดยอดจริงๆ ผมไม่เคยขี่รถคันนี้ในทางแบบนี้มาก่อน แนะนำครับรถเก๋งไม่ควรขึ้นมาน่ะครับ อาจจะติดได้เลยแหละ


พอลงมาผมเห็นทางน้ำผ่าน ผมนี้รีบเลี้ยวรถเอาน้อง vespa ลงไปอาบน้ำเลยยยย น้ำเย็นมาก ชดชื่นดีครับ

จุดหมายปลายทางของผมวันนี้คือ อุทยานแห่งชาติแม่วงก์(ช่องเย็น)ครับ แถวบ้านผมเอง แต่ผมก็ไม่เคยไปเหมือนกันครับ ระหว่างทางก็ไปตามเส้นทางที่คนแถวนั้นบอกเลยครับ (พุบ่อง – บ้านไร่ – เส้น3282 – เส้น 3456 – เส้น3504 เข้าคลองลานเลยครับ) ผมมีรูปสองข้างประเทศไทยมาให้ดูด้วยครับ ^_^


ของจริงสวยกว่าในรูปผมมากเลยครับ ถ้าเอารถยนต์มาอยากให้ลองขับรถช้าๆ แล้วเปิดกระจกดูเอานะครับ พอถึงตัวอำเภอคลองลานผมก็แวะหาเพื่อนสมัยม.ปลายก่อนเลย


พอคุยไรต่อไรกันเสร็จผมก็ตรงดิ่งเข้า อุทยานแห่งชาติแม่วงก์เลยครับ พอถึงด่านเก็บเงินก็จ่ายเงินค่าไรต่อไรให้เสร็จ แล้วก็ตรงขึ้นมาลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ก่อนเลยครับ แล้วผมก็มองไปเห็นป้าย.....


(คิดในใจเล่นๆ ว่าสักวัน โมโกจู ต้องเสร็จกู) เมือลงทะเบียนเสร็จแล้วก็ขับต่อไปขึ้นช่องเย็นเลยครับ ขอเตือนสำหรับคนที่จะไป ให้ระวังตัวคุ้นดีๆ ครับ เพราะมันร้ายกาจมาก ส่วนนี้เจ้าหน้าที่อุทยานจะเตือนเราบ่อยมากครับก็ฟังๆ พี่ๆ เขาด้วย ระหว่างทางในอุทยานก็มีจุดชมวิวสวยๆ หลายที่ครับทั้งทีสามารถจอดรถถ่ายได้ และจุดที่ไม่สามารถจอดได้


อากาศดีมากไม่เย็นจนเกินไป และในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางครับ


จากนั้นก็เหมือนเดิมครับ จับจองที่กางเต็นท์จัดการกับตัวเองแล้วก็ไปหามุมถ่ายรูปต่อ พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า มีที่มาแนะนำผมให้เดินไปทางด้านข้าง 300 เมตร แต่เป็น 300 ที่ชันอีกแล้ว ชันมากๆ เลยแหละแต่ก็ไหวครับ (มาแล้วต้องไปให้สุด ไม่งั้นก็ไม่ต้องมา) รูปที่ได้ก็ตามนี้เลยครับ (บางรูปอาจจะมีจุดดำๆ ครับเพราะนั้นคือฝุ่นที่เกาะอยู่ต้องหน้ากล้องขอต่อเลยดีกว่า ตอนแรกกะจะนอนล่ะ.....


จากด้านบนเลยน๊าาาาา ตอนเดินขึ้นยอดอะไรสักอย่างที่เจ้าหน้าที่เขาแนะนำมา

ภาพนี้ได้ครึ่งทางล่ะครับเหลืออีกครึ่งทางก็จะถึงยอดแล้ว ครั้งนี้เหมือนเดินขึ้นบันไดตลอดทั้งทางจริง อยากจะเดินลง


แต่ก็กัดฟันสู้ เพราะไหนๆ ก็ขึ้นมาแล้วต้องเอาให้สุด ในที่สุดก็..........

ถึงยอดแล้วโว๊ยยยไอ่เห้...แล้วมันก็ถูกเรียกว่า ภูสวรรค์ครับ ชมวิวได้ 360 องศาครับ เห็นทั่วเลย วิวที่นี้สวยเหมือนกันครับ


จากนั้นก็นั่งนิ่งๆ แล้วรอดูพระอาทิตย์ตกอย่างช้าๆ แล้วนึกในใจว่า ร่างกายกูพัง ขับรถมาก็ไกลล่ะขึ้นเขาต่ออีก ทำไงได้มันเป็นความฝันนี้หว่า


พอรู้ว่าพระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้วก็ต้องรีบลงครับ เพราะ ไม่งั้นถ้าลงตอนมืดๆ อันตรายมากครับ ทางชันและแคบมาก


พอมาถึงด้านล่าง ก็เก็บภาพอีกหน่อยละกันเนอะ

ภาพด้านบนนี้เป็นภาพตอนเดินลงมาจุดกางเต็นท์แล้วครับ เจ้าหน้าที่จะแบ่งโซนไว้สำหรับถ่ายภาพเลยครับ ห้ามกางเต็นท์ แลดูแล้วเป็นระเบียบเรียบร้อยมากครับ พอตกกลางคืนผมก็ต้มมาม่ากินเหมือนเดิมครับ (เรื่องเล่าตอนกินมาม่า ตอนผมกินมาม่าอยู่ก็มีครอบครัวหนึ่งเพิ่งมาถึง พ่อ แม่ และลูกเล็กๆ เต็นท์เติ้นไรต่อไรก็ยังไม่กาง ตอนแรกผมก็ดูเขากางแหละครับแต่ก็เปิดไฟฉายผมหันไปหาเขา ไปๆมาๆ ท่าจะไม่ไหวจนต้องขึ้นไปช่วยกาง พอกางเสร็จน้ำใจดีๆ ก็แบ่งมาให้ผมเลยครับนั้นคือ รอยยิ้ม แล้วพูด ขอบคุณครับ แค่นี้ผมก็ชื่นใจล่ะ) คราวนี้ได้พี่คนหนึ่งมานั่งเป็นเพื่อนถ่ายดาว แต่จริงๆ แล้วพี่แกมาถ่ายนกครับ แกก็เล่าเรื่องไรให้ฟังเยอะครับสนุกดี(คนละวัยแต่หัวใจเดียวกัน) พอคุยกับพี่แกเสร็จผมก็ขอตัวไปนอนก่อนเพราะเหนื่อยกับการขี่รถมาทั้งวัน



ปล.ไปครับบบบ ไปนอนดึกแล้วครับพรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าเลย ^ ^27 Dec 2014

ตื่นเช้ามาโอ๊ววววว โห๊วววววว ไอ่เห้..... ขาวโพลนนเลย 555555 ว่าจะถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นไม่ได้ถ่ายเลยครับ T_T

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผมก็ไปต้มน้ำร้อนชงกาแฟกินเลยครับ เก็บของรอถ่ายนกกับพี่เขา (ในช่วงวันนั้นเจ้าหน้าที่จะให้ลงเป็นช่วงเวลาน่ะครับ เพราะมีรถขึ้น-ลงเป็นจำนวนมากเลยต้องแบ่งช่วงเวลาขึ้นและลง) พี่เขาเตรียมถ่ายนกกันแล้วครับ คราวนี้มีคนต่างชาติมาแจมด้วยครับ ^^(คนซ้ายมือคือคนต่างชาติ)


เห็นนกมั้ย มันบินหนีไปล่ะ ฮ่าๆ ^_^


กะรองทองแก้มขาว (ขออภัยหลุดโฟกัสมันมาแปปเดียวแล้วมันก็ไปเลย ภาพนี้ไม่ได้เรื่องจริงๆ)


กะรางแกสีน้ำตาลไหม้ มากันเป็นครอบครัวเลย


จากนั้นผมก็ขับรถลงจากช่องเย็นเพราะว่าเดี๋ยวจะเลยเวลาช่วงที่เขาให้ลง และต้องรีบเข้าบ้านเพื่อไปเก็บของไปเที่ยวเขาค้อกับเพื่อนต่อ ฝากไว้ไว้เรื่องหนึ่งครับ ขากลับอย่าลืมเอาขยะของตัวเองที่นำมาลงมาทิ้งด้านล่างด้วยครับ เราเอาซื้อขึ้นไปทานได้ ก็ต้องนำลงมาทิ้งด้านล่างได้ครับ

แวะถ่ายรูปเล่นก่อน เพราะว่าบ้านผมไม่มีใครอยู่เลย ก็เลยแวะอีกที 1 ที่เป็นข่าวกันยกใหญ่นั้นก็คือ บ่อลูกรังที่มีน้ำเป็นสีฟ้าครามเหมือนมรกต


วันที่ 28-29 ผมก็ไปเที่ยวกับเพื่อนที่เขาค้อต่อแต่เอารถยนต์ไปมอเตอร์ไซค์จอดทิ้งไว้บ้านครับมีภาพมาฝาก^_^


แล้วก็ถึงจุดชมวิวแล้วล่ะครับ ผมไปเขาค้อไม่ค่อยได้ถ่ายไรมามากครับ ส่วนใหญ่ให้เวลาอยู่กับเพื่อนอย่างเดียว


หลังจากจบทริปเขาค้อกับเพื่อน ก็กลับบ้านครับ ช่วงวันที่ 30.12.14 – 03.01.15 ผมก็อยู่แต่บ้านครับไม่ได้ออกไปไหน ใช้เวลากับครอบครัว ^_^



แล้วเดี๋ยวมาเดินทางกันต่อในช่วงหน้าน่ะครับ ^ ^

ขอบคุณทุกคนมากครับที่หลงผิดเข้ามาอ่านกระทู้กากๆ ของเรา ฮ่าๆ ^^ งั้นเดี๋ยวมาต่อกันเลยน่ะ


04 Jan 2015

ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง.... ครั้งนี้ตั้งเป้าหมายไว้ที่ สะพานมอญ อ.อำเภอ สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี พอดูระยะทางแล้วก็ไกลพอตัว ผมเริ่มออกจากบ้านที่กำแพงเพชรประมาณ 12.20 น.แล้วก็ขับยาวๆ เลยครับ หยุดพักแค่ช่วงเติมน้ำมันนิดหน่อยเพราะเกรงว่าจะถึงที่นั้นมืด ระหว่างมีจอดถ่ายรูปก่อนพระอาทิตย์จะตกแค่ใบเดียว พอพระอาทิตย์ตกเท่านั้นแหละ มืดเลย

บ๊ายบายพระอาทิตย์ ทุกอย่างก็กลับเข้าบ้าน


ใบนี้เจ้าของควายกำลังเอาควายเข้าบ้านเลยครับ เลยจอดถ่ายไว้สักใบ วันนี้จะเสียเวลาไปกับการขี่มอไซค์ซะมากกว่า จากนั้นผมก็รีบบิดไปสังขละบุรีเลย ระหว่างทางสวยมาก(ช่วงแบบพระอาทิตย์กำลังตกบริเวณเขื่อนจะสวยมากน้ำเป็นสีส้มๆ เลย)แต่แวะถ่ายไม่ได้เพราะ ยิ่งมืดยิ่งอันตราย และด้วยความรีบ ผมเกือบล้มช่วงลงเขา ทางมันมืดมากๆ เกือบไม่ได้มาเล่าเรื่องให้อ่าน ผมถึงสังขละบุรีประมาณ 20.00 น. พอถึงผมก็รีบหาที่พักก่อนเลยผมเลยได้ห้องพัก ราคาเบาๆ แถวนั้นก็ถือว่านอนได้ครับ จากนั้นก็เก็บของออกไปหาอะไรกินที่ตลาด แนะนำหมูจุ่มไม้ละ 1 บาท อร่อยดีเหมือนกัน.....



05 Jan 2015

ตื่นมาตักบาตรที่สะพานมอญแต่เช้าเลย อากาศถือว่าเย็นมากเลยครับ ประมาณ 17 องศาได้ บางบ้านก็ออกไปหาปลากันแต่เช้าเลย

จากนั้นก็ได้แต่รอพระอาทิตย์


มาแล้ววววววว


อย่าถือสารูปผมเลยครับถ่ายมาแล้วมาต่อกันแบบมั่วๆ จะฝึกให้ดีกว่านี้ครับ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย


ขออีกใบ หมอกเบาๆ พร้อมกับพระอาทิตย์กำลังขึ้น


ช่วงเช้าๆ คนแถวนั้นบางบ้านก็ออกไปหาปลา บางบ้านก็ออกมาขายของตลาดเช้า ต่อไปผมก็ไปวัดบาดาลครับ โดยยืนดักตรงจุดที่จะขึ้นแล้วขอแชร์กับพวกที่เขาจะไปครับ


จากภายนอกครับ เดี๋ยวลองไปดูจากภายในออกมาบ้าง


จากนั้นก็กลับเข้าที่พัก ก็ลองโทรไปเช็คอุทยานแห่งชาติทองภาภูมิครับ ว่ามีที่กางเต็นท์มั้ย แล้วผมนึกได้ว่า อยากขึ้นเขาช้างเผือกเลยลองถามเจ้าหน้าที่ว่า วันพรุ่งนี้มีว่างมั้ย (06 Jan 15) คำตอบคือว่างครับ (ตอนแรกผมกะนอนแถวนั้นสักคืนแล้วกลับ กทม.) ผมโชคดีมากที่มีที่ว่างเลยตอบเขาไปว่าผมขึ้นครับ ผมนี้รีบเก็บของแล้วเดินทางไปอุทยานเลยครับ พอไปถึงเท่านั้นแหละ ฟลัคคคคคคคค!!! เจ้าหน้าที่บอกไม่มีชื่อผม เงิบแปปสึด แต่พี่เจ้าหน้าที่ใจดีครับ เขาก็ลองเช็คให้ เขาก็ขี่รถไป-มา เพื่อไปที่จุดรับสัญญาณโทรศัพท์ เพื่อที่จะลงชื่อผมเพิ่มเข้าไป ระหว่างรอผมก็ไปจุดชมวิวที่อุทยาน


พอเดินเข้าไปดูก็เจอะกับ.....เขาช้างเผือก


ได้แต่บอกตัวเองว่าพรุ่งนี้กูต้องได้ขึ้นเขาช้างเผือก แล้วมองไปที่เขาลูกนั้น จากนั้นก็หาที่นอนสักแปป


ก็ได้แต่นอนรอแถวๆ นั้น ในใจก็คิดว่าถ้าไม่ได้ขึ้นก็กางเต็นท์นอนที่นี้แล้วก็กลับ กทม. ประมาณสัก 20-30 นาที ผมก็เข้าไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว


ผม: พี่ครับสรุปผมจะได้ขึ้นเขาข้างเผือกพรุ่งนี้มั้ยครับพี่ (แล้วก็ได้คำตอบว่า.......)

เจ้าหน้าที่: อ๋อออ อืมม.......เดี๋ยวน้องเขียนชื่อเบอร์โทรศัพท์ แล้วพรุ่งนี้ประมาณ 8 โมงเช้ามาเจอที่หน้าบ้านหัวหน้าลูกหาบ เตรียมน้ำ 2 ขวดใหญ่อาหาร 3 มื้อ

โอ๊วอีเชรี่ยยยย ได้ขึ้นจนได้ น้ำตาจิไหล ผมก็ขอบคุณพี่เขาอย่างงามๆ (ที่ผ่านมาก็อยากขึ้นอยู่แล้วโทรมาทีไรเต็มทุกทีพอมาแบบไม่จองดันไม่เต็ม)

แล้วเดี่ยวมาอ่านกันต่อครับว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก.....

จากนั้นก็ทัวร์หมู่บ้านอีต่องเลยครับรอช้าอยู่ใย ที่แรกที่ไปคือ เนินช้างศึก, ช่องทางมิตรภาพไทย-พม่า, เนินเสาธง แล้วก็วนไป เนินช้างศึกอีกรอบหนึ่งตามลำดับ


เนินช้างศึกเป็นจุดที่สูงมากไม่แน่ใจว่าสูงที่สุดหรือป่าว แต่เห็นวิวแถวนั้นรอบเลยครับ และยังเปิดให้กางเต็นท์ได้อีกด้วยครับ มีห้องน้ำ บริการพร้อม ผมก็อยู่ไม่นานครับ แล้วก็ไปที่ต่อไปเลยนั้นคือ ช่องทางมิตรภาพไทย-พม่า


มีทหารพม่าเข้าเวรอยู่ครับ ได้แต่พูดว่า มิงกะละบา แล้วยิ้มให้ ^^ แล้วก็เดินกลับไทยอย่างไร้ร่องรอยตามระเบียบ


จุดนี้เป็นเนินเสาธง เป็นเสาธงไทยพม่าตั้งคู่กันครับ จากนั้นผมก็เข้าที่พักเอาของต่างๆ ไปเก็บแล้วก็ไปที่ เนินช้างศึกอีกครั้งเพราะว่าผมคิดว่าถ้าเราไปเสพพระอาทิตย์ตกที่นั้นก็คงดีไม่เบา


ใกล้ตกแล้วเปลี่ยนที่ๆๆๆๆ


ตะวันลับขอบฟ้า เหล่าเทเลทัปบี้บอกลา เข้าไปที่หมู่บ้านเข้าที่พักนอนเอาแรงพรุ่งนี้ขึ้นเขาช้างเผือก ก่อนเข้าที่พักแวะคุยกับหัวหน้าลูกหาบว่าถ้าคนเดียวคิดยังไงเขาบอกกิโลล่ะ 30 บาท ผมก็เลือกเอาของแต่จำเป็นที่สุดไป แล้วเดียวมาตามตอนสุดท้ายกันน่ะครับ



สามารถติดตามตอนจบได้ที่ http://pantip.com/topic/33154186

ขอบคุณมากครับ

7NOVEMBER

 วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 16.56 น.

ความคิดเห็น