หวัดดี
จากตอนที่แล้วในที่สุดพวกเราก็หารถจากหยวนหยางมาถึงซาปาได้โดยปลอดภัย
ถึงจะเป็นระยะทางไม่ไกล ถนนก็ดี แต่มีเรื่องให้ได้ลุ้นจัง ^^"
ส่วนตอนนี้จะพาไป บ่าเบ๋
สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักและเวียดนามก็ยังมีเรื่องให้เราได้ทึ่งในทุกๆครั้งที่มา เช่นในสิ่งที่กำลังจะเล่าต่อจากนี้ค่ะ ^^
Travel Plan 5-15 Mar,15
Day 1 : (5) Bkk - Kunming - Luoping
Day 2 : (6) Luoping
Day 3 : (7) Luoping - Kunming - Yuanyang (by overnight bus)
Day 4 : (8) Yuanyang
Day 5 : (9) Yuanyang
Day 6 : (10) Yuangyang - Lao Cai (Vietnam Border) - Sapa
Day 7 : (11) Sapa - Hanoi
Day 8 : (12) Hanoi - Babe National park
Day 9 : (13) Babe - Hanoi
Day 10 : (14) Hanoi - Freeday
Day 11 : (15) Hanoi - Bkk
ตอนที่แล้ว >> Day 1-6 ทุ่งคาโนลาที่โหล่วผิง ยิงยาวไปหยวนหยาง ขี่มอไซค์แว๊นซาปา เดินเปิดหูเปิดตากินเบียร์ฮอยที่ฮานอยกัน
https://th.readme.me/p/5628
Day 7 : (11) Sapa - Hanoi
แพลนเดิมอยากไปมู่กังจ๋าย นาขั้นบันไดของเวียดนามอีกที่ ที่ดูรูปแล้วกระตุ้นต่อมอยากมาก
แต่พอเทียบกับวันเดินทางที่เหลือ กับเรื่องการเดินทางแล้ว ดูท่าจะต้องเปลียนแผน
ประกอบกับไปเห็นเวียดนามมีที่เที่ยวที่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้จัก เลยตัดสินใจไปที่บ่าเบ๋นี่แทนดีกว่า แผนนี้ทำให้เรามีเวลาที่ซาปาได้ 2 คืน...
แต่เอาซี่ พอตั้งใจจะอยู่ 2 คืน ซาปากลับมาต้อนรับเราด้วยหมอก คงต้องเผื่อใจกับเธอไว้บ้าง
ตื่นมาเห็นอากาศข้างนอกจากหน้าต่างบนห้องนอนชั้น 3 ขาวทึบไปด้วยหมอก..
ก่อนจะออกไปแว๊นรอบๆซาปา เลยต้องเช็คพยากรณ์อากาศเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ
เค้าว่าจะหมอกอย่างนี้อีก 2-3 วัน
เก็บกระเป๋าไว้เตรียมรอ ถ้าฟ้าเปิด(บ้าง)จะอยู่ต่อ ถ้าไม่คงได้โบกมือลาต่อกัน
ซาปา เมืองเล็กๆโรแมนติกอยู่ท่ามกลางภูเขาสูงกว่า 1600 เมตรและมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์มากที่สุดเมืองหนึ่งของเวียดนาม ครั้งหนึ่งที่เวียดนามเคยตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศษได้มีการสร้างอาคารแบบโคโลเนียลไว้เป็นสถานที่พักตากอากาศเพราะที่นี่มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี จนได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติ และคนเวียดนามด้วยกันเองอย่างมาก
ด้วยเพราะเป็นเมืองเล็กๆ สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่เลยไม่ไกลกันมาก ส่วนใหญ่จึงนิยมเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวกัน ราคาก็มีทั้ง 4-7 usd
หลังอาหารเช้า พวกเราก็ออกไปวัดดวงที่แรกคือหมู่บ้าน กัต กัต ...
ท่ามกลางหมอกหนา ไม่เห็นทั้งนาขั้นบันได ไม่เห็นทั้งวิวและน้ำตก
นึกถึงที่พยากรณ์อากาศที่เช็คไว้ เริ่มรู้สึกว่าถึงพรุ่งนี้ก็อาจไม่เห็นอะไรอยู่ดี อย่างงี้แล้วจะอยู่ทำไม งั้นก็ไปดีกว่า ตัดสินกันง่ายๆยังงี้แหละ
กลับมาในตัวเมืองไปหาอะไรกินที่ตลาด ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอ
จนได้เวลาก็บ๊าย บาย มุ่งหน้าไปหาแสงสีที่ฮานอย
ซึ่งขานี้เราได้ใช้รถบัสที่มีวิ่งบริการระหว่างเมืองซาปา-ลาวไค ในราคาคนละ 28000 ด่อง แล้วค่อยหารถบัสไปฮานอย คนละ 230000 ด่อง
ซาปารอบนี้ คงไม่ใช่ที่ของเรา
รถนอนซาปาสภาพใหม่เอี่ยม ถนนดี ใช้เวลาวิ่งเพียงไม่ถึง 5 ชั่วโมง ไว้เก็บเป็นตัวเลือกสำหรับคนมีเวลาน้อย แต่ยังไงพอพูดถึงซาปาก็ต้องนั่งรถไฟมาถึงจะคลาสสิคเนอะ ว่ามั้ย
พวกเรามาถึงฮานอยตอนเกือบทุ่ม โบกแท๊กซี่จากท่ารถเข้ามาย่านถนน 36 สาย เดินหาห้องสักพักได้มาในราคา 20 usd พร้อมอาหารเช้า ซึ่งถือว่าดูดีไม่ขี้เหร่ค่ะ
แต่อย่างที่บอกไปว่าตั้งใจจะไปบ่าเบ๋กัน
แต่จากฮานอยด้วยระยะทาง 200 กว่ากิโล แว๊นไปวันเดียวก็กลัวไปไม่ถึง ข้อมูลอะไรก็ไม่ค่อยมี
จึงไปเดินถามตามเคาน์เตอร์ทัวร์ ซึ่งถ้าเป็นโปรแกรมทัวร์ส่วนมากจะมีออกได้แค่วันเสาร์ อาทิตย์
วันธรรมดานี่ไม่ค่อยมีคนมาจอยด้วย ต่างจากโปรแกรมยอดฮิตอย่าง ฮาลองเบย์ หรือฮาลองบก
เราเลยขอหาแค่รถที่จะไปส่งถึงบาเบ๋ได้ก็พอ
มาเจอที่นึงคิดราคาคนละ 350000 ด่อง (คิดเป็นเงินไทยประมาณคนละ 500 กว่าบาท) แอบแปลกใจเหมือนกันว่าถ้าคนไม่ค่อยไปเที่ยวกัน แล้วจะได้คนพอที่รถจะออกหรอ?
ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ถามไปว่าเป็นรถอะไร ได้แต่เดากันให้ได้ลุ้นเล่นๆระหว่างนั่งกินเบียร์ฮอยท่ามกลางฝนโปรยปราย
Day 8 : (12) Hanoi - Babe National park
วันนี้มีเวลาครึ่งวันเช้าที่จะออกไปเก็บที่เที่ยวในตัวเมืองฮานอย
หลังจากเช็คเอาท์ ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม ก็โบกรถแท๊กซี่ออกไปสุสานลุงโฮฯ อันถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของฮานอย
ใกล้ๆกันยังมีพิพิธภัณฑ์ วัดเจดีย์เสาเดียว และกลับมาแวะที่ทะเลสาบคืนดาบ
จนใกล้ได้เวลาที่นัดไว้คือ 12.30 จึงกลับมาที่จุดนัดรถคือโรงแรมที่เราฝากกระเป๋าไว้
เจ้าหน้าที่ชายผมเรียบแปล้ ใส่โอเวอร์โค้ทสีดำ เดินถือกระเป๋าใส่เอกสารสีดำ หน้าตาเกือบจะขึงขังจนน่าเกรงขามอยู่แล้ว ถ้าไม่เผอิญเหลือบไปเห็นถุงพลาสติกที่หุ้มรองเท้าไว้กันเปียกกันเลอะ ความคอนทราสที่โค-รตน่ารักแบบนี้ เห็นทีไรแล้วอดยิ้มไม่ได้ทุกที
เข้ามาแนะนำตัวว่ามาจากบริษัททัวร์ ขอตรวจรายละเอียดใบเสร็จเรียบร้อยก็พาเราขึ้น"แท๊กซี่" ที่โบกจากหน้าโรงแรม มุ่งหน้าไปท่ารถ "หมี่ดิงห์" (My Dinh)
มาถึงท่ารถเราเข้าใจทุกอย่างได้ในทันที อย่างที่แอบอำกันไว้เล่นๆ ว่าราคาเท่านี้ไม่น่าจะหนี "รถบัสประจำทาง"
จะเป็นรถอะไรก็ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือจะไปถึงบาเบ๋ได้ยังไง! ในเมื่อที่เคยเช็คมันไม่มีรถวิ่งตรง!
เราต่างไม่พูดอะไร ได้แต่สังเกตการณ์ห่างๆห่วงๆในการจัดการระบบขนส่งแบบนี้
เห็นจนท.แกคุยกับเด็กรถ คุยโทรศัพท์สักพัก ก็เรียกเราให้ไปขึ้นรถ
ด้วยต้องการความแน่ใจ เลยถามย้ำๆหลายรอบว่า"ไปถึงบาเบ๋แน่นะ?"
ซึ่งก็ได้คำตอบเดิม เอาๆ เชื่อก็ได้ มาตามดูกัน
คันแรกออกจากท่ารถหมี่ดิงห์ เป็นรถบัสคันใหญ่ มีไวไฟให้เล่นฟรีด้วย ไฮโซอ่า บ้านเรารถทัวร์เฟิร์สคลาสยังไม่มีเลยนะ
ระหว่างทางก็นั่งรถไปเรื่อยๆ จนไปถึงจุดพักรถระหว่างทาง
เด็กรถก็ลงไปดีลกับอีกคันที่จอดรออยู่ จ่ายค่ารถที่รับมาจากเฮียคนเมื่อกี้เรียบร้อย แล้วบอกให้เราไปขึ้นคันนั้น
เอาจริงๆตอนแรกคืองงทางไปหมด แต่ก็เออๆออๆ ขึ้นก็ขึ้น
คันสองเป็นรถเมล์ขนาดเล็ก คราวนี้ไม่มีไวไฟและไม่เปิดแอร์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราร้อนแต่อย่างใด
รถยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ จากยังมีคนนั่งอยู่ กลับเริ่มไม่มีคนเลย จนกระทั่งรอบตัวมืดมิด จะมีก็แต่ไฟข้างทางที่มีเป็นบางระยะ
ท่ามกลางความมืดจากภายนอกมาถึงภายในรถ ได้ยินแต่เสียงรถที่วิ่งบุเลงไปตามทาง เด็กรถเริ่มชวนคุย
สนทนาและแปลโดยผู้บ่าวตามเคย
เด็กรถ : พวกพี่นอนโฮมสเตย์ที่ไหนในบ่าเบ๋?
ชาย : คิดว่าจะไปนอนบ้าน Mr.Linh..
เด็กรถ : โอเช ได้ๆ แปปนึง.. (ต่อสาย คุยโทรศัทพ์ พูดภาษาเวียดนาม สักพักจึงยื่นโทรศัพท์ให้)
Mr.Linh คือเจ้าของโฮมสเตย์ที่เราได้หาข้อมูลจากในเนตว่าเหล่าทริปแอดไวเซอร์นิยมไปพักและแนะนำกันมา
มิสเตอร์แกบอกว่าปกติรถจะไม่วิ่งเข้ามาถึงในตัวอุทยาน คนขับเลยขอเราเพิ่ม 100000 ด่อง ซึ่งตอนนั้นรอบตัวไม่มีรถวิ่งสวนเลย ราคานี้กับรถที่มีแต่เราเป็นผู้โดยสารด้วยแล้ว ใครจะไม่เอาล่ะ ไม่มีทางเลือกด้วยแหละ
- ต้องนั่งเรือข้ามฟากแบบนี้ ต่างกันที่ตอนเรามาถึงไม่มีเรือวิ่งแล้ว นอกจากต้องเรียกให้มารับ -
และเมื่อมาถึงเรายังต้องนั่งเรือข้ามฟากต่อไปอีก มิสเตอร์จะส่งเรือมารับ ค่าเรืออีก 100000 ด่อง แล้วเฮียจะขี่มอไซค์มารับที่ท่าเรือเอง โอเคม๊ายยย?
ก็ต้องโอเคสิเฮีย..
- ท่าเรือ (ตอนสว่าง) -
คุยโทรศัพท์นัดแนะกันจนเข้าใจ เกือบ 2 ทุ่มที่รถวิ่งมาสุดทาง(ถึงซะที!)
เปลี่ยนไปลงเรือมืดๆ กับแว๊นมอไซค์ไปโฮมสเตย์ กว่าจะถึงก็หมดแรงไปกับการลุ้น!
- อีกวันมิสเตอร์ขี่มอเตอร์ไซค์พามาส่งล่องเรือ -
นี่ยังอดทึ่งกับการขายทัวร์แบบนี้ไม่ได้ (แบบนี้ก็ได้หรอ 555) คือใช้วิธีส่งต่อกันเป็นทอดๆ เป็นวิธีที่เบสิคและสมูทมาก เราไม่ต้องไปบู๊ ไปต่อสู้อะไรให้หัวเสีย
แต่มันจะใช้ไม่ได้เลยถ้าฝ่ายใดฝ่ายนึงขาดความเชื่อใจหรือไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน
จนท.ผมเรียบแปล้ต้องเชื่อใจคันหนึ่ง
คันหนึ่งต้องเชื่อใจคันสอง
คันสองมีน้ำใจพาส่งต่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง
แต่คงจะมาถึงที่นี่ไม่ได้..
..ถ้าเราไม่เชื่อใจพวกเค้าตั้งแต่แรก
Day 9 : (13) Babe - Hanoi
ด้วยความที่กว่าจะมาถึงก็มืดสนิท เราไม่อยากเลือกทีพักให้เสียเวลา เลยตัดสินใจพักที่บ้าน Mr.Linh ซึ่งเป็นห้องแบบ deluxe
ซึ่งปกติแล้วโฮมสเตย์ที่บาเบ๋จะมีให้เลือก 3 แบบคือ (ห้องน้ำรวมทั้งหมด)
- 5 usd/bed (Dormitary)
- 15 usd/standard room
- 25 usd/deluxe room
หลังชื่นชมธรรมชาติยามเช้าหน้าที่พัก ทานอาหารเช้าเคล้าหมอกชมวิถีชีวิตของชุมชนชาวไต เราก็เตรียมออกไปนั่งเรือกันค่ะ
โดยเลือกเที่ยวแบบโปรแกรมครึ่งวัน ค่าเรือ 800000 ด่อง ค่อนข้างแพงอยู่เหมือนกัน เพราะไม่มีคนช่วยหาร
อุทยานแห่งชาติ บาเบ๋ (Ba Be National Park)
เปิดขึ้นเป็นอุทยานแห่งที่ 8 ของเวียดนามเมื่อปี 1992 ประกอบไปด้วยน้ำตก ถ้ำ ภูเขาหินปูนสูงกว่า 1554 เมตร และทะเลสาบ ยาว 8 กิโลเมตร กว้าง 400 เมตร ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิดแห่งหนึ่งของเวียดนาม
ที่นี่แม้จะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้หลายปีแล้ว แต่ยังเป็นที่รู้จักอยู่แค่ในกลุ่มนักท่องเที่ยวเล็กๆที่นิยมความสงบ อากาศ สถานที่อันบริสุทธิ์ นอกจากนั้นยังมีกลุ่มหมู่บ้านชาวไต (Tay) ที่บางส่วนได้มาตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ที่นี่นั่นเอง
อากาศยามเช้าเย็นสดชื่นมาก ได้ล่องเรือชมความงามของทะเลสาบและภูเขาหินปูน ท่ามกลางไอหมอกที่ลอยเรี่ยอยู่ มันคือการได้ฟอกปอดดีๆนี่เอง
ระหว่างทางจะผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในเขา มองไปเห็นแหม่ม 2 คนนอนเล่นบนทุ่งหญ้า นับถือเลย ที่เข้ามานอนไกลถึงในนี้
พึ่งไปเจอคนเคยรีวิวที่นี่ไว้เหมือนกัน ค่าใช้จ่ายถูกกว่าเรามาก ขออนุญาติเอามาแปะนะคะ
http://pantip.com/topic/31306586
จุดมุ่งหมายของเราที่แรกคือ Phong cave ลักษณะเป็นโถงถ้ำใหญ่ ที่มีน้ำลอดทะลุไปยังอีกฝั่ง มีความสูง 40 เมตร และยาวกว่า 300 เมตร โดยมีค้างคาวกว่า 7000 ตัวอาศัยอยู่ในถ้ำ (เค้าบอกมา)
เดินเล่นจนไปทะลุอีกฝั่งก็เดินกลับออกมา ได้ยินแต่เสียงค้างคาวอยู่บนหัว
- Fairy pond สระนางฟ้า -
จากนั้นนั่งเรือไปที่ Fairy pond สระนางฟ้า ลักษณะเป็นทะเลสาบเล็กๆที่ซ่อนตัวโดยมีเขาหินปูนโอบล้อมไว้ ระหว่างทางที่เดินไปจะผ่านร้านขายน้ำ ขายปลาปิ้ง กุ้งปิ้ง ลองคุยเล่นกับแม่ค้าดูนะคะ หลายๆคำพ้องกันกับภาษาไทย ลองฟังเค้าคุยกันดู เผลอๆฟังออก 555
และไปปิดท้ายที่ An Ma Temple วัดที่อยู่บนเขา
- Window island -
ทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ระหว่างนั่งเรือกลับลุงขับเรือถามว่าจะแวะ Window island หรือเกาะหน้าต่าง เกาะเล็กที่อยู่กลางน้ำนี้มั้ย
เราดูว่ามันไม่ค่อยมีอะไร เลยไม่ได้แวะ
พอมาถึงท่าเรือก็รอรถอยู่แถวๆนั้น ร้านอาหารทำได้แต่เมนูง่ายๆ ลักษณะเป็นร้านชาวบ้าน
บาเบ๋ คืออุทยานที่มีดีแต่ขี้อายไม่โอ้อวด และเป็นมิตรกับทุกคนที่สนใจจะเข้ามาพักผ่อน
นักท่องเที่ยวไม่พลุกพล่านก็จริง แต่มองไปในซอกหลืบก็ยังเห็นฝรั่งมานอนเล่น ขี่จักรยานกันชิลๆอยู่นะ จะพายคายัคก็ได้หรือจะไปน้ำตก Dau Dang หรือ Hua Ma Cave
ถ้าถามเราว่าที่นี่สวยมั้ย?
สวยนะ แต่อาจเป็นเพราะวิวทิวทัศน์และความเป็นชนบทประมาณนี้บ้านเราก็มี เลยไม่ได้ร้องว้าวอะไรขนาดนั้น
แต่จากที่ได้คุยๆกับฝรั่ง บ้านเค้าไม่มีแบบนี้ บางคนมาอยู่นานมาก บอกว่าสงบ ชอบมาก ไม่ชอบฮานอย หรือแม้กระทั่งซาปาก็หาฟิลแบบนี้ไม่ได้ ที่นี่หลักๆเลยจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ และวัยรุ่นเวียดนามที่มาเที่ยวกัน (จะว่าไปมันก็โรแมนติกอยู่นะ)
สำหรับเราชอบในส่วนของตัวหมู่บ้าน ไร่นา วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่มากกว่าทะเลสาบบาเบ๋
นี่ยังแอบเสียดายว่าเวลาน้อย เพราะระหว่างทางที่นั่งรถออกมา เห็นไร่นาเขียวๆ แล้วนึกถึงหนังเรื่อง Eat Pray Love แล้วอยากมาสโลว์ไลฟ์ ปั่นจักรยานเอื่อยๆขึ้นมายังงั้นเลย
ส่วนขากลับก็ใช้วิธีเดิม ได้มิสเตอร์ลินฝากฝังกับเด็กรถให้ แต่กลับจากทางฝั่งโบลู ซึ่งไม่ต้องข้ามเรือไป (เมื่อวานมาทางฝั่งปักงอย) ค่ารถวันนี้ถูกกว่าเมื่อวาน (คนละ 165000) อาจเพราะไม่รวมค่าแท๊กซี่และไม่มีใครมาบวกค่าบริการ 555
Day 10 : (14) Hanoi - Freeday
เมื่อคืนกว่าจะมาถึงฮานอยก็ปาไปเกือบ 4 ทุ่ม ทั้งๆที่ออกจากบาเบ๋ตั้งแต่บ่ายโมงครึ่ง แต่เป็นเพราะช่วงระหว่างเปลี่ยนรถ ต้องรอรถเต็มอีกนานมาก แถมจอดบ่อย เลยทำให้ใช้เวลามากกว่าขามา
แถมพอกลับไปโรงแรมที่เคยนอนก็เต็มอีก เลยต้องเสียเวลาเดินหากัน ซึ่งก็จะเหลือแต่โรงแรมราคาเกือบพันแล้ว
ไหนๆก็พักห้องดีๆแล้ว (Paradise Boutique Hotel = 30 usd) ทำให้เช้านี้ เราไม่มีอะไรต้องรีบร้อน ตอนแรกว่าจะไปนิงห์บิงห์ แต่เอ้อ พักกันบ้างดีกว่า
โปรแกรมวันนี้เลยจะมีแค่ กิน นอน เดิน ถ่ายรูปในถนน 36 สาย
ที่ต่อให้อยู่แค่ย่านนี้ ถนนทั้ง 36 สายก็มีอะไรให้เดินเล่นถ่ายรูปได้ไม่มีเบื่อ
กลางวันเปิดร้านขายของกันมีชีวิตชีวา
ตกกลางคืนมาก็เป็นสีสันในฮานอย
ชิลๆกับการนั่งจิบเบียร์ฮอยข้างถนน แก้วละหมื่นด่อง
Day 11 : (15) Hanoi - Bkk
เราออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้า โบกเรียกแท๊กซี่เพื่อไปสนามบิน
พอได้กลับบ้านก็ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรจะเล่า แต่สายตาเหลือบไปดูที่มิเตอร์ ก็นึกขึ้นได้ว่าแท๊กซี่ในเวียดนามเค้าพัฒนากันดีขึ้น
ก่อนหน้านี้ย้อนไปหลายปี เวียดนามขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่คนไว้ใจไม่ได้ ขี้โกง
โดยเฉพาะพวกรถแท๊กซี่ ที่พร้อมจะโก่ง จะโกงนักท่องเที่ยวได้ทุกเมื่อ
ถึงขนาดที่ว่าเวลาจะใช้แต่ละทีต้องเลือกขึ้น Mai linh ไม่งั้นโดนแน่ๆ
ทริปนี้เราเลยมาลองนั่งแท๊กซี่หลายๆยี่ห้อเพื่อเปรียบเทียบ พบว่าแต่ละค่ายมีมาตรฐานแทบไม่ห่างกัน
อาจมีต่างกันแค่มิเตอร์เริ่มต้น ซึ่งมันก็เล็กน้อยมาก
รถใหม่ สะอาด คนขับสุภาพ คิดราคาตามมิเตอร์
ไม่จะว่าเป็นความบังเอิญหรือเราได้เจอแท๊กซี่ดี
แต่ตอนนี้ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงในเวียดนามหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
รวมทั้งทางฝั่งจีนเองก็ด้วย (ใครยังไม่ได้อ่านตอนแรก กลับไปอ่านกันเรยนะ 555)
ทริปนี้เจออะไรหลากหลายดี ได้ทั้งขึ้นรถนอน รถเถื่อน รถไฟ ลงเรือ นั่งมอเตอร์ไซค์ ครบรสได้อารมณ์
ไหนจะได้มาเจอผู้คนน่ารักๆทั้งฝั่งจีนและเวียดนาม
แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้กลับมาเที่ยวบ่อยๆได้ยังไง จริงมั้ย
จบบอ ไว้เจอกันทริปหน้าค่ะ
ตอน 1 > ทุ่งคาโนลาโหล่วผิง ยิงยาวไปหยวนหยาง ขี่มอไซค์แว๊นซาปา เดินเปิดหูเปิดตาจิบเบียร์ฮอยที่ฮานอยกัน!!
https://th.readme.me/p/5628
ขอบคุณที่อ่านกันนะ
Oil | Wanderer Error https://www.facebook.com/WandererError/
Wanderer Error
วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.44 น.