[อ]อกไปข้างนอก ออกไปเขาช่อ จ.สระบุรี


สถานที่ปลายทาง : เขาช่อ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.สระบุรี

ช่วงเวลาในการเดินทาง : 27-28 สิงหาคม 2559

อุปกรณ์ถ่ายภาพ : Canon Rebel T3i(600D) เลนส์ Kit 18-55 mm และ lens Sony QX : 100

การเดินทาง : รถยนต์ส่วนตัวไปยัง หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ขญ.18 (เจ็ดคต) จ.สระบุรี


เขาช่อ เขาช่ออยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ขญ.18 (เจ็ดคต) อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.สระบุรี ระยะเดินเท้าประมาณ 4 กิโลเมตรผ่านป่าโปร่ง ลำธาร แล้วจึงไต่ระดับความสูงไปจนถึงยอดเขาซึ่งยอดเขาช่อจะสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 900 เมตร เขาช่อยังไม่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากนักแต่ในหมู่ของนักเดินป่า นักพิชิตยอดเขาก็เป็นที่รู้จักพอสมควรแล้วครับ ทริปนี้ได้รับการชักชวนจากพี่ๆในกลุ่มคนแบกเหล้า(KBL) ให้ไปร่วมทริปกัน ด้วยความที่ชอบเดินป่าปีนเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเคยได้เห็นรูปได้ยินชื่อเขาช่อมานานเเล้วบวกกับระยะทางไม่ไกลจากกรุงเทพเลยทำไห้ตกลงว่าขอติดไปด้วยอย่างไม่รีรอ รวมๆแล้วทริปนี้มีสมาชิกทั้งหมดกว่า 30 ชีวิต วันนี้จึงอยากมาแชร์ ประสบการ์ณการท่องเที่ยวและสิ่งที่ผมได้พบได้เจอมาครับ เผื่อเป็นแนวทางเล็กๆน้อยๆ และหวังว่าคงจะมีประโยชน์สำหรับชาวแบกเป้เที่ยวนะครับ



ขออนุญาตฝากกระทู้รีวิวที่เคยรีวิวไว้ของผมด้วยนะครับ

[Train to.. BURIRAM] เมื่อฉันนั่งรถไฟไปบุรีรัมย์.. คนเดียว : http://pantip.com/topic/35522494

[Train to.. KIRIWONG] เมื่อฉันนั่งรถไฟไปนอนโฮมสเตย์ ที่หมู่บ้านคีรีวง จ.นครศรีธรรมราช : http://pantip.com/topic/35590445



สามารถเข้าไปชมทริปการเดินทาง พูดคุย และชวนพวกเราเที่ยวได้ตลอดเวลา ได้ที่

Page : ออกไปข้างนอก https://www.facebook.com/outsidelifes



พร้อมแล้วไปกันเลยครับบ..


เริ่มต้นเดินทางโดยผมและเพื่อนๆเดินทางจากกรุงเทพฯโดยขับรถยนต์ส่วนตัวเพื่อไปสมทบกับพี่ๆที่ไปถึงก่อนแล้ว ไปพักกางเต้นที่หน่วยก่อนจะได้ไม่ต้องรีบร้อนหากเดินทางจากกรุงเทพฯเช้าวันเสาร์ โดยตั้ง GPS ไปที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ขญ.18 (เจ็ดคต)หรือน้ำตกเจ็ดคตนั่นเอง เนื่องจากเย็นวันศุกร์อย่าที่ทราบกันดี รถติดแบบมหันตภัยมากทำให้ไปถึงอุทยานราวๆ สามทุ่มกว่าๆได้พูดคุยสังสรรค์กันนิดแล้วจึงพักผ่อนเอาแรง

ตื่นเช้ามาอาบน้ำและจัดการแพคกระเป๋านำเฉพาะสิ่งที่จำเป็นขึ้นไป สายๆพี่ๆบางส่วนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก็เริ่มทยอยเดินทางมารวมตัวกันแล้วครับ

มีแบ่งของกองกลาง ช่วยกันแบกขึ้นไป เตรียมน้ำดื่มเฉพาะตอนเดินขึ้นไป เนื่องจากเจ้าหน้าที่บอกว่ามีน้ำตกตลอดเส้นทางช่วงแรกและด้านบนยอดเขาก็มีน้ำเพียงพอในการใช้ประกอบอาหารและชำระร่างการ

เมื่อคนพร้อมพวกเราก็เริ่มเดินทางกันแล้วครับ โดยเราจอดรถไว้ที่หน่วยแล้วเหมารถของอุทยานไปรับ-ส่ง จากจุดเริ่มเดิน โดยอัตราค่าบริการรถของอุทยานคือ 800 บาท/คัน โดยจะไปส่งยังจุดเริ่มเดินเท้าด้านหลังของสำนักสงฆ์ทรัพสวนพลู

หมายเหตุ : การเดินทางไปยังจุดเริ่มเดินเท้า(สำนักสงฆ์ทรัพสวนพลู )จะมีถนนผ่านข้างๆสำนักสงฆ์เราไม่ได้เข้าไปรบกวนสำนักสงฆ์แต่อย่างใด

ประมาณ 30 นาที ก็ถึงแล้วครับ เราจัดสัมภาระของตัวเองกันอีกนิดหน่อย ก็เริ่มต้นเดินเท้ากันแล้วครับ

ก่อนไปมีสมาชิกมาส่งด้วยครับ ประมาณว่าพวกแกเดินช้าแบบข้าแน่นอน 555


ประมาณ 10 โมงกว่าๆเราก็เริ่มเดินเข้าป่ากันแล้วครับ ช่วงนี้จะเป็นป่าโปร่งเดินไปเรื่อยๆครับ ผมก็ถ่ายรูปไปเพลินๆ

ผมชอบเดินป่าฤดูฝนก้เพราะแบบนี้แหล่ะครับ อะไรมันดูเขียวๆ ชุ่มชื้นไปหมด ดูแล้วสบายตาดีครับ

มีเดินข้ามลำธารเล็กๆบ้าง

เห็ดเชมเปญก็มีให้เห็นประปรายครับ

เดินมาได้สักพักเจอที่โปร่งๆมีลำธารไหลผ่าน ก็นั่งพักผ่อนกันครับ ไม่ได้เดินเร่งรีบอะไร

หายเหนื่อยก็เดินต่อไปครับช่วงนี้ผมก็จะถ่ายอะไรไปเรื่อยครับ แบกกล้องมาแล้วก็ถ่ายๆไปเรื่อยๆ

สัตว์ตัวเล็กๆ สีสันแปลกตาก็มีให้เห็นเรื่อยๆครับ

เดินมาพักใหญ่ๆ เราก็มาถึงน้ำตกสุดท้ายก่อนจะเริ่มไต่ระดับกันแล้วครับ

พี่ๆก็แนะนำให้กินข้าวเที่ยงกันก่อนเลย เพราะเวลาใกล้จะบ่ายโมงแล้ว

จัดการอาหารกลางวันเรียบร้อย นั่งคุยผ่อนคลายสักพักก็ได้เวลาเดินทางกันต่อแล้วครับ ผมเลยถือโอกาสเติมน้ำดื่มให้เต็มขวดเป็นครั้งสุดท้าย เพราะจะไม่มีลำธารน้ำแล้วจนกว่าจะถึงที่พักแรม


หลังจากกรอกน้ำจนเต็มขวด เราก็เริ่มเดินกันอีกครั้งครับ ช่วงนี้เริ่มไต่ระดับแล้วครับแต่ยังเป็นป่าโปร่งอยู่ เจ้าหน้าที่บอกว่าจนกว่าจะถึงป่าแขมนั่นแหล่ะครับจะเริ่มชันมากหน่อย พอยิ่งเข้าป่าลึกขึ้นและระดับความสูงเพิ่มขึ้น พืชพรรณก็ดูจะสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ

ป่าฤดูฝนนี่เขียวสบายตา สดชื่นจริงๆนะครับผมว่า


เอาละครับหลังจากที่เดินมานานพอสมควร ตอนนี้เรามาถึงป่าแขมกันแล้วจากนี้ไปก็เดินขึ้นอย่างเดียวเลยครับ

หมายเหตุ : แขมหรือปง เป็นพืชล้มลุกลำต้นตั้งตรงมีข้อปล้อง ความสูง 1-3 เมตร ภายในลำต้นฟ่ามกลวงและมักขึ้นเป็นกอ ใบรูปไข่ยาวรีปลายใบแหลม ขอบใบขนานเรียบขนาดกว้าง มีกาบใบหุ้มต้น ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะนำดอกแขมมาทำไม้กวาดนั่นเองครับ

เดินมาสักพักมองไปดูด้านล่าง โห สูงใช่เล่นเหมือนกันนะเนี่ย


เพื่อนที่มาด้วยกันก็ยังยิ้มได้อยู่

เดินมาสักพักไม่ไหวแล้วครับ แอ็คถ่ายรูปไปเท่ห์ๆ ความจริงคือเหนื่อยมากกกก ตอนนี้คือมีอะไรผมถ่ายรูปหมด 55

พอหายเหนื่อยหัวใจเริ่มกลับมาเต้นในจังหวะปกติ ก็เดินต่อไปครับ

พี่บางคนยังยิ้มได้อยู่ ผมก็ยิ้มครับแต่ในใจคือร้องไห้อยู่ เนื่องจากวันนี้แดดค่อนข้างแรงและลมก็ไม่ค่อยพัดเลยทำไห้ร้อนอบอ้าวมากก

เจอต้นไม้ใหญ่เลยถือโอกาสพักก่อนเลย เพราะตะคริวเริ่มจะมาเยือนแล้ว 55


ปริปนี้เจอช้างด้วยครับ(เหนื่อยแล้วเพ้อเจ้อไปเรื่อย 555)

พี่บางคนนี่ถึงกับนอนผิวปากเรียกลมกันเลยทีเดียว

นี่คือน้องนกครับเจอกันมาหลายทริปแล้ว เป็นเจ้าหน้าที่อุทยานอายุน้อย ที่คอยดูแลและช่วยเหลือปิดท้ายขบวน

หมายเหตุ : ทริปนี้เราใช้เจ้าหน้าที่สองคนครับ อีกคนหนึ่งคอยนำทางและอีกคนคอยดูท้ายขบวน

ผมมองเวลาแล้วเกือบสี่โมงเย็นแล้วแต่ผมยังไปไม่ถึงไหนเลย ได้แต่บอกพี่ๆว่า เดี๋ยวผมตามไปครับ ฮือออ

ตอนนี้มีป่าแขมเป็นเพื่อนแล้วครับ มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นแขม เหนื่อนก็พุ่งเข้ากอแขมเลย

ทางมันก็ขึ้นอย่างเดียวจริงๆ

พี่บางคนถึงกับสลบกันเลยทีเดียว

เนื่องจากเย็นมากแล้วผมกลัวว่าจะกางเปลกับไปดูพระอาทิตย์ตกไม่ทัน ผมจึงกัดฟันเดิน เดิน เดิน แล้วก็เดินอย่างเดียวเลยครับ เดินไป 10 ก้าวพักไป 10 นาที ทำทีว่าแอบถ่ายรูปพี่ๆ 555

ท้ายที่สุดผมก็เดินมาถึงยอดจนได้ ระยะทาง 4 กิโลเมตรด้วยเวลาเกือบ 7 ชั่วโมง(ปกติเดินกันประมาณ 5- 6 ชั่วโมง) ผมได้เเต่คิดในใจว่าอาจเป็นเพราะเราแวะถ่ายรูปไง คิดบวกๆ โชคดีที่เมื่อคืนฝนไม่ได้ตกจึงทำให้ทางไม่ได้ลื่นเท่าไร ถ้าลื่นๆด้วยผมละนึกภาพไม่ออกจริงๆว่า การเดินขึ้นวันนี้จะเป็นเช่นไร

ตอนนี้ไม่เอาอะไรแล้วครับ เหวี่ยงเป้แล้วนอนมองท้องฟ้าเท่ห์ๆไปก่อนเลย ข้างบนลมพัดตลอดอากาศดีมากเลยครับ


พอหายเหนื่อยก็เดินไปจุดตั้งแคมป์ที่พี่ๆ ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว(มาก่อนนานมากก)และจัดแจงกางเปลก่อนเป็นอันดับแรก

แอบเดินไปถ่ายรูปเปลที่พี่ๆได้กางไว้ก่อนเเล้ว

เมื่อกางเปล ทำแคมป์เสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็ตัดสินใจว่าจะเดินไปดูพระอาทิตย์ตกดินกับเพื่อนๆสักหน่อย

นั่งรอกันไปเรื่อยๆ

ไม่นานนักพระอาทิตย์ก็จากไปแล้วครับ ดาวบนดินก็เริ่มมีให้เห็นประปรายครับ พวกเราจึงรีบเดินกลับไปยังแคมป์

กลับมาถึงก็รีบไปทานข้าว ที่พี่ๆทำไว้ ทริปนี้ผมเดินมาถึงช้าเลยขออนุญาตไปถ่ายรูปก่อนไม่ได้อยู่ช่วยพี่ๆเลย T T พอทานข้าวเสร็จก็มีรอบกองไฟกัน นั่งคุย ร้องเพลงกันไปเรื่อยๆ จนได้เวลาพอสมควรผมจึงขอตัวไปเข้านอนคาดว่าคืนนี้คงหลับเป็นตายแน่นอน

หมายเหตุ : ด้านบนจะมีลำธารเล็กๆอยู่ ไว้ใช้ประกอบอาหารและชำระร่างกายได้ครับแต่ต้องเดินไปจากแคมป์ประมาณ 400 เมตร มีพี่ๆบางท่านไปอยู่ เเต่จังหวะนี้แล้วระดับผมขอแค่ทิชชู่เปียกเช็ดคราบเหงื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วทาแป้งเยอะๆก็พอเเล้วครับหลังจากที่ขอตัวพี่ๆมาเข้านอนเมื่อคืน ไม่นานฝนก็ตกลงมาอย่างหนักหน่วง เย็นชุ่มฉ่ำกันไปครับโชคดีมากที่ผมกางฟลายชีทค่อนข้างต่ำจนเกือบถึงพื้นเลยจึงทำให้ฝนไม่สาดถึงเปล เพื่อนเพื่อนพี่ๆบางท่านกางไม่ต่ำมากก็ชุ่มฉ่ำกันไปครับ ผมตั้งเวลาปลุกไว้ประมาณหกโมงกะว่าจะไปดูหมอกสักหน่อยเพราะฝนตกขนาดนี้ไม่น่าจะพลาด ผมจึงนอนฟังเสียงฝนและหลับไปอย่าง่ายดายเนื่องจากความเพลีย..


ผมตื่นมาอีกครั้งตอนหกโมงเช้ากว่าๆฝนก็ยังไม่หยุดตก นอนเล่นไปซักพักฝนก็เป็นใจเริ่มซาและหยุดตกไป ผมจึงเรียกเพื่อนให้ไปด้วยกัน

..ผมเดินมายังจุดที่เดินขึ้นมาถึงเมื่อวานจะมีมุมเปิดประมาณ 180 องศา และนี่คือภาพที่ผมเจอครับมันสดชื่นและสวยมากจริงๆในความคิดผม

เพื่อนๆก็ซึมซับบรรยากาศกันไปเรื่อยๆ

บรรยากาศแบบนี้กาแฟร้อนๆสักแก้วก็ไม่เลวนะครับผมว่า

ไม่นานนักหมอกก็เริ่มฟุ้งทำไห้ไม่เห็นวิว

พี่คนนึงในทริปเลยบอกว่าพี่เอาบับเบิ้ลมาจะเอามาถ่ายรูปไหม จัดมาเลยพี่ ถ่ายกันไปเพลินๆเลยครับทีนี้รอจนกว่าหมอกจะจางอีกครั้ง

มีพี่คนนึงแกแบกเบียร์มาขวดนึงผมเลยให้แกมาเป็นแบบให้หน่อยในหัวข้อ “ในความแข็งแรงมีความฟรุ้งฟริ้งซ่อนอยู่" 55

หมายเหตุ : ขวดเบียร์ที่พี่เขาแบกไปเขาก็แบกกลับนะครับไม่ได้ทิ้งขวดไว้ด้านบน ^^

เบื้องหลังความฟรุ้งฟริ้ง ไม่รู้ว่าคนกินเบียร์หรือคนเป่าบับเบิ้ลจะฟินกว่ากันเลยคราวนี้

เป่าบับเบิ้ลกันไปเพลินๆยาวๆครับ

อันนี้ความสามารถพิเศษพี่ที่เอาบับเบิ้ลมาครับ เป่าเองโพสท์เองครื้นเครงจะตาย 5555

ในบับเบิ้ลฟองนั้น ^^

ผมสังเกตว่าหมอกเริ่มจางแล้ว จึงชวนเพื่อนๆพี่ๆไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตกเมื่อวานเพราะว่าบริเวณนั้นมุมจะเปิดประมาณ 270 องศาได้

เมื่อเดินมาถึงก็ไม่ผิดหวังครับ ทิวเขา ไอหมอกจางๆ ดองมังเครสีชมพู ผมว่ามันสดชื่น บรรยากาศสวยมากๆเลยครับ

แต่ละคนก็หามุมถ่ายภาพกันไปครับ

บับเบิ้ลก็ยังตามมา 55

ถ่ายรูปหมู่สักภาพ

ซึมซับบรรยากาศกันจุใจแล้ว ก็ได้เวลากลับไปเก็บแคมป์ทานข้าวแล้วครับ

หลังจากที่ถ่ายรูปและซึมซับบรรยากาศกันอย่างเต็มที่แล้ว ท้องเริ่มหิวครับไม่ใช่อะไร 55 เราก็พากันเดินกลับมายังแคมป์ทยอยเก็บของและกินข้าว กลับมาถึงพี่บางคนก็เริ่มเก็บของกันบ้างแล้วครับ

อย่างที่ผมบอกไปข้างต้นว่า เมื่อคืนฝนตกอย่างหนักหน่วง เอาของออกมาผึ่งกันบ้าง

เก็บของได้สักพักก็ไม่ไหวแล้วครับ หิวข้าว ผมเลยชวนเพื่อนๆไปกินข้าวดีกว่า เป็นกับข้าวธรรมดาครับ แต่ผมว่ามันอยู่ที่ว่าเรากินที่ไหน กินกับใครมากกว่า เลยทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยมากเป็นพิเศษ ^^

พอจัดการเรียบร้อยก็พักให้ย่อยอีกสักหน่อยพร้อมเก็บของไปพลางๆ สองสาวก็ยังมามุ้งมิ้งเล่นบับเบิ้ลกันต่ออีก ไม่ยอมแก่กันจริงๆ 55

เคยได้เห็นรูปตามในอินเตอร์เนต เราก็อยากลองทำบ้าง โดยใช้ความมสูงของผมให้เป็นประโยชน์ เลยทำให้ได้ คอนโดเป็นของตัวเองสักที 55

หลังจากเก็บของเสร็จเรียบร้อย ประมาณ 11:00 น. เราก็ได้เวลากลับกันแล้วครับ หมอกก็ยังมีให้เห็นอยู่

รวมตัวกันแนะนำตัวกันอีกครั้ง เพราะเรามากันเป็นกลุ่มใหญ่ บางคนเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกก็มี และกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ช่วยดูแลพวกเราสำหรับทริปนี้

เอาละครับได้เวลาเริ่มเดินลงกันแล้วครับ บรรยากาศมันดีจริงๆจนอดที่จะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพไม่ได้ ^^

ด้วยความชันและลื่น ทำให้ตอนขาลงนี้พวกเราต้องใช้ความระมัดระวังและใช้แรงกันเยอะทีเดียวครับ จนท.ก็คอยช่วยดูในส่วนที่ พื้นที่ชันมากๆ

มีช่วงทางพื้นเรียบๆ ให้ได้เดินนิดหน่อย แต่ต้องระมัดระวังกันครับเพราะเดินเลาะหน้าผาด้วย

บรรยากาศกำลังดีเลยทีเดียวมีหมอกฟุ้งมาตลอดทาง

แล้วก็ลงยาวๆเลยครับทีนี้ บางพิ้นที่ ที่ชันมากๆ และไม่มีต้นไม่ไห้เกาะเกี่ยว จนท.ก็จะขึงเชือกกับต้นไม้ใหญ่ด้านบนเป็นที่ห้อย จับ แล้วไต่ลงมาครับ

ชันไปหนายยยย


เดินมาสักพักรู้สึกว่าขาล้าๆก็นั่งพักกันและชมทัศนียภาพรอบๆตัวไปด้วย สดชื่น สบายตามากๆเลย

มันชันและลื่นจริงๆ ผมต้องเกร็งปลายเท้า เดินมาเรื่อยผมรู้สึกว่าเจ็บปลายเท้ามากๆ เลยตัดสินใจไปลื่นไถลบนต้นแขมเปิดเส้นทางใหม่เลย ผลคือ กางเกงขาดไปเลยจ้าาา ฮืออออ 'ป่าแขม ฉันรักเธออออ'

ระหว่าทางเจอเจ้าตัวนี้ด้วยครับ ทับทิมทอง ซึ่งตัวผมไม่ได้เจอมานานมากก ตั้งแต่สมัยเด็กๆ เลยขอถ่ายรูปมาสักหน่อย

พอหมดป่าแขมแล้ว ก็เป็นป่าโปร่งแล้ว ลื่นมากก บวกกับผมเจ็บเท้าด้วย เลยย่อตัวแล้วลื่นมาบนรองเท้าเลย เพราะกางเกงขาดไปแล้วที่ป่าแขม T^T

หลังจากที่ลื่นมาแล้วก็เป็นทางไต่ระดับลงแล้วครับไม่ชันมาก มีพื้นเรียบๆบ้าง จนในที่สุดก็เดินมาถึงน้ำตกสุดท้ายตอนก่อนเดินขึ้นสักที


พี่ๆส่วนใหญ่เดินมาถึงก่อนหน้าก็แช่น้ำ บางคนถึงกับต้มมาม่ารอกันเลยทีเดียว

เหลือบไปเห็นคำหนึ่งบนเสื้อพี่ในทริป ผมอ่านแล้วยิ้มเลย “SPIRIT" ^^


นั่งกินขนม พักผ่อนจนจังหวะการเต้นของหัวใจระดับปกติแล้ว ก็เริ่มทยอยเดินกลับกันแล้วครับ

เช่นเคยครับเหมือนตอนขาขึ้นไป ก็มีเดินลัดเลาะ ผ่านน้ำตกไปเรื่อยๆ ดูนั่นดูนี่ เดินเรื่อยๆ เพลินๆลืมความเหนื่อย ความลื่น ความชันเมื่อกี้ไปหมดแล้ว 55

โค้งสุดท้ายแล้ว พี่เขาก็ยังไม่ลืมเอาบับเบิ้ลมาเป่าส่งท้ายทริปซะเลย เจอกันใหม่ทริปหน้าครับผม ^^


สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆ

1.ค่ารถไป – กลับ(รถส่วนตัวหารค่าน้ำมันกับเพื่อน) 100 บาท

2.ค่าทริป(ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง+ค่ารถ) 250 บาท

3.ค่าอาหาร(มื้อกลางวัน เย็น เช้า) 200 บาท

รวม(ทั้งนี้ไม่รวมเครื่องดื่ม และขนมส่วนตัว) 550 บาท


การติดต่อเจ้าหน้าที่นำทาง

095-632-4449 (พี่บัวลอย)

063-790-7872 (นก)

หมายเหตุ ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง วันละ 1,000 บาท ต่อเจ้าหน้าที่ 1 คน และ ค่าเหมารถไปส่งยังจุดเดินเท้า 800บาท/คัน


สุดท้ายแล้วครับ สุดท้ายจริงๆ อยากจะบอกว่าแป๊ปซี่ถุงนี้คือที่สุดแล้วจริงๆ เชื่อว่านักเดินป่าส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นแบบผมนะ เดินออกมาจากป่าเหนื่อยๆ ร้อนๆ แป๊ปซี่+น้ำแข็ง นี่มันเป็นอะไรที่บรรยายไม่ได้จริงๆครับ

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยชม ให้กำลังใจกันกับกระทู้รีวิวนี้นะครับ แล้วเจอกันใหม่กับการเดินทางครั้งหน้าครับ ^^



ขออนุญาตฝากกระทู้รีวิวแรกของผมด้วยนะครับ

[Train to.. BURIRAM] เมื่อฉันนั่งรถไฟไปบุรีรัมย์.. คนเดียว : http://pantip.com/topic/35522494



อ อ ก ไ ป ข้ า ง น อ ก




ความคิดเห็น