การได้มาเยือนภูเขาไฟบนเกาะชวาฝั่งตะวันออก (East Java) ของประเทศอินโดนีเซีย คงเป็นทริปในฝันของใครหลายๆ คน เพราะความงดงามของภูเขาไฟโบรโม่ที่ยังปะทุ มีควันพวยพุ่งออกมาอยู่ตลอดเวลา และกลุ่มภูเขาไฟรอบๆ กับทะเลหมอกสีขาวที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ไม่ว่าจะถ่ายรูปจากมุมไหนก็ดูสวยไปหมด และการได้มาเห็นความเป็นที่สุดในโลกหลายอย่างรวมอยู่ในที่เดียวกันที่ภูเขาไฟคาวาอิเจี้ยน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เปลวไฟสีน้ำเงิน Blue Flame ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Sulfur lake ทะเลสาบกรดที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลก และคาวาอิเจี้ยนยังเป็นหนึ่งในปากปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย...ซึ่งเหตุผลทั้งหมดนี้ ทำให้เราตัดสินใจมาที่นี่ได้ไม่ยากเลยค่ะ
ขออธิบายคำว่า "The Ring of Fire" กันสักนิดตามหัวข้อที่กล่าวไว้ ซึ่งก็คือบริเวณในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดบ่อยครั้ง มีลักษณะเป็นเส้นเกือกม้า ความยาวรวมประมาณ 40,000 กม. และวางตัวตามแนวร่องลึกก้นสมุทร แนวภูเขาไฟและบริเวณขอบแผ่นเปลือกโลก โดยมีภูเขาไฟที่ตั้งอยู่ภายในวงแหวนแห่งไฟทั้งหมด 452 ลูก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีภูเขาไฟมีพลัง (Active Volcano) อยู่กว่าร้อยละ 75 ของภูเขาไฟมีพลังทั้งโลก....และภูเขาไฟโบรโม่ กับคาวาอีเจี้ยน ก็เป็นส่วนหนึ่งในวงแหวนแห่งไฟนี้ด้วยค่ะ
ทริปนี้เราไปอินโดนีเซียในระหว่างวันที่ 18 - 26 เม.ย 2016 โดยแบ่งการเดินทางออกเป็น 2 เกาะ เริ่มที่ฝั่งเกาะชวาก่อนซึ่งควรมีเวลาสำหรับภูเขาไฟโบรโม่ (Bromo) น้ำตกมาดาการิปุระ (Madakaripura) และภูเขาไฟคาวาอิเจี้ยน (Kawah Ijen) ประมาณ 3 - 4 วัน จะไม่เหนื่อยจนเกินไป ส่วนฝั่งเกาะบาหลี จะทำแยกเป็นอีก Blog นะ ฝั่งเกาะชวานี้สามารถบินไปกลับ กรุงเทพ - สุราบายาได้เลย แต่ทริปนี้เราบินมาลงสุราบายา เที่ยวบนเกาะชวา 4 วัน แล้วนั่งเรือข้ามเกาะอีก 1 ชั่วโมง ไปที่เกาะบาหลีเที่ยวต่ออีก 5 วัน แล้วบินกลับไทยจากสนามบินเดนปาซาร์ บาหลีค่ะ
ส่วนเรื่องการเดินทางบนเกาะชวา การใช้บริการรถเช่าพร้อมคนขับ เป็นตัวเลือกที่สะดวกและเหมาะสมที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวที่นี่ เราใช้วิธีติดต่อพูดคุยตกลงกันทางอีเมล์ก่อนล่วงหน้าประมาณ 1 เดือน หลังจากเปรียบเทียบราคาและเงื่อนไขต่างๆ มา 4 บริษัทล่ะ ก็เลยตัดสินใจใช้บริการของ Tommy ค่ะ เพราะราคาดีสุด คิดค่าบริการรายหัวซึ่งจะต่างกับบริษัทอื่น ตอบอีเมล์ได้ชัดเจนและเร็ว โดยเราเริ่มทริปกับ Tommy ตั้งแต่ลงเครื่องที่สุราบายา เที่ยวโบรโม่ - คาวาอีเจี้ยน 4 วัน (ฝั่งบาหลีใช้บริการของอีกบริษัทนึงค่ะ) ซึ่งค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ร่วมทริปด้วย ถ้าเดินทางประมาณ 2 - 6 คน (พอดีกับรถ 1 คัน) จะตกอยู่ที่ประมาณ 6,000 - 10,000 บาท/คนค่ะ รวมค่าน้ำมัน คนขับ รถจี๊ปขึ้นเขา ค่าเข้าสถานที่ ค่าไกด์ท้องถิ่น ค่าที่พัก 3 คืน+อาหารเช้า ยกเว้นแค่ค่าอาหารมื้ออื่น ค่าขี่ม้า (270 บาท) และค่าหน้ากากกันแก๊สกำมะถันที่คาวาอีเจี้ยน (135 บาท) ค่ะ ติดต่อ Tommy ได้ที่ Email : [email protected]
สำหรับนักท่องเที่ยวไทยสามารถไปท่องเที่ยวและพำนักในประเทศอินโดนีเซียได้ 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่านะ ส่วนสกุลเงินที่ใช้คือ รูเปียห์ Rupiahs (IDR) อัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน 2016 อยู่ที่ประมาณ IDR1,000 = THB2.70
พร้อมล่ะ ออกเดินทางกันเลย....
Day 1 ดอนเมือง - สุราบายา ตอนนั้นเราบินตรงใช้เวลา 4 ชม. ได้ตั๋วของ Airasia ราคา 3,400 กว่าบาท แต่เท่าที่เช็คในปัจจุบันนี้ไม่มีบินตรงแล้ว ต้องพักเครื่องที่อื่นก่อน ใช้เวลาเดินทางมากขึ้นเป็น 8 - 16 ชม. มีหลายสายการบิน Low cost ให้เลือกเช่น Airasia, Tigerair, Scoot ค่ะ
มาถึงสุราบายา "Iwan" คนขับรถจาก Tommy ก็มาถือป้ายรอรับ และต้องเดินทางต่อไปที่เมืองโปรโบลิงโก (Probolinggo) เพื่อไปโบรโม่ก่อน ใช้เวลาประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณรถติดและความซิ่งของคนขับ ถึงโรงแรมก็พักผ่อนกันก่อน เพราะต้องตื่นตั้งแต่ตี 2:30 ค่ะ
Day 2 นัดกับ Iwan ตอนตี 03.00 เปลี่ยนมาเป็นรถจี๊ปล่ะ ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 45 นาที ไปดูวิวและพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขา Penanjakan อากาศหนาวมากกกก เตรียมอุปกรณ์กันหนาวให้พร้อมเลยนะ มาถึงค่อนข้างเร็วประมาณตี 4 คือต้องยืนรอท่ามกลางความมืดและความหนาวอีกเกือบ 2 ชม. กว่าพระอาทิตย์จะขึ้น ตอนแรกก็แอบคิดว่าทำไมต้องพาเรามาแต่เช้าจัง แต่พอมาถึงแล้วก็เห็นว่านักท่องเที่ยวมารอกันมากมายแล้วค่ะ
ดูการแต่งตัวของทุกคนแล้ว พอจะเดาได้ไหมคะว่าหนาวแค่ไหน ^^"
เป็นการตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น เช้าที่สุดในชีวิตล่ะ แต่สิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นได้มากกว่าการมาดูพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ ก็คือการรอคอยแสงสว่าง เพื่อที่เราจะได้มองเห็นภูเขาไฟโบรโม่ของจริง ไม่ใช่รูปที่เซิร์ทดูในอินเตอร์เนตมาโดยตลอดค่ะ
พอฟ้าสว่างขึ้น....ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า กลุ่มภูเขาไฟและโบรโม่ที่กำลังพ่นควันอยู่ มันทำให้เราลืมความหนาว ง่วงและเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลไปจนหมด หันไปพูดกับเพื่อนที่พูดเหมือนกันว่า เฮ้ย...มันสวยมากกกก ตัดสินใจถูกที่สุด ที่ทิ้งตั๋วขามาลงบาหลีแล้วซื้อตั๋วใหม่มาที่สุราบายา ถึงแม้เราจะมากันแค่ 2 คนโดนค่ารถเช่าแพงมาก แต่ก็ไม่รู้สึกเสียดายเงินเลยจริงๆ
และนี่คือความอัศจรรย์ทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งนึงของเกาะชวาตะวันออกค่ะ ;)
มาเล่าเรื่องภูเขาไฟโบรโม่กันสักนิด โบรโม่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโบรโมเทงเกอร์เซเมรู (Bromo - Tengger - Semeru) บนเกาะชวาตะวันออก มีความสูง 2,329 เมตร และถูกเรียกว่า ลมหายใจของเทพเจ้า "Breathe of God" ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของศาสนาฮินดูค่ะ
วิวหมู่บ้านเซอโมโรลาวัง (Cemoro Lawang) บริเวณโรงแรมที่เราพักนั่นเอง
หลังจากชมวิวบนภูเขา Penanjakan กันสักพัก ระหว่างทางลงมาก็มีอีกจุดที่คนขับจอดรถให้ลงไปถ่ายรูปกัน จะได้มุมประมาณนี้ค่ะ
ภูเขาไฟบาต็อก (Gunung Batok) ที่อยู่ด้านหน้าโบรโม่ เป็นภูเขาไฟที่สงบนิ่งแล้ว
วันนี้เราไม่ได้เห็นทะเลหมอกเต็มๆ เหมือนที่คิดไว้ แต่ก็ไม่เป็นไรคะ แค่นี้ก็สวยจะแย่แล้วววว ^^
ภูเขาไฟที่สำคัญอีกลูก คือเขาพระสุเมรุ (Gunung Semeru) ภูเขาไฟที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดตามคติของศาสนาฮินดู ซึ่งถือเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล และเป็นภูเขาไฟที่สูงที่สุดบนเกาะชวา มีความสูงเด่นลาดชันได้รูป และสวยงามของสัดส่วนความเป็นภูเขามากที่สุด ทุกๆ 15 - 20 นาที เขาพระสุเมรุจะระเบิดกลุ่มควันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายังกับมีระเบิดเวลาธรรมชาติซ่อนอยู่อะไรประมาณนั้น ตอนแรกที่ได้ยินเสียง....ตู้มมมม แว่วๆ แต่ไกล แอบตกใจเพราะไม่เคยรู้มาก่อน หันไปมองหน้า Iwan แบบงงๆ เขาก็เลยเล่าให้ฟังว่าเป็นเรื่องปกติ แต่กลับเป็นเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเราไปเลย
ลงมาจากจุดชมวิวแล้ว รถจี๊ปจะมาจอดตรงบริเวณตีนเขาด้านล่าง เพื่อให้เราเดินหรือขี่ม้าก็ได้ ตอนนั้นเราเลือกขี่ม้าเพราะอยากลอง แล้วระยะทางดูค่อนข้างไกลสำหรับพวกเราที่เดินทางไกลกันมาตลอดทั้งวันทั้งคืนและได้นอนแค่ชั่วโมงเดียว แอบหมดแรงก็เลยต้องพึ่งน้องม้าให้พาไปส่ง ราคามาตรฐานไป-กลับ อยู่ที่ 50,000 - 100,000 รูเปียร์....อย่าให้แพงกว่านี้นะ ^^"
ม้าจะขึ้นมาส่งตรงจุดที่ขึ้นเขามาได้สักนิด หลังจากนั้นเราต้องปีนบันไดขึ้นมาเองค่ะ
ผงฝุ่นกำมะถันจะฟุ้งมากๆ ตกลงมาเหมือนฝน เต็มตาเต็มจมูกเลยทีเดียว หาผ้าปิดหน้าไว้บ้างก็ดีค่ะ
ภูเขาไปบาต็อก ในมุมใกล้ๆ
ไต่ขึ้นมาสูงได้ที่ล่ะ หันกลับไปจากมุมนี้จะเห็นเทวสถานฮินดูที่เราขี่ม้าผ่านมา กองทัพรถจี๊ปและฝูงม้า วิวทะเลฝุ่นกำมะถันสีดำ และเทือกเขา Penanjakan ที่เราเพิ่งลงมากันเมื่อเช้ามืด อยู่ไกลๆ ค่ะ
ใช้เวลาไม่นานมาก ก็มายืนบนปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่แล้ววววว แอบน่ากลัวสำหรับคนกลัวความสูงอย่างเราค่ะ และสมกับที่ได้รับสมญานามว่าเป็น "ลมหายใจของเทพเจ้า" เสียงคำรามของโบรโม่ดังสนั่นไปทั่ว มีควันพวยพุ่งขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา หนักบ้างเบาบ้าง กลิ่นและฝุ่นกำมะถันก็รุนแรงขึ้นกว่าตอนที่เดินขึ้นมา เรายืนอยู่ตรงนี้ได้ไม่นานก็ต้องถอย แต่บางคนกล้าหน่อยก็เดินไปรอบๆ ได้เลย แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังให้มากด้วย เพราะจุดนั้นมีรั้วคอนกรีตกั้นนิดเดียว ถ้าเดินเลยวนไปรอบๆ คืออันตรายมากเพราะมีนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์เคยตกลงไปแล้ว
และบนปากปล่องก็จะมีชาวบ้านพื้นเมืองมาขายดอกไม้ให้นักท่องเที่ยวได้อธิษฐาน ขอพร และเพื่อแสดงการสักการะเทพเจ้า อธิษฐานแล้วก็โยนลงไปในปล่องภูเขาไฟค่ะ
ขากลับลงมา เวลาประมาณ 8.00 โมงเช้า มีแดดล่ะพอให้อากาศอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
ร่ำลาน้องม้ากันตรงนี้ และนี่เป็นการขี่ม้าครั้งแรกของเราค่ะ จับเชือกมือนึง ถือกล้องถ่ายรูปอีกมือนึง ทางตรงยังพอไหวแต่ทางขึ้นเขาต้องจับให้แน่นทั้งสองมือ เพราะทางชันมากถ้าตกลงมาเจ็บแน่ๆ ค่ะ ><"
จบจากลงภูเขาไฟโบรโม่ ก็นั่งรถจิ๊ปมาต่อที่ทุ่งหญ้า Savanna ค่ะ
แล้วก็จบทริปวันนี้ประมาณ 9 โมงเช้า ถึงเวลาอาหารเช้าพอดีและต้องพักผ่อนหลังจากเดินทางมาทั้งวันทั้งคืน และนี่คือรูปจากหน้าโรงแรมเราเลยค่ะ ^^
Day 3 วันนี้ตื่น 06.00 อาบน้ำ ทานอาหารเช้า แพ๊คกระเป๋า Check out เริ่มออกเดินทางตอน 08.30 ไปน้ำตก Madakaripura ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ค่ะ
วิวระหว่างทาง....สวยมากกกกก
มาถึงทางเข้าน้ำตก ต้องต่อมอเตอร์ไซค์เข้าไปประมาณ 5 นาทีค่ะ
ลงจากมอเตอร์ไซค์ ก็เดินเท้าเข้าไปต่ออีก โดยจะมีไกด์ท้องถิ่นคอยนำทางให้ค่ะ
ก่อนเข้ามาถึงจุดนี้ ก็ใส่เสื้อกันฝนกันให้เรียบร้อยค่ะ เปียกแน่นอน เปียกมากๆด้วย เพราะเราต้องเดินลอดใต้ม่านน้ำเข้ามาด้านใน กล้อง มือถือโดนละอองน้ำชุ่มฉ่ำมาก
น้ำตกมาดาการิปุระ เป็นน้ำตกที่มีความสูงประมาณ 200 เมตร ซ่อนอยู่ในตอนท้ายของหุบเขาลึก มีแหล่งต้นน้ำมาจากผืนป่าเหนือน้ำตกขึ้นไป โดยสิ่งที่น่าสนใจมากอีกอย่างของน้ำตกคือสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่งดงามค่ะ
ถ้าไม่มีไกด์ท้องถิ่นนำทางมา คงมาถึงจุดที่แหงนหน้ามองตรงนี้ยาก เพราะก็คงไม่กล้าเสี่ยงเดินไต่โขดหินชันๆ เข้ามาเองแน่นอนค่ะ
ระหว่างทางเข้ามาน้ำตก จะมีฝูงลิงมากมายออกมาทักทายกันด้วยนะ
และจากน้ำตกมาดาการิปุระ พวกเราต้องเดินทางต่ออีกประมาณ 6 ชม. (รวมเวลาแวะทานมื้อเที่ยงด้วย) ไปยังเมืองบอนโวโช (Bondowoso) ที่อยู่เกือบสุดเกาะชวาฝั่งตะวันออก ถึงที่พักชื่อ Catimor Homestay ที่ทาง Tommy เตรียมไว้ให้ ต้องรีบพักผ่อนกันก่อน เพราะต้องตื่น 00:30 เตรียมไปเดินขึ้นภูเขาไฟคาวาอิเจี้ยนค่ะ
Day 4 เวลาตื่น 00:30 เรียกว่าไม่ได้นอนกันเลยสักนิดเดียว เช็คเอ้าท์แล้วทางโรงแรมจะมี Breakfast box เตรียมไว้ให้ ออกเดินทางตอนตี 01.00 ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ถึงทางขึ้น Paltuding ซึ่งเป็นจุดเริ่มเดินเท้าขึ้นสู่ภูเขาไฟคาวาอิเจี้ยน จะมีไกด์ท้องถิ่นคอยนำทาง ออกแรงเดินขึ้นเขากันแบบมืดๆอีก 3 กม. แต่ใช้เวลาถึง 2 ชม. เพราะทางที่ชันมาก ระหว่างทางมีร้านขายเครื่องดื่มกับให้เช่าหน้ากากกันแก๊สกำมะถันด้วยค่ะ
ซึ่งต้องใส่หน้ากากประมาณนี้กันเลย เพื่อป้องกันแก๊สกำมะถันที่รุนแรงมาก อันที่ซื้อเตรียมมาจากไทยไม่กี่ร้อยบาท ที่บอกว่ากันป้องกันกลิ่น ฝุ่น ควัน และสารเคมีมีวาวล์ระบายอากาศอะไรแบบนั้น ไกด์บอกใช้ไม่ได้เลยจ้า
ถึงปากปล่องแล้วต้องไต่ลงไปด้านล่างปากปล่องภูเขาไฟอีกประมาณ 30 - 45 นาที กับทางที่ชันสุดโหดมาก ต้องเดินตามรอยเท้าของไกด์เก้าต่อเก้า เพราะทางยังมืดอยู่ ไกด์จะเตรียมไฟฉายไว้ให้เราด้วยอีกอัน
และนี่ก็เป็นไฮไลท์ของเราทริปนี้ การได้มาเห็น Blue Flame ที่มีอยู่แค่ 2 ที่ในโลก ซึ่งก็คือเปลวไฟสีน้ำเงินที่เกิดจากการเผาไหม้ของกำมะถัน ตรงนี้ควันกำมะถันลอยมาคลุ้งไปหมด แสบตาแสบจมูกมากๆ แล้วไกด์สุดเกรียนของเราก็ยังพาเดินลงไปจนถึงจุดที่มีคนงานทำเหมืองแร่กันอย่างใกล้ชิด เป็นจุดที่ไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนลงมาเลย เพราะควันแก๊สที่รุนแรงมาก
และเพราะ Blue Flame จะมีให้เห็นในช่วงที่มืดสนิทเท่านั้น ถ้าฟ้าสว่างแล้วเราจะมองไม่เห็น ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราต้องรีบตื่นมาที่นี่ตั้งแต่ตี 1 ค่ะ
การถ่ายรูป Blue Flame ให้สวยเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากมาก เพราะควันสีขาวที่ฟุ้งอยู่บริเวณนั้นตลอดเวลา และระยะห่างที่ยืนอยู่ไกลๆ แต่!!! ไกด์ของเราอาสาปีนขึ้นไปถ่ายรูป Blue Flame ให้ในระยะประชิดขนาดนี้ คือตอนแรกไกด์ไม่บอกอะไร บอกแค่ให้ส่งกล้องมาแล้วก็วิ่งหายไป เห็นอีกทีคือไปโผล่อยู่ติดกับ Blue Flame แล้ว เกรียนมาก!! เพราะไม่มีใครขึ้นไปถึงตรงนั้นเลย นี่ถ้าบอกกันสักนิด ก็จะขอไปด้วยนะเนี่ย ^^"
แล้วเราก็ได้ภาพ Blue Flame ที่เพอร์เฟคสุดๆ จากฝีมือไกด์เกรียนๆ ที่น่ารักของเราค่ะ ^^
มีก้อนกำมะถันที่เอามาตั้งโชว์ระหว่างทางด้วย อันนี้คือก้อนใหญ่มากกกก
หลังจากลงไปดู Blue Flame จนพอใจ และเริ่มทนไม่ไหวกับกลิ่นแก๊สกำมะถัน ก็ปีนกลับขึ้นมารอชมวิวสวยๆ กันด้านบนปากปล่อง ตรงนี้มีป้ายเตือนนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับอันตรายจากแก๊สพิษด้วยค่ะ
พอเริ่มสว่าง ก็จะมองเห็น Sulphur Lake ทะเลสาบซัลเฟอร์สีเทอคอยซ์ ถือเป็นทะเลสาบน้ำกรดบนปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีค่า pH เท่ากับ 0.5 ค่าความเป็นกรดนี้ก็เปรียบเหมือนกับกรดจากถ่านไฟฉายหรือแบตเตอร์รี่ ถ้าเราไปสัมผัสนี่ก็คืออันตรายทำให้เจ็บป่วยแบบเฉียบพลันได้เลยนะ
การปะทุของภูเขาไฟในอดีตอย่างรุนแรงทำให้ปากปล่องภูเขาไฟยุบตัวลงจนกลายเป็นทะเลสาบค่ะ เมื่อขึ้นมายืนมองภูมิประเทศที่สวยแปลกตาแบบนี้ ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเหมือนไม่ใช่โลกมนุษย์เลยเนาะ
มองกลับลงไปด้านล่างที่พวกเราเพิ่งปีนขึ้นมา มองเห็นสีเหลืองของก้อนกำมะถันตัดกับสีเทอคอยซ์ของทะเลสาบ และควันกำมะถันสีขาวฟุ้ง ฟ้าเปิดสดใสไม่มีหมอกทำให้เห็นความงามของสถานที่ได้อย่างชัดเจน เป็นหนึ่งในสถานที่ๆเราประทับใจมากอีกที่นึงเลยและภูเขาไฟคาวาอิเจี้ยน ยังถือเป็นภูเขาไฟมีพลัง ที่ยังมีโอกาสปะทุอยู่ด้วยค่ะ
มาถึงพระเอกของเราวันนี้ "อันตน" ไกด์ท้องถิ่นอารมณ์ดี ที่คอยเทคแคร์ ชวนคุยเล่าเรื่องราวน่าสนใจให้ฟังตลอดทาง พวกเราเงินหมดเกลี้ยงเพราะแลกมาแค่พอใช้ที่เกาะชวาก่อน จะไปแลกเพิ่มที่บาหลีทีหลัง จนไม่เหลือพอค่าเช่าหน้ากาก อันตนก็จัดการให้ แล้วยังคอยเดินจูงมือตอนไต่ลงไปดู Blue Flame ส่องไฟฉายให้ ปีนไปถ่ายภาพ Blue Flame ที่สวยสุดๆมาได้อีก คือทิปเราก็ไม่มีให้ต่างหากแถมยังใจดีออกค่าหน้ากากให้ด้วย (แต่ค่าตัวไกด์คิดรวมกับค่าใช้จ่ายในแพ๊คเกจของ Tommy หมดแล้วค่ะ) ^^"
ใครไปหาไกด์เอาที่นั่น แนะนำคนนี้เลยนะ ^^
มาดูการทำงานของคนงานเหมืองแร่ที่นี่กันบ้าง โดยจะเริ่มงานกันตั้งแต่ตี 3 หาบกระบุงเปล่าขึ้นมาแล้วลงไปที่ปากปล่องแซะก้อนกำมะถันไต่ขึ้นมาบนทางที่ชัน แล้วหาบลงเขาไปอีก 3 กม. ซึ่งน้ำหนักของแร่กำมะถันที่ชาวบ้านแบกกันอยู่ที่ประมาณหาบล่ะ 60 - 80 กก. แค่เราเดินตัวเปล่าก็ปีนขึ้นปีนลงกันด้วยความยากลำบากแล้วค่ะ โดยค่าจ้างจะอยู่ที่ กก.ล่ะ 2 บาท วันนึงอาจจะหาบได้ 2-3 รอบ คิดเป็นเงินรอบล่ะประมาณ 100 กว่าบาท นับเป็นงานที่เหนื่อยแสนสาหัสและอันตรายบั่นทอนสุขภาพเอามากๆ เพราะต้องดมแก๊สพิษเข้าปอดอยู่ทุกวัน
ส่วนก้อนกำมะถันสีเหลืองหรือซัลเฟอร์นี้ ไกด์เล่าให้ฟังว่า นำไปผลิตเป็นของที่ระลึก กับเครื่องสำอางค์ค่ะ
เราเดินทางมาหลังสงกรานต์ นักท่องเที่ยวช่วงนี้น้อยมาก แต่ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ไกด์เล่าให้ฟังด้วยความเซอร์ไพส์พอสมควรที่เห็นคนไทยมาที่นี่วันเดียวประมาณ 600 คนเลยทีเดียว!
ระหว่างทางเดินกลับ ฟ้าสว่างแล้วเราจะเห็นภูเขาไฟรอบๆ คาวาอีเจี้ยนนี้อีก 3 ลูก เป็นภูเขาไฟที่หลับสงบนิ่งแล้ว และด้านซ้ายจะเป็นเกาะบาหลี สามารถมองเห็นจากตรงนี้ได้ด้วยค่ะ
จบการผจญภัยบนเกาะชวาตะวันออกแล้ว พวกเราก็หอบร่างพังๆ ที่ไม่ได้นอนและเหนื่อยล้าจากการเดินขึ้นเขา พร้อมกับกลิ่นกำมะถันฉุนกึกติดเต็มตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า นั่งเรืออีกชั่วโมงนึงข้ามไปเที่ยวที่เกาะบาหลีกันต่ออีก 5 วันค่ะ
ในส่วนของการเที่ยวเกาะบาหลี ก็จะแตกต่างจากฝั่งเกาะชวาแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย อย่างกับคนล่ะประเทศ เดี๋ยวจะทำแยกไว้อีกเป็น Blog นึงนะคะ แต่ถ้าจบจากตรงนี้แล้วไม่ได้ไปบาหลีต่อ ก็สามารถไปนั่งเครื่องกลับไทยที่สุราบายา ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 8 ชม.ค่ะ
Tips...
- ควรเลือกเวลาบินให้ถึงสุราบายาประมาณช่วงกลางวัน เพราะจะได้มีเวลาพักผ่อนก่อน ไม่เพลียจนเกินไป
- หน้ากากที่ซื้อจากไทย ใส่กันฝุ่นละอองได้เฉพาะที่โบรโม่ ส่วนที่คาวาอีเจี้ยนต้องเช่าอันใหญ่เพราะจะป้องกันได้ดีกว่า
- เช็คสภาพอากาศก่อนเดินทาง และเตรียมอุปกรณ์กันหนาวให้เพียงพอ เพราะบริเวณภูเขาไฟในช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นกับตอนกลางคืนหนาวมากไม่ถึง 10 องศา
- ทางขึ้นเขา กับทางลงปล่องที่ภูเขาไฟคาวาอิเจี้ยน ชันมากกก ควรเลือกใส่รองเท้าให้เหมาะสมด้วยค่ะ
- ถ้าไม่ได้ข้ามไปเกาะบาหลี อาจจะเปลี่ยนการเดินทางมาที่คาวาอิเจี้ยนก่อนแล้วค่อยไปโบรโม่ที่อยู่ใกล้สนามบินมากกว่าก็ได้ตามความเหมาะสมกับไฟล์ทบินของเราค่ะ
ทริปนี้เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางท่องเที่ยวที่สะดวกมาก เที่ยวง่าย ราคาไม่แพง (ถ้ามาหลายคน) เพราะให้ Tommy จัดการให้ทุกอย่าง แต่เราก็ต้องฟิตร่างกายพอสมควรดูแลตัวเองระหว่างเดินทางให้ดี เพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็นมากๆ และถือว่าเป็น 1 ในทริปที่ประทับใจในชีวิตอีกทริปเลยค่ะ
ติดตามข้อมูล รีวิวการเดินทาง พูดคุยกับผู้เขียนได้ที่…
Fanpage : https://www.facebook.com/Mytravelholicdiary/
Instagram : https://www.instagram.com/my_travelholic_diary/
My Travelholic Diary
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 16.04 น.