000

เพราะตกปากรับคำรุ่นพี่ที่น่ารัก อันที่จริงจะเรียกว่า ตกหลุม ก็พอได้

ทริปส์นี้มีเดินจึงได้มีเฮ

ผมนัดเจอรุ่นพี่ที่สถานีขนส่งอาเขตต์ จ.เชียงใหม่ แต่เช้าตรู่ แกขับกระบะมารับ

มุ่งหน้าออกจากเชียงใหม่ไปยังตัวอำเภอสะเมิง

พี่อีกคนขับกระบะเข้าหมู่บ้านล่วงหน้า

ส่วนเรา เบี่ยงลงทางเดิน ลัดเลาะไปตามหุบเขาและนาขั้นบันได

000

ข้างบนเป็นเพียงแผนที่ประมาณการนะครับ อันที่จริงมีถนนดินแดงอย่างดีขับรถไม่เกินชั่วโมงแต่เราเลือกจะเดินไปเรื่อยๆ
ค้างอ้างแรมตามบ้านคนที่รู้จัก กำหนดไว้คร่าวๆ ว่าจะใช้เวลา2คืน3วัน


โฉมหน้าทีมงานผู้ก่อการ เรียงลำดับอายุจากซ้ายไปขวานะครับ
ซ้ายสุดหญิงตุ่น คนต่อมาเพื่อนพี่หยง คนกลางเท้าสะเอวพี่หยงเสื้อฟ้า รุ่นน้องพี่หยงอีก2คน
และคุณลุงชาวปกาเกอญอ พะตีตาแยะ (พะตีแปลว่าลุง)

000

แผนการของเราเป็นดังนี้

ออกจากเชียงใหม่ มุ่งสู่อำเภอสะเมิง ด้วยรถกระบะ

ราวๆ เที่ยง

กินข้าวกันอิ่มหนำแล้วเริ่มเดิน

จากสบลาน สะเมิงใต้ ค้างหนึ่งคืน เช้า เดินต่อไปแม่ขะปูหลวง ค้างอีกหนึ่งคืนแล้วจึงนั่งรถกระบะคันเดิมกลับเชียงใหม่

.. จุดหมายของเราสำคัญน้อยกว่าเรื่องเล่าระหว่างทางครับ ..

ทริปส์นี้บอกได้ว่า ท้าทายตรงที่เราพกสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ไปเท่าที่จำเป็นครับ

เนื่องจากพี่หยงพื้นเพอยู่แถวนั้นและค่อนข้างเป็นผู้กว้างขวางจึงใช้วิธีพักแรมบ้านคนที่รู้จักบ้างหาซื้อของกินระหว่างมื้อหรือขอเอาจากคนที่เข้าใจบ้าง !!!


เริ่มเดินกันเลย !!! ทางที่เห็นเป็นถนนดินระหว่างหมู่บ้านกับหมู่บ้านครับ

000

เพื่อนปกาเกอญอบอกว่า ต้องเดินจนเหงื่อออกแล้วนั่นแหละ เราถึงจะรู้จักตัวเอง


สวนทางกับชาวบ้านระหว่างทาง คุณน้าท่านนี้เพิ่งกลับจากไร่ข้าว !!!

000

ช่วงแรกของการเดินจากถนนดิน ตัดสู่ทุ่งนาขั้นบันได เรามองเห็นเถียงนาเล็กๆ ของชาวบ้านเรียงรายลดหลั่นกันไปตามไหล่เขาลาดภู สิ่งแวดล้อมต่างๆ ดูเหมือนจะกลายเป็นสีเขียว


ช่วงหนึ่งระหว่างเดินเข้าไประหว่างไร่ข้าวสลับข้าวโพด ท้องฟ้าสีฟ้าและมวลเมฆเป็นหมู่ๆ
มันช่างมหัศจรรย์ ใจ !!

000

เดินเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก เป็นคำขวัญประจำใจของพี่หยงอยู่แล้ว ชีวิตมันไม่ได้รีบอะไรนี่ แกว่าเท่ๆ

บางช่วงเราต้องลงลุยน้ำกระโดดข้ามห้วย

.

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่จะต้องกระโดดข้ามลำห้วยด้วยความที่ผมแบกกล้องไว้ในมือและการสปริงข้อขาได้ไม่ดีนักจึงกระโดดผิดท่าผิดที่ทำให้ข้อตรงเข่าเคล็ดขัดยอกจนต้องพึ่งพามือแม่หมอประจำบ้าน (ภาพท้ายเรื่อง)

000




000

เราแวะเยี่ยมเพื่อนบ้านหลายคนระหว่างเดินทาง หมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่า

บางจุดเราไปถึงจวนค่ำแล้วมองเห็นควันไฟหุงหาอาหารลอยกรุ่นมาจากหลังคา จนคล้ายกับว่า ได้กลิ่นข้าวเย็นลอยมาตามลม

หรือระหว่างทางเราเจอเพื่อนหลายคนให้ได้ทักทายกัน

000


เพื่อนเราคนหนึ่ง ผู้ชายเสื้อแดงรักการทำไร่ข้าว ส่วนภรรยาของเขาเป็นเจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก น่ารักทั้งคู่

ส่วนนี่ คู่ซี้ผู้น่ารัก คนซ้ายเป็นทั้งนักเดินทาง คนขวาก็เป็นนักเดินทาง สหายสนิทได้มาเจอกันคราวนี้ครับ

ส่วนภาพนี้น่าสนใจมากครับ ผู้ชายในภาพกำลังทำบ่วงสำหรับดักหนู

000

สรุปว่า ในคืนแรกเรานอนหลับสนิทกันที่บ้านสบลานนะครับ !!!


000

เช้าตรู่ เราจึงได้ออกเดินต่อ มุ่งหน้าแม่ขะปูหลวง

พี่หยงบอกว่า น่าจะใช้เวลาอีกสักครึ่งวันถึงจะได้พัก ที่ไหนได้เราใช้เวลาทั้งวันกว่าจะถึงจุดหมาย

กิโลเมตรของพี่หยงกับของเราไม่เท่ากัน เล่ากันว่า หากถามเพื่อนชาวดอยว่าอีกไกลไหม !!! ปุ๊นสั้น หมายความว่าพอไปได้ หาก ปู้นยาว หมายความว่า หนึ่งคืนเป็นอย่างน้อย

จริงหรือเท็จแค่ไหน ลองพิสูจน์กันดูนะครับ !!!

000



แสงยามบ่ายสาดทำมุมเฉียง ระหว่างที่เราเดินตัดทุ่งนา



บางจุดมีเจ้าวัวน้อยน่ารักน่าชังอย่างนี่ นี่เอง โดนล่ามอยู่กับต้นไม้ปลายนา



หยุดยืนชื่นชมกับทัศนียภาพแนวราบอันงดงามของกระท่อมน้อยปลายนา

เคยถามตัวเองว่าเหมือนกันว่า เอาเข้าจริงจะมีชีวิตอยู่อย่างนี้ได้หรือเปล่าน้อ



ฤดูข้าวชาวบ้านจะทำพิธีไหว้ผีนาผีน้ำขอให้ช่วยเหลือให้ต้นข้าวเติบโตงอกงาม น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ไม่มีโรค ปราศจากศัตรูพืช

พิธีเลี้ยงดูผีนาป่าน้ำจะทำในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน หลังหว่านข้าว

000


พื้นที่พิธีกรรม

ชาวนาจะสร้างศาลเพียงตาเล็กๆ จากตอกไผ่ วางข้าว น้ำ ดอกไม้ที่มีในไร่ ที่ขาดไม่ได้ คือ เหล้าและไก่สำหรับเลี้ยงผีนาผีน้ำ





ภายในไร่ข้าวของชาวดอยมีของให้รับประทานมากมาย พืชผักชนิดต่างๆ จนถึงภาพด้านบน ชนิดนี้ เรียกว่า 'ตัว(อ่อน)ต่อ'

ต่อดินมักจะทำรังอยู่บริเวณโคนดินหรือโพรงดินใกล้ต้นไม้ใหญ่ ชาวบ้านจะรู้ดีว่า รสชาดของตัวอ่อนมีความหอมมันส์แค่ไหน

ปล่อยให้แตกในปาก ผู้สันทัดกรณีว่า ชนิดนี้กินได้ทั้งแบบดิบและแบบคั่วไฟอ่อน

น่าอร่อยนะครับ


ตัวอ่อนคั่วเกลือแล้วดื่มกับใบชาสด อุ่น โรยเกลือเข้าไปนิด ประทับใจไม่มีวันลืมเลือน



ภาพนี้ถ่ายช่วงหลังฝน แดดระยิบระยับในอากาศชื้นฝน สดชื่น






ขออนุญาตลงภาพบรรยากาศนาขั้นบันไดช่วงปลายฝน ด้วยความคิดถึงและอยากให้ภาพได้สื่อสารเรื่องราวของตัวมันเอง

'คล้ายกับว่า-โลกใบนี้เป็นสีเขียว'


ภาพส่งท้ายของทริปส์นี้ อย่างที่เกริ่นไว้แต่แรกเริ่ม ผมกระโดดข้ามห้วยพลาดไปนิด ข้อเข่าเจ็บ จนต้องร้องหาหมอพื้นบ้าน



เฝวเล่ โฉมหน้าหมอพื้นบ้านของเราที่ออกมาจับๆ บีบๆ คลายเส้นให้ผมครับ อายุของแกนี่ราว 90 แกค่อยๆ นวดบรรเทาปวดจนอาการค่อยๆ ดีขึ้น แต่ไม่ได้หายสนิทหรอกนะครับ ถึงตอนนี้อาการปวดจะมาเป็นพักๆ เพราะไม่ได้ใช้หัวเข่าหนักเช่นเดิมเพียงแต่ว่าที่น่าชื่นชม คือ นาทีที่คุณทวดหมอมาช่วยนั้นทำให้ผมเดินไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย



รอยยิ้มของนางช่างหมดจดชวนให้จดจำ


จบทริปส์มีเดิน สนุกแบบปวดๆ มีหลายสิ่งหลายที่น่าประทับใจจนยากจะลืมเลือน

9/9/2559

ginnagan

 วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 15.48 น.

ความคิดเห็น