ฮาโหลลลลลลลล



หวกน้อยกลับมาอีกครั้ง หลังจากปล่อยดองทริปให้ผ่านมาเนิ่นนาน

เลยได้ฤกษ์มารื้อความทรงจำกันสักหน่อย เขียนแบบหลงๆลืมๆละก็ช่างมันบ้างไรบ้างนะฮะ

เช่นเคยค่ะ ไปกัน 2 คนกับผู้บ่าว ไม่ใช่อยากสวีทอะไร แต่ไม่มีคนไปด้วย

ไอเราเป็นพวกไม่ค่อยแพลนทริปล่วงหน้านานๆ คนจะไปด้วยเค้าเลยเตรียมตัวกันไม่ค่อยทัน

หลังจากที่มีเวลาคิดกันไม่นานว่าจะไปไหน ในช่วงเดือนนี้ดีนี้

ก็สรุปออกมาได้ว่าไปดูทุ่งคาโนลาที่โหล่วผิง ยิงยาวไปหยวนหยาง ขี่มอไซค์แว๊นซาปา เดินเปิดหูเปิดตาจิบเบียร์ฮอยที่ฮานอยกัน

ทำไมต้องเป็นโหล่วผิง??

ก็วีซ่าจีนเค้าเหลือเข้าได้อีกครั้ง และช่วงมี.ค.ทุ่งคาโนลาที่โหล่วผิงก็กำลังบานไง

ทำไมต้องไปหยวนหยาง??
ก็มันใกล้ๆกันง่ะ แถมยังขึ้นชื่อลือชาเรื่องความงามของนาขั้นบันได

ทำไมไปจีนแล้วยังอยากไปเวียดนามเหนือด้วย??
ฮู้ยยย หยวนหยางกับเวียดนามใกล้กันแค่นี้ จะพลาดได้ไง

ไหนจะใกล้บ้านเรา เดินทางง่าย ค่าครองชีพไม่ห่างกันมาก เอ้า!! รู้อย่างนี้จะรออะไร งั้นก็ไปกันเล้ยยยย


Travel Plan 5-15 Mar,15 (อันนี้ก่อนไป ไม่ได้ฟิกซ์อะไรนักค่ะ กลับมาแล้วก็ตามนี้)

Day 1 : (5) Bkk - Kunming - Luoping
Day 2 : (6) Luoping
Day 3 : (7) Luoping - Kunming - Yuanyang (by overnight bus)
Day 4 : (8) Yuanyang
Day 5 : (9) Yuanyang
Day 6 : (10) Yuangyang - Lao Cai (Vietnam Border) - Sapa
Day 7 : (11) Sapa - Hanoi
Day 8 : (12) Hanoi - Babe National park
Day 9 : (13) Babe - Hanoi
Day 10 : (14) Hanoi - Freeday
Day 11 : (15) Hanoi - Bkk

เตรียมพร้อม
- ที่ขาดไม่ได้เลยก็เงินค่ะ 555 เราแลกเป็นหยวนไป เหลือเท่าไหร่ค่อยไปแลกเป็นเงินด่องที่ด่านลาวไคอีกที
- วีซ่าจีน จะทำผ่านเอเจนท์หรือยื่นด้วยตัวเองก็ได้ ส่วนเข้าเวียดนามคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าค่ะ
- สำเนาวีซ่า พาสปอร์ต ตั๋วเครื่องบิน ส่วนโรงแรมมีดูๆไว้บ้าง แต่ไม่ได้จองล่วงหน้า
- เสื้อผ้า อุปกรณ์อะไรต่างๆ ก็ตามนั้นแหละค่ะ เราไม่เน้นเอาของไปเยอะ ขี้เกียจหอบ เผื่อต้องใช้หลายๆพาหนะ (ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น ค่อยๆตามอ่านกันไปค่ะ)
- ภาษาจีน!! ดีว่าผู้บ่าวพอจะสื่อสารจีน เวียดนามได้บ้าง แต่ถ้าใครไม่ได้เลย แนะนำหาชื่อสถานที่ คำศัพท์ง่ายๆที่เป็นภาษาจีนติดไปด้วย อย่างน้อยๆอ่านไม่ออกยังพอเทียบเคียงได้ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีแอฟมือถือที่ช่วยแปลภาษาได้อย่างง่ายดาย ลองหามาเล่นๆดูค่ะ

อ้อ อีกอย่าง ป้ายเป็นภาษาอังกฤษในตัวเมืองจีนเองก็เริ่มมีให้เห็นเยอะมากขึ้น ยกเว้นแค่ตามบ้านนอกที่ยังเป็นภาษาจีนล้วนๆอยู่

ส่วนถ้าไปตามสถานที่ท่องเที่ยวเช่น หยวนหยาง ชาวจีนเองก็มีพูดภาษาอังกฤษกันได้อยู่บ้าง รอดไปค่ะ

การเดินทาง
อย่างแรกก็ต้องมาดูว่าจะเดินทางไปอย่างไง จากเมืองไทยไปตั้งต้นที่คุนหมิง ไปได้ 2 ทาง

1.ทางรถ
จากกรุงเทพ - เชียงของ - หลวงน้ำทา - คุนหมิง

ออกจากกรุงเทพตอนเย็น ถึงเชียงของตอนเช้าพอดี ข้ามไปฝั่งลาว ถามรถตรงด่านให้ไปส่งคิวรถไปคุนหมิงที่อยู่ไม่ไกล

ค่ารถไม่เกิน 100 บาท ทำเรื่องข้ามด่านลาว-จีน มีแวะกินข้าว ลักษณะเป็นรถนอน สะอาดและสบายพอสมควร ราคาประมาณ 320 หยวน (เรทเมื่อปี 12) พาจอดยืดเส้นยืดสายที่เมืองเหมิ่งหล้า ที่สามารถต่อรถไปยังจิ่งหงหรือสิบสองปันนาก็ได้ จากนั้นไปถึงคุนหมิงอีกทีก็ตอนเช้าเลยค่ะ

เท่ากับว่าใช้เวลานั่งรถรวม 2 คืนกับอีก 1 วันเต็ม

จนไปสุดทางที่ South Bus Station แล้วนั่งรถแท๊กซี่ต่อไปที่ East Bus station (คล้ายๆบ้านเราที่จะมีสถานีรถสายใต้ สายเหนือ แต่ที่นี่มีหลายสถานีค่ะ) จะไปเมืองไหน ต่อที่สถานีไหนอะไร เช็คได้ที่ >> http://www.travelchinaguide.com/cityguides/yunnan/kunming/travel-tips2.htm

เราเคยนั่งรถจากไทยไปแชงกรีล่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตั้งใจจะไปให้ถึงเต๋อชิง แต่ไม่ถึง 555

เพราะเวลาหมดซะก่อน เลยไปสุดแค่ที่จงเตี้ยนแล้วนั่งรถกลับไทยทางเดิม (ทริปนี้เปิดโลกทัศน์ของการนั่งรถข้ามประเทศที่จำจนตาย 555 เคยเขียนบันทึกไว้อยู่นะ แต่ดองไว้ตามเคย)


2.ทางเครื่องบิน

รอบนี้ใช้วิธีนั่งเครื่องไปค่ะ เพราะไปถึงก็ตั้งใจนั่งรถข้ามเมืองกันอยู่แล้ว เลยอยากร่นเวลาเดินทางหน่อย ใช้บริการของหางแดง โดยได้สปอนเซอร์ใจดีจากหนังสือ Trip Magazine ค่าเครื่องเลยไม่ต้องจ่ายเอง ขอขอบคุณออกสื่อมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ อิอิ

อ่านตอน 2 > Day 7-11 China มา Vietnam | Chapter 2 "บาเบ๋" ที่เที่ยวไม่ใหม่ แต่ได้ใจคนรักธรรมชาติและความสงบ


Day 1 : Bkk - Kunming - Luoping

จากกรุงเทพ-คุนหมิง ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาเหยียบแผ่นดินมังกรทางฝั่งใต้ โดยมีคุนหมิงเป็นเมืองหลวงของมลฑลยูนนาน

มาถึงก็มองหาป้ายรถไฟฟ้าใต้ดิน ตรงหน้าทางเข้าจะมีเครื่องหยอดเหรียญอัตโนมัติและมีเมนูภาษาอังกฤษ(เริ่ดป่ะล่าาาา)

เครื่องจะรับแบงค์ใหญ่สุดได้แค่ใบ 50 หยวน ซึ่งเราสามารถแลกเป็นแบงค์ย่อยได้ที่ช่อง Customer service ที่อยู่ใกล้เคียง

เป้าหมายของเราคือมุ่งหน้าไปเมืองโหล่วผิงที่แรก ซึ่งจะต้องไปขึ้นรถที่ East Bus station


คนละ 5 หยวน สำหรับค่าบัตรโดยสาร ภายในตู้ใหม่และสะอาดมากๆ ที่สำคัญว่ามีภาษาอังกฤษบอกอย่างชัดเจน เราใช้เวลาเพียง 25 นาที ก็ถึงค่ะ

จีนในวันนี้กำลังเปลี่ยนไปอย่างมาก ถนนหนทางดีขึ้น คนที่จะแบคแพคมาคงไม่ต้องเลือดตาแท่บกระเด็นอย่างเช่นเมื่อก่อนแล้ว (คงไม่ต้องสาธยายว่าเพราะอะไร ไหนจะห้องน้ำ ถนน รถ คน นอกจากอินเดีย เราว่าก็มีแบคแพคมาจีนนี่แหละ ที่สูสีกัน)

หลังจากมาถึงก็มองหาช่องขายตั๋วเรียงรายมากมาย ที่เราสามารถเข้าช่องไหนที่เปิดก็ได้

เพียงบอกจุดหมายปลายทางของท่านนน ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยยย

East Bus Station มีไวไฟฟรีด้วยน้าาา 2 ชั่วโมงที่รอรถออกก็นั่งเล่นเนตไปค่ะ

ห้องน้ำก็ไม่ได้แย่มาก แค่เกือบซวยไปเหยียบอึที่อยู่ตรงกลางทางเดิน ทุกวันนี้ยังงงว่ามันหลงไปอยู่ตรงนั้นได้ไง

- ระหว่างรถจอดพัก พอรู้ว่าเราถ่ายรูปเค้า มีหันสู้กล้องด้วย ลุงน่ารักกกกกก -


อากาศวันนี้กำลังสบายๆ ฟ้ายังครึ้มด้วยหมอกเมฆ (หรือควันก็ไม่รู้นะ ฮ่าๆๆ)

การเดินทางทุกอย่างราบรื่นดี ยกเว้นแต่ว่าป้ายภาษาอังกฤษต่างๆที่เคยทำให้ใจหลงระเริง ตอนนี้มันหายไปไหนหมด

รถออกจากชานชลาตรงเวลาตามหน้าตั๋ว สภาพภายในใหม่เอี่ยม ถนนราบเรียบ ใช้เวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง เราก็มาถึงที่นี่โหล่วววผิงงงงงง

แต่เดี๋ยวก่อน เมืองโหล่วผิงก็ยังไม่ใช่จุดที่เราจะไปถึงทุ่งคาโนลาได้นะ ต้องนั่งรถออกไปอีกจ้า

ตอนนั้นจำได้ว่าจะมีทั้งรถเมล์คันเขียวๆ และรถตู้โดยสารไปส่งยังเมืองจินจีหลิง ที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก ราคาคนละ 7 หยวน

มาถึงก็มืดสนิดพอดี เราตั้งใจเลือกทำเลที่พักเป็นหลัก

เดินถามๆพักนึงเจอราคาคืนละ 50 หยวน ราคา ความสะอาด ทำเล อยู่ในเกณฑ์ จึงใช้เวลาตัดสินใจชั่ววิบเดียว ติแค่ว่าเป็นห้องน้ำรวม แต่ก็ช่างมัน เน้นถูก 555

เราพักทั้งหมด 2 คืน ซึ่งอยู่ใกล้ทางขึ้นวัดจินจี ที่ด้านบนเป็นจุดชมวิวยอดนิยมของที่นี่ด้วย

ลักษณะที่พักแถบนี้อาจไม่ดีเริศอะไร หากอยากพักโรงแรมดีๆ 4 ดาว ก็ให้เลือกพักที่ตัวเมืองโหล่วผิงค่ะ

มื้อเย็นก็ฝากท้องไว้กับร้านอาหารของโรงแรม มาถึงที่นี่ ก็ต้องมาลองทานผัดผักคาโนลากัน รสชาติไม่ได้แย่ แค่เรากินไม่หมด (เอ๊ะ ยังไง) ปกติไม่ค่อยกินผักอยู่แล้ว มันออกเหม็นเขียวหน่อยๆ

อาาาา ผ่านไปแล้ววันแรก คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็น พรุ่งนี้ก็คงเช่นกัน


Day 2 : Luoping - Jiulong waterfall

เช้ามืดของวันที่ 2 ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหวัง

จัดแจงแต่งตัวล้างหน้า เดินฝ่าความมืดและความหนาวมุ่งหน้าขึ้นวัดจินจี โดยมีเพื่อนชาวจีนคณะใหญ่ มุ่งหน้าไปทางเดียวกัน

จ่ายคนละ 20 หยวน เป็นค่าเข้าชมพระอาทิตย์ขึ้น เดินมืดๆไปตามบันไดประมาณ 20 นาที

เราก็มาถึงจุดชมวิวทีดีที่สุดของเมืองจินจีหลิง แต่นี่ขนาดขึ้นมาถึงก่อนเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ประมาณ 1 ชั่วโมง

เชื่อมั้ยคะ ว่ายังเจอยังเจอนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มใหญ่ ที่ล่วงหน้าขึ้นมาก่อนอีกเยอะมากๆ

ได้ทำเลที่คิดว่าดีก็กางขาตั้งกล้อง เฝ้ารอแสงแรกท่ามกลางความหนาว..

- นี่คือมีลงไปบ้างแล้วนะ -

แต่พอเริ่มสว่างขึ้น เราก็ต้องอึ้ง!!

ไหนละทุ่งคาโนลาที่ฉาบไปด้วยแสงสีทองยามเช้างามตาอย่างที่เราเคยเห็นในโปสเตอร์ของการท่องเที่ยวจีน!!

หมอกหนามากเลยค่ะท่านผู้ชม นอกจากไม่เห็นวิวแล้ว ยังเห็นแต่หัวคนที่พอสว่างแล้วไม่คิดว่าจะเยอะได้ขนาดนี้


แต่เราก็ยังเฝ้ารอ รอ .. รอ จนกระทั่งเกือบ 9 โมง

จนต้องยอมแพ้หมอก คงไม่เห็นอะไรแล้วจริงๆ ลงไปถ่ายรูปข้างล่างดีกว่า เสียไปฟรีๆคนละ 20 หยวน

แต่อย่างนั้นก็ยังเหลือคนจีนอีกหลายสิบคนที่ยังปักหลักอยู่ที่เดิม เราอยากบอกให้เค้าถอดใจเถอะ การแสดงได้จบลงแล้ว..


หลังจากลงมาจากเขา พวกเราก็ซอกแซกเดินเที่ยวทุ่งคาโนลาอย่างใกล้ชิดในบริเวณด้านล่าง

ซึ่งจะมีทั้งจักรยานให้เช่า และเกวียนควาย เกวียนวัวพากันประดับโบว์น่ารักน่าเอ็นดูด้วยสีสันฉูดฉาด (มีควายด้วยจริงๆนะ)

คงอารมณ์นั่งเกวียนชมทุ่งแหละค่ะ

บางแปลงก็เสียตังค์ บางแปลงก็ฟรี มีบอลลูนด้วยนะเออ ทำเป็นเล่นไป

แต่บอลลูนแอบน่ากลัวง่ะ ขึ้นไปได้หน่อยนึง ก็แฟ่บลงมาแล้ว

พอลงมาเดินมองไปตามเนินที่อยู่ท่ามกลางทุ่งเหลืองแล้ว สังเกตุเห็นว่า นอกจากจุดชมวิวบนวัดจินจีแล้ว

ยังมีพ่อค้าหัวใส ทำจุดชมวิวบนยอดเนินเล็กๆไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมวิวทุ่งจากมุมสูงไว้ด้วย

ท่าทางที่นี่ก็คนแน่นเหมือนกัน สังเกตุจากหัวคนลิบๆจากข้างล่าง ตรงนี้เราไม่ได้ไปถามราคา

แต่เดินหาสักเนินเขาที่เราสามารถขึ้นไปเองได้ จนมาเจออยู่เนินนึง ส่วนตัวมากๆ ข้างบนค่อนข้างแคบไม่ค่อยมีที่ราบให้ยืน แต่ก็ได้วิวสวยๆชดเชยเมื่อเช้าไปค่ะ


ถ่ายรูปจนพอใจ ก็เตรียมตัวนั่งรถไปน้ำตกเก้ามังกร หรือน้ำตกจิ่วหลง โดยใช้รถแท๊กซี่ท้องถิ่นที่จอดอยู่แถวๆนั้น

จ่ายคนละ 10 หยวน เล่นกับลูกคนขับไปรอไป ไม่นานรถก็เต็ม

น้ำตกจิ่วหลงอยู่ไม่ไกลจากเมืองจินจีหลิง ห่างเพียง 10 กิโลเมตร เป็นน้ำตกที่ใหญ่และสวยติดอันดับ 1 ใน 9 ของจีนที่สวยที่สุด


เสียค่าเข้าคนละ 75 หยวน แต่เผอิญว่าผู้บ่าวเคยมาแล้ว เราเลยเข้าไปเองคนเดียว

ไสว่าซิบ่ทิ่มกั๊นนนนนน ไสว่าสิมี๊กั๊นและกันนน 555

ไอ่ไปคนเดียวน่ะไม่เท่าไหร่ แต่นางดันขู่ว่าต้องขึ้นไปให้ถึงจุดชมวิวด้านบนและกลับมาให้ตรงเวลา มันยากตรงนี้ละ ..

แรกๆก็เดินชมวิวไป ถ่ายรูปไป หลังๆ อ้าวเห้ย ชิลไปหน่อย ไม่นึกว่าจุดชมวิวจะต้องเดินขึ้นไปสูงขนาดนี้ แถมบริเวณก็ไม่ใช่น้อยๆ ไม่น่าไปเสียเวลาช่วงแรกๆ


เพราะพอเดินเข้าไปใกล้ๆน้ำตกยิ่งสวยงามอลังการมากค่ะ แต่ถ้าใครจะไม่เดิน เค้าก็มีกระเช้าไว้บริการนะ

- คำเตือน : อย่าเซลฟี่ตอนกำลังยืนบนหินนี่ เห็นอะไรแดงๆด้านขวามั้ยคะ.. นั่นแหละค่ะ -


ช่วงบ่ายฟ้าเปิด แดดเปรี้ยง ขากลับตอนออกมาจากน้ำตก แสงแดด ท้องฟ้า มันช่างยั่วยวนให้กลับไปดูพระอาทิตย์ตกบนวัดจินจีซะเหลือเกิน..

มุ่งหน้าเดินกลับขึ้นไปบนเขา คุณป้าแก๊งเก็บตังค์ค่าเข้า ที่ตอนแรกไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหน ก็เผยตัวออกมาจากเงามืดๆใต้ต้นไม้

บทสนทนาที่แปลโดยผู้บ่าว
ป้า : "20 หยวน.."
ผู้ : หยิบตั๋วเมื่อเช้าให้ดู
ป้า : ทำโบกมือ .."ไม่ได้ๆ นั่นมันเมื่อเช้า"
ผู้ : อึ้ง.. "ป้า หยวนๆเหอะ เมื่อเช้ามันไม่เห็นอะไรเลยนะ ป้าก็เห็น" ประโยคนี้ทำมือไม้ประกอบแล้วค่ะ 555
ป้า : "ไม่ได้ๆ" คราวนี้ทำมือไขว้กัน หน้าเข้ม ดีไม่เห็นเขี้ยว

ถามว่ายอมมั้ย ก็ยอมสิ อยากเห็น เลยยอมควักไป

ตอนที่เรากำลังต่อรองก็มีหนุ่มจีนผสมโรงด้วย เราน่ะยอมแล้ว แต่หนุ่มไม่

เถียงกันอีกแปบ คราวนี้ป้าเรียกพวกมาช่วย จนหนุ่มจีนโวยวาย หัวเสียไม่ขึ้นมาเลย

ข้างบนนี้เป็นเขตของวัด เห็นว่าเมื่อก่อนไม่ต้องมาเสียค่าเข้า ตอนนี้เก็บค่าเข้าเป็นเรื่องเป็นราว 20 หยวน ก็คนละ 100 พอดี

แดดที่ทำท่าแรงๆ ก็เริ่มดูอ่อนแสงเมื่อมีเมฆเข้ามาปกคลุม

มันเป็นช่วงเวลาที่ดี พอเห็นวิวที่เปิดเต็มที่ได้เต็มตา ก็เห็นทุ่งคาโนลาที่กว้างใหญ่มากๆอย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน

ถ้าใครมาบอกว่าที่นี่ใหญ่ที่สุดในโลก เราก็เชื่อนะ มันสุดติ่งจริงๆ


- ช็อทแรกโผล่มาเล่นกล้องหนึ่ง ช็อท 2 โผล่ 3 -


อากาศข้างบนหนาวและลมแรงกว่าข้างล่าง แม้จะไม่ทันได้เห็นแสงสุดท้าย เพราะรู้สึกว่าฟ้าเริ่มจะฟุ้ง เราเลยพากันลงไปเดินเล่น ถ่ายรูปในเมืองกัน

ก็ได้อารมณ์แบบชนบทดีนะ คนน่ารัก ไม่ได้ตั้งท่าแต่จะโกงเหมือนในเมืองใหญ่ (มั้ง 555)
เริ่มรู้สึกว่าเอาเสื้อกันหนาวมาบางไป >"<

Day 3 : (7) Luoping - Snail farm - Kunming - Yuanyang (by overnight bus)

ช่วงเช้าได้มีเวลาเก็บตกหามุมถ่ายรูปอีกนิดหน่อย ได้ไปเจอแนวดอกบ๊วยสีขาวซ่อนตัวอยู่ในทุ่งคาโนลาทีกำลังออกดอกพอดี

ก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองโหล่วผิง เพื่อซื้อตั๋วรถกลับไปคุนหมิง โดยตั้งใจเลือกรถรอบบ่าย

เพื่อที่จะได้มีเวลาไปเที่ยวชมทุ่งคาโนลาอีกที่ ที่ไม่ควรพลาด

อุ่นใจว่ายังไงก็ได้ตั๋วรถแล้วแน่นอนจึงเดินออกไปโบกรถแท๊กซี่ เหมาไป Snail Farm ให้ห่างจากท่ารถสักหน่อย ไม่งั้นอาจโดนขูดเนื้อหนังแน่ๆ

ราคาที่หาได้ไป-กลับราคา 100 หยวน

Snail farm คือทุ่งคาโนลาอีกที่ที่สวยงาม ลักษณะเมื่อมองจากมุมสูงจะเห็นแปลงทุ่งเป็นวงกลมๆซ้อนกัน ลักษณะคล้ายๆเปลือกหอยทาก เลยกลายเป็นทีมาของชื่อนี้

คนขับแท๊กซี่ของเราเป็นผู้หญิง ร่างใหญ่ดูเฮ้วๆหน่อย นางก็ใจดีนะ ตรงไหนจอดได้ ก็พาจอดไม่เร่งเวลากับเรา

แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช้เวลาถ่ายรูปไม่นานหรอกค่ะ เพราะตั้งใจใช้เวลาที่เหลือก่อนรถจะออกไปเดินเล่นชมเมืองกันก่อน



โหล่วผิง (Luoping) เมืองเล็กๆที่ห่างจากเมืองคุนหมิงไม่ไกล เดิมทีเป็นเมืองที่ทำการปลูกพีชชนิดนี้เป็นอาชีพ

แต่เจ้าต้นนี้ก่อนที่มันจะออกเป็นเม็ดเป็นฝัก ให้ได้สกัดเป็นน้ำมันออกมาได้นั้น จะออกดอกสีเหลืองสะพรั่งทั่วอาณาบริเวณหลายร้อยไร่สุดลูกหูลูกตา สวยงามละลานตามากๆ

ทำให้ช่วงเวลาประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ ถึงต้นเดือนมีนาคม ซึ่งจะบานแค่เพียงปีละครั้ง และบานไม่เกิน 2 อาทิตย์ นั้นเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ ชาวบ้านจึงพักการเกษตร หันมาทำการท่องเที่ยวในฤดูกาลสั้นๆนี่แทน


- นั่งเล่นไพ่กันงานใหญ่ งานจริงจังมาก -

ส่วนในตัวเมืองก็ถือว่าเจริญใช้ได้ค่ะ มีคนอาศัยมากกว่าหมู่บ้านรอบนอก


ผู้คนน่ารัก ใจดี ถึงแม้จะพูดกันไม่เข้าใจ แต่ก็รับรู้ได้จากรอยยิ้มและแววตา

มีร้านขายขนมในตลาด พอรู้ว่าเราเป็นคนไทยก็ชวนคุยใหญ่ บอกว่าเคยไปเที่ยวเมืองไทย ชอบมากๆ

คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก หัวเราะกลบเกลื่อน เออออกับแกไป แกเลยแถมขนมมาให้ด้วย

ระหว่างเดินชมเมืองก็ไม่ใช่จะเดินตัวเปล่านะ กระเป๋าก็ยังลากตามไปด้วย 555 แต่ไม่หนักค่ะ เบาๆ 2 คนกระเป๋าไซส์ 24 นิ้ว ใบเดียว กับเป้เดย์แพคคนละใบ

สถานีรถโหล่วผิง ไม่ใหญ่ ไม่ต้องเผื่อเวลามาก ผ่านช่องตรวจกระเป๋าก็เจอชานชลาเลย

แต่ทีนี้คือเมื่อมาถึง รถจะไปสุดทางที่สถานีตะวันออก (East Bus staion) แต่จุดหมายต่อไปของเราคือสถานีสายใต้ (South Bus station) ที่มุ่งหน้าไปหยวนหยางเลยต้องต่อรถเมล์ไปอีก

พอลงมาก็มองหาคิวรถที่จะไปต่อ ซึ่งตรงนั้นมีรถไปทุกสถานีค่ะ มีป้ายบอกอย่างชัดเจน

..แต่มันดันมีแต่ภาษาจีนนี่สิ ร้องไห้หนักมาก

ดีที่ผู้บ่าวพอจะถามๆเอาได้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็จดๆคำที่เป็นคีย์เวิร์ดไว้นะคะ เหนือ ใต้ ออก ตก หรือชื่อสถานที่ที่เราจะไป ไรประมาณนี้

ราคาคนละ 5 หยวนก็จริง แต่คนแน่นมากกกกก แท่บจะขี่คอกันอยู่แล้ว ดีที่ขึ้นมาก่อนไม่งั้นไม่ได้นั่งแน่ๆ

กว่าจะมาถึงก็ต้องวิ่งเข้าสถานี

แบ่งเป็น 2 หน้าที่ ผู้บ่าววิ่งตัวเปล่าเข้าไปต่อคิวซื้อตั๋ว ส่วนเราทำหน้าที่ใช้แรงงาน เพราะภาษาไม่ได้เลย หอบข้าวของทั้งหมดผ่านช่องเอ็กซเรย์ด้วยแรงทั้งหมดที่มี ตามไปจนถึงช่องขายตั๋ว

"ได้ตั๋วแล้ว แต่เร็ว! รถกำลังจะออก!!"

สิ้นเสียงก็วิ่งสิคะ รออะไร ได้รถรอบสุดท้ายพอดีข้าวก็ยังไม่ได้กิน ห้องน้ำก็ยังไม่ได้เข้า เมื่อกลางวันซัดแต่ของกินเล่น

ว่าแต่.. กินเล่นๆแต่อิ่มอยู่นะ ซัดไก่ทอดคลุกพริกปาปริก้าไปตั้งหลายไม้ อิอิ

ค่ารถนอนไปหยวนหยาง ราคา 139 หยวน ลักษณะรถนอนก็ถือว่าสะดวกสบายกว้างขวางพอสมควรค่ะ

ซึ่งพอขึ้นมาจะต้องถอดรองเท้าใส่ถุงพลาสติกที่เค้าเตรียมให้ รถจะได้ไม่เปราะขี้ดินติดขึ้นไปด้วย เราได้ตรงแถวหน้าสุด

ตอนแรกก็นึกดีใจที่ไม่ต้องเดินดมกลิ่นเท้าของชาวประชาเข้าไปลึกนัก ที่ไหนได้ ตัวปล่อยกลิ่นคือไอ่คนที่นอนถัดขึ้นไปบนหัวเรานี่แหละ!!

แต่จะทำยังไงได้ ทำได้เพียงทำใจและงัดเอาสุดยอดไม้ตายคือยาดมมาอุดจมูกไว้จนแสบ และเริ่มชินกลิ่นไปเอง

ระหว่างที่รถพาเราค่อยๆวิ่งสู่ถนนที่มุ่งหน้าออกนอกเมือง..

ใจก็พลอยนึกไปถึงว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เราหลงใหลอารมณ์ของการนั่งรถ โดยเฉพาะการใช้รถนอนร่วมกับคนแปลกหน้าแบบนี้

มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้ตื่นเต้นปนไปกับความพิศวงที่ไม่รู้ว่ากว่าจะถึงจุดหมายผ่านความมืดข้ามคืนนั้น จะได้เจอะเจออะไรบ้าง


บางครั้งได้เพื่อนร่วมทางที่ดี ได้นอนหนาวกับแอร์บนรถเย็นเฉียบ

..หรืออาจจะต้องนอนปิดจมูกไปกับฝุ่นที่คลุ้งรถ

..หรืออาจจะหลับไม่ลงเมื่อเจอโชเฟอร์เท้าไฟ

มารู้ตัวอีกทีก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ แต่ก่อนจะหลับก็ยังไม่วายกังวลกันว่าถ้าไปถึงเร็วยังไม่สว่างสงสัยจะต้องนอนรอที่ท่ารถ แต่เปล่าเลย ตี 2 ตื่นขึ้นมา .. พบว่าพี่คนขับพาจอดรถนอนจ้า แต่เราหลับไม่ลงแล้ว เลยต้องงัดโทรศัพท์มาเสียบหูฟังเพลง

จนกระทั่งเช้ามืดรถจึงออกวิ่งต่อ ไปถึงเมืองซินเจียก็เช้าตรู่พอดี

Day 4 : (8) Yuanyang - Qingkou village hiking route

มาถึงเช้าตรู่ก็หารถเข้าไปนอนในเขตอุทยาน เราเลือกไปนอนแถวโต๊ะอิซู่ (DuoYiShu)

ค่ารถ 15 หยวน ระหว่างทางก็มีชนเผ่าพื้นเมืองคือชาวฮานิขึ้นมาบนรถกันเพียบ

ผ่านบ้านคน เด็กน้อยกำลังไปโรงเรียนสดชื่นแจ่มใส

จนกระทั่งไปถึงโต๊ะอิซู่ เราก็เริ่มหาที่พัก ปรากฎว่าเต็มค่ะะะ

บางที่ยังว่างอยู่ก็แพง เลยลองโทรไปที่ๆนึง ซึ่งมีคนในพันทิปเคยรีวิวไว้ (ขอบคุณมากๆค่า ดีนะที่จดเบอร์มา)

ปรากฎว่าอยู่ในหมู่บ้าน Pugaolao ทางเข้าอาจจะดูลึกลับและเป็นเนินลาดลงไป

แต่ข้อดีของโซนนี้คือใกล้กับจุดชมวิวนาขั้นบันไดที่เราสามารถลงไปเดินได้ใกล้ชิดโดยไม่ต้องไปแก่งแย่งพื้นที่กับคนหมู่มาก แถมยังเงียบสงบดีอีกด้วยค่ะ

.. แต่มันต้องเดินขึ้นลงเนินนี่สิ ฮือออ

ที่พักของเรา 2 คืน คือ Timeless โฮสเตลราคาประหยัด สะอาด

เจ้าของเป็นหนุ่มจีนใจดีภายใต้หน้าตาอันเฉยชา แต่คงเพราะเหนื่อยมาก

เห็นว่าช่วงนี้คนขาดเลยต้องทำเองทุกอย่าง หน้าเฮียเลยจะไม่ค่อยยิ้ม แต่ก็ช่วยเหลือแนะนำเส้นทางท่องเที่ยวเต็มที่

ที่สำคัญยังใจดีให้เราพักห้อง Dorm แบบ 4 เตียง ที่มีห้องน้ำในตัว ที่ไม่มีคนอยู่ในราคาคนละ 40 หยวนด้วย

เลยเท่ากับว่าเหมือนเราได้ห้องส่วนตัวไปเลยค่ะ ซึ่งต่างจากบางที่ ถ้าห้องไหนคนไม่เต็มก็จะให้ไปนอนรวมกัน ไม่เปิดห้องว่างให้

แต่ข้อเสียคือถ้าทานอาหารที่นี่จะต้องรอนานหน่อยและถ้าแม่ครัวยังไม่มาเจ้าของเค้าก็ทำให้ได้แต่จะเฉพาะเมนูง่ายๆ


ซึ่งนอกจากที่นี่บริเวณใกล้เคียงยังมี Jackie Guesthouse , Berlinda , youth hostel

แต่ Jackie นี่น่าจะดัง เพราะที่คุยๆกับนักท่องเที่ยวฝรั่ง 2-3 กรุ๊ปเค้าก็พักที่นี่

ส่วนอีกวันตอนเราไปกินข้าวแล้วนั่งรถกลับที่พัก บังเอิญนั่งรถคันเดียวกัน เจอคนเกาหลีที่เกือบโดนพวกห้องพักข้างบนโก่งราคา

คือเค้าพยายามจะให้รถไปส่งที่ Jackie แต่คนขับกับโรงแรมยื้อจะให้พักตรงนี้

แต่ Jackie ก็ดันเต็ม เราเลยชวนเค้าพักที่เดียวกัน

ว่าแต่.. เฮียเกาหลีแกมาคนเดียวล่องเที่ยวจีนจากเมืองอะไรสักอย่างนี่แหละ พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย ภาษาจีนไม่ได้เลย มาถึงนี่ได้ ยกนิ้วให้เลย

แต่สำหรับคนที่มีเวลาน้อยแนะนำให้นอนที่ซินเจียจะดีกว่า เพราะสะดวกในการเดินทางเข้าออกจากหยวนหยาง และราคาโรงแรมยังถูกมากกว่า ทั้งยังสะดวกในการหาของกิน

หลังจากหลับพักสักงีบ อาบน้ำให้สบายตัว ก็ได้เวลาออกทัวร์ชมสุดยอดนาขั้นบันไดกันแล้วค่ะ

หยวนหยาง นาขั้นบันไดผลงานพรีเมี่ยมที่เกิดจากน้ำแรงของชาวเกษตรแห่งลุ่มแม่น้ำแดง

ที่ขยายอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล กินบริเวณกว้างลดหลั่นกันไปตามไหล่เขา อายุเก่าแก่กว่า 1300 ปี

และยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในโลก ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ด้านสิ่งแวดล้อมในปี 2556

ที่นี่เป็นพื้นที่บนภูเขาสูงตั้งแต่ระดับ 1300 – 1600 เมตร โดยมีชนเผ่าอาศัยอยู่นับเป็น 95% ของพื้นที่ ซึ่งมีชนเผ่าฮานิอาศัยอยู่มากที่สุด

และยังเป็นหนึ่งในเมืองที่ทางการจีนได้อนุญาติให้ปกครองตนเองได้อีกด้วย

หยวนหยางขึ้นชื่อว่าเป็นนาขั้นบันไดที่สวยงามแตกต่างกันไปในแต่ละจุด

เมื่อแสงพระอาทิตย์ขึ้นฉาบลำแสงกระทบผิวน้ำจะสะท้อนเป็นสีทองอร่าม

หรือในช่วงพระอาทิตย์ตกก็จะกระทบเป็นสีเทา

ขึ้นอยู่กับแสงและผืนฟ้าที่สะท้อนบนผิวน้ำของทุ่งนาในแต่ละโอกาสนั่นเอง

และเมื่อชื่อเสียงแห่งนาขั้นบันไดแห่งนี้ได้ขจรไปไกล เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ทำให้ที่นี่ขยายตัวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ไปๆพร้อมกับการเดินทางที่สะดวกสบายกว่าเมื่อก่อน

ซึ่งจะต้องเสียค่าตั๋วเข้าจุดชมวิวทั้ง 4 ที่ ตาม Platform ที่ทางอุทยานจัดทำไว้

คนละ 100 หยวน จำกัดเข้าได้จุดชมวิวละ 1 ครั้ง ภายในเวลา 3 วัน ซึ่งเราสามารถซื้อตั๋วที่จุดใดก็ได้

1.JingKou เหมาะสำหรับช่วงเช้า

2.Bada ชมช่วงเวลาใดก็ได้

3.DuoYiShu จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น

4.LaoHuZhui จุดชมวิวพระอาทิตย์ตก (Tiger Mouth)

วันนี้เราคงไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Tiger Mouth ไม่ทันแล้ว จึงออกไปซื้อตั๋วและไปเที่ยวตรงจุดอื่นแทน

ก่อนออกเราได้ฝากให้ทางโรงแรมช่วยหาคนมาแชร์ค่ารถสำหรับเที่ยวพรุ่งนี้เต็มวันให้เราด้วย

เราเลยนั่งรถไปที่ ซิงโคว่ หาเรื่องเดินออกแรงไฮกิ้งตามที่เจ้าของโฮลเทลแนะนำเส้นทางกัน

จากจุดชมวิวด้านบนลงมาตามทางไปหมู่บ้านต้าปาและซิงโคว่ ที่เราสามารถเดินลงสัมผัสนาขั้นบันไดอย่างใกล้ชิด

โดยที่ไม่ต้องแก่งแย่งกับใครให้กวนใจ

พยายามหาจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกงามๆ จากบนสุดลงมาล่างสุด

แต่ยิ่งหายิ่งเดินเหนื่อย เหมือนเดินวนอยู่ในซอยเล็กๆในหมู่บ้าน เลยยอมเดินยาวกลับขึ้นไปถึงด้านบนอีกครั้ง

เจอเพื่อนๆนักท่องเที่ยวประปรายทั้งจีนและฝรั่ง

จนกระทั่งเริ่มเย็น ตอนมาน่ะมาได้ แต่ลืมคิดถึงตอนกลับนี่สิ..


จากตรงนี้กว่าจะถึงถนนใหญ่อีกหลายโล รถตู้หรือแท๊กซี่ก็ไม่มีผ่าน เลยต้องขอโบกสาวๆออสเตรเลียที่มีรถออกมาด้วย

กว่าจะกลับมาถึงที่พักก็เกือบ 2 ทุ่มเพราะแวะกินข้าว และยิ่งมืดยิ่งหารถยากกกก


เจ้าของแจ้งว่าหารถและคนแชร์ให้ได้แล้ว คนละ 184 หยวน ราคานี้หารกัน 4 คน ตกลงมั้ย

(ราคานี้คือที่เคยจดไว้ ทำไมรู้สึกมันแพงจัง จดผิดป่าวไม่รู้นะ 555 แต่คิดว่าที่แพงเพราะตัวหารมันน้อยคนค่ะ)


ได้เจอลุงป้าคนจีนที่มาจากปักกิ่ง สมาชิกที่จะมาร่วมทริปกันพรุ่งนี้แล้ว ทั้งคู่ดูน่ารักมากๆ

รู้สึกโล่งใจที่ไม่ใช่มนุษย์ป้า 555


พรุ่งนี้ต้องสนุกแน่เลย

Day 5 : (9) พระอาทิตย์ขึ้น DuoYiShu - นาขั้นบันไดที่อ้ายชุน – ต้าหว่าชุน - หมู่บ้านทรงเห็ดที่เป็นแบบฉบับดั้งเดิมของชาวฮานิ - MaLiZhai - แหนแดงที่ LongShuBa - พระอาทิตย์ตกที่ LaoHuZhui (Tiger Mouth)

หลังจากได้นอนเต็มที่ เราก็มุ่งหน้าไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวโต๊ะอิชู่ ว่าแต่อย่าลืมหยิบตั๋วออกไปด้วยนะคะ

เช้านี้มันเป็นการชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ปวดประสาทและทำลายภาพบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าที่เคยมี

คนเยอะเต็ม Platform ทุกระดับที่เค้าทำไว้ สังสัยแต่ละคนขึ้นไปกางขาตั้งกล้องกันตั้งแต่ตี 4

เรามาถึงตอนแสงมาพอดี พยายามหาทางเข้าไปถ่ายรูปริมๆได้แป๊ปๆ โดนเบียดอยู่นั่น

เลยได้แต่มองความเป็นไปตามสภาพ รู้งี้น่าจะตามผู้บ่าวลงไปลุยคันนาข้างล่าง

จบการสู้รบจากสงครามแย่งชิงพื้นที่ย่อยๆ กลับมาทานอาหารเช้าที่โรงแรม

จำเวลานัดไม่ได้ น่าจะ 9 โมงเช้า พวกเราทั้งหมด 4 คน ก็มุ่งหน้าขึ้นรถที่เหมามา

คนขับน่ารัก สุภาพมาก เป็นสิ่งที่คาดหวังเป็นอย่างสุดท้ายเวลาเดินทางมาจีนและไม่คิดว่าจะได้เจอ

คงเพราะที่พักเค้าดีลกับคนขับเองและคงเคยๆได้ใช้งานกัน จึงรู้ว่าจะต้องดูแลนทท.อย่างไร

ส่วนเพื่อนร่วมทริปก็น่ารักทั้งคู่ ถึงเรา (เราเองคนเดียวเนี่ยแหละ) จะคุยกับใครเค้าไม่รู้เรื่อง

แต่ลุงป้าก็ยิ้มแย้ม น่ารัก คุยกันหนุงหนิงดูแลรักกันดี แถมแบ่งผลไม้ให้กินด้วย

ช่วงเช้าและช่วงเย็นเป็นช่วงชมนาขั้นบันไดที่ดีที่สุด

ที่แรกที่เราไปคือ อ้ายชุน เป็นผืนนาที่เต็มไปด้วยทะเลหมอกลอยอ้อยอิ่ง แต่ตรงนี้คนเยอะมาก เลยพากันใช้เวลาไม่นาน

เออ ตอนกำลังยืนถ่ายรูปจากข้างบนมีป้าคนหนึ่งกำลังยืนโพสท่านางแบบบนคันนา โพสอีท่าไหนไม่รู้ ล้มลงเลอะโคลนไปครึ่งตัว

ทั้งขำทั้งสงสาร ไม่กล้าขำมาก เพราะอีกวันตั้งใจจะไปเดินคันนาเหมือนกัน เดี๋ยวกรรมตามสนอง

พอคนขับเห็นเราใช้เวลาน้อย เฮียเลยพาไปอีกที่ ที่คนน้อย สวยงามไม่แพ้กันแต่ต้องเดินออกแรงเข้าไปชม

ไปถึงไม่ค่อยมีคนจริงๆค่ะ แถมวิวเดียวกันกับอ้ายชุนเลย ซึ่งที่นี่จะเรียกว่าต้าหว่าชุน

และไปต่อที่หมู่บ้านทรงเห็ดตามแบบฉบับของชาวฮานิ แต่ละบ้านมีป้ายเลขที่จากยูเนสโกชัดเจน

มีคนแก่นั่งๆนอนๆเฝ้าบ้าน กับเด็กน้อยแก่นแก้ววิ่งซนไปมา

พอถึงเวลาพักเที่ยงคนขับก็ขับกลับมาส่งให้แยกย้ายไปกินข้าวปลา แล้วค่อยนัดออกมารอบบ่ายกันอีกที

ช่วงบ่ายออกจากจุดชมวิวที่เหลือ เกือบจะหน้าเบื่ออยู่แล้วค่ะ ถ้าไม่ได้คนขับพาไปงานกินเลี้ยงของชาวฮานิที่จัดตรงกับช่วงที่เราไปถึง

ที่นั่นปิดหมู่บ้านเลี้ยง ล้มหมู ล้มไก่ เลี้ยงกันเป็นงานใหญ่มากๆ อาหารคาวหวาน เหล้ายา เพียบพร้อมมีเติมตลอดเวลา

ลุงป้ากระจายเดินถ่ายรูปไป ส่วนเราบังเอิญเดินไปสบตาลุงที่นั่งกินอยู่แถวนั้นพอดี

แกเห็นเราอยากรู้อยากเห็นเลยชวนให้ลงมานั่งกินด้วยกัน เราเลยไม่กล้าปฏิเสธ (หราาาา)

สนุกมาก ได้ลองกินอาหารท้องถิ่นตามแบบฉบับแท้ๆ ถึงรสชาติจะแปลกๆ หมูมันๆ ผักดอง เหล้าต้ม

นี่ถ้าไม่ติดว่าลุงป้าจะรอคงได้เมาแอ๋กันตรงนั้น เลยต้องรีบกินรีบไป เสียดายมาก 555

ปิดท้ายโปรแกรมของวันนี้ด้วยการชมพระอาทิตย์ตก แต่ก็อยู่กันได้ไม่นานเพราะนอกจากฟ้าจะฟุ้งมากแล้วคนยังเยอะมากเช่นกัน

ถ่ายรูปเก็บมาพอมีหลักฐานในการมาเยือนก็ออกมานั่งกิน "เต้าหู้เหม็น" แกล้มเหล้า รอลุงป้าด้านหน้าแทน
รู้มั้ยคะ ว่าเม็ดข้าวโพดนี่แม่ค้าเอาไว้ใช้ทำอะไร?

เอาไว้นับแทนการจดดดด ว่าใครกินอะไรไปเท่าไหร่

น่ารักเนอะ ตอนแรกก็ไม่รู้หรอก เค้าบอกมาอีกที 555

ก่อนจากกันเราให้ทิปคนขับ เค้าไม่ยอมรับ ไม่ใช่ไร เค้านึกว่าเป็นค่ารถ

เลยออกแนวเสียงดังประมาณว่า นู้นนนนไปจ่ายกับโฮลเทลนู่น พอมีคนจีนเดินผ่านที่พูดอังกฤษได้ ช่วยอธิบายให้เฮียเข้าใจ ทีนี้ยิ้มแป้นเลย

เจอคนจีนน่ารักอีกแล้ว..

แต่อีกวันนี่เจอยังกะหนังคนละม้วนเลย


Day 6 : (10) Yuangyang - Laokai (Vietnam Border) - Sapa

ก่อนจะโบกมือลาหยวนหยาง ก็ขอทิ้งทวนแบบฟินๆด้วยการลงไปเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอกแบบถึงเนื้อถึงตัว

ด้วยการเลาะลงไปเดินตามคันนาตั้งแต่มืดๆ โดยไม่มีชาวประชามารบกวนหรือต้องไปเบียดกับใครอีก

เช้านี้เป็นเช้าที่สุดยอดมากๆ ภาพข้างหน้าคือแสงที่ค่อยๆสาดลงมากระทบกับน้ำนิ่งที่ขังอยู่ในแปลงนาส่องเป็นเงาสะท้อนตามจังหวะเคลื่อนไหวของทะเลหมอก

ชาวบ้านแบกตระกร้าอยู่บนหลัง เดินบนคันนา เป็นภาพที่งามจับตา คุ้มค่ากับการได้มาเห็น


ซึ่งพอตัดภาพหันมองย้อนมาข้างหลัง แล้วมองขึ้นไปยัง Platform ของจุดชมวิว จะเห็นหัวคนดำๆยืนเบียดกันลิบๆอยู่นั่น แอบรู้สึกสะใจเล็กน้อยที่ได้ครอบครองความดื่มด่ำยามเช้าไว้แต่เพียงผู้เดียว

พวกเจ้าช่างน่าสงสารที่ต้องไปเบียดเสียดกันอย่างนั้น วะฮ่ะๆๆ

แต่เวลาแห่งความสุนทรีย์มักมีเวลาจำกัด ได้เวลาที่ต้องอำลากันอย่างจริงจัง


เดินกลับมาเช็คเอาท์ โบกรถไปซินเจียเพื่อหาตั๋วรถต่อไปยังด่านเหอโค่ว (Heikou) ชายแดนจีน-เวียดนาม หรือที่ฝั่งเวียดเรียกว่า เมืองลาวไค

บนรถมีนักท่องเที่ยวจีน 2 คน กับคู่รักเกาหลี 1 คู่ ดูจากการแต่งตัวและท่าทาง ต่างน่าจะมุ่งหน้าไปยังที่เดียวกัน

จะเล่าถึงเหตุการณ์ที่ไม่มีภาพประกอบ ถ้าเบื่อ เลื่อนยาวลงมารูปป่ากล้วยเลยนะคะ

ระหว่างที่รถกำลังวิ่งไป เราได้คุยกันเล็กน้อยกับคู่เกาหลี ผู้หญิงสวยหุ่นดี ผู้ชายก็เนื้อดีเช่นกัน หุหุ

ทั้งคู่ต่างพูดจีนได้ มีเป้าหมายเป็นฮานอยและไม่ใช่ครั้งแรกที่มาเวียดนาม

พอรถจอด ด้วยความเคยชิน ผู้บ่าวก็ทำหน้าที่เดิม ไปซื้อตั๋วรถข้ามด่านที่เคาน์เตอร์ ส่วนเราก็นั่นแหละจ่ายตังค์รถตู้ และขนกระเป๋าลงตาม (ฮ่วย)

ตอนจ่ายตังค์เราสังเกตเห็น 2 สาวจีนที่นั่งมาคันเดียวกัน เดินตามลุงนายหน้าขายตั๋วไปขึ้นรถ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ไปซื้อตั๋วเลยด้วยซ้ำ.. งง

เราสองคนได้ตั๋ว แต่คู่โอปป้าซื้อไม่ทัน ...

แต่อยู่ๆลุงคนที่เป็นนายหน้าก็เดินมาตามพวกเราทั้ง 4 คนให้ไปขึ้นรถซะงั้น ทั้งๆที่ 2 คนเกาหลีนั้นไม่มีตั๋ว.. งงอีกรอบ

ลุงบอกให้ขึ้นไปนั่ง ปรากฎว่ามันมีที่ว่างแค่ 3 ที่

แต่ระหว่างที่ยังยืนงง มัวแต่ถามว่ามันว่างแค่ 3 ที่ จะให้นั่งกันยังไง

จากตอนแรกที่นั่งยังมีเหลือ อยู่ดีๆก็มีคนจากไหนไม่รู้มาขึ้น ขึ้น ขึ้น จนมันเต็ม (2 หมวยนั้น ขึ้นรถไปนั่งข้างบนตั้งนานแล้ว)

อ้าวเห้ย! ทีนี้หายงงเลย!! อยู่ๆจะเต็มอย่างนี้ไม่ได้นะ นู๋มีตั๋วววนะะะะ!!

ระหว่างที่กำลังต่อสู้อยู่กับความถูกต้อง ก็ตัดสินใจไม่ถูกว่าเราควรเลือกเอาตัวรอดไปกันแค่ 2 คน (ซึ่งจะว่าไปมันก็สิทธิ์ของเราที่ควรจะได้ เพราะเรามีตั๋วที่ซื้อมาถูกต้อง) หรือยินยอมร่วมชะตากรรมไปกับคู่โอ้ปปา

อยู่ๆก็มีลุงอีกคน โผล่มาจากไหนไม่รู้ มาช่วยตัดสินใจแทนโดยไม่ถามสักคำ

อันนี้แปลเอาเองประมาณว่า

"ไปๆ มาด้วยกันใช่มั้ย ลงมากันให้หมดนั่นแหละ เดี๋ยวหารถให้"

เรานี่น้ำท่วมปากอยากบอก กุมากันแค่ 2 ค๊นนนนนน

แต่เอาวะ! มาถึงขนาดนี้ มันก็แค่ต้องไปไฟท์กันต่อ!

จากนั้นจำได้ว่าองค์ขุ่นแม่ลงคร่าา เดินคว้าตั๋วที่ซื้อมาไปบ่นกับคนขายตั๋วในเคาน์เตอร์เป็นหมีกินผึ้ง

นางจะเข้าใจมั้ยไม่รู้ แต่รู้ว่านี่ใส่เป็นอิ้งแบบงูๆปลาๆ ชนิดที่ต่อให้ฟังกันไม่รู้เรื่องทั้งคนพูดคนฟัง ก็ต้องรู้ละว่าเกิดอะไรขึ้น

จะว่าไปนางก็รับทราบเข้าใจนะ เดินออกไปต่อว่าลุงนายหน้าชุดใหญ่

ลุงทำหน้าเจื่อนๆ พยายามโทรศัพท์ น่าจะหาพวกๆกัน ระหว่างนั้นเราก็ยังบ่นไม่หยุด จนอีลุงหันมาขึ้นเสียงเป็นภาษาจีนประมาณว่า

"เออ!! รู้แล้วล่ะน่า ก็หาให้อยู่ ใจเย็นๆก่อนได้มั้ย?!!" นั่นละ เราเลยยอมเงียบได้ 5555

สักพักลุงพาขึ้นรถตู้ เหยียบมิดออกไปส่งขึ้นรถอีกคันที่จอดอยู่ระหว่างทาง บนถนนออกมาจากเมืองซินเจีย

เราสังเกตว่ารถคันนี้มีแต่คนท้องถิ่น ที่มันน่าแปลกใจก็ทำไมต้องมาจอดรอคนตรงจุดที่ไม่มีบ้านคนแบบนี้

เรื่องมาเฉลยตามที่เราเข้าใจคือตอนที่พอรถเริ่มเต็ม ผู้บ่าวนึกครึ้มอยากเก็บภาพบรรยากาศ เลยหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป

แต่คนขับดันหันไปเจอ เลยโดนเรียกลงไปปรับทัศนคติ เอ้ย เรียกลงไปคุย

บอกให้ลบรูปซะนะ พร้อมตบบ่าเบาๆ 1 ที..

นี่รถเถื่อนรึป่าวเพ่!!

ทั้งตอนที่ 2 สาวจีนขึ้นรถโดยไม่ซื้อตั๋ว

ทั้งตอนที่พนง.เคาน์เตอร์บอกว่าตั๋วเต็ม ซึ่งจริงๆแล้วอาจจะมีอะไรมากกว่านั้นก็เป็นได้

เอาละ เราจะไม่มโนต่อ เพราะตอนนี้เราได้รถไปแล้ว

แต่รถคันนี้ไม่ได้วิ่งยาว ต้องไปเปลี่ยนรถอีกทีที่เมืองอะไรสักอย่าง ดีที่อีลุงตามมาส่งจนเกือบถึงด่าน (หรือฮีตั้งใจมาอยู่แล้วก็ไม่รู้นะ -_-)

ตลอดระยะทางกว่า 160 กิโลเมตร รถบุเลงๆ จนกระทั่งเริ่มเข้าใกล้ด่าน

ผ่านป่ากล้วยที่เป็นแนวยาวกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างขวางไปตามภูเขา ใช้เวลาไปกว่า 4 ชั่วโมง

ต่างคนต่างหิว คู่เกาหลียิ้มให้อย่างขอบคุณที่มาด้วยกัน

จนกระทั่งกำลังจะข้ามไปฝั่งเวียดนาม พวกเราอยากหารถไปซาปาให้ทันก่อนจะมืด

แต่พวกเค้าอยากหาอะไรกินกันก่อนเพราะไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้า

จึงต้องจากกันตรงนี้ ต่างคนต่างลาไปตามทางของตัวเอง

วันนี้ทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก แต่หิวสิมากกว่า 555

ยังๆ ยังกินไม่ได้ ภารกิจยังไม่ลุล่วง

จำได้ว่าตอนแรกจะขึ้นรถบัส เจอคิวรถที่จอดรอคนแล้วด้วย แต่เดินอีท่าไหนไม่รู้ไปขึ้นรถตู้เฉยเลย

กลายเป็นหิ้วท้องไปร้องต่อที่ซาปา ดีที่ว่าได้ขนมปังรองท้องสักชิ้นก็ยังดี

แต่กว่าจะได้กินข้าวมันยากเย็นนัก ...


นู้นค่ะ ไปถึงซาปา หารถมอไซค์เช่า จนได้โรงแรมแล้วนั่นแหละ ถึงจะได้หาอะไรกินอย่างสบายใจ

มื้อนี้ได้ลองจัดปิ้งย่างสไตล์เวียดนามแบบบุฟเฟต์หัวละ 6 usd

นอกจากซาปาจะน่ารัก ราคาโรงแรมยังน่ารักอีกด้วย


คืนนี้เราพักที่ Holiday sapa hotel ห้องดี พร้อมอาหารเช้า ในราคา 35 usd

เอาละ ผ่านมาได้ครึ่งทางแล้ว


จากนี้เราจะเปลี่ยนโหมดจากประเทศจีนมาเป็นกลิ่นอายของเวียดนามเหนือกันบ้าง ติดตามได้ในตอน 2 ค่ะ

Day 7-11 > China มา Vietnam | Chapter 2 "บาเบ๋" ที่เที่ยวไม่ใหม่ แต่ได้ใจคนรักธรรมชาติและความสงบ
https://th.readme.me/p/5629

ขอบคุณที่อ่านกันค่ะ

Oil > Wanderer Error
ถ้าชอบฝากกดไลค์เป็นกำลังใจโหน่ยยยย <3 https://www.facebook.com/WandererError/

Wanderer Error

 วันพฤหัสที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 12.19 น.

ความคิดเห็น