หลังจากรับรถเช่ามาเป็นที่เรียบร้อย หนูเล็กจัดการตั้ง GPS ปลายทางเป็นที่พักที่เราจองไว้ล่วงหน้าสำหรับคืนนี้ที่ Colmar เมื่อขับรถออกจาก Strasbourg มาได้สักพัก ถนนหนทางเริ่มโล่งขึ้น ทำให้คุณพี่ออเริ่มทำความคุ้นเคยกับรถได้มากขึ้น แม้ว่าจะยังสับสนกับการยกก้านที่ปัดน้ำฝนที่สลับข้างจากเดิมที่คุ้นเคยอยู่บ้าง ซึ่งหนูเล็กในฐานะที่ทำหน้าที่เป็นเนวิเกเตอร์ นั่งอยู่ข้างๆ ทำตัวให้เป็นประโยชน์ในยามวิ่งทางตรงช่วยดูแลการปัดน้ำฝนให้เป็นระยะๆ ทำเลียนแบบบนเครื่องบินที่เขามีผู้ช่วยนักบิน แต่ในรถของเรามีผู้ช่วยคนขับ เป็นอีกตำแหน่งที่ได้มาแบบจำยอม เพื่อช่วยให้คุณพี่ออหมดกังวล และค่อยๆ ใช้เวลาศึกษาการขับรถและการดูป้ายจราจรต่างๆ ด้วยตัวเอง
การขับรถในยุโรปค่อนข้างปลอดภัย เพราะรถส่วนใหญ่ทำตามกฎจราจร สิ่งที่ต้องพึงระมัดระวังคือเรื่องความเร็ว จะต้องขับความเร็วตามป้ายที่กำหนดไว้ (speed limit) ไม่เช่นนั้นเจอกล้องจับภาพเป็นแน่ และเขาก็จะเรียกค่าปรับมาทางบัตรเครติดที่เราไปรูดไว้กับบริษัทรถเช่านั่นละ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ยิ่งถ้าเราตั้ง GPS ไว้ก็ขับไปตามนั้น แต่สำหรับทัวร์เรายังใช้ Google map และอีก Application หนึ่งที่พี่ใหญ่และหนูเล็กนิยมมาก นั่นคือ maps.me เพราะสามารถใช้แบบ offline ได้เลยเพียงแค่ไปดาวน์โหลดแผนที่ประเทศที่จะไปมาเก็บไว้ก่อน
ก่อนเดินทางมา Colmar หนูเล็กได้รับการติดต่อนัดหมายกับผู้ดูแล Tradition Loft ที่พักที่จองไว้ว่า หากมาถึงให้ติดต่อกับเธอ เธอชื่อ Mogane ซึ่งจะมาส่งมอบกุญแจ ให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับที่พัก และรับเงินค่าที่พักซึ่งเรานัดจะชำระเป็นเงินสดกัน กว่าจะหาทางมายังที่พักได้ถูกต้องแทบแย่เอา เพราะฝนที่ตกพรำๆ ตลอดทาง อีกทั้งที่พักเราอยู่ในเขตเมืองเก่าทำให้ต้องวิ่งวนไปตามทางวันเวย์ เพราะบางช่วงรถจะสวนกันไม่ได้ ความยุ่งยากเหล่านี้ทำให้หนูเล็กไม่มีแก่ใจเก็บภาพตอนเข้า Colmar มาฝากเลยค่ะ
และแล้วเราก็มาถึง Traditional Loft ในเวลาเย็นพอควร ช้ากว่าที่ควรจะเป็นไปร่วมชั่วโมงเศษ เมื่อได้เห็นอาคารที่พักพวกเราทุกคนได้แต่มองหน้ากัน แต่ไม่ได้พูดอะไร Mogane นำเราขึ้นทีพักชั้นบนซึ่งไม่มีลิฟท์ ไปยังชั้นสุดท้ายของอาคารหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งน่าจะเป็นห้องใต้หลังคา ทางขึ้นไปสู่ห้องพักบรรยากาศดูแปลกๆ อากาศก็ดูจะยะเยือกๆ พิกล หรือจะคิดกันมากไปก็ไม่รู้ แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านใน ความวิตกกังวลทั้งหลายดูเหมือนจะหมดไป ห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเล่นเอาพวกเราหายเหนื่อย โดยเฉพาะหนูเล็กซึ่งโปรดปรานห้องพักลักษณะเช่นนี้เป็นพิเศษ รู้สึกหลงรักขึ้นมาในทันใด นึกเสียดายขึ้นมาเลยว่าเราไม่น่าค้างที่นี่แค่คืนเดียวเลย หลังจาก Mogane อธิบายการใช้งานเครื่องใช้ต่างๆ และรับเงินค่าที่พักไปเป็นที่เรียบร้อย เธอก็ขอตัวจากไป แต่บอกไว้ว่าสามารถติดต่อเธอได้ตลอดเวลาหากมีปัญหาอะไรหรือต้องการความช่วยเหลือ
ในเมื่อสถานที่พร้อมขนาดนี้ บรรยากาศแสนอบอุ่นและเป็นส่วนตัวกันขนาดนี้ พวกเรา 5 คน จะช้าอยู่ใย วันนี้ "คุณปา" ลูกทัวร์ที่ร่วมก๊วนกันมานานนมหลายทริปแล้วนั้น จึงขอแสดงฝีมือการทำครัวให้พวกเราได้ลิ้มรสอาหารไทยบนแผ่นดินฝรั่งเศสแบบจัดเต็ม จะได้อิ่มหนำสำราญกันอย่างเต็มที่ เสียแต่ว่าขณะทำครัวหน้ามันหมดหล่อไปเยอะ จึงไม่ยอมให้หนูเล็กเก็บภาพ คุณปาจึงขอโชว์เพียงผลงานอาหารมื้อใหญ่เพื่อชดเชยให้ทุกคนหลังจากที่ใช้พลังงานในการลากกระเป๋าเดินเที่ยวกันมาตลอดช่วงเช้า รวมทั้งเพื่อเป็นมื้อฉลองความสำเร็จแด่ คุณพี่ออ ที่ผ่านการทดสอบเป็น พขร. ประจำทัวร์ของพี่ใหญ่กับหนูเล็กนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน
รุ่งเช้าเมื่อเราตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่สนทนากันคือความน่ากลัวของที่พัก เพราะทั้งตึกนี้เหมือนจะมีแค่พวกเราห้าชีวิตที่ใช้ชีวิตอยู่ในนี้ อีกทั้ง Mogane บอกกับเราด้วยความภาคภูมิใจเมื่อวานนี้ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่าเพียงแต่เพิ่งมาปรับปรุงเป็นที่พักให้เช่าได้ไม่นานนัก ฟังแล้วดูมีอดีตให้หลอนๆ เล็กๆ ยิ่งพอฟ้าสว่างและได้เดินลงไปสำรวจด้านล่าง อาคารใกล้กับที่เราจอดรถอยู่เป็นอาคารเก่าแก่ปรักหักพัง เมื่อไปยืนอ่านประวัติทำให้พบว่าตรงนี้เคยเป็นห้องพักราว 3-4 ห้อง และวอลแตร์ (Voltaire) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสเคยมาเช่าห้องพักนี้อยู่กับเพื่อนระยะหนึ่ง บรรยากาศชวนขนลุกดีเหมือนกัน
เราพักกันที่ชั้นบนสุดค่ะ
บริเวณนี้เป็นห้องเช่าที่วอลแตร์เคยมาพักค่ะ
หากจะว่าไปแล้วนับเป็นโชคร้ายอย่างหนึ่งสำหรับการเดินทางมานอนที่ Colmar เพื่อออกเที่ยวในเช้านี้ เพราะนอกจากฟ้าฝนไม่เป็นใจให้เราได้เที่ยวตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้ซึ่งฝนเริ่มเบาเม็ดลงพอที่จะเดินเที่ยวเล่นได้บ้างแม้ฟ้าจะไม่สวย ไม่เป็นใจอย่างที่ตั้งใจจะมา แต่ปรากฏว่าวันนี้เป็นวันแรงงาน (Labor day) ดังนั้น ร้านค้าต่างๆ จึงหยุดกันเกือบหมด ดังนั้น เมื่อออกเดินเข้าไปในเมือง Colmar เมืองแสนสวยอันลือชื่อที่จินตนาการไว้สวยหรูอย่างที่เคยเห็นคนอื่นๆ เขามากันนั้น เงียบเหงาราวกับเมืองร้าง มีนักท่องเที่ยวแบบพวกเราเดินชมเมืองกันประปรายแทบนับคนได้ ฝนก็ยังตกอยู่หยิมๆ ให้พอรำคาญเล่น พวกเราจะมีภาพของเมืองนี้ในแบบที่ไม่มีใครเหมือนเอาเลยทีเดียว
Colmar ตั้งอยู่บนเส้นทางไวน์ของ Alsace และได้ชื่อว่าเป็น "capitale des vins d'Alsace" (เมืองหลวงแห่งไวน์แห่งอัลซาส) ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีความโรแมนติก เมืองหนึ่งของฝรั่งเศส และเป็นสถานที่ที่คู่รักนิยมจะพากันมาด้วยบรรยากาศอันแสนโรแมนติก อาคารบ้านเรือนรอดพ้นจากการทำลายล้างของสงครามกลางเมืองสมัยปฏิวัติฝรั่งเศสและสงครามโลก ทำให้คงความเป็นเอกลักษณ์มาตั้งแต่ยุคกลาง
ลักษณะเด่นของอาคารบ้านเรือนในกอลมาร์รวมทั้งตามหมู่บ้านบ้านต่างๆในแคว้นอัลซาสหลายๆ แห่งที่เขาเรียกกันในภาษาฝรั่งเศสว่า Maison à colombage หรือ Maison à pan en bois คือ ตัวโครงสร้างจะเป็นไม้ทั้งหลัง ทั้งแนวตั้ง แนวนอน ไม่มีการใช้ตะปูหรือน็อตอะไรทั้งนั้น และเพิ่มความมั่นคงและแข็งแรงด้วยการเสริมโครงสร้างไม้ที่เป็นสามเหลี่ยม ซึ่งสามารถทนทานต่อแผ่นดินไหวได้ ข้อดีอีกอย่างของบ้านเรือนแบบนี้ คือสามารถเคลื่อนย้ายได้โดยการถอดโครงสร้างออกเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปต่อกันใหม่ เมื่อขึ้นโครงสร้างไม้เสร็จแล้วตรงช่องโหว่ระหว่างโครงไม้ก็จะทำการโบกด้วยส่วนผสมที่มี ฟาง ใยพืช ดินเหนียว น้ำ จากนั้นก็ฉาบแต่งให้เรียบสวยด้วยปูนธรรมชาติ ที่ใช้ กันมาเนิ่นนาน ก่อนที่จะมีปูนซีเมนต์อุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 20 ด้วยกอลมาร์มีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง ที่นี่จึงมักได้รับการขนานนามว่า little venice (la Petite Venise)
Colmar ในวันเงียบเหงา
วันที่มีเพียงเราและความว่างเปล่า
กอลมาร์เป็นบ้านเกิดของประติมากรเฟรเดริก โอกุสต์ บาร์ตอลดี ผู้ออกแบบอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ ดังนั้น หากเข้าเมืองมาจากทาง Strasbourg จะเห็นอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพตั้งตระหง่านอยู่ กอลมาร์มีชื่อเสียงในการอนุรักษ์เมืองให้ยังคงเป็นเมืองที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมและบรรยกาศของเมืองโบราณ ในตัวเมืองเก่าก็มีพิพิธภัณฑ์ คริสตศาสนสถาน และร้านค้าและที่อยู่อาศัยที่คงสภาพเหมือนเมืองในยุคกลาง
พวกเราทำได้แค่เดินท่ามกลางความเงียบเหงาของเมืองนี้ ชมความงามของตึกรามบ้านช่องไปอย่างสิ้นหวัง ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติของการมาเที่ยว แม้เราจะเตรียมแผนมาดีเพียงใด แต่จะต้องมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ และบางครั้งสถานการณ์และปัจจัยแวดล้อมก็ทำให้เราผิดแผนได้เสมอเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม พี่ใหญ่กับหนูเล็กมีแผนสำรองเพื่อป้องกันลูกทัวร์ของเราผิดหวังค่ะ ว่าแล้วพวกเราก็เช็คเอาท์ออกจากที่พักออกเดินทางกันต่อโดยมีคุณพี่ออเป็นสารถี ก่อนที่เราจะไปยังที่พักในคืนนี้ซึ่งนับเป็นการขับรถที่ยาวนานที่สุดคือร่วมสามร้อยกว่ากิโลเมตร หนูเล็กจะพาลูกทัวร์ไปแวะยังที่หมายสำรองที่ว่ากันก่อน ไปค่ะ ออกเดินทางไปด้วยกัน เพราะดูเหมือนว่าบรรยากาศรอบๆ ตัว ทำให้รู้สึกว่ากอลมาร์วันนี้ไม่พร้อมต้อนร้บเรา ท้องฟ้าหม่นมัว ฝนตกพรำๆ ไม่เป็นไร หากวันนี้เธอยังไม่สวยพอ เราก็จะขอจากไป เพื่อวันหนึ่งจะกลับมาพบกันใหม่
หนูเล็กตั้ง GPS ปลายทางเช้านี้ไว้ที่ Riquewihr หมู่บ้านเล็กๆ อีกแห่งในแคว้น Alsace หวังว่าคงพอทดแทนอารมณ์อยากหวาน อยากโรแมนติกของทุกคนได้บ้าง แม้จะเป็นเวลาเพียงน้อยนิดก็ตาม หวังว่าเราคงไม่ผิดหวังซ้ำสองหรอกนะ
แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายพี่ใหญ่กับหนูเล็กได้ที่
https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/
Piyai&Noolek
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 15.36 น.