เวียดนามเป็นประเทศใกล้บ้าน ที่ใครหลายๆคนคุ้นเคย ตั้งแต่เหนือ กลาง ใต้ ด้วยเป็นประเทศที่ค่าครองชีพพอๆกับบ้านเรา ประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน เอกลักษณ์วัฒนธรรมที่น่าสนใจ ด่านทางรถระหว่างประเทศหลายต่อหลายด้านที่เอื้อต่อการเดินทาง จึงไม่แปลกที่ใครๆจึงรักที่นี่ ไหนจะบางคนที่เคยไปเป็นสิบรอบ

ครั้งนี้เรามาเที่ยวเวียดนามกลางแบบชิลๆ สถานที่เที่ยวหลักๆส่วนใหญ่ เคยไปเมื่อมาครั้งที่แล้ว คราวนี้เลยไม่ได้เน้นเที่ยวอะไรมาก เน้นดูผู้คน เที่ยวไปเรื่อยเปื่อย

แต่บางครั้งที่เดินทางแบบไม่แพลนเป๊ะๆ หรือเคร่งเครียดกับมันมาก มันทำให้เราเห็นอะไรในมุมเล็กๆแบบนี้นะ .. มันอาจไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ หรือพิเศษอะไร แค่ 5 เรื่องเล็กๆ ในมุมของเราที่อยากจะกอดเว้ให้เต็มแรง


01.ความสัมพันธ์ฉันญาติ ณ ด่านลาวบาว

หลังจากที่เราเดินทางกันข้ามคืนยาวนาน มาถึงด่านสวรรค์ในตอนบ่าย รถบัสสะหวันเขตค่อยๆพาเข้าใกล้ด่านลาว-เวียดมากขึ้นเรื่อยๆ (ลาวเรียกด่านสวรรค์ เวียดนามเรียก ลาวบาว) พวกเราเริ่มเตรียมพาสปอร์ต มั่นใจว่าอีกสักพักต้องลง

แต่เอ ลุงคนขับไม่จอด .. เอ๊ะ ยังไง ทำไมไม่จอด นี่ผ่านด่านลาวจะถึงด่านเวียดอยู่แล้ว ให้เดินย้อนกลับนี่คือเดินเมื่อยนะลุง!

พอรถจอดเราได้แต่ถามคนขับว่าไม่ต้องทำเรื่องออกลาวก่อนหรอ .. ลุงตอบพลางชี้ไปข้างหน้าตรงตม.เวียดว่า ที่นี่แหละ เข้าใจไม่ผิด

เมื่อเราเดินๆตามเค้าไป และนี่คือสิ่งที่ทำให้เราถึงบางอ้อ ..

เคาน์เตอร์ตม.ฝั่งขาออกลาว อยู่ติดกันกับเคาน์เตอร์ฝั่งขาเข้าของเวียดนาม!

ดูไม่น่าแปลกใจใช่มะ แต่จะมีสักกี่ที่กันที่เราจะเห็นด่านของ 2 ประเทศ ตั้งเคาน์เตอร์ติดกันได้ขนาดนี้ คือ ถ้าไม่รัก ไม่สนิทกันจริงทำงี้ไม่ได้นะ แถมยังสะดวกมากๆเลยด้วย พอเราปั้มออกลาวเสร็จปุ๊ปก็เขยิบขวา 2 ก้าว ยื่นเล่มพาส ปั้มเข้าเวียดนามได้เลย!!

มันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เราไม่เคยเห็นประเทศไหน ตม.ติดกันขนาดนี้ เลยตื่นเต้น 555 อยากถ่ายรูปมาอวดจริงๆ แต่ทำไม่ได้ เดี๋ยวโดนจับ คือมันแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่นดีงามของ 2 ประเทศนี้แบบชัดเจนมากๆน่ะ


02.Good to stay and pay cheap!

เวียดนามเป็นอีก 1 ประเทศที่เราการันตีว่าโรงแรมนั้นถูกและดี ราคาน่าคบหามาก ไม่ว่าจะเป็นเวียดนามเหนือ กลาง ใต้ หรือตามเมืองท่องเที่ยวต่างๆ แค่ไม่เกิน 12-20 us ก็ได้ห้องดีๆ มีทุกอย่างพร้อม บางที่มีอาหารเช้าให้อีกต่างหาก

ปกติแล้วเวลาไปที่ไหน เราไม่ค่อยชอบจองห้องล่วงหน้า หากมีเวลาและไม่ใช่ช่วงเทศกาลจะใช้วิธีวอร์คอินเข้าไป เพราะ

1.เปลี่ยนใจ เปลี่ยนแผนได้เสมอ

2.บ่อยครั้งที่รูปในเว็บบุ๊คกิ้งมักไม่ตรงกับสภาพห้อง มักทำให้เราเฟล เลยชอบเห็นของจริงก่อนตัดสินใจ

แต่สำหรับเวียดนาม บางครั้งการจองห้องล่วงหน้าผ่านพวกเว็บบุ๊กกิ้ง ก็ทำให้เราได้ห้องอัปเกรดฟรีๆในราคาเท่าเดิม 2 ครั้งที่เราเจอเคสโรงแรมเกิดเต็มก่อนปิดจองออนไลน์ ทางโรงแรมจึงมักแก้ปัญหาให้โดยการอัปเกรดห้องให้ หรือไม่ก็พาเราไปพักโรงแรมอื่นในเครือ ซึ่งห้องดีกว่าที่เราจองไปด้วยซ้ำ!!

คงเพราะด้วยโรงแรมในเวียดนามนั้นการแข่งขันค่อนข้างสูง จึงต้องรักษาลูกค้าให้มาก หากมีคอมเพลน หรือร้องเรียนเกิดขึ้นย่อมไม่คุ้ม เราเลยได้อานิสงค์ไปด้วย

ครั้งนี้ก็เช่นกัน จองห้องสุพีเรียธรรมดาไป แต่ได้พัก Deluxe ในราคา 12 us พร้อมอาหารเช้า!! โครตจะคุ้มเลย

เราไม่ได้แนะนำให้เป็นทริคอะไรนะ มันเอาแน่ไม่ได้หรอกค่ะ แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ


03.คุณลุงใบ้ กับการเดินทางของที่เปิดขวด

Lac Thein ดูๆไปก็เป็นร้านแหนมเนืองธรรมดาที่เปิดมานานในเว้ อาหารรสชาติอร่อยดี มีเมนูขึ้นชื่อหลายอย่าง (เราชอบแหนมเนืองกับปลานึ่งซีอิ๊ว แผล่บๆ) แต่ที่ทำให้คนไทยได้รู้จักมากขึ้น ก็คงมาจากหนังเรื่อง เราสองสามคน ที่มีตัวแสดงหลักคือ พี่ส้มฉุน สุนทรีย์ และเต๋อ พร้อมแก๊งรถจิ๊ปที่ยกกองไปถ่ายที่เวียดนามเกือบทั้งเรื่อง

สิ่งที่ยืนยันความโด่งดังและจำนวนลูกค้าของร้านคือลายเซ็นต์จากนานาประเทศ (รวมทั้งพี่ไทยด้วย มีเหรอจะพลาด) ที่ต่างร่วมกันฝากฝีไม้ลายมือตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ลามไปแม้กระทั่งตู้เย็น ..ถ้าเขียนที่ตัวคนขายได้คงทำกันไปแล้ว

แต่ที่เป็นจุดขายและไฮไลต์ของร้าน คือคุณลุง Lac เจ้าของร้าน แกเป็นใบ้ก็จริง แต่ที่เราประทับใจคือ แกมีวิธีดึงดูดลูกค้า ให้ทุกคนไม่ลืมและยังพูดถึงแกได้ แม้เราจะกลับบ้านแยกย้ายกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แล้วอะไรล่ะ ในเมื่อแกเป็นใบ้ จะสื่อสารกันยังไง แต่แกทำได้ .. "ด้วยที่เปิดขวดอันเดียว"

"หมด จาย ฮูดา เบียร์" เราสั่งเบียร์มาขวด ลุงแกเริ่มเลยฮะ เอาเบียร์มาตั้งที่โต๊ะ วาดแขนออกยังกะจะรำไทเก๊ก แล้วงัดที่เปิดขวดกับเบียร์ดัง โป๊ะ!! เป็นอันเสร็จพิธี เรียกรอยยิ้มและสีสันจากนักท่องเที่ยวกันถ้วนหน้า กับความพยายามพรีเซ็นต์ของแก

แต่ไม่ได้หมดเท่านี้ นอกจากจะโชว์วิธีการเปิด แกยังแจกที่เปิดขวดพร้อมลงวันที่และชื่อร้านให้กับทุกโต๊ะเป็นที่ระลึกกลับไปใช้ให้คิดถึงแกเล่นๆด้วยซะงั้น

รู้ได้ไงว่าคนเอาไปจะคิดถึง? จริงๆก็ไม่รู้หรอก 555 แค่เราเห็นอัลบั้มรูป ที่แกเอามาอวดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ด้วยความภูมิใจ ใน 3-4 อัลบั้มที่เต็มไปด้วยผู้คนจากสถานที่ต่างๆทุกมุมโลก

บ้างก็ใช้งานจริง บ้างก็พกไปด้วยเฉยๆเวลาเดินทาง บางรูปชูที่เปิดขวด ราวกับจะโชว์ว่า "ลุงๆที่เปิดขวดลุงอ่ะ มาเหยียบภูเขาลูกนี้พร้อมหนูแล้วนะ" บางคนถึงกับทำโฟโต้ช็อป เป็นรูปนักบินอวกาศกำลังใช้ที่เปิดขวดของแกบนดาวอังคาร

เรารู้สึกได้ถึงมิตรภาพและอารมณ์ร่วมมากมายระหว่างแก กับบรรดานักเดินทางที่มาเยือนเมืองเว้ และร้านนี้

ตอนนั้น เราแอบอิจฉาที่เปิดขวดทำมือ ที่ถูกประกอบง่ายๆด้วยไม้ท่อนสี่เหลี่ยมยาวๆ ตอกกับน๊อตตัวนึง ..อิจฉาที่มัน ได้เดินทางเยอะกว่าเราอีก

ลุงยิ้มพร้อมกับยื่นที่เปิดขวดให้ ประทับวันที่.. เรารับมอบพร้อมกับความรู้สึกเหมือนได้รับภารกิจ แม้เราจะไม่แม้แต่สงสัยว่าตัวลุงเองเคยได้ทางไปที่ไหนหรือไม่ ..แต่ถึงจะไม่เคย แกก็ได้ฝากที่เปิดขวดเป็นตัวแทนให้เดินทางไปพร้อมกันกับเราแล้วล่ะนะ

ใครไปเยือนเมืองเว้ ก็แวะเวียนไปร้านแกได้ ไปฝากลายเซ็นต์ที่กำแพง กับเอาที่เปิดขวด เอ.. ไม่พูดถึงเรื่องอาหารเลยแฮะ 5555 ก็อย่างที่บอกค่ะ อาหารรสชาติดีอยู่ แต่เรามีเมนูเด็ด ร้านโปรดในใจ ที่จะมาต่อในเว้ 04

ปล.มี 2 ร้าน ตั้งติดกัน ลุงเป็นใบ้เหมือนกัน ลง Lonely planet เหมือนกัน แต่เราว่าร้านนี้แท้นะ (ทางซ้าย) เห็นเปิดมานานมาก เคยเปิดเจอเว็บบล๊อกของต่างชาติ เค้าเล่าว่าได้สอบถามคนท้องถิ่น ได้รับคำยืนยันจากหลายๆคนว่าร้านนี้แท้ ส่วนอีกร้านลุงเป็นใบ้ปลอม เราไม่ได้ติดใจอะไรหรอก แต่เผื่อบางคนคาใจ เราเลยโน๊ตไว้ให้ 55


04.My Fav dish : Bun Thit Nuong!

ตอนนี้นี่มาเรื่องกินโดยเฉพาะ ขอแนะนำเมนูเด็ด ขึ้นชื่อของเมืองเว้ ที่เค้าว่าที่เว้เนี่ย อร่อยที่สุดในเวียดนามแล้ว (อย่างงั้นเลย)

นั่นก็คือ Bun Thit Nuong (บุ๋น = เส้นขนมจีน, ทิ่ด หน๋อง = หมูย่าง) ที่มีขายกันอยู่ทั่วไป ราคาเริ่มตั้งแต่ประมาณ 20,000-40,000 ด่อง

ลักษณะของมันก็ตรงกับชื่อเลยค่ะ เป็นเส้นขนมจีน โป๊ะด้วยหมูย่าง และผักชนิดต่างๆ ราดด้วยน้ำขลุกขลิก เวลาทานก็คลุกให้น้ำเข้ากับเครื่องก่อนนะคะ รสชาติจะออกหวานหน่อย แต่ทุกร้านจะมีพริกสดหรือพริกเผาให้ใส่เพิ่มเป็นเครื่องเคียง

เมนูมันดู ธรรมด๊า ธรรมดาเนอะ แต่ทีเด็ดของมันอยู่ที่ หมูย่างและน้ำจิ้มที่ราดผสมกันเนี่ยแหละ ซึ่งแต่ละร้านก็จะมีสูตรหมักหมูกับน้ำจิ้มต่างกันไป ส่วนผักที่เวียดนามไม่ต้องห่วง สด กรอบทุกร้าน ซึ่งส่วนมากที่เคยทาน ก็อร่อยไม่แพ้กันนะ

แต่สำหรับเราจะมีร้านเด็ดอยู่ร้านนึง เป็นร้านที่ตั้งกับพื้นข้างตลาด Dong Ba ที่จะขายเฉพาะตอนเย็นไปถึงกลางคืน แต่กี่โมงเราไม่แน่ใจ เพราะไปรอกินตั้งแต่หัวค่ำ ฮ่าๆๆ

ร้านตั้งตามสไตล์เวียดนามแหละ อยู่ข้างทาง มีโต๊ะกับเก้าอี้ตัวเล็กๆให้นั่ง แม่ค้านั่งทำ นั่งขาย กันมือระวิง เยื้องกันออกมาก็เป็นแผนกปิ้งหมู ควันขโมงกันตรงนั้น บรรยากาศโลคอล ครึกครื้นกันสุดๆ ป้ายอะไรไม่มีนะ แต่สังเกตได้ง่ายๆว่าคนจะเยอะมากๆ ทั้งคนที่กินที่ร้านและคนที่ห่อกลับบ้าน ซึ่งลูกค้าส่วนมากจะเป็นคนท้องถิ่นทั้งนั้น ยืนยันการันตีความอร่อยจากจำนวนลูกค้ากันเนี่ยแหละ

เรารักขนมจีนหมูย่างของร้านนี้ เพราะหมูหมักรสชาติเข้าเนื้อกลมกล่อม ต่างจากร้านอื่นๆ นอกจากเมนูนี้แล้ว ที่ร้านก็มีแหนมเนือง ซึ่งอร่อยไม่แพ้กัน ราคาก็ไม่แพงเลย ขนมจีนหมูย่าง ชามละ 20,000 Dong - แหนมเนือง ขายเป็นไม้ ไม้ละ 10,000 Dong

ไปทีไร เบิ้ลทุกรอบ อาหารเวียดนามส่วนมากจะเป็นผักน่า กินๆไปเถอะ กินเท่าไหร่ก็ได้ ไม่อ้วน

ใครได้ไปเมืองเว้ ลองทานกันดูนะคะ แต่ถ้ามีเวลา ก็แนะนำร้านนี้แหละค่ะ


05.424 Km.Motorcycle Diary | Hochiminh Trail

หลายๆคนคงจะเคยได้ยินชื่อลุงโฮ โฮจิมินห์ กันมาบ้างแล้วใช่มั้ยคะ ซึ่ง Hochiminh Trail ก็คือเส้นทางที่ลุงเคยใช้เดินทัพตอนช่วงสมัยสงครามเวียดนาม ที่ส่วนหนึ่งทอดยาวคดเคี้ยวตามไหล่เขาตั้งแต่เหนือจรดใต้ จากฮานอยถึงโฮจิมินห์ ระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร

ปัจจุบันนี้เส้นทางดังกล่าวได้รับการดูแลรักษา และตั้งชื่อถนนเส้นนี้ตามชื่อของแกเพื่อเป็นเกียรติแก่ลุงโฮ

Hochiminh Trail เป็นอีกหนึ่งเส้นทางขี่มอเตอร์ไซค์คลาสสิค ที่ตามรอยการเดินทางของลุงโฮ ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวต่างชาติ เริ่มตั้งแต่ฮานอย ถึงโฮจิมินห์ ร่วมพันกว่ากิโลเมตร ซึ่งถ้าขี่เต็มรูทก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 7 วัน อันนั้นคงสำหรับคนที่มีเวลาและใจรักจะตามรอยลุงแกจริงๆ

เค้าว่ากันว่าถนนช่วงที่วิวสวยที่สุดใน Hochiminh Trail คือช่วงระหว่างทางจาก Hue - Prao (อันนี้สืบมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายๆคน ที่รีวิวใน Trip advisor) ฉะนั้นเส้นทางนี้จึงได้รับความนิยมกว่าการแว๊นยาวๆเต็มรูท เพราะนอกจากจะระยะทางสั้นกว่า แถมจุดที่สวยที่สุดยังอยู่ตรงจุดนี้ด้วย

ส่วนเราตอนแรกก็กะจะนั่งรถไปฮอยอันกันดีๆแหละค่ะ แต่เห็นป้ายเช่ามอเตอร์ไซค์จากเว้ - ฮอยอัน แบบ One way เต็มไปหมด เลยไขว้เขว้ (ซึ่งเราสามารถคืนรถที่ฮอยอันได้เลย)

แต่พอหาข้อมูลเพิ่ม มาเจอเส้นทางนี้ เลยจุดประกายอยากตามรอยลุงโฮ สไตล์ เช กูวารา ใน Motorcycle Diary บ้าง

จากเว้ ไปถึงฮอยอัน แล้วกลับมาเว้อีกที ระยะทางกว่า 424 Km. เราได้สัมผัสทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ อย่างที่หากนั่งรถปกติธรรมดาคงหาไม่ได้

อะไรที่พบเจอระหว่างทางนี่ เข้าถึงทุกอารมณ์ เพราะผ่านทั้งร้อนตับแล่บ แดดเปรี้ยง ลมทะเล ขี้เกลือ น้ำตก ฝุ่นบนถนน ฝนที่ตกหนักราวฟ้ารั่ว ข้ามเรือขนานยนต์ ผ่านผู้คนหลากหลาย

เป็นเส้นทางสั้นๆ แต่ประทับใจสุดๆ (ไหนจะที่โดนต่อต่อยอีก 555) นี่ขนาดยังไม่นับรวมถึงตอนเที่ยวฮอยอันนะ

ขากลับนี่ฟินมาก ร้อนๆโดดน้ำตกเย็นๆระหว่างทางก่อนกลับเข้าเว้ได้อีกต่างหาก

**สิ่งน่าสนใจระหว่างทาง

- ผ่านทั้งบ้านคน ไร่สวน ทำถนน ตามสภาพปกติทั่วไป ถนนดีพอสมควร รถไม่เยอะ ส่วนมากจะเจอแต่มอเตอร์ไซค์ชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ขี่มอเตอร์ไซค์เส้นนี้ เรายังรู้สึกปลอดภัยกว่าตอนขี่ในเมืองอีก

- พอถึงทางแยกระหว่างชายแดนลาว-เวียดนาม เลี้ยวมาทางซ้าย ก็เริ่มเข้าสู่ Hochiminh Trail ทางช่วงแรกๆเป็นหมู่บ้านของชาวเวียดนามท้องถิ่น คล้ายๆเวลาเราไปชมบ้านกะเหรี่ยงอย่างนั้นแหละ ชาวบ้านนั่งทอผ้ากันน่ารักน่าเอ็นดู มีบ่อน้ำร้อนด้วย ตอนแรกเราว่าจะค้างกันที่หมู่บ้านนี้ .. แต่มันไม่มีที่พัก เลยต้องไปต่ออีกเกือบ 100 โล

- ออกจากหมู่บ้านสภาพแวดล้อมเริ่มเปลี่ยนไป ถนนเริ่มขึ้นเขา และคดเคี้ยวมากมาย แต่เส้นทางนี้วิวสวยจริงนะ มอสเขียวชอุ่ม ต้นเฟิร์นสูงชะลูด บ้านเราเองยังไม่มีเส้นทางรถที่เต็มไปด้วยต้นเฟิร์นสูงๆแน่นๆยาวเกือบ 100 กิโลแบบนี้เลย

- แวะเที่ยวหมี่เซิน มรดกโลกได้ด้วย

- หากอยากจะแวะเที่ยวอุทยานแห่งชาติ Bac ma หรือ ฺBa Na ก็สามารถทำได้

- จาก Hoi An - Hue เลาะเส้นทางทะเล ซึ่งเราสามารถเห็นวิวทะเลจากภูเขาได้ด้วย สวยดีไปอีกแบบ แถมก่อนถึงเว้อีก 60 กิโล มีน้ำตก ที่มีหนุ่มฝรั่ง สาวนุ่งบิกินี่เล่นน้ำ เป็นอาหารตาเพลินๆด้วย ถ้ายังไม่คืนรถ ขี่กลับไหว แนะนำนะคะ

ข้อ 5 นี่รายละเอียดเยอะ เราแปะข้อมูลไว้คร่าวๆ รายละเอียดกับรูปแยกเป็นกระทู้ต่างหาก จะได้เห็นชัดๆว่าเส้นนี้ผ่านอะไรบ้าง เขียนในนี้กลัวจะยาวไป ตามอ่านรีวิวเต็มได้ที่

424 Km.Motorcycle Diary | Hochiminh Trail : https://th.readme.me/p/5627


จบแล้วค่ะ 5 เรื่องเล็กๆน้อยๆ น่าประทับใจเกี่ยวกับเว้ ที่เก็บเล็กเก็บน้อยไว้ในมุมมองของเรา (ไม่พูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวเลยเนอะ ขอโทษษษษ)

ช่วงที่เราไปตลอด 8 วัน ไม่เจอคนไทยเลย กระแสการเที่ยวเวียดนามคงแผ่วลงจากเมื่อก่อนมาก

แต่สำหรับเรา เวียดนามยังขึ้นแท่นเป็น 1 ในประเทศที่เราชอบมาบ่อยๆ ไหนจะใกล้บ้าน ค่าครองชีพพอๆกันกับบ้านเรา เดินทางมาง่าย มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ที่สำคัญเหมาะสำหรับนักเดินทางทุกกลุ่มทุกวัย โดยเฉพาะคนที่อยากเริ่มต้นแบคแพค ประเทศเวียดนามเป็นตัวเลือกต้นๆที่อยากแนะนำค่ะ

ขอบคุณที่อ่านกันนะ

Oil / Wanderer Error

ถ้าชอบฝากกดไลค์เป็นกำลังใจด้วยนะคะ ^^
https://www.facebook.com/WandererError/

Wanderer Error

 วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.54 น.

ความคิดเห็น