[อ]อกไปข้างนอก ออกไปเที่ยวหมู่บ้านคีรีวง จ.นครศรีธรรมราช


“เมืองประวัติศาสตร์ พระธาตุทองคำ ชื่นฉ่ำธรรมชาติ แร่ธาตุอุดม เครื่องถมสามกษัตริย์ มากวัดมากศิลป์ ครบสิ้นกุ้งปู"



สถานที่ปลายทาง : ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช, วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และ หมู่บ้านคีรีวง จ.นครศรีธรรมราช

ช่วงเวลาในการเดินทาง : 3-4 กันยายน 2559

อุปกรณ์ถ่ายภาพ : Canon Rebel T3i(600D) lens Kit 18-55 mm และ lens Sony QX : 100

การเดินทาง : รถไฟไทย ประเถทรถเร็วขบวนที่ 169 : กรุงเทพ - ยะลา



สวัสดีครับทุกคน หลังจากที่หาข้อมูลและวางแผนว่าจะไปเที่ยวที่หมู่บ้านคีรีวงมานานแล้ว ในที่สุดก็หาวันเวลาที่เหมาะๆได้สักที วันนี้ได้ฤกษ์ไปเยือนหมู่บ้านที่เขาว่าอากาศดีที่สุดในประเทศสักที ช่วงนี้เป็นฤดูฝนคงได้ชุ่มฉ่ำและคงได้เจอสีเขียวที่ผมตกหลุมรักไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้อีกครั้ง วันนี้จึงอยากมาแชร์ประสบการ์ณการท่องเที่ยวไสตล์ผมและสิ่งที่ผมได้พบได้เจอมาครับ เผื่อเป็นแนวทางเล็กๆน้อยๆนะครับ ^^




ขออนุญาตฝากกระทู้ที่ผมเคยรีวิวไว้ด้วยนะครับ

+ [Train to.. BURIRAM] เมื่อฉันนั่งรถไฟไปบุรีรัมย์.. คนเดียว : http://pantip.com/topic/35522494

+ [Backpacking to.. Khao Chor] เขาช่อ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ขญ.18(เจ็ดคต) อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.สระบุรี : http://pantip.com/topic/35550125

+[Backpacking to.. TA-KHON-DAM waterfall] เมื่อฉันแบกเป้เข้าป่าไปหาความชุ่มฉ่ำที่น้ำตกตาขนดำ จ.ปราจีนบุรีhttp://pantip.com/topic/35615208/comment1



สามารถเข้าไปชมทริปการเดินทาง พูดคุย และชวนพวกเราเที่ยวได้ตลอดเวลา ได้ที่

Page : ออกไปข้างนอก https://www.facebook.com/outsidelifes


พร้อมแล้วออกเดินทางกันเลยคร้าบบ...... เริ่มต้นเดินทางกันเลยครับ วันนี้วันศุกร์หลังเลิกงานประจำแล้ว ผมก็มุ่งตรงไปที่ สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อทันที(เนื่องจากไกล้และสะดวกที่สุดสำหรับการเดินทางของผม) การเดินทางครั้งนี้ผมเลือกที่จะไปลงที่สถานี คลองจันดี เพราะหาข้อมูลมาว่ามีรถสองแถวไปนครศรีธรรมราชด้วย และเลือกขบวนที่จะไปถึงสถานีคลองจันดีในช่วงเช้าตรู่ เอาละครับได้ตั๋วมาแล้วครับรถไฟออกเดินทาง 16:08 น. ปลายทางสถานีคลองจันดีเวลาถึงบนตั๋วคือ 05:14 น. ราคา 229 บาท(ระดับผมแล้วรถไฟไทยชั้น 3 เหมือนเดิมครับ 55) การเดินทางครั้งนี้ผมเดินทางคนเดียวอีกครั้งครับ แต่มีน้องที่อยู่ทางภาคใต้ขอตามไปด้วยผมเลยนัดเจอน้องที่ตัวเมืองนครศรีธรรมราชเลย

หมายเหตุ : รถไฟขบวน 169 นี้จะเริ่มต้นออกเดินทางจากสถานีรถไฟหัวลำโพง เวลา 15:35 น.

วันนี้ผมมาถึงเร็ว จึงหยิบกล้องมาถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย

ไม่นานรถไฟก็เดินทางมาถึแล้วครับ ไม่เลทด้วย 55

วันที่ผมเดินทางมีฝนปรอยๆลงมาด้วยครับ อากาศจึงไม่ร้อนอย่างที่คิดไว้

รถไฟก็แล่นไปเรื่อยๆแล้วครับ ระหว่างนั้นผมก็ทักทายพูดคุยกับผู้ร่วมเดินทางแปลกหน้า ที่คาดว่าคงได้ใช้เวลาร่วมบนรถไฟด้วยกันกันอีกหลายชั่วโมง และถ่ายรูปบรรยากาศไปเพลินๆ มีพ่อค้าแม่ค้านำ น้ำ อาหาร ขนม ขึ้นมาขายตลอดครับไม่ต้องกลัวอดครับ

นั่งไปเพลินๆก็หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายถ่ายโม้เม้นท์ดีๆบนรถไฟตู้ที่ 9 นี้ เก็บไว้ด้วยครับ ^^

" เ เ ม่ "

" ห อ บ ฝั น ไ ป ม า เ ล เ ซี ย "

นั่งมาหลับๆตื่นๆ ผู้โดยสารก็มีขึ้นๆ ลงๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเดินทางเรื่อยๆ จนประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ ก่อนจะถึงชุมพร ผู้โดยสารก็เริ่มบางตาลง ผมก็หาที่ยึดครองเพื่อนอนหลับพักผ่อนอย่างจริงจังแล้วครับ 55

นั่งๆ นอนๆ ยืนๆ เดินๆ กว่า 13 ชั่วโมง ในที่สุดรถไฟก็มาจอดที่สถานีรถไฟคลองจันดีแล้วครับ รถไฟเลทไป 16 นาที ซึ่งตอนนี้ก็ 05:30 น. แล้ว ผมลงรถและเดินข้ามทางรถไฟไป วันนี้ตรงข้ามสถานีรถไฟก็มีตลาดเช้ามืดด้วยครับ ผมก็ถามพ่อค้าแถวนั้นว่า รถสองแถวที่จะไปตัวเมืองนครฯจอดตรงไหน ได้ความว่าตรงศาลเจ้า หรือจะไปรอหน้า 7-11 ก็ได้ เป็นรถสองแถวสีขาว แต่รถรอบแรกออกไปแล้ว ต้องรอรอบต่อไป 06:00 น. ผมเดินเล่นดูอะไรเพลินๆ สักพักรถก็มาแล้วครับ ค่าโดยสารถึงนครฯ 40 บาท

รถออกมาแล้วครับ ความจริงรถสองแถวสายนี้จะผ่านตรงแยกศาลาสังกะสีที่จะเข้าไปหมู่บ้านคีรีวงเลย สามารถรอต่อรถตรงนี้เข้าไปหมู่บ้านคีรีวงได้เลย(ประมาณ 8 กม.) แต่ด้วยความที่ผมวางแผนว่าจะไปไหว้ศาลหลักเมือ และวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อเอาฤกษ์ เอาชัยก่อนเริ่มทริป อีกอย่างผมนัดน้องไปเจอกันที่ตัวเมืองนครฯด้วย

รถสองแถวแล่นออกมาเรื่อยๆ อากาศช่วงเช้านี่เย็นจนหนาวเลยครับ ที่เห็นตั้งตระหง่านตรงหน้านั่นคือยอดเขาเหมนครับ ผมตั้งใจว่าต้องขึ้นไปข้างบนให้ได้สักครั้ง แต่ยังหาวันเวลาไม่ลงตัวสักที TT

รถแล่นมาประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที(ช่วงแรกจอดรอผู้โดยสารเป็นพักๆ นานเหมือนกันครับ) เมื่อคืนผมโทรบอกน้องว่าไม่ต้องตื่นเช้า เพราะว่าจะไปศาลหลักเมืองก่อน แล้วค่อยมาเจอกัน(โรงแรมที่น้องพักอยู่ใกล้ศาลหลักเมือง) ระหว่างเดินเท้าไปศาลหลักเมือง เจอร้านขายไก่ทอด เนื้อทอด ผมจัดก่อนเลยครับเพราะเริ่มหิวแล้ว : )

เดินมาสักพักก็ถึงแล้วครับศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช

ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช ภายในศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช ประกอบด้วยอาคาร 5 หลัง หลังกลางเป็นที่ประดิษฐานหลักเมืองออกแบบให้มีลักษณะคล้ายศิลปะศรีวิชัย เรียกว่าทรง เหมราชลีลา ส่วนอาคาร เล็กทั้งสี่หลังถือเป็น ศาลบริวารสี่ทิศ เรียกว่าศาลจตุโลกเทพ ประกอบด้วยพระเสื้อเมือง ศาลพระทรงเมือง ศาลพระพรหมเมือง และศาลพระบันดาลเมือง ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราชนั้น เป็นศาลาทรงจตุรมุขจึงมีลักษณะเหมือนกันทั้ง 4 ลานทักษินรอบศาลหลักเมืองปูด้วยอิฐบล็อครูปแปดเหลี่ยม รอบนอกลานทักษินมีวิหารราย ประดิษฐานพระโพธิสัตว์อยู่

ช่วงเช้าเริ่มมีคนมาสักการะกันแล้วครับ ผมก็เข้าไปสักการะเพื่อเอาฤกษ์ เอาชัยก่อนครับ

ภายในของศาลหลักเมือง

ความประณีตบางส่วนของตัวศาลหลักเมือง และบริเวณรอบๆ

ถ่ายรูปไปสักพักผมก็โทรหาน้องที่นัดไว้ให้มาเจอกันที่ศาลหลักเมือง และหาอาหารเช้าทานกัน ผมเดินผ่านร้านหนึ่งกำลังทำข้าวยำ หน้าตาดูน่าทานเลยสั่งมาลองทานดู รสชาติก็แปลกๆดีครับ ด้วยความที่ไม่เคยทานมาก่อน เลยไม่รู้ว่ามันอร่อยหรือไม่ สำหรับผมมันก็แปลกๆดีแต่ยังไม่ถูกปากเท่าไร(ผมไม่ได้บอกว่ามันไม่อร่อยนะครับเพียงเเต่ยังไม่โดนใจผมเท่าไร)

ทานเสร็จผมจึงให้น้องพาไปอาบน้ำที่โรงแรมเพิ่มความสดชื่นสักหน่อย : )



อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยก็พากันเช็คเอาท์โรงแรมและเดินทางไป วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร โดยรถสองแถวสีฟ้า 10 บาท(ถามจากรีเซปชั่นโรงแรม) นั่งรถมาไม่ถึงสิบนาทีเราก็มาถึง วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารแล้วครับ

วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร วัดพระมหาธาตุเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชั้นวรมหาวิหาร เดิมชื่อวัดพระบรมธาตุเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้และประเทศไทย พระบรมธาตุเจดีย์ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นปูชนียสถานอันเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงสุดของชาวนครศรีธรรมราช และชาวใต้ทั้งปวง เป็นพระสถูปทรงโอคว่ำปากระฆังติดกับพื้นกำแพงแก้ว ที่มุมกำแพงแก้วมีพระบรมธาตุจำลองประดิษฐานอยู่ทั้งสี่มุม วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พระธาตุไร้เงา ถือเป็นสถานที่ UNSEEN ที่หนึ่งของประเทศไทยอีกด้วยสำหรับสาเหตุที่เรียกชื่อ "พระธาตุไร้เงา" เพราะว่าองค์พระธาตุจะไม่ปรากฎเงาใด ๆ เลยแม้กระทั่งวันที่มีแดดจ้าหรือแดดแรงเพียงใด องค์พระธาตุก็จะไม่มีเงาทาบทาลงบนพื้นหรือวัตถุใด ๆ เลย ทั้งนี้ ชาวนครศรีธรรมราชเชื่อกันว่า ถ้าหากเมื่อใดที่พระธาตุมีเงา่ และเงาตกไปทางทิศไหน ทิศนั้นก็จะเกิดอาเพศหรือเหตุการณ์ร้าย ๆ ขึ้น

พระบรมธาตุเจดีย์ นั้นยังบูรณะยังไม่แล้วเสร็จครับ

ผมกับน้องเราก็เข้าไปสัการะด้านใน รวมทั้งประชาชนทั่วไปก็ทยอยมาสักการะอยู่เรื่อยๆครับ

บริเวณรอบๆพระบรมธาตุเจดีย์


" ศ รั ท ธ า "

บริเวณรอบๆวัด

วันนี้ฟ้าใสและแดดแรงมากๆครับ อยู่ได้แป๊ปเดียวก็ต้องถอยแล้วครับ

เหลือบไปเห็นมังคุดคัดเสียบไม้วางขายอยู่ สินค้ายอดฮิตตามที่ผมอ่านรีวิวมาเลยขอลองหน่อย ส่วนตัวผมคิดว่ารสชาดก็มังคุดนี่แหล่ะครับ แข็งๆ ผมชอบแค่มันเย็นๆพอคลายร้อนได้ แค่นั้นจริงๆครับ 55

เราออกจากวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เพื่อไปท่ารถสองแถวหมู่บ้านสู่คีรีวง บอกพี่คนขับว่าถ้าถึงแล้วเรียกพวกเราด้วย ไม่นานก็ถึงคิวรถสองแถว คีรีวง - นครฯแล้วครับ ราคารถ 10 บาท เหมือนเดิมครับเรามารอรถสองแถวตรงตลาดยาว ไม่นานนักรถก็ออกเดินทางสู่หมู่บ้านคีรีวงครับ ค่าโดยสาร 25 บาท

...นั่งรถมาประมาณ 40 นาที (ถึงประมาณบ่ายโมงกว่าๆ) เราก็มาถึงหมู่บ้านคีรีวงที่เขาว่าอากาศดีที่สุดในประเทศกันแล้วครับ รถรถปุ๊ปไม่รีรอรีบไปถ่ายรูปแลนมาร์คกันก่อนเลยครับ สะพานคีรีวง คลองท่าดี(รถสองแถวจอดตรงที่ข้ามสะพานไปแล้วนิดหน่อยครับ) พอถ่ายรูปได้สักแป๊ป ไม่ไหวแล้วครับ บอกได้คำเดียว ร้อน ร้อน ร้อนนนน วนไปครับ : (

เนื่องจากยังไม่ได้ที่พักสำหรับคืนนี้กันเลยเพราะโทรหาโฮมสเตย์ดังๆตามรีวิวก็เต็มหมดแล้วครับ ผมกับน้องเลยตัดสินใจว่าลองเดินหากันก่อนภายใต้แดดที่ร้อนระอุ T^T เดินมั่วๆไปก็ต้องพักหาอะไรเย็นๆดื่มกันที่ร้านชาพะยอม เลยลองถามพี่ที่ร้านนี้เขาบอกว่ามีเยอะนะลองดูข้างๆร้านที่แปะประกาศไว้สิ

นี่ครับป้ายที่แปะประกาศไว้ เราเลยไล่โทรกันทีละเบอร์ บางที่ก็เต็ม บางที่ก็เหลือแต่ห้องใหญ่ ต้องจ่ายตามราคาห้องเราเลยบอกปฎิเสธไป แต่มีที่บ้านพี่เอโฮมเสตย์คีรีวง นี่แหล่ะครับที่บอกเราว่าเหลือแต่ห้องใหญ่ น้องที่โทรถามก็ทำเสียงอ้อนๆหน่อยว่ามากันสองคน พี่เขาเลยบอกว่าคิดราคาห้องละ 500 บาทเราเลยรีบตกลงว่าจะไปพักกันครับ ถามไถ่เส้นทางแล้วก็สบายใจกันละครับ นั่งดื่มน้ำคลายร้อนกันไปเรื่อยๆ

เยื้องๆร้านชาพะยอมก็จะเป็นร้านนายทั่ง ที่โด่งดังในรีวิวหลายๆกระทู้ครับ เราสองคนก็ไม่ได้แวะไปเพราะเหนื่อยจากการเดินทางบวกกับอากาศที่ร้อนเกิ๊นน เราเลยตกลงกันว่าเดี๋ยวเข้าที่พักกันก่อนดีกว่า

ต้องเดินย้อนกลับไปทางสะพานครับ เพราะว่าโฮมสเตย์จะอยู่บริเวณหลังศูนย์การเรียนรู้กลุ่มลูกไม้ ต้องเลี้ยวซ้ายก่อนข้ามสะพานครับ เเดดเเรงไปหนายย ฝนจ๋าฉันขอฝนเเรงๆได้มั้ยยย T^T

เดินมาสักพัก พอมีป้ายบอกทางบ้างตามป้ายกลุ่มลูกไม้ไปเรื่อยๆ เพราะโฮมสเตย์อยู่ด้านหลังติดกับศูนย์การเรียนรู้กลุ่มลูกไม้ เราก็มาถึงแว๊บแรกที่มองผ่านๆบ้านแล้วก็คิดว่าน้องที่มาด้วยจะโอเคหรือไม่เพราะมันไม่ได้เหมือนโฮมสเตย์ทั่วๆไป ที่กว้างขวาง ต้องดูดี ใหญ่โต ส่วนตัวผมนั้นสบายๆอยู่แล้ว

ผมก็พูดคุยกับคุณป้าไปเรื่อยๆ คุณลุงไปทำธุระข้างนอกยังไม่กลับ ส่วนลูกๆแกก็เข้าสวนครับเพราะเป็นช่วงฤดูผลไม้ ด้วยความที่น้องกับผมเป็นคนตลก เฮฮา ก็แซวๆแกไปเรื่อย ความประทับใจแรกมาแล้วครับ เวลคัมฟรุ๊ต เป็นผลไม้จากสวนป้าแกเองครับ (คิดในใจสบายละกู 55)

ยังครับยังไม่หมด มาเรื่อยๆ

หลังจากพูดคุยกันไป ถามไถ่ที่ไปที่มากันแล้ว ก็ได้เวลาสำรวจที่พักกันแล้วครับ

บ้านพี่เอโฮมสเตย์คีรีวง หลังจากที่ถามไถ่ข้อมูลแล้ว พี่เอซึ่งเป็นลูกสาวของป้าจารึกกับลุงเปียกได้เปิดโฮมสเตย์แห่งนี้ไว้ โดยไห้ป้ารึกกับพี่ ลุงเปียก และพี่โอห์ม(ลูกชายป้ารึกอีกคน)ดูแล ส่วนพี่เอจะเข้ามาดูบ้าง ตัวบ้านเป็นบ้านชั้นเดียวตามแบบที่เห็นได้ทั่วไปในหมู่บ้านนี้ มีเฟอร์นิเจอร์ครบถ้วนครับ(ยกเว้นเครื่องปรับอากาศ) และมีห้องน้ำแยกสองห้องอยู่ด้านนอกตัวบ้าน มีห้องพักสามห้องห้องใหญ่ 1 ห้อง พักได้ 6-7 คน ห้องเล็ก 2 ห้อง พักได้ 3-4 คน รวมๆแล้วพักได้ประมาณ 20 กว่าคนครับ(ถ้าไม่คิดอะไรมาก็นอนหน้าโทรทัศน์ตรงโถงบ้านได้เช่นกันครับ อ้อนๆป้ารึกหน่อยได้แน่นอนครับ 55 ) ค่าบริการคิดเป็นต่อคน คนละ 200 บาท/คืน ค่าอาหาร 150 บาท/คน/มื้อ(จะทานหรือจะหาทานเองก็ได้ไม่บังคับ) ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสะพานคลองท่าดีมากนัก เดินเท้าได้สะดวกครับ ติดต่อผ่าน Facebook : บ้านพี่เอโฮมสเตย์ คีรีวง https://www.facebook.com/profile.php?id=100011813943736 หรือโทร : 085-0365656 , 091-6365591 ครับ

นี่เป็นที่พักของเราสองคนครับ มีฮาเร็มเป็นของตัวเองกันเลยทีเดียว 55 แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่าจะร้อนหรือเปล่าเพราะขนาดกลางวันยังร้อนขนาดนี้

ออกมาดูด้านนอกกันบ้างครับ มีชิงช้าไว้นั่งผ่อนคลาย

บริเวณรอบๆบ้าน กว้างขวามร่มรื่นมากๆครับ มีต้นไม้สูงๆทั่วบริเวณบ้านจนลืมไปเลยว่าเมื่อกี้แดดแรงขนาดไหน : )

รถสำหรับขึ้นสวนของลุงเปียกครับ ซิ่งน่าดู 55

หมายเหตุ : ใบไม้ที่พื้นไม่ใช่ว่าป้าเเกไม่กวาดนะครับ เเต่ลมด้านนอกมันพัดแรงจริงๆ ร่วงตลอด ฟีลเเเบบอยู่เกาหลีเลย 555

ผลไม้มีรอบบ้านเลยครับเริ่มทยอยสุกแล้วก็มีครับ


เสียดายยย ผมอยากกินเงาะแต่ยังไม่แก่ T^T

พักกันจนหายเหนื่อยแล้วก็คุยกับน้องกันว่าเดี๋ยวออกไปหาอะไรดูในหมู่บ้านกัน ถามหาร้านเช่าจักรยาน ป้ารึกก็บอกว่าเอามอเตอร์ไซค์ป้าออกไปก็ได้ หูผึ่งเลยผม แล้วเราก็ได้มอเตอไซค์มาขับกัน ขับออกมาจาบ้านแค่นั้นแหล่ะ ร้อนไปไหนนนน (ขอบพระคุณป้ารึกมาครับ น้ำตาไหนพรากเมื่อนึกว่าต้องมาปั่นจักรยานกลางแดดที่ร้อนระอุแบบนี้ รักป้าจังงง) ขับกันไปดูอะไรเพลินๆ ข้ามสะพานเล็กๆไป นึกว่ามันจะทะลุกับอีกฝั่ง นู้น เข้าสวนใครเขาก็ไม่รู้เข้าไปอย่างลึก เมื่อรู้ตัวว่าเหมือนจะหลงแน่ๆก็รีบถอยกันออกมาอย่างไวเลยครับ นึกแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน 55

ขับออกมาจากสวนก็มาพักแวะดูผู้คนเล่นน้ำกัน ลมพัดตลอดเลยครับหมู่บ้านนี้ เย็นสบายมาก

นักท่องเที่ยววันที่ผมไปก็เยอะพอสมควรครับ

จากนั้นเราขับมอเตอร์ไซค์ต่อไป เรื่อยๆ ตรงไหนที่มุมดีๆเราก็แวะกัน เลยแวะมาดูมุมกว้างๆของหมู่บ้านกันบ้าง บริเวณนี้ลมแรงกว่าด้านล่างอีกครับ สบายๆ

นั่งไปสักพักฝนตกลงมาเฉยเลยครับ ถึงว่าเมื่อบ่ายๆถึงได้ร้อนเกิ๊นน

เรานั่งอยู่กันที่เดิมจนฝนหยุดตก เมฆนี่อลังการมาก แสงแดดกลับมาอีกครั้ง และก็ร้อนยิ่งกว่าเดิม 55

เราชวนกันว่าร้อนขนาดนี้ต้องไปเล่นน้ำสิ เลยขับมอเตอร์ไซค์กลับที่พักและแวะเติมน้ำมันรถคืนคุณป้า เอาของบางส่วนเก็บไว้แล้วก็ออกไปเล่นน้ำกันน เย้กลับมาถึงบ้านป้าก็ถามพวกเราว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี ผมกับน้องเลยบอกว่าขอพื้นบ้านเลยป้าจัดมาเล้ยย ไม่เอาผัดกระเพราก็พอ 55 เราเลยบอกป้าว่าจะไปเล่นน้ำ ป้าเลยบอกเอาห่วงยางไปเล่นด้วยสิ(เราก็หูยยในใจ ดีจังมีห่วงยางให้ด้วย) เราเดินออกมาจากบ้านอีกนิดหน่อยก็ถึงคลองแล้ว(โฮมสเตย์อยู่เกือบๆติดคลอง) ช่วงนี้เเดดร่มลมตก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ออกมาปั่นจักรยานกันหนาตาเลยครับ รวมทั้งออกมาเล่นน้ำกัน คนเยอะมากครับ น้องที่มาด้วยกันไปก่อนเลยครับ ฟีลลิ่งมาเต็ม 55

ส่วนตัวผมเองก็หามุมเหมาะๆ นอนแช่น้ำไปเพลินๆดีครับ น้ำเย็นชื่นใจมากเลย : )

นั่งมองน้ำไปเพลินๆ


บรรยากาศดีขนาดนี้ ขอหน่อยแล้วกันเนอะครับ

ยังครับยัง ฟีลลิ่งยังมาเต็ม ไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยกันเลยทีเดียว 555

พวกเรานั่งแช่น้ำไป จิบอะไรเย็นๆไปเรื่อยๆ พระอาทิตย์ก็ตกไปซะแล้วครับ สีของท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันสวยมากเลยนะครับในความคิดผม


พอแสงหมดเริ่มมืด เราก็ต้องจำใจกลับบ้านกันแล้วครับ เพราะป่านนี้ป้าคงทำอาหารรอไว้แล้ว : )

กลับมาก็โดนป้าดุไปหน่อยว่ากลับมืดจะออกไปตามอยู่แล้ว พวกเราก็ได้แต่หัวเราะแหะๆไป เราเลยพากันไปอาบน้ำ ออกมาป้าก็ยกกับข้าวออกมาไว้ให้ ผมนี่ตาวิ้งๆเลย 555 ผมชวนป้ากินข้าวด้วยกัน เเต่ป้าบอกว่ากลับมืดขนาดนี้ใครจะรอ 55 ผมเลยได้แต่หัวเราะเเห้งๆส่งไป

555 กับข้าวมี ผักกูดลวกราดน้ำกระทิ แกงไตปลา ใบเหลียงผัดใข่ ใข่เจียวใส่ใบชะอมทอด แกงเหลืองปลาใส่ต้นบอน(ผมเพิ่งเคยกินต้นบอนครั้งแรกชอบมากๆ) ผัดผักรวมมิตรและสะตอสดไว้แกล้ม เยอะไปไหนครับป้าาา แต่อย่าคิดว่าไม่หมดนะครับเพราะมันอร่อยมากกกก(กอ ไก่ ล้านตัว วนไปครับ)หลังจากจากที่พวกเราตังใจกินกันมากก กับข้าวทุกอย่างก็ทยอยหายวับไปกับตา 555 ถ้าจะให้นอนเลยตอนนี้คงแย่แน่ๆ เราเลยว่าจะออกไปเดินเล่นกันหน่อย ผมลองออกไปมองดาวด้านนอก เห็นเยอะดีเลยติดกล้องไปด้วย ลองถ่ายดาวใบแรกบริเวณบ้าน ทางช้างเผือกก็มาแล้วครับ เลยชวนน้องเดินเล่นไปทางสะพานจะได้เห็นฟ้ากว้างๆ

เดินย่อยมาเรื่อยๆ ผมเลยลองถ่ายภาพบนสะพาน เเค่นี้ผมก็คิดว่าสวยแล้วครับ : )

พวกเราเดินข้ามสะพานแล้วเดินไปยังจุดที่เรานั่งชมวิวกันเมื่อตอนบ่าย เพื่อจะได้เห็นทางช้างเผือกกว้างๆ แล้วก็ไม่ผิดหวังครับมันสวยมากๆจริงๆครับ

เมื่อถ่ายภาพจนหนำใจแล้ว เราเลยตกลงกันว่าหาอะไรเย็นๆไปดื่มสักหน่อย(ตรงบริเวณก่อนข้ามสะพานจะมี มินิมาร์ทที่เปิดถึง 4 ทุ่ม ผมจำชื่อไม่ได้ แต่จำได้ว่าร้านจะเป็นสีเขียว) เราซื้อเสร็จจึงเดินกลับบ้านกัน เจอพี่โอห์ม(ลูกชายป้ารึก)นั่งดื่มอยู่ก่อนแล้วจึงไม่รีรอที่จะขอไปร่วมวงด้วย การสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการ์ณก็ดำเนินไปเรื่อยๆหลังจากที่เมื่อคืนผมและน้อง ไปร่วมวงกับพี่โอห์มบทสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการ์ณก็ดำเนินไปเรื่อยอย่างออกรส(เหมือนว่ารู้จักกันมานานมาก55) โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด บวกกับบรรยากาศดีมากๆทำให้คุยกันลืมเวลาไปเลย ผมเลยต้องกำหนดเวลาให้ตัวเองแล้วครับ ขอตีหนึ่งพอเพราะผมเริ่มง่วงแล้วและเพลียจากการเดินทางด้วย กลัวพรุ่งนี้จะไม่ตื่นอดไปดูแสงยามเช้า พอตีหนึ่งน้องก็ไปนอนก่อนแล้วและผมก็กำลังจะตามไป เลยขอตัวพี่โอห์มไปนอนก่อน แต่พี่โอห์มยกข้าวออกมากินก่อนนอนและเรียกผมให้ทานด้วย ผมก็ไม่กล้าเสียมารยาท 5555555 จัดไปครับพี่ ทานเสร็จแล้วเก็บข้าวของผมก็เข้าไปนอน อากาศเย็นมากจนต้องหยิบผ้าห่มมาห่มเลยครับจากที่คิดว่าจะร้อนแท้ๆ พอหัวถึงหมอนแป๊ปเดียวก็หลับเป็นตายไปเลยครับ

เช้านี้ผมตื่นมาประมาณ 6 โมงได้ ผมเลยปลุกน้องไปล้างหน้าแปรงฟัน แล้วออกไปเดินเล่นกัน

ร้านค้าโชว์ห่วยเล็กๆก็ยังมีให้เห็นและเปิดให้บริการกันแล้วครับ

นักท่องเที่ยวก็ทยอยตื่นมาปั่นจักรยาน เดินเล่นกันมีให้เห็นเรื่อยๆครับ

ชาวบ้านก็ทยอยตื่นออกไปทำสวนกันแล้วครับ

เช้านี้สดชื่นมากๆ อากาศดีจริงๆครับ ผมก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆตั้งใจว่าจะไปตลาดหาอะไรรองท้องกันสักนิดหน่อย : )

พ่อค้า แม่ค้า ชาวบ้านรวมถึงนักท่องเที่ยวก็มีให้เห็นพอสมควรครับ

บางคนก็ออกมาใส่บาตร

เช้าแบบนี้ผมต้องจัดหมูปิ้งก่อนเลยครับ ทนความหอมไม่ไหว 555


เดินมองวิถีชีวิตชาวบ้านไปเรื่อยๆ

" รุ่นใหญ่ VS รุ่นเล็ก "

เดินมองวิถีชีวิตชาวบ้านมาเรื่อยๆ จนมาถึงสะพาน(อีกแล้ว) ถ่ายรูปสักหน่อย

เช้านี้บนสะพานคนเยอะน่าดูครับ พวกเราเลยเลี่ยงๆ ไปที่จุดชมวิวเดิม ที่ไปมาเมื่อวานแทน

แล้วก็เดินลงไปด้านล่างกัน

นั่งซึมซับบรรยากาศไปเรื่อยๆ เพลินดีครับ เพราะอากาศดีเลยไม่ทำให้รู้สึกเบื่อ

พอเริ่มสายๆ แดดเริ่มแรงเราเลยตกลงกันว่าจะกลับบ้านไปอาบน้ำก่อน

จุดชมวิวนี้ก็มีโต๊ะเก้าอี้รวมทั้งศาลา ให้นั่งพักอยู่พอสมควรครับ

วิถีชีวิตของชาวบ้านกับสายน้ำก็ยังมีให้เห็นครับ

เรากลับมาถึงบ้าน เจอพี่โอห์มกำลังไปสวนพอดี แกชวนไปสวนแกนะครับ แต่พวกเราต้องเดินทางกลับวันนี้แล้ว ทำให้ผมเสียดายมากกก ฮืออ ป้าก็มาถามว่าเมื่อคืนหลับสบายมั้ย ผมบอกผมไม่รู้ ผมเมา 555อาบน้ำแต่งตัวเสร็จประมาณ 9 โมงกว่า ผมก็ไปนั่งคุยกับป้าเหมือนเดิม และด้วยติดใจอาหารฝีมือป้า เลยขอให้แกทำให้อีกมื้อหนึ่งขอแบบเดิมพื้นบ้านมาเลยป้า จัดให้หน่อยแล้วก็เลยถามสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆว่าไปทางไหน ไปยังไง ป้าก็เเนะนำและบอกว่าเอารถมอเตอร์ไซค์ป้าไปสิ(เราก็หูยยย อีกล้าววว ใจดีจัง) ผมก็ปฎิเสธคนไม่เป็นด้วยสิ เลยเรียกน้องบอกว่าไปน้ำตกวังไม้ปักกัน ขับมอไซค์มาเรื่อยๆผมก็ว่าไกลเหมือนกันนะ ถ้าปั่นจักรยานมานี่หืดขึ้นคอเป็นแน่แท้

ถึงแล้วครับ น้ำตกวังไม้ปัก ไหนล่ะน้ำ 555(ทราบภายหลังว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ผลไม้ติดลูกแล้ว ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะดึงน้ำเข้าสวนไปรดน้ำต้นไม้กันจึงทำให้ปริมาณน้ำเหลือน้อย)

ถ้ามีน้ำมากกว่านี้คงบรรยากาศดีน่าดูเลย

แต่ก็มีน้องปลาเยอะแยะมากมายมหาศาลให้ดูด้วยครับ

น้องก็ไปซื้ออาหารมาให้ปลา

หมายเหตุ : การซื้อคือชาวบ้านจะวางถุงอาหารไว้เลย แล้วมีกระปุกให้ใส่เงิน ต้องใช้ความซื่อสัตย์ล้วนๆเลยครับ

" สั ก วั น เ ร า จ ะ โ ต "


หลังจากนั้นเราก็ขับรถกลับมาแล้วแวะ กลุ่มใบไม้บ้านคีรีวง

กลุ่มใบไม้บ้านคีรีวง เป็นกลุ่มที่ให้ความรู้กับการย้อมผ้ามัดย้อมด้วยสีจากธรรมชาติ เน้นการใช้พืชในชุมชนมาเป็นสีย้อมผ้า เช่น มังคุด ,สะตอ, ลูกเนียง เป็นต้น และมีการนำผ้าที่ย้อมได้มาตัดเป็นเสื้อผ้าวางจำหน่ายอีกด้วย

การต้มผ้าเพื่อย้อมให้สีซึมเข้าเนื้อผ้า ผ้าที่เห็นเป็นผ้าฝ้ายนะครับ

ผ้าที่ย้อมเสร็จแล้ว รอการตัดเย็บต่อไป

จากนั้นเราก็ขับมอเตอร์ไซค์ต่อไปที่ หนานหินท่าหาครับ ร ะ ห ว่ า ง ท า ง

พอไปถึงคนเยอะมากครับ เหมือนเป็นที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเหล่าวัยรุ่นในพื้นที่ แล้นักท่องเที่ยว มีร้านอาหารเรียงรายให้เลือกเยอะมากครับ ผมเพียงขับผ่านไม่ได้จอดลงไปชมบรรยากาศเลย เพราะตอนนี้ก้เที่ยงกว่าแล้ว ผมมีนัดอาหารเที่ยงกับคุณป้าไว้ด้วย ^^


แวะเติมน้ำมันรถคืนคุณป้าแล้ว ก็กลับมาถึงบ้านคุณป้าก็ทำอาหารไว้รอแล้ววว ผมนี่ตาวิ้งแล้ววิ้งอีก 55 มื้อนี้มี แกงเลียง(ผมเพิ่งเคยกินแบบแกงน้ำใสๆครั้งแรก ติดใจอีกแล้ว ^3^) คั่วกลิ้งหมูที่เผ็ดจนน้ำตาเล็ดแต่ก็หยุดกินไม่ได้ ปลาแดงทอดขมิ้น น้ำพริกกะปิ แกงส้มต้นบอนที่ผมติดใจจนต้องขออีกมื้อ ใบเหลียงผัดใข่ จัดเต็มมาอีกหนึ่งมื้อ วันนี้ผมชวนป้าทานข้าวด้วยกัน เราทานกันไปคุยกันไปหยอกล้อ เรียกเสียงหัวเราะกันไป ส่วนลุงเปียกที่ทานข้าวแล้วเเต่ก็มานั่งร่วมวงสนทนาใกล้ๆ แถมไปเก็บผลไม้รอบๆบ้านมาให้อีกครับ ผมรู้สึกดีมากเลย เหมือนนั่งล้อมวงทานข้าวกับที่บ้าน ประทับใจมากครับ

ผมทานจนอิ่ม ที่จริงเรียกว่าพุงกางเลยน่าจะเหมาะกว่าครับ เติมข้าวแล้วเติมข้าวอีก พออิ่มเราก็นอนเล่นกันบริเวณบ้าน บรรยากาศดีมากครับ วันนี้ลมพัดแรงกว่าเมื่อวาน จนผมเผลอหลับไปเลยครับ 55

ตื่นมาอีกทีเกือบบ่ายสามแล้ว ผมจึงรีบอาบน้ำ เก็บของไปขึ้นรถสองแถว เพราะว่ารถออกจากหมู่บ้านจะหมดประมาณบ่ายสามโมงกว่าๆ ป้าเลยบอกว่าจะไปส่งที่ท่ารถสองแถว

..เก็บของเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาร่ำลาแล้วครับ ได้แต่กล่าวขอบคุณป้าที่รับเรามาพัก มากันแค่สองคนแต่ก้รับเรา ทั้งที่เป็นห้องใหญ่ และบอกกับคุณป้าว่า ถ้ามีโอกาสคงจะได้กลับมาบ้านที่อบอุ่นหลังนี้อีก กลับมาทานกับข้าวฝีมื้อป้าที่อร่อยมากๆอีกครั้ง ความจริงผมยังไม่อยากกลับเลย แต่ด้วยความที่พรุ่งนี้วันจันทร์ ก็ต้องกลับไปทำงานตามหน้าที่ ไม่อยากกลับเลยยย(ยอ ยักษ์ล้านตัว) ฮืออT^Tผมขึ้นรถสองแถวรอบสุดท้ายจากหมู่บ้าน เพื่อไปลงที่แยกศาลาสังกะสีและต่อรถสองแถวไปยังสถานีรถไฟคลองจันดี เพื่อต่อรถไฟเขากรุงเทพ ส่วนน้องก็แยกกันบนรถสองแถวเลย รอรถสองแถวไม่นานก็มุ่งสู่สถานีรถไฟคลองจันดี

ผมมาถึงสถานีรถไฟและเลือกขบวนที่ 86 นครศรีธรรมราช- กรุงเทพ เป็นรถด่วน ค่าโดยสาร 269 บาท รถออกเดินทาง 16:52 น. โดยเวลาตามตั๋ว จะถึงชุมทางบางซื่อประมาณ 06:05 น. โชคดีที่ผมมาถึงสถานีก่อนรถไฟจะเดินทางมาถึงประมาณ 15 นาทีได้ ไม่นานนักรถไฟก็ออกเดินทางแล้วครับ

พอเช้ามืดเราก็เข้าเขตกรุงเทพแล้วครับ

ผมหลับๆ ตื่นๆ เดินๆ(ส่วนใหญ่จะหลับ 55) เช่นเคย กว่า 13 ชั่วโมงเช่นเคยครับ รถไฟก็จอดเทียบชานชลาที่ชุมทางบางซื่อ ประมาณ 06:10 น. ผมก็ลงจากรถไฟและเดินทางกลับหอพัก อาบน้ำ แล้วก็ไปทำงานต่อไปครับ..

หมายเหตุ : ผมไม่สามารถเดินทางไปเที่ยวทั่วทั้งจังหวัดนครศีธรรมราช รวมทั้งสถานที่สำคัญๆของตัวหมู่บ้านคีรีวงได้ครับเนื่องจากมีข้อจำกัดทางเวลาและการเดินทาง จึงนำบางส่วนที่ผมได้พบได้เจอมาเเชร์กันครับ และข้อมูลบางอย่างผมคัดลอกมาจากในเว็บหลายๆเว็บนะครับ นำมารวมๆกันแล้วตัดบางส่วนออกไปบ้างเพื่อให้ไม่ไห้ข้อความยาวจนเกินไป หากขาดตกบกพร่องประการใด สามารถชี้แนะได้เลยนะครับผม



สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆนะครับ (ผมคิดเป็นต่อคนเลยนะครับ)

1.ค่าที่พัก 250 บาท

2.ค่าเดินทาง

-ค่ารถไฟ 498 บาท(ไป-กลับ)

-ค่ารถสองแถว จันดี-นครฯ 40 บาท

-ค่ารถสองแถว วัดพระธาตุ 20 บาท

-ค่ารถสองแถว นครฯ-คีรีวง 25 บาท

-ค่ารถสองแถว คีรีวง-คลองจันดี 15+40 = 55 บาท

- ค่าน้ำมันรถมอเตอร์ไซค์ 60 บาท

-ค่าดอกไม้ธูปเทียนไหว้พระ 20 บาท(บางสถานที่ผมก็ทำเพียงยกมือไหว้แล้ขอขมาต่างๆครับ)

3.ค่าอาหาร

-อาหารที่ทานในโฮมสเตย์ 2 มื้อ 250 บาท (ป้าลดให้ 100 บาท <3)

-ค่าข้าว ค่าขนม เครื่องดื่มอื่นๆ อันนี้ผมไม่ขอนำมาคิดรวมนะครับ แล้วแต่ไลฟ์ไสตล์ของแต่ละคนนะครับ

สรุป รวมแล้วค่าที่พัก+ค่าเดินทาง ผมใช้เงินไป 1,218 บาท

ปล. ถ้ารวมค่าอาหารเคื่องดื่มต่างๆจนจบทริปผมหมดไปเกือบๆ 2000 บาทครับ(รวมค่าเดินทางจากหอและกลับมายังหอในวันเดินทางกลับครับ)


...สุดท้ายผมอยากจะบอกว่าคีรีวงเป็นหมู่บ้านที่อากาศดีนะครับ แต่ผมบอกไมได้ว่าอากาสดีที่สุดในประเทศหรือไม่เพราะผมเองก็ยังไม่ได้ไปทั่วทั้งประเทศเลย ถ้าเรายืนอยู่กลางแดดแน่นอนครับว่ามันต้องร้อนแน่ๆ แต่เมื่อไปอยู่ใต้ร่มไม้อากาศดีถือว่าดีเลยครับ เหมาะสำหรับการมาพักผ่อน ใกล้ชิดธรรมชาติ มาสัมผัสวิถีชีวิตพิ้นบ้านของที่นี่ ด้วยบรรยากาศ ผู้คน รวมๆแล้วมีเสน่ห์ทีเดียวครับ


...ส่วน บ้านพี่เอ โฮมสเตย์ คีรีวง ถ้าตั้งใจจะมาหาความสะดวกสบาย ความกว้างขวางของห้องพัก ความหรูหราที่นี่ไม่มีให้หรอกครับ แต่ถ้าจะมาหาความเรียบง่าย วิถีการอาศัยแบบชาวบ้าน ความเป็นกันเอง ความอบอุ่น ความสบายใจ มาเพื่อพักผ่อนเหมือนอยู่ที่บ้านกับคนในครอบครัว ที่โฮมสเตย์แห่งนี้มีให้แน่นอนครับผมรับประกันเลยเพราะได้สัมผัสมาแล้วกับตัวเอง และที่สำคัญอาหารอร่อยมากๆเลยครับ ป้ารึกแกจะทำอาหารแบบที่แกทำกินเอง ไม่ใช่ทำไว้ขายเหมือนทั่วๆไป เเละผมรู้สึกว่าโชคดีมากๆ ที่บรรดาโฮมสเตย์ที่ดังๆในรีวิวต่างๆได้เต็ม จนทำให้ผมได้มาพักที่นี่ ^^

หมายเหตุ : ผมไม่ได้ค่าจ้างมารีวิวนะครับแค่อยากแนะนำ บอกต่อ อยากให้มาพบ มาสัมผัสความประทับใจแบบผมครับ

หมายเหตุ2 : สำหรับท่านใดที่อ่านข้ามมา สามารถติดต่อโฮมสเตย์ผ่านช่องทาง

Facebook : บ้านพี่เอโฮมสเตย์ คีรีวง https://www.facebook.com/profile.php?id=100011813943736

หรือโทร : 085-0365656 , 091-6365591 ครับ


สุดท้ายจริงๆแล้วครับขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตามอ่าน แล้วเยี่ยมชมกระทู้ [Train to.. KIRIWONG] เมื่อฉันนั่งรถไฟไปนอนโฮมสเตย์ ที่หมู่บ้านคีรีวง จ.นครศรีธรรมราช มากๆเลยครับ ไว้เจอกันทริปหน้าครับผม



อ อ ก ไ ป ข้ า ง น อ ก

อ อ ก ไ ป v้ า ง u อ ก

 วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 08.15 น.

ความคิดเห็น