[อ]อกไปข้างนอก ออกไปเที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์


“เมืองปราสาทหิน ถิ่นภูเขาไฟ ผ้าไหมสวย รวยวัฒนธรรม"

จังหวัดบุรีรัมย์คือหนึ่งใน 12 จังหวัดที่ ททท. คัดเลือกให้เป็น “เมืองต้องห้าม... พลาด" ในปีการท่องเที่ยว 2558 เดี๋ยวเรามาดูกันว่าเมืองต้องห้ามพลาดนั้น มีอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง

ช่วงเวลาในการเดินทาง : 20-21 สิงหาคม 2559

อุปกรณ์ถ่ายภาพ : Canon Rebel T3i(600D) เลนส์ Kit 18-55 mm และ เลนส์ติดโทรศัพท์มือถือ Sony QX : 100

การเดินทาง : โดยรถไฟไทยขบวนที่ 73 ขบวนรถด่วนดีเซลรางปรับอากาศ ซึ่งผมเลือกนั่งชั้น 3 (พัดลม) จากสถานีบางเขน ปลายทาง สถานีบุรีรัมย์ ค่าโดยสาร 215 บาทถ้วน ออกเดินทางจากสถานีบางเขน 22:21 น. โดยจะถึงบุรีรัมย์ ประมาณ 04:25 น.


สวัสดีพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ห้องบลูและชาวพันทิพย์ทุกๆท่านนะครับ หลังจากที่เก็บข้อมูลการรีวิวของสมาชิกท่านอื่น และได้ไปเที่ยวมาหลายๆที่ รู้เลยว่าการอ่านรีวิวมันมีประโยชน์ ต่อการเดินทางมากๆ ถึงเเม้หลายคนจะพูดว่าไปเที่ยวแบบไม่มีเเพลนนั้นสนุกมากเพียงใด แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยเราควรจะรู้ว่า จุดหมายที่เราจะเดินทางไป ที่นั้นๆเป็นอย่างไรบ้าง การเดินทาง การขนส่งต่างๆ หรือบริเวณใกล้เคียงยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกหรือไม่ เพื่อไม่เป็นการเสียดายที่พลาดไป อย่างน้อยรู้คร่าวๆไว้ผมว่าก็ไม่เสียหายอะไร วันนี้จึงอยากมาแชร์ ประสบการ์ณการท่องเที่ยวและสิ่งที่ผมได้พบได้เจอมาครับ เผื่อเป็นแนวทางเล็กๆน้อยๆ และหวังว่าคงจะมีประโยชน์สำหรับชาวแบกเป้เที่ยวบ้างนะครับ


ขอฝากกระทู้ที่รีวิวไว้ด้วยนะครับ

[Backpacking to.. Khao Chor] เขาช่อ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ขญ.18(เจ็ดคต) อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.สระบุรี : http://pantip.com/topic/35550125

[Train to.. KIRIWONG] เมื่อฉันนั่งรถไฟไปนอนโฮมสเตย์ ที่หมู่บ้านคีรีวง จ.นครศรีธรรมราช : http://pantip.com/topic/35590445


หมายเหตุ : กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกนะครับ หากมีข้อความ ภาพ พิมพ์ผิด หรืออะไรที่ผิดพลาดไปต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ สามารถชี้แนะและแนะนำได้เลยนะครับ และหากรูปภาพการรีวิวของผมมี ภาพของใครหรือบุคคลที่ท่านรู้จัก ซึ่งท่านไม่ต้องการให้อยู่ในการรีวิวนี้ สามารถติดต่อมาที่เพจเพื่อแก้ไขข้อมูลได้เลยนะครับ

Page : ออกไปข้างนอก https://www.facebook.com/outsidelifes

[สามารถเข้าไปชมทริปการเดินทาง พูดคุย และชวนเที่ยวได้ตลอดเวลาครับ พวกเรายินดีอย่างมาก]


พร้อมแล้วออกเดินทางกันเลยครับ..การเดินทางครั้งนี้ผมเริ่มจากสถานีรถไฟบางเขนครับเวลาตามตั๋วที่รถไฟจะมาถึงสถานีคือ 22:21 น. และถึงสถานีรถไฟบุรีรัมย์ 04:25 น. โดยรถไฟไทยขบวนที่ 73 ขบวนรถด่วนดีเซลรางปรับอากาศซึ่งผมเลือกนั่งชั้น 3 (พัดลม) ราคาตั๋ว 215 บาท อากาศเย็นสบายดีครับเนื่องจากเดินทางกลางคืน นอนก็ไม่หลับอีก นั่งเพลินๆยาวไปครับ

หมายเหตุ : ถ้าเริ่มเดินทางจากหัวลำโพง รถไฟจะออกประมาณ 21:50 โดยประมาณนะครับ ทั้งนี้แล้วแต่ว่าแต่ละวันว่าทางการรถไฟจะกำหนดเวลากี่โมง แต่ส่วนใหญ่เวลาก็จะไม่หนีกันมากนัก


หลังจากที่นั่งบ้าง เดินบ้าง และยืนบ้าง มาประมาณ 6 ชั่วโมงได้ รถไฟก็มาจอดที่สถานีบุรีรัมย์ 04:23 น. ผิดคาดไปหน่อยผมกะว่ารถไฟคงเลทสักชั่วโมงนึง แต่ในเมื่อรถไฟมาถึงเวลานี้ ผมก็เดินวนๆอยู่ที่สถานีแล้วจึงตัดสินใจอาบน้ำเลยแล้วกัน (ที่สถานีรถไฟบุรีรัมย์มีห้องอาบน้ำครับ ครั้งละ 10 บาท ห้องน้ำสะอาดใช้ได้ครับ) เสร็จแล้วก็ตั้งใจว่าจะไปศาลหลักเมืองก่อนเพราะหาข้อมูลมาว่าไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก(ประมาณ 1 กม.) ผมเลยตัดสินใจเดินออกมาตาม Google maps ครับ


เดินมาได้สักพักท้องก็เริ่มหิวแล้วครับ ผ่าน 7-11 เลยตัดสินใจหาอะไรรองท้องก่อน ประกอบกับด้านหน้า 7-11 มีสวนสาธารณะอยู่ ผมเลยเดินไปนั่งทานอะไรไปเรื่อยๆซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่ชื่อว่า สวนสาธรณะละลม และลมพัดเย็นสบายดีสมชื่อ ช่วงนี้เริ่มมีคนมาวิ่ง เดิน ออกกำลังกายกัน เพราะเวลาประมาณตีห้ากว่าๆแล้ว


พออิ่มแล้วนั่งไปสักพักก็เริ่มมีอาการง่วง และพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้วแสงเเรกกำลังจะมา ผมเลยตัดสินใจเดินกลับไปซื้อกาแฟ และ M 150 ที่ 7- 11 อีกอย่างละหนึ่ง เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินไปเรื่อยๆเพื่อไปศาลหลักเมือง เพื่อเอาฤกษ์ เอาชัยก่อนเริ่มทริปแบบจริงจังสักที

เดินชมเมืองและสถาปัตยกรรมไปเรื่อยๆ


เดินมาเรื่อยๆ เพลินๆ สักพักก็มาถึงศาลหลักเมืองบุรีรัมย์

ศาลหลักเมืองบุรีรัมย์ จากที่อ่านข้อมูลมา ทางจังหวัดบุรีรัมย์ได้สร้างศาลหลักเมืองขึ้นมาใหม่ ในปี พ.ศ. 2548 รูปแบบศิลปะขอมโบราณที่เลียนแบบมาจากปราสาทหินพนมรุ้ง โดยมีลักษณะเป็นปรางค์มียอดทั้งหมด 5 ชั้น โดยแต่ละชั้นนั้นจะมีการประดับกลีบขนุน และมีเทพประจำทิศเพื่อปกป้องรักษาทิศต่างๆ โดยองค์เรืองธาตุนั้นเป็นที่ประดิษฐานพระหลักเมืองชักมุมออกไปทั้ง 4 ด้าน โดยที่ ภายในตัวศาลได้ตั้งเสาหลักเมืองตรงกลางองค์ปรางค์

เนื่องจากยังเช้าอยู่มาก ประตูทางเข้าองค์ปรางค์ศาลหลักเมืองจึงยังไม่เปิดไห้เข้าไปสักการะด้านใน ผมจึงถือโอกาสเดินชมรอบๆ


ความประณีตของบานประตูองค์ปรางค์ของศาสหลักเมือง


ความประณีตบางส่วนขององค์ปรางค์ศาลหลักเมือง


เทพประจำทิศต่าง ๆ


นอกจากนี้ ด้านข้างศาลหลักเมืองยังมีศาลเจ้าจีนด้วย (ส่วนตัวผมว่ามันขัดๆกันศิลปะแบบขอมโบราณ กับ ศิลปะแบบจีน แต่ในความขัดกันนั้นมันก็ลงตัวอย่างอธิบายไม่ได้ )


เดินถ่ายรูปไปเพลินๆ สักพักลุงที่ดูแลที่นั่น ก็มาเปิดประตูองค์ปรางค์ของศาลหลักเมือง


ด้านในของศาลหลักเมือง


ไม่นานนักก็มีประชาชน ชาวบ้าน รวมถึงนักท่องเที่ยวอย่างผมทยอยมาสักการะ ขอพรแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคล


หลังจากกราบสักการะศาลหลักเมือง และใช้เวลาถ่ายภาพพอสมควรแล้ว มองไปด้านตรงข้ามศาลหลักเมืองทางด้านทิศตะวันตก จะมีวัดกลางพระอารามหลวงตั้งอยู่


วัดกลางพระอารามหลวง วัดกลาง เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองบุรีรัมย์มาแต่โบราณเชื่อกันว่าสระน้ำข้างอุโบสถเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ และทางราชการได้มีประกาศยกวัด กลางบุรีรัมย์เป็นพระอารามหลวง แห่งแรกของบุรีรัมย์เมื่อปี พ.ศ. 2533 และ ปัจจุบันวัดกลางพระอารามหลวง เป็นสถานที่ตั้งสำนักงานเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์อีกด้วย

การปลูกต้นไม้เป็นสิ่งที่ดี แต่เราควรปลูกต้นไม้แบบนี้หรือไม่?(ผมถ่ายภาพมาเฉยๆไม่ได้มีเจตนาอะไรแอบแฝงครับ)



หลังจากนั้นผมตั้งใจไว้ว่าจะไปเที่ยวชม วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง จากที่หาข้อมูลมาต้องขึ้นรถสองแถวสาย 1 (คันสีชมพู ค่ารถตลอดสาย 10 บาท) ที่ตลาดสดเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ซึ่งบางทีเมื่อไปถึงสถานการณ์นั้นแล้วถ้าเราไม่ใช่คนพื้นที่ หรือ เคยไปที่นั่นแล้ว เราจะไม่รู้หรอกว่าจุดจอดที่ตลาดสด จริงๆแล้วรถมันจอดอยู่ส่วนใดของเมืองนี้ ผมเคยได้อ่านรีวิวกระทู้หนึ่ง จขกท. เขียนว่า “แผนที่ อยู่ที่ปาก" ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างมากเพราะเวลาไปสถานที่ไหนๆเราสามารถถามคนในพื้นที่ได้เลย เพราะเขาจะรู้ดีกว่ารีวิวที่เราอ่านเยอะเลยครับ จากนั้นพอได้เส้นทาง(จากป้าที่ร้านตัดผมตรงข้ามศาลหลักเมือนทางทิศใต้)แล้ว แล้วผมเดินไปขึ้นรถตรงเยื้องตลาดสดทันที


พอรถออกมาได้สักพัก ผมเห็นคุณยายท่านหนึ่งโบกรถสองแถวแล้วบอกคนขับว่า “ 2 คนจ้า “ และจ่ายเงินให้คนขับ 20 บาทจากนั้นแกวิ่งไปอุ้มสุนัขพิการ ขาหน้าทั้งสองข้างขาดหายไปเหลือเพียงขาหลังสองข้าง มันทำไห้ผมตั้งคำถามว่า “คนเราจะรักต่องสิ่งๆหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดได้ขนาดนี้เลยเหรอ?" พอคุณยายขึ้นรถมาคนบนรถก็เขยิบให้แกนั่งแต่แกก็ไม่ยอมขึ้นไปนั่ง แกบอกว่าจะนั่งกับสุนัขของแก จากที่ผมสังเกตก่อนแกจะลงรถแกดูรักและเป็นห่วงมันมากแกบอกทุกคนอย่างไม่อายว่านี่คือลูกของแกคนนึงแกไม่เคยทิ้งมันหรอกแม้ว่ามันจะพิการก็ตาม แกบอกว่าถ้าแกไม่เลี้ยงมันไม่ดูแลมันก็คงไม่มีใครคิดสนใจมันหรอก.. เหตุการ์ณนี้เป็นเหตุการ์หนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจมาก ความรักไม่มีที่สิ้นสุด จริงๆครับ

พอคุณยายลงรถไป รถก็แล่นไปเรื่อยๆ

รถสองแถวแล่นมาสักพักจะผ่าน อนุเสาวรีย์พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๑ ซึ่งผมไม่ได้ลงไปสัการะ ภาพนี้ถ่ายไว้ตอนอยู่บนรถสองแถว


อนุเสาวรีย์พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๑ เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ ที่พสกนิกรชาวบุรีรัมย์ได้ร่วมกันสร้างขึ้น ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แห่งผู้สถาปนาเมืองบุรีรัมย์ และเพื่อเป็นอนุสรณ์สักการะ รวมทั้งศูนย์รวมจิตใจที่แสดงถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และมหาจักรีบรมราชวงค์

นั่งรถสองแถวมาเรื่อยๆประมาณ 15 นาทีก็ถึงวนอุทยานภูเขาไฟกระโดง (ประมาณ 8 กม.จากตลาดสด) บริเวณทางขึ้นนี้มีร้านขายอาหารของฝาก อยู่หนาตาผมจึงตัดสินใจทานข้าวเช้าที่นี่ก่อนเลย


วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง เป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว มีร่องรอยปากปล่องเห็นได้ชัดเจนรอบบริเวณปกคลุมด้วยป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์นอกจากนี้บนเขากระโดงยังมีโบราณสถานสมัยขอม รอยพระพุทธบาทจำลอง และพระสุภัทรบพิตร และยังมี เดิมที่ชาวบ้านเรียกเขากระโดงว่า “พนมกระดอง" เป็นภาษาเขมรแปลว่า “ภูเขากระดอง" เพราะมีลักษณะคล้ายกระดองเต่า ชาวบ้านจึงเรียกเพี้ยนเป็นกระโดงสืบมา

วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง สามารถเดินขึ้นบันได 297 ขั้น หรือจะขับรถขึ้นไปจอดบนเขาก็ได้เช่นกัน

เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนจึงทำให้บริเวณรอบร่มรื่นปกคลุมไปด้วยสีเขียวของพืชพรรณ ผมจึงเลือกเดินตามเหล่าวัยรุ่นขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ

นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยมาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้เรื่อยๆเนื่องจากเวลา 9 โมงกว่าๆแล้ว

พระสุภัทรบพิตร ที่ประดิษฐานอยู่ด้านบนวนอุทยานภูเขาไฟกระโดงแห่งนี้

นักท่องเที่ยวเมื่อมาถึงแล้วส่วนใหญ่จะเริ่มต้นมากราบไหว้ สักการะ พระสุภัทรบพิตร กันก่อนเพื่อความเป็นศิริมงคล

หลังจากที่ไหว้พระเสร็จแล้ว ผมจึงเริ่มเดินสำรวจบริเวณรอบๆ

เดินมาเรื่อยๆ ก็มาเจอมุมยอดนิยมที่เหล่าวัยรุ่นตัวน้อยโปรดปราณกัน

ปล. นี่ผมเข้าใจผิดว่ามันคือ สไลเดอร์ มาตลอด ที่แท้มันมีรากศัพท์มาจาก สิไหลเด้อ นี่เอง ซึ่งป้ายชื่อนี้เรียกรอยยิ้มไห้ผมได้เยอะเลยทีเดียวครับ

เหล่าวัยรุ่นตัวน้อยก็สนุกสนานกันเต็มที่

เดินถัดมาอีกหน่อยก็จะเจอ สะพานแขวน สถานยอดนิยมของวัยรุ่นเมืองบุรีรัมย์กันครับ


บางกลุ่มก็ถ่ายรูปกันไป

บางคู่ก็เซลฟี่

ส่วนนี่คือปากปล่องภูเขาไฟที่มอดดับมานานแล้ว


ผมสังเกตเห็นว่าบางคู่ก็มาคล้องแม่กุญแจตามราวสะพานกันเป็นคู่ๆด้วย น่ารักดีครับ

เนื่องจากความร่มรื่น บวกกับอากาศที่เย็นสบาย ผมจึงใช้เวลาอยู่ที่นี่นานพอสมควร

ประมาณบ่ายโมงกว่าๆ ผมจึงตัดสินใจเดินลงไปด้านล่าง

ขณะเดินลงไปก็จะมีบรรยากาศน่ารักๆ ของหลายๆครอบครัวที่มาเที่ยวสถานที่แห่งนี้

หลังจากลงมาแล้วผมจึงตัดสินใจทานอาหารกลางวันร้านเดิม(บริเวณหน้าห้องน้ำ เพราะอยู่ลึกทำให้ผู้มาทานร้านนี้น้อย แต่รสชาติดีทีเดียวครับ) หลังจากนี้ผมตั้งใจว่าจะไป ปราสาทหินพนมรุ้งต่อครับ โดยกลัมมาขึ้นรถสองแถวสาย 1 ที่เดิมแต่เป็นฝั่งตรงข้าม รอรถสักพักรถก็มา ผมจึงเดินทางไปยังสถานีขนส่งบุรีรัมย์ต่อไป


หมายเหตุ : รถสองแถวสาย 1 นี้ ก่อนถึง วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง จะผ่าน สนามฟุตบอล I mobile stadium สนามฟุตบอลคู่เมืองบุรีรัมย์ ด้วยนะครับ แต่เนื่องจากเวลาที่น้อยเกินไปบวกกับอากาศบนท้องถนนที่ค่อนข้างร้อน ทำไห้ผมไม่ได้แวะเยี่ยมชมจากที่ผมหาข้อมูลไว้ หากจะเดินทางไปที่ปราสาทหินพนมรุ้งนั้นจะต้องเดินทางไปที่ บขส.นางรองก่อน แล้วจึงต่อรถไปที่สามแยกตาเป๊ก(สามแยกพนมรุ้ง) แต่หลังจากที่ผมได้ติดต่อที่พักไว้และได้เบอร์ติดต่อได้โทรไปคอนเฟิร์มทางรีสอร์ท ว่าจะไปแน่นอน(เนื่องจากบ่ายสองแล้วกลัวว่าที่พักจะหลุดจองเพราะผมไม่ได้มัดจำก่อน) เมื่อโทรไปหาที่พักบอกว่าอยู่ บขส.บุรีรัมย์ ทางรีสอร์ทแนะนำว่าให้ขึ้นรถทัวร์สาย บุรีรัมย์-จันทบุรี มาได้เลยต่อเดียวถึงและเป็นโชคดีของผมมากที่มาถึง บขส.บุรีรัมย์ 14:20 น. เพราะว่ารถทัวร์จะออก 14:30 ซึ่งจะมีรอบรถอีกทีก็คือ 17:20 น. (แต่หากมาไม่ทันก็ยังมีรถสายอื่นอีกที่ไป บขส.นางรอง และต่อรถเพื่อไปอีกครับ) ในราคาตั๋ว 60 บาท จากนั้นบอกคนเก็บตั๋วบนรถว่าลงแยกพนมรุ้ง ถึงแล้วรบกวนเรียกด้วยนะครับ หลังจากนั้นรถก็ออกมาเรื่อยๆ แต่เพื่อความไม่ประมาทที่จะเลยสามแยกผมก็เปิด Google maps เพื่อเช็คไปพลางๆด้วย

ตัดภาพมาที่ประมาณสี่โมงเย็นกว่าๆ รถก็มาถึงแยกพนมรุ้งผมจึงลงจากรถและโทรหาพี่ที่รีสอร์ทให้มารับครับ

สมาร์ท รีสอร์ท เป็นรีสอร์ทที่อยู่ห่างจากปราสาทหินพนมรุ้งเพียง 6 กม.ครับและห่างจากจุดจอดรถประมาณ 500 เมตร ผมต้องหาที่พักใกล้ๆเพราะว่าตั้งใจว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ปราสาทหินพนมรุ้งเช้าพรุ่งนี้ นี่คือเหตุผลที่ผมเลือกมาพักที่นี่

หมายเหตุ : หากท่านใดต้องการไปพักที่นี่ ติดต่อได้ที่ http://www.smart-resort.com/th/ หรือโทรสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 081-6600968

ผมได้ลองหาข้อมูลที่พักในเว็บไซต์ agoda เช่นกันครับห้องพักจะอยู่ที่ราคา 377 บาท แต่เมื่อรวมค่าบริการของเว็บไซต์จะตกไปอยู่ที่ 440 บาท ผมเลยลองเอาชื่อโรงแรมมาเสิดใน Google อีกครั้งพบว่าห้องมันราคา 400 บาท/คืน และมีเบอร์ติดต่อผมจึงโทรมาติดต่อเองและขอคำแนะนำต่างๆเรื่องเช่ารถมอร์เตอร์ไซค์ด้วย ซึ่งนั่นเท่ากัยบว่าผมประหยัดเงินไปได้อีกตั้ง 40 กว่าบาทเลยครับ

ลักษณะห้องครับ ห้องพักราคาค่อนข้างถูก 400 บาท/คืน สะอาดดีครับรวมถึงห้องน้ำและผ้าเช็ดตัวด้วย(มีเฟอร์นิเจอร์ โทรทัศน์ แอร์ ตู้เย็นพัดลม เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เสื้อผ้า ระเบียงหลังห้องและ WIFI ไว้บริการ) และผมได้ติดต่อเช่ามอเตอร์ไซค์ไว้ที่ราคา 250 บาท/วัน(ไม่รวมค่าน้ำมัน)

หมายเหตุ : ผมไม่ได้ค่าจ้างมารีวิวนะครับแค่อยากแนะนำต่อเพราะว่าผมเห็นว่าสะดวกดี ยิ่งช่วงเดือนหน้าวันที่ 8-10 กันยายน 2559 จะมีปรากฎการณ์ พระอาทิตย์ขึ้นผ่าน 15 ช่องบานประตูปราสาทหินพนมรุ้ง ทางขึ้นประตู 3 จะไกล้ที่สุด(มี 3 ประตูทางขึ้น) ยิ่งสะดวกมากเพราะรีสอร์ทตั้งอยู่แถบประตู 3

ด้านหน้ารีสอร์ทจะเป็นทุ่งนาครับ เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน ทำให้ชาวบ้านเริ่มปลูกข้าวกันขับรถไปทางไหนก้มีแต่สีเขียวขจี มองแล้วสบายตาดีครับ

หลังจากเดินทางมาอย่างยาวนาน ผมจึงตัดสินใจไปอาบน้ำเพื่อเพิ่มความสดชื่นตอนแรกว่าจะนอนพัก แต่พอคิดอีกทีไหนๆก็มาแล้ว แสงพระอาทิตย์ก็ยังมียังไม่มืดด้วย เลยติดต่อมอเตอร์ไซค์ที่เช่าไว้และขับไปเรื่อยๆตัดสินใจว่าจะไปหาดูพระอาทิตย์ตกจึงขับไปที่ปราสาทหินพนมรุ้งเพราะว่าอยู่บนภูเขาเป็นพื้นที่ค่อนข้างสูงน่าจะพอเห็นบ้าง แต่พอมาถึงที่ปราสาท เนื่องจากเป้นเขตอุทยานฯ ซึ่งจะปิดให้เข้าชมเวลา 18:00 น. จากที่ดูในแอพโทรศัพท์ พระอาทิตย์จะตกประมาณ 18:28 น. ซึ่งระหว่างทางมาที่ปราสาทผมสังเกตเห็นว่ามีศาลาชมวิวอยู่ ผมเลยตัดสินใจกลับไปดูที่นั่นแทน

มาทันพระอาทิตย์กำลังตกพอดีครับ นั่งดูไปเพลินๆ ก็มืดซะแล้ว

หลังจากพระอาทิตย์ตกแล้วผมก็ขับรถลงมาหาอะไรทานที่แถวๆสามแยกตาเป๊กครับ พอมีร้านอาหารตามสั่งอยู่ครับ และมี 7- 11 อยู่บริเวณนั้นด้วย หลังจากนั้นผมก็กลับรีสอร์ทหลังจากที่ตั้งใจว่าจะกลับมาที่รีสอร์ทและคิดว่าจะหาอะไรเย็นๆดื่มเพื่อผ่อนคลายหลังจากที่เดินทางมาทั้งวัน แต่เนื่องจากระหว่างทางที่จะเข้ามารีสอร์ทค่อนข้างมืด ผมลองแหงนดูทองฟ้าปรากฎว่าเห็นดาวอยู่เต็มท้องฟ้าเลยกะว่าเดี๋ยวลองออกไปถ่ายภาพดาวด้านหน้ารีสอร์ทดูก่อนดีกว่า ผมจึงเดินออกมาด้านหน้ารีสอร์ทและเดินเข้าไปที่ทุ่งนาอีกนิดเพราะว่าแสงไฟจากทางรีสอร์ทยังมีอยู่บ้างอาจจะทำไห้ถ่ายค่อนข้างยาก หลังจากที่งัดสกิลถ่ายภาพออกมาค่อนข้างนานเพราะนานๆจะได้ถ่ายภาพท้องฟ้าสักที ก็ปรากฏภาพทางช้างเผือกที่สวยงามมากในความคิดของผม

ถ่ายภาพไปสักพัก เมฆก็เริ่มเคลื่อนตัวมาเต็มท้องฟ้า และพระจันทร์ดวงโตก็เริ่มขึ้นมา ทำไห้มองดวงดาวเริ่มไม่เห็นแล้ว

ผมตัดสินใจเก็บกล้องและไปหาอะไรเย็นๆดื่มอย่างที่ตั้งใจไว้ และนั่งคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับพี่โทน(คนดูแลที่รีสอร์ท)ไปสักพัก และเนื่องจากไม่ได้นอนมากว่า 24 ชั่วโมงแล้วผมจึงขอตัวไปพักผ่อน เพื่อเก็บแรงไปลุยไนวันพรุ่งนี้ต่อไปหลังจากที่กลับเข้าห้องพักเมื่อวาน ด้วยความเพลียพอหัวถึงหมอนได้ผมก็หลับไปอย่างรวดเร็ว เช้านี้ผมตื่นมาเวลาประมาณตีสี่กว่าๆ จึงรีบอาบน้ำและแต่งตัว หาอะไรรองท้องเป็นพวกนมและขนมปังที่ซื้อมาจาก 7-11 เมือวาน จากนั้นจึงรีบขับรถมอเตอร์ไซค์ไปยัง ปราสาทหินพนมรุ้ง เพื่อชมพระอาทิย์ขึ้น (ค่าเข้าชม 20 บาท แต่ถ้าเข้าชมปราสาทหินเมืองต่ำด้วยจะอยู่ทราคา 30 บาท ซึ่งผมเลือกเข้าชมทั้งสองสถานที่ครับ)


ปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทหินพนมรุ้งเป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่บนเขาพนมรุ้ง โดยมีรูปแบบของศิลปะเขมรโบราณ ความงดงามและความยิ่งใหญ่ของปราสาทแห่งนี้ปรากฏให้เห็นได้ในรูปของงานสถาปัตยกรรม การจำหลักลวดลายการเลือกทำเลที่ตั้งบนยอดเขามีแผนผังตามแนวแกนที่มีองค์ประกอบของสิ่งก่อสร้าง ต่าง ๆ เรียงตัวกันเป็นแนวเส้นตรงพุ่งเข้าหาจุดศูนย์กลาง คือ ปราสาทประธาน จากงานก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่นี้ ชวนให้เกิดความสงสัยและอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งว่าคนในสมัยโบราณสร้างปราสาทหลังนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?

ผมเดินทางมาถึงปราสาทหินพนมรุ้งประมาณ 6:00 น. มาทันชมพระอาทิตย์ขึ้นพอดี จึงหยิบกล้องมาถ่ายภาพเก็บไว้

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆผมจึงถือโอกาสเดินชมรอบๆปราสาท


ทางเดินสู่ปราสาท

วันที่ผมไปก็มีนักท่องเที่ยวมาตอนเช้าหนึ่งกลุ่ม พอถ่ายรูปและเดินชมสักพักก็กลับกันไป ทำไห้ตอนนี้ปราสาทเหลือแค่เพียงผมและน้องหมาตัวนี้

ด้านหน้าปราสาทจะมีสระบัวเล็กๆอยู่ 4 บ่อ ตอนเช้าๆแบบนี้ดอกบัวบานสระพรั่งสวยดีครับ

ผมก็เดินถ่ายรูปเพลินๆไปเรื่อยๆ


ระหว่างนั้นก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทยอยเข้ามาเช่นเดียวกันครับ

15 ช่องบานประตู ของปราสาทหินพนมรุ้ง

ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ส่องแสงลอดประตูทั้ง 15 บาน ณ เขาพนมรุ้ง สามารถชมได้ทั้งหมด 4 ช่วงใน 1 ปี สามารถเริ่มต้นชมพระอาทิตย์ตกในวันที่ 6-8 มีนาคม และวันที่ 6-8 ตุลาคม ของทุกปีจุดที่สามารถดูได้คือด้านหน้าปราสาทหินพนมรุ้ง และหากจะดูพระอาทิตย์ขึ้นต้องช่วงในวันที่ 3-5 เมษายน และวันที่ 8-10 กันยายน ของทุกปีจุดที่สามารถดูได้คือด้านหลังปราสาทหินพนมรุ้ง


ที่เห็นนี่คือภาพสลัก ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ครับที่ได้คืนมาจากสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก และได้นำเอาทับหลังชิ้นนี้กลับไปติดตั้งยังที่เดิม ณ องค์ปราสาทพนมรุ้ง ในวันที่ 7 ธันวาคม 2531

ภาพสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์ เป็นภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์ โดยพระนารายณ์บรรทมตะแคงขวา เหนือ พระยาอนันตนาคราช ซึ่งทอดตัวอยุ่เหนือมังกรอีกต่อหนึ่งท่ามกลางเกษียรสมุทรมีก้านดอกบัวผุด ขึ้นจากพระนาภีของพระองค์ มีพระพรหมประอยู่เหนือดอกบัวนั้น พระนารายณ์ทรงถือ คฑา สังข์ และจักรไว้ในพระหัตถ์หน้าซ้าย พระหัตถ์หลังซ้ายและพระหัตถ์หลังด้านขวาตามลำดับ ส่วนพระหัตถ์หน้า ขวา รอบรับพระเศียรของพระองค์เองทรงมงกุฏรูปกรวยกภณฑล กรองศอ และทรงผ้าจีบเป็นริ้วมีชายผ้ารูปหาปลาซ้อนกันอยู่ 2 ชั้นด้านหน้าคาดด้วยสายรัดพระองค์มีอุบะขนาดสั้นห้อยประดับ มีพระลักษณ มีชายาพระองค์ประทับนั้นอยู่ตรงปลายพระบาท สำหรับพระพรหมซึ่งประทับเหนือดอกบัวนั้น มีสี่พักตร์ สี่กร ถัดจากองค์พระนารายณ์มาทางซ้ายบริเวณเลี้ยวของทับหลัง มีรูปหน้ากาลคายพวงอุบะขนาดใหญ่ เหนือหน้ากาลมีรูปครุฑใช้มือยึดนาคไว้ข้างละต้นนอกจากนี้ยังปรากฏรูปสัตว์อื่น ๆ ได้แก่ นกแก้ว ลิง และนกหัสดีลิงก์คาบช้างอยู่ด้วย การบรรทมสินธุ์ของพระนารายณ์นั้น คือการบรรทมในช่วงการสร้างโลก การบรรทมแต่ละครั้งนั้นจะเกี่ยวกับยุคเวลาในแต่ละกัลป์ภาพทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่ปราสาทพนมรุ้งนี้คงได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์วราหปุราณะ เป็นคัมภีร์ที่ให้ความสำคัญแก่พระนารายณ์เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ในขณะที่พระนารายณ์กำลังบรรทมอยู่นั้นได้ทรางสุบินขึ้นจากพระนาภี บนดอกบัวได้บังเกิดพระพรหมและพระพรหมทรงเป็นผู้สร้างมนุษย์และสิ่งต่าง ๆ

ด้านบน ภาพสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์ จะเป็นภาพสลักพระศิวะนาฏราชครับ

ภาพสลักพระศิวะนาฏราช ที่บริเวณหน้าบันด้านทิศตะวันออกของมณฑปปราสาทประธานเป็นภาพจำหลักพระศิวะนาฏราช หรือพระศิวะทรงฟ้อนรำ เป็นภาพพระศิวะเศียรเดียว สิบกร อยู่ในท่าฟ้อนรำ แวดล้อมด้วยบุคคล โดยบุคคลที่อยู่ทางซ้ายมือสุดของพระศิวะ คือ พระคเณศ โอรสของพระองค์ ถัดมาน่าจะได้แก่ พระวิษณุ พระพรหม ตามลำดับ และมีภาพเทวสตรี 2 องค์อยู่ทางด้านขวาตามความเชื่อในศาสนาฮินดูจังหวะการ่ายรำของพระศิวะอาจะบันดาลให้เกิดผลดีและผลร้ายแก่โลกได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสวดอ้อนวอนให้พระองค์ฟ้อนรำในจังหวะที่พอดี โลกจึงจะสงบหากพระองค์โกระกริ้วฟ้อนรำในจังหวะที่รุนแรง จะนำมาซึ่งภัยพิบัติต่าง ๆ

เดินชมความงดงามของสถาปัตยกรรมไปสักพัก นักท่องเที่ยวก็เริ่มทยอยเดินทางมาชมความงามของสถาปัตยกรรมเช่นเดียวกับผมแล้วครับ ผมจึงตัดสินใจเดินทางไปที่ปราสาทหินเมืองต่ำต่อครับ

หมายเหตุ : เนื่องจากปราสาทหินพนมรุ้งค่อนข้างกว้างขวาง และมีความงดงามทางสถาปัตยกรรมอยู่มาก แต่ผมไม่สามารถนำทุกภาพมารีวิวทั้งหมดได้ครับ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ


หลังจากที่ตั้งใจว่าจะเดินทางไปชมความงดงามของปราสาทหินเมืองต่ำต่อ พอดีได้เจอกับคุณป้าที่คอยดูแลเรื่องความสะอาดที่ปราสาทพนมรุ้งนี้ จึงได้เข้าไปสอบถามว่าบริเวณใกล้เคียงนี้มีสถานที่ใดน่าสนใจอีกบ้าง ได้ข้อมูลว่ามีน้ำตกพนมรุ้งอยู่ไกล้ๆทางเข้า(ประตู3) ประมาณ 500 เมตร น้อยคนที่จะรู้ว่ามีอยู่ ผมเลยเอ่ยปากขอบคุณคุณป้า แล้วขับรถมอเตอร์ไซค์ออกมา มาถึงจะมีศาลาแปดเหลี่ยมอยู่ จากที่คุณป้าบอกมาผมดันจำไม่ได้ว่าเดินทางซ้ายหรือขวา บวกกับมีรอยทางเดินชัดเจนอยู่ทั้งสองข้างศาลาผมเลยตัดสินใจเดินทั้งด้านซ้ายและขวา แต่เนื่องจากน้ำตกพนมรุ้งนี้จะมีน้ำไหลก็ต่อเมื่อฝนตกเท่านั้น และช่วงนี้ฝนขาดช่วงมาได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์แล้ว ผมเดินหาทั้งสองด้านจึงไม่ได้เห็นน้ำตกอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเดินทางไปปราสาทหินเมืองต่ำ ต่อไปครับ


ผมเดินทางมาถึงปราสาทหินเมืองต่ำในช่วงสายๆประมาณ 9 โมงกว่าได้(ห่างจากปราสาทหินพนมรุ้งประมาณ 8 กม.ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้)

ปราสาทหินเมืองต่ำ เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู รูปแบบศิลปะขอมแบบบาป มีลักษณะเป็นกลุ่มปราสาทอิฐ 5 องค์ ตั้งอยู่บนศิลาแลงอันเดียวกัน เรียงเป็น 2 แถวตามแนวทิศเหนือใต้ แถวหน้า 3 องค์ องค์กลางมีขนาดใหญ่กว่าปรางค์อื่น ส่วนแถวหลังมีปรางค์อิฐจำนวน 2 องค์ วางตำแหน่งให้อยู่ระหว่างช่อง ของปรางค์ 3 องค์ ในแถวแรก ทำให้สามารถมองเห็นปรางค์ทั้ง 5 องค์ พร้อมกันโดยไม่มีองค์หนึ่งมาบดบัง ปราสาททั้ง 5 จะล้อมรอบด้วยระเบียงคดซึ่งมีทับหลังและซุ้มประตูแกะสลักด้วยหินทราย มีสระน้ำ กรุด้วยศิลาแลง ทั้ง 4 ทิศ มุมสระมีพญานาคหินทราย 5 เศียร ทอดตัวยาวรอบขอบสระน้ำ ชั้นนอกปราสาทมีกำแพงศิลาแลงอีกชั้น

หมายเหตุ1 : ปราสาทหินเมืองต่ำ คำว่า เมืองต่ำนี้ไม่ใช่ชื่อดั้งเดิมแต่เป็นชื่อที่ชาวพื้นเมืองเรียกโบราณสถานแห่งนี้เพราะปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่ในที่ต่ำกว่าปราสาทพนมรุ้งนั่นเอง

หมายเหตุ2 : ศิลปะขอมแบบบาปวน คือ ทับหลังมีลักษณะเป็นการเล่าเรื่องโดยมีภาพบุคคลเป็นส่วนใหญ่มีรูปของหน้าสัตว์ประหลาดโดยการผสมผสานรวมกับเทวดาที่นั่งอยู่ภายในซุ้ม

บรรยากาศด้านนอกก่อนเข้าชมตัวปราสาท ร่มรื่นดีคับ

บางมุมด้านนอกปราสาท มีการปลูกต้นไม้ตกแต่งไว้ด้วยครับ

เมื่อเข้ามาด้านในปราสาทจะพบว่ามีบ่อสระน้ำขนาดใหญ่ 4 สระล้อมรอบตัวปราสาทชั้นในอยู่ 4 ทิศเลยครับ

สระน้ำที่ล้อมรอบปราสาทประธาน แสดงถึงมหาสมุทรทั้ง 4 ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุตามคติพราหมณ์ดังได้กล่าวมาแล้ว ลักษณะเป็นสระน้ำหักมุมฉากอยู่ทั้ง 4 ทิศ สันนิษฐานว่าใช้กักเก็บน้ำในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

ความโดดเด่นที่สำคัญอีกอย่างคือ นาคที่ขอบสระทั้ง 4 เป็นนาคแบบเศียรโลน ไม่มีแผงรัศมี ซึ่งเป็นศิลปะแบบบาปวนอย่างแท้จริง นาคนั้นไม่มีหาง ซึ่งปรายสุดของนาคจะมีเศียรจรดหัวท้าย

วันที่ผมเดินทางไปนั้นจะได้เห็นคณะครูและกลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ผมแอบได้ยินการสนทนากัน คล้ายๆว่ามาอบรมให้ความรู้กับเด็กนักเรียนเพื่อให้เด็กๆเป็นยุวมัคคุเทศก์รุ่นใหม่ ไว้คอยให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวต่อไปครับ เลยแอบถ่ายรูปมาสักหน่อย

จากนั้นผมเลยถือโอกาสเดินชมรอบๆปราสาท และถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ตัวอาณาเขตภายในกำแพงที่ล้อมรอบมีพื้นที่ไม่ค่อยกว้างมากนัก

ภายในสระน้ำมีการปลูกดอกบัวแดง(บัวสาย) และปล่อยปลาไว้ด้วยเช่นกัน

วันนี้แดดค่อนข้างแรงเลยครับ แต่ภายในมีต้นไม่ใหญ่ให้คอยหลบแดดอยู่บ้างและมีลมพัดอยู่ตลอดเลยทำไห้ช่วยแบ่งเบาความร้อนอบอ้าวออกไปได้บ้าง

หลังจากเดินชมรอบๆจนทั่วแล้ว ผมจึงเดินออกมาด้านนอก ตรงบริเวณจำหน่ายตั๋วทางเข้าผมสังเกตว่ามีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า และมีต้นไม้อยู่หนาตาเลยตั้งใจว่าจะไปนั่งพักแถวๆนั้น

บารายเมืองต่ำ หรืออ่างเก็บน้ำโคกเมือง ตั้งอยู่ทิศเหนือของปราสาทหินเมืองต่ำ ลักษณะเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ชาวบ้านเรียกว่า "ทะเลเมืองต่ำ" มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามแนวทิศเหนือใต้ ขอบสระก่อด้วยศิลาแลง บารายเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา หมายถึง มหาสมุทรของจักรวาลที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุและยังเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนในชุมชนเมืองในสมัยโบราณอีกด้วย

ผมใช้เวลาอยู่ที่สันบารายนี้ค่อนข้างนาน เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาใกล้จะเที่ยงวันแล้ว แดดแรงและร้อนอบอ้าวมาก และที่นี่ก้มีความร่มรื่นบวกกับลมพัดเย็นสบาย ผมจึงเปิดเพลงฟังเพื่อสร้างบรรยากาศความชิวให้ตัวเอง ขัดกับอากาศบนท้องถนนมาก

นั่งไปเรื่อยด้วยความเพลิน พอดูเวลาอีกที่ก็ใกล้เที่ยงเข้าไปทุกทีผมจึงรีบขับมอเตอรืไซค์กลับรีสอร์ทเพื่อเช็คเอ้าท์ ซึ่งพี่โทนนัดไว้ตอนก่อนเที่ยงครับพอกลับมาถึงรีสอร์ทผมจึงรีบไปเก็บของต่างๆ เนื่องจากเวลาเลยเที่ยงมาแล้วผมจึงขออณุญาติพี่โทนอาบน้ำก่อนเพื่อคลายความร้อน พออาบน้ำเสร็จนั่งพักและถามพี่โทนว่าแถวนี้มีอะไรไกล้ๆให้ไปได้อีกหรือไม่เพราะว่ายังเหลือเวลาอีกพอสมควรเลยทีเดียว พี่โทนและลุงที่ดูแลอีกคนจึงแนะนำให้ไปที่ วัดเขาพระอังคารจะไม่ไกลมาก ผมจึงเสิร์ชดูระยะทางได้ความว่าห่างจากรีสอร์ท ประมาณ 11 กม. ผมจึงฝากของบางส่วนไว้ที่รีสอร์ทก่อนแล้วขับรถมอเตอร์ไซค์ต่อไปยังวัดเขาพระอังคารตามคำแนะนำ


ไม่นานนักผมก็ถึงวัดเขาพระอังคารแล้วครับ

วัดเขาพระอังคาร เป็นวัดที่มีวัตถุธรรมความสวยงามของวัดพุทธศิลป์ความสวยงามของวัดพุทธศิลป์ผสมศิลป์ขอมแนวเดียวกันกับปราสาทหินเขาพนมรุ้งส่วนสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างที่เห็นในวัดปัจจุบัน ส่วนใหญ่สร้างใหม่ทับของเก่ามีโบสถ์ที่ประยุกต์จากสถาปัตยกรรมหลายสมัย ดูสวยงามแปลกตา และนอกจากนี้บริเวณวัดยังเป็นปากปล่องภูเขาไฟที่มอดดับมานานแล้วอีกด้วย

เช่นเคยครับเมื่อมาถึงวัดผมก็กราบไหว้พระก่อนที่จะเริ่มเดินสำรวจรอบๆวัดครับ หลังจากที่กราบไหว้เสร็จแล้วผมก็เริ่มเดินชม และถ่ายภาพรอบๆบริเวณวัด

ตัวโบสถ์ ประกอบด้วยสถาปัตยกรรมหลายสมัย ดูแปลกตาแต่ก็สวยงามดีนะครับที่แตกต่างจากโบสถ์วัดทั่วไป คือ โบสถ์รูปทรงแปลก ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์

รอบๆตัวโบสถ์ ได้มีการนำพระพุทธรูปมาประดิษฐานเรียงต่อกันเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามความกว้าของตัวอุโบสถ์เลยครับ

มณฑป อยู่ทางทิศตะวันตกของโบสถ์ครับ

ผมใช้เวลาอยู่ที่วันเขาพระอังคารนี้ไม่นานมากเพราะความหิวและท้องเริ่มประท้วงแล้ว จึงขับรถมอเตอร์ไซค์ออกมาทานข้าว พอทานเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็มุ่งหน้ากลับรีสอร์ทันทีอากาศวันนี้ร้อนมากครับแดดแรงมากด้วย แต่ด้วยความที่ตั้งใจมาชิลล์ผมเลยตัดสินใจเสียบหูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆแล้วแหกปากร้องเพลงตามเรื่อยๆ ตาก็มองทุ่งนาสีเขียวๆไปด้วยเพื่อดึงความสนใจจากความร้อนของอากาศในวันนี้ และระหว่างทางกลับรีสอร์ทนั้นผมก็ครุ่นคิดว่าจะกลับยังไงดี(กลับกรุงเทพ) จะย้อนกลับไปที่บุรีรัมย์แล้วขึ้นรถไฟกลับเหมือนเดิม หรือจะไปโคราช(นครราชสีมา) แล้วนั่งรถทัวร์กลับดี ขับมอเตอร์ไซค์มาเพลินๆก็มาถึงรีสอร์ทแล้วครับ ผมจึงสอบถามเรื่องการเดินทางได้ความว่าถ้าจะไปโคราช มีรถสาย สุรินทร์-ราชสีมาผ่านตรงแยกตะโก(ห่างจากรีสอร์ทประมาณ 6 กม.) ค่ารถ 60 บาท ผมจึงคิดในใจว่า ค่ารถทัวร์เข้าบุรีรัมย์ 60 บาท+ค่ารถไฟกลับบางเขน 215 บาท ส่วนค่ารถทัวร์เข้าโคราช 60 บาท+ค่ารถทัวร์เข้าหมอชิตจากโคราช 191 บาท ซึ่งจะใช้เงินพอๆกันแต่ระยะเวลาโดยรถทัวร์จากโคราชประมาณ 3.5 ชมส่วนรถไฟประมาณ 6 ชม. ดังผมจึงตัดสินใจกลับโดยเส้นทางไปโคราชก่อน หลังจากตัดสินใจได้แล้วผมจึงขออณุญาติพี่โทนอาบน้ำใหม่อีกหนึ่งรอบ


หลังจากที่อาบน้ำเก็บของเสร็จเเล้วก็ถึงเวลาร่ำลาแล้วครับ ผมก็ได้เเต่เอยบอกขอบคุณสำหรับคำแนะนำต่างๆ และบอกพี่โทนไว้ว่าถ้ามีโอกาศคงได้กลับมา กลับมานั่งดื่ม นั่งคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันอีก จากนั้นลุงเเกก็ไปส่งผมที่แยกตะโกเพื่อรอรถเข้าโคราชต่อไปครับ

นอกเรื่อง เนื่อจากตอนมหาวิทยาลัย ผมได้มีโอกาสไปเรียนที่โคราชครับ ซึ่งตอนนี้ก็ยังมีเพื่อนที่เรียนต่อปริญญาเอกอยู่หลายคน ผมจึงสอบถามนัดเเนะเพื่อไปหาอะไรทานกันพูดคุยตามประสา เนื่องจากไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลานานพอสมควร คุยกันเพลินไปหน่อยกว่าจะได้ออกจากโคราชก็สี่ทุ่มกว่าๆแล้ว(รถโคราช - หมอชิตมีตลอด 24 ชม. ครับ) การเดินทางทริปของผมสิ้นสุดลงเมื่อถึงห้องและโทรบอกแม่ว่าถึงห้องแล้ว เวลาประมาณตี3 ครับ จากนั้นผมจึงรีบพักผ่อน เพื่อจะตื่นไปทำงานต่อในวันรุ่งขึ้นต่อไปครับ..


หมายเหตุ : ผมไม่สามารถเดินทางไปเที่ยวทั่วทั้งจังหวัดบุรีรัมย์ได้ครับเนื่องจากมีข้อจำกัดทางเวลาและการเดินทาง จึงนำบางส่วนที่ผมได้พบได้เจอมาเเชร์กันครับ และข้อมูลบางอย่างผมคัดลอกมาจากในเว็บหลายๆเว็บนะครับ นำมารวมๆกันแล้วตัดบางส่วนออกไปบ้างเพื่อให้ไม่ไห้ข้อความยาวจนเกินไป หากขาดตกบกพร่องประการใด สามารถชี้นำได้เลยนะครับผม


สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆนะครับ

1.ค่าที่พัก 400 บาท

2.ค่าเดินทาง

-ค่ารถไฟ 215 บาท

-ค่าอาบน้ำที่สถานีรถไฟ 10 บาท

-ค่ารถสองแถวสาย1 20บาท(ไป-กลับ)

-ค่ารถทัวร์บุรีรัมย์-จันทบุรี 60 บาท

-ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ 250 บาท ค่าน้ำมัน 90 บาท

-ค่าเข้าชมปราสาทหินพนมรุ้งและปราสาทหินเมืองต่ำ 30 บาท

-ค่าดอกไม้ธูปเทียนไหว้พระ 20 บาท(บางสถานที่ผมก็ทำเพียงยกมือไหว้แล้ขอขมาต่างๆครับ)

-ค่ารถไฟเข้าโคราช 60 บาท

-ค่ารถทัวร์โคราช-หมอชิต 191 บาท

3.ค่าข้าว ค่าขนม เครื่องดื่มต่างๆ อันนี้ผมไม่ขอนำมาคิดรวมนะครับ แล้วแต่ไลฟ์ไสตล์ของแต่ละคนนะครับ

สรุป รวมแล้วค่าที่พัก+ค่าเดินทาง ผมใช้เงินไป 1,286 บาท

ปล. แต่ถ้ารวมค่าอาหารเคื่องดื่มต่างๆจนจบทริปผมหมดไป 1900 กว่าบาทครับ(รวมค่าแท็กซี่จากหอและกลับมายังหอในวันเดินทางกลับครับ)


สุดท้ายแล้วครับผมอยากจะบอกทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ว่า ออกไปเที่ยวกันเถอะครับ โลกนี้กว้างจริงๆ และเมืองไทยสวยไม่แพ้ที่ไหนๆ ผมไม่ได้จะบอกว่าประเทศอื่นไม่สวยนะครับ แต่ละที่มีศิลปะ เอกลักษณ์ และวัฒนธรรมที่ต่างกัน อย่างผมผมชอบออกท่องเที่ยว สถานที่ใหม่ๆ หาประสบการณ์ใหม่ๆ เจอผู้คนใหม่ๆ ประสบการณ์บางอย่างมันก็หาซื้อหรือขอคนอื่นมาไม่ได้หรอกครับ ไม่จำเป็นว่าต้องออกไปเที่ยวคนเดียว หรือไม่จำเป็นว่าจะต้องออกไปเป็นกลุ่มเช่นกัน ถ้าเราอยากไป รีวิวในห้องบลูนี้มีเยอะมากครับ ถ้ามีเวลา มีโอกาส และยังพอมีแรงก็ออกไปลุยกันเลยครับผม ถ้ามีโอกาสผมจะมารีวิวสถานที่ๆผมเคยไปเยือน หรือที่กำลังจะไป ผมจะพยายามจดจำความรู้สึกและรายละเอียดต่างๆมาเล่าสู่กันฟังเรื่อยๆนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตามอ่าน แล้วเยี่ยมชมกระทู้ Train to.. BURIRAM เมื่อฉันนั่งรถไฟไปบุรีรัมย์.. คนเดียว มากๆเลยครับ ไว้เจอกันทริปหน้าครับผม




อ อ ก ไ ป ข้ า ง น อ ก

อ อ ก ไ ป v้ า ง u อ ก

 วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 09.48 น.

ความคิดเห็น