…จากคำขวัญประจำจังหวัด... “ป้อมยุทธนาวี พระเจดีย์กลางน้ำ ฟาร์มจระเข้ใหญ่ งามวิไลเมืองโบราณ สงกรานต์พระประแดง ปลาสลิดแห้งรสดี ประเพณีรับบัว ครบถ้วนทั่วอุตสาหกรรม"...



...ถึงไม่ต้องเห็นชื่ออัลบั้มภาพนี้ผมก็เชื่อเหลือเกินว่าทุกคนคงพอจะทราบกันดีว่าเป็นคำขวัญประจำจังหวัดอะไร ...



...“จังหวัดสมุทรปราการ" หนึ่งในจังหวัดปริมณฑลรอบกรุงเทพเมืองฟ้าอมรมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และมีชื่อเสียงด้วยกันหลายแห่ง .. ด้วยความที่ใกล้กับกรุงเทพฯ เมืองหลวง และมีเรื่องราวต่าง ๆ ของสถานที่แต่ละที่ รวมไปถึงความน่าสนใจของแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย.. และสำหรับอัลบั้มนี้ผมจะไปยังสถานที่ท่องเที่ยวด้วยกันทั้งหมด 4 แห่ง.. โดยเรียงเส้นทางตามแผนที่ภาพประกอบด้านล่างนี้

1.พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ

2.พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ

3.พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร(ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ)

4.องค์พระสมุทรเจดีย์

...ซึ่งสถานที่แรกที่จะเดินทางไปคือพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ชมความงดงามของศิลปะที่ผ่านไอเดีย และความคิดสร้างสรรค์อันลงตัว.. จากนั้นขับรถตรงตามเส้นทางต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ทหารเรือเพื่อรับรู้ถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกองทัพเรือไทย และยุทธนาวี ... และเดินทางด้วยเส้นทางเดียวกันตรงต่อไปยังฟาร์มจระเข้สมุทรปราการเพื่อแวะชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์พิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกัน.. ก่อนจะปิดท้ายด้วยการนั่งเรือข้ามฟากจากบริเวณปากน้ำไปชมความงดงาม และประวัติความเป็นมาขององค์พระสมุทรเจดีย์กลางน้ำ...



...หนึ่งวันขับรถเที่ยว และนั่งเรือข้ามฟากพร้อมแล้วไปเที่ยวกันเลยครับ



... “พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ" สร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจ จากจินตนาการ ของคุณเล็กวิริยะพันธุ์ ผู้สร้างเมืองโบราณแห่งสมุทรปราการ และปราสาทสัจธรรม เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี .. ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันมีชื่อเสียงโด่งดัง และเป็นที่นิยมของทั้งคนไทย ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างชาติ...



...พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท (สายเก่า) ผ่านแยกบางพลี ก่อนถึงแยกปากน้ำ .. เมื่อขับรถมาแล้วให้เลี้ยวซ้ายกลับรถใต้ทางด่วนจะมีที่จอดรถสำหรับนักท่องเที่ยว .. โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลให้บริการ และให้ความสะดวกแก่ผู้ที่นำรถมาจอด



...ทางพิพิธภัณฑ์จะมีรถบริการรับส่งนักท่องเที่ยวเพื่อขับไปยังประตูทางเข้าด้านหน้า เพื่อความสะดวก และประหยัดเวลาแก่ผู้มาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์



... ...จุดจำหน่ายตั๋วจะอยู่ทางด้านหน้าเมื่อเดินเข้ามา.. โดยพิพิธภัณฑ์เปิดให้บริการเข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00 – 20.00 น. โดยปิดจำหน่ายบัตรตอน 19.30 น.



...ด้านในสถานที่จะมีพื้นที่ขนาดไม่ได้กว้างขวางมากนัก โดยแบ่งเป็นจุดที่ให้ผู้คนได้มากราบไหว้สักการะอยู่ตรงกลาง .. มีสวนหย่อมเล็ก ๆ ให้นั่งเล่นอยู่ด้านขวามือ



...สำหรับผู้ที่ชำระค่าตั๋วเข้ามาแล้วเรียบร้อยก็สามารถมารับดอกไม้ ธูปเทียนได้โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อเพิ่มอีก .. แต่หากต้องการทำบุญก็สามารถทำได้...



...เมื่อกราบไหว้เรียบร้อยก็เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่จะว่าไปแล้วได้ทั้งความสบายใจ และได้ทั้งรอยยิ้มของผู้ที่มาเที่ยวชม...นั่นคือ “การลอยดอกบัว" โดยจุดที่รับดอกบัวก็คือจุดที่รับธูปเทียนเช่นเดียวกัน



...ความหมายโดยคร่าว ๆ ที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดดอกไม้ให้นักท่องเที่ยวก็คือการเติมเต็มให้กับชีวิตของท่าน... โดยกล่าวสรุปได้สั้น ๆ ว่า “ดอกไม้เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ และความเป็นสิริมงคล .. ดังนั้นน้ำจึงเป็นตัวแทนของความสงบ ความเยือกเย็น ความอุดมสมบูรณ์ ส่วนดอกไม้ก็เป็นตัวแทนของความเจริญงอกงาม และความอุดมสมบูรณ์..."



...หลังจากทำการลอยดอกบัวเรียบร้อยก็ถึงเวลาเข้าชมด้านในตัวพิพิธภัณฑ์...



...พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ตัวช้างรวมอาคารมีความสูง 43.60 เมตร มีความสูงเท่ากับตึกสูงประมาณ 14-17 ชั้น .. ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เราสามารถมองเห็นช้างเอราวัณขนาดใหญ่ได้จากภายนอกตั้งแต่ขับอยู่ริมถนน ..... โดยตัวพิพิธภัณฑ์แบ่งโซนจัดแสดงเป็น 3 ส่วน ตามชั้น ซึ่งนำมาจากลักษณะของไตรภูมิ



1.ชั้นล่างสุด - ชั้นบาดาล จะเป็นห้องจัดจัดนิทรรศการ เป็นที่จัดแสดงนิทรรศการ และโบราณวัตถุ อาทิ พระพุทธรูป เทวรูปต่าง ๆ และชั้นนี้ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพครับ

2.ชั้นที่สอง – ชั้นโลกมนุษย์ เป็นชั้นที่งดงามที่สุดด้วยศิลปะต่าง ๆ ผ่านฝีมือของช่าง

3.ชั้นที่สาม – ชั้นสวรรค์ ชั้นนี้เป็นชั้นที่สามารถขึ้นไปได้โดยเดินบันไดวนเพื่อไปยังชั้นบนสุด



...หลังจากที่ถ่ายภาพอยู่ชั้นที่สองได้สักพักก็เดินบันไดวนขึ้นมา ... บอกได้คำเดียวว่ามึนหัวเล็กน้อย เพราะวนเป็นวงกลมตลอด ...



...จนมาถึงชั้นที่ 3 ชั้นสวรรค์บนสุด ... เมื่อขึ้นมาชั้นนี้ก็จะพบกับความอลังการที่อยู่เบื้องหน้า... โดยชั้นนี้จะเป็นส่วนของการจัดเก็บองค์พระพุทธรูปเก่าแก่ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังให้เห็นถึงงานศิลปะบนผนังท้องช้างที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับระบบสุริยจักรวาล



...ภายในตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ชั้นบนนี้พื้นที่อาจจะคับแคบไปสักเล็กน้อยตามสัดส่วนของตัวอาคาร แต่มีติดเครื่องปรับอากาศไว้เย็นสบาย ก็ทำให้ลดปัญหาเรื่องความอึดอัดไปได้เยอะพอสมควร ...



...จากในภาพความเห็นนี้ที่ภาพกลางจะเห็นว่ามีตู้กระจกที่เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปทั้งสองด้านซ้ายขวา และด้านบนจะเห็นภาพชัด ๆ ของระบบสุริยจักรวาลที่วาดไว้ตามที่ได้กล่าวไป


...ด้วยเวลาที่มีไม่มากนักทำให้ใช้เวลาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เอราวัณได้ไม่นานสักเท่าไหร่ก็ต้องออกจากพิพิธภัณฑ์ โดยตอนกลับก็ใช้บริการรถรับส่งเหมือนตอนขามา รถบริการก็จะนำไปส่งที่จอดรถจุดแรก



...จากนั้นก็ขึ้นรถขับต่อไปยังจุดหมายลำดับต่อไป “พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ"...



...จากพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณขับรถตรงต่อมาตามเส้นทางระยะทางประมาณไม่น่าเกิน 10 กิโลเมตร .. รวมเวลาแล้วประมาณไม่เกิน 20 นาที ก็ถึงยัง “พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ" ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายของถนนฝั่งเดียวกับที่ขับมานี่แหละครับ



...จุดสังเกตุง่าย ๆ ที่เห็นได้ชัดคือมองเข้าไปด้านในจะเห็นเครื่องบินลำใหญ่จอดอยู่ด้านใน... จากนั้นก็ให้เลี้ยวที่ประตูทางเข้า แลกบัตรบอกว่ามาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เท่านี้ก็ขับมาหาที่จอดรถด้านในได้เลยครับ ..



...เมื่อจอดรถเสร็จเรียบร้อยก็เดินมาสู่ห้องที่จัดแสดงซึ่งแบ่งเป็น 2 อาคาร .. ในส่วนของอาคาร 1 มีจัดแสดง 2 ชั้น แต่วันนี้เปิดแค่ชั้นล่างชั้นเดียว .. เมื่อมาถึงก็เดินเข้ามาก็ทำการสักการะกราบไหว้กรมหลวงชุมพร(เสด็จเตี่ย)เป็นอันดับแรก



...จากนั้นก็ฟังข้อมูลต่าง ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ จากเจ้าหน้าที่รปภ.ที่เป็นผู้ให้ข้อมูล...



...ภายในห้องขนาดไม่ใหญ่มากนัก.. จะมีการจัดแสดงจัดวางถึงข้าวของเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เคยใช้งานในอดีต และปัจจุบันก็ถูกปลดระวางการไปเรียบร้อย .. จึงนำมาจัดวางแสดงเพื่อเป็นข้อมูลต่าง ๆ ให้กับผู้ที่เดินทางมาเที่ยวชม



...อย่างในภาพบนคือเข็มทิศเดินเรือที่ปลดประจำการไปแล้ว...



...วันที่ผมเดินทางมาเข้าชมตรงกับวันอาทิตย์แต่ตอนที่มาก็ไม่มีคนมาเที่ยวสักเท่าไหร่ เดินไปเดินมาเจอประมาณ 4-5 คน ตลอดเกือบ 50 นาทีที่ผมเดินอยู่ที่นี่... ก็น่าใจหายเหมือนกัน



...อาจเพราะคนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าสามารถเข้าชมได้ หรือเพราะอาจไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่นัก .. ดังนั้นหากบ้านใครใกล้ หรือมีโอกาสเดินทางผ่านมาจะลองแวะสักหน่อยก็ดีครับ... เพราะบรรยากาศภายในที่จัดแสดงนั้นเงียบสงบเหลือเกิน..จะได้เป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ที่คอยให้ความรู้ ..



...จากอาคาร 1 เดินมายังอาคาร 2 ซึ่งอยู่ติดกัน โดยอาคารนี้แบ่งโซนจัดแสดงด้วยกันทั้งหมด 3 ชั้น



...ที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือนี้ จะทำหน้าที่รวบรวม อนุรักษ์ วัตถุ ที่มีคุณค่าต่าง ๆ ทั้งยังเป็นที่รวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เกี่ยวกับกองทัพเรือไทย รวมไปถึงยุทธนาวีการรบครั้งสำคัญ ๆ ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ที่เคยใช้ในการรบ



...และยังมีเรือจำลองสมัยต่าง ๆ เช่น เรือที่ใช้ในพระราชพิธีกระบวนเรือพยุหยาตราชลมารค และเรือพิธีต่าง ๆ ให้ชมอีกจำนวนมาก...



...จากในภาพคือ “ปืนเที่ยง" ... ครั้งสมัยรัชกาลที่ 5 การยิงปืนเที่ยง คือ การยิงปืนให้เกิดเสียงดัง เพื่อบอกเวลาเที่ยงวันให้ได้รู้เวลา และเป็นการบอกให้ชาวต่างชาติที่มาค้าขายในเมืองไทยทราบเพื่อจะได้ตั้งเวลาให้ตรงกัน ... จนต่อมาที่มีไฟฟ้า และวิทยุใช้ การยิงปืนเที่ยงจึงถูกยกเลิกไป



...จากคำอธิบายของเจ้าหน้าที่ รปภ.ท่านเดิม ก็บอกว่านี่คือที่มาของคำว่า “ไกลปืนเที่ยง"...



...ส่วนภาพนี้คือ “ดวงไฟประภาคารแห่งแรกของประเทศไทย"จากหลักฐานของกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือเรียกว่า “ประภาคารสันดอนปากน้ำเจ้าพระยา" แต่คนส่วนใหญ่ทั่วไปมักเรียกกันว่า “กระโจมไฟสันดอน" กระโจมไฟแห่งนี้ได้ถูกใช้มาจนถึงวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2472 และเลิกใช้ไปเนื่องจากสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก รวมเวลาที่ใช้อยู่ 55 ปี 22 วัน นับจากวันแรกที่ใช้งาน...



...ที่น่าสนใจ และสร้างรอยยิ้มได้นั่นคือ เมื่อเราลองเข้าไปยืนในดวงประภาคารนี้แล้ว.. เมื่อมองจากด้านนอกเข้าไปจะเห็นคนหัวโต ๆ แต่ตัวเล็ก ๆ ซึ่งผมว่าอันนี้ให้เดาน่าจะเป็นที่ถูกอกถูกใจสำหรับบรรดาเด็กเล็กที่ทางโรงเรียนต่าง ๆ นิยมพามาทัศนศึกษากันแน่นอน...



...และชิ้นสุดท้ายของชั้นที่ 1 ที่ผมได้ถ่ายภาพมาคือ “ตอร์ปิโด" ลูกนี้...



...จากข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ให้ไว้คือเป็นตอร์ปิโดที่ทางประเทศไทยเราสั่งนำเข้ามาจากประเทศเดนมาร์ก เนื่องจากกลไก และวิวัฒนการทางด้านการประกอบนั้นมีคุณภาพที่ดีกว่า ... ส่วนระยะยิงความไกลของตอร์ปิโดลูกนี้อยู่ที่เบา ๆ 8 กิโลเมตร ในวิถีตรงอย่างเดียว ... ผิดกับสมัยนี้ที่วิวัฒนาการเจริญก้าวหน้าขึ้นตอร์ปิโดสมัยใหม่สามารถสั่งเลี้ยวได้ตามที่กลไกสั่ง...



...จากชั้นนี้ก็เดินขึ้นสู่ชั้น 2 ชั้นจัดแสดงเกี่ยวกับเรือพระราชพิธีต่าง ๆ



...ชั้นนี้จะเป็นการจำลองของเรือพระราชพิธีขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก โดยเป็นฝีมือของช่างในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ซึ่งกรมศิลปากรได้มอบหมายให้ทางพิพิธภัณฑ์ทหารเรือได้เป็นผู้ดูแล และอนุรักษ์ไว้ พร้อมกับให้จัดการสู่ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมด้วย



...รายละเอียดของเรือพระราชพิธีต่าง ๆ จะมีเยอะมาก .. ส่วนพื้นที่การจัดแสดงในชั้นนี้จะมีแนวรั้วกั้นไว้เพื่อความปลอดภัย .. แต่เราสามารถถ่ายภาพได้สบายครับ



...จากชั้นที่ 2 มาในส่วนของชั้น 3 (นิทรรศการพิเศษ) ซึ่งชั้นนี้จะจัดแสดงเหตุการณ์การสู้รบ และการทำสงครามของทหารเรือที่สำคัญในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น ยุทธนาวีที่เกาะช้าง, สงครามเกาหลี, สงครามมหาเอเชียบูรพา, ยุทธการบ้านชำราก, วีรกรรมที่ดอนน้อย และอื่น ๆ



...โดยจัดทำเป็นแผนผังแบบจำลองให้เห็นภาพโดยรวม และมีข้อมูลต่าง ๆ ประกอบไว้ที่ผนัง...



...ลักษณะการจัดแสดงของชั้นที่ 3 จะเป็นแนวห้องเดินได้ทั้งซ้ายและขวา แต่พื้นที่ตรงกลางจะปล่อยโล่งเพื่อให้มองลงไปแล้วเห็นตัวเรือพระราชพิธีที่อยู่ชั้น 2



...นอกเหนือไปจากเรื่องราวประวัติศาสตร์การรบ การทำสงครามต่าง ๆ แล้วก็ยังเป็นที่จัดแสดงของอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน



...อย่างในภาพนี้ก็จะเป็นชุดประดำน้ำของไทย รวมไปถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จัดวางไว้ตามแนวทางเดิน



...โดยแต่ละส่วนแสดงก็จะมีการกั้นพื้นที่ไว้เพื่อความปลอดภัย และเป็นระเบียบ



...ปิดท้ายที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือที่ภาพนี้...



...โดยรวมผมประทับใจเกินกว่าที่คาดไว้มาก โดยเฉพาะเรื่องการดูแลของเจ้าหน้าที่ที่พยายามให้ข้อมูลกับผม และคนที่มาอีก 4-5 คนที่ผมไม่คิดว่าสถานที่แบบนี้วันหยุดอย่างนี้จะมีคนมาเที่ยว...แต่ที่เศร้าใจเล็กน้อยคือจำนวนของคนมาเที่ยวขนาดวันที่มาวันอาทิตย์ผมยังเจอแค่ 4-5 คน .. เพียงแต่จะมีที่เยอะก็คืออย่างวันที่โรงเรียนต่าง ๆ พาเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษากัน... ดังนั้นผมว่าถ้าใครบ้านใกล้ หรือขับรถผ่านมาลองแวะสัก 30-40 นาทีก็น่าจะได้ครับ ..



...อย่างผมก็เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องราวประวัติศาสตร์เท่าไหร่ แล้วยิ่งเฉพาะด้านยุทธนาวีบอกได้เลยว่ามืดสนิท แต่วันนี้ได้มาเห็นก็ได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นกลับไปบ้าง... ที่สำคัญที่นี่เข้าชมฟรีครับ ...



...และสุดท้ายของพิพิธภัณฑ์ที่ผมเดินทางมา แต่ยังไม่ท้ายสุดของวันก็จะเป็นในส่วนของ “พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์" .. หาไม่ยากเลยครับ จากพิพิธภัณฑ์ทหารเรือก็ขับรถตรงต่อไปตามเส้นทางมุ่งหน้า “ฟาร์มจระเข้" จะมีป้ายบอกทางอยู่เรื่อย ๆ .. ที่มาที่นี่เพราะพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์นั้นอยู่ภายในฟาร์มจระเข้นี่แหละครับ



...เมื่อมาถึงจอดรถเสร็จสรรพก็ซื้อตั๋วเข้าด้านในฟาร์มจระเข้.. และในส่วนของพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์จะอยู่ด้านในทางด้านซ้ายมือหลังที่ยื่นเก็บตั๋วด้านหน้า



...ด้านหน้าจัดเป็นสวนเล็ก ๆ ไว้อย่างสวยงามพร้อมกับไดโนเสาร์ตัวใหญ่สองตัว ...



...ยื่นตั๋วปุ๊บมองไปด้านซ้ายก็เจอทันทีครับ .. หาง่าย



...จากนั้นก็เข้าสู่ห้องจัดแสดงไดโนเสาร์ โดยจะเป็นโครงกระดูกจำลอง และเรื่องราวข้อมูลต่าง ๆ ของไดโนเสาร์ตามประเภทที่จัดแสดงไว้ แต่มีอยู่แค่ไม่กี่ตัวเองนะครับ



...พื้นที่ห้องขนาดเล็กมาก และทำให้ผมค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อยกับหลายอย่างในพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์...



...ที่ว่าดีคือเป็นแหล่งความรู้ และเป็นข้อมูลให้กับเด็ก ๆ หรือใคร ๆ ที่สนใจ... และเรื่องของพื้นที่ที่เล็กผิดคาดจากที่หวังไว้เพราะคิดว่าจะใหญ่และเป็นอาคารปลอดโปร่ง



...แต่ที่ผิดหวังคือการจัดแสดงภายในห้อง.. สภาพภายในนั้นมืดมาก มีสว่างจุดเล็ก ๆ ก็แค่สลัว ๆ บวกกับอากาศภายในที่อึดอัดมาก ไม่ปลอดโปร่ง และที่สำคัญคือเหม็นอับมาก อาจเพราะด้วยพื้นที่ที่เล็กและไม่มีการระบาย ... อย่างตอนที่ผมเดินทางไปบังเอิญมีครอบครัวพ่อแม่ลูกตามเข้ามาพอดี หลังจากเข้ามาแล้วขณะที่ผมถ่ายภาพยังไม่ทันถึง 3 ใบ ... ครอบครัวนั้นก็เดินออกทันทีเพราะทั้งแม่และลูกพูดเหมือนกันว่าเหม็น .. อันนี้อยากให้ทางพิพิธภัณฑ์ช่วยปรับปรุงให้ดีขึ้นถ้าเป็นไปได้...



...หลังจากอยู่ด้านในได้ไม่ถึง 10 นาที ผมก็ต้องออกเนื่องจากอากาศ และความอบชื้นด้านใน.. และหลังจากนั้นจึงกลับไปยังที่จอดรถ(ซึ่งก็ไม่ได้แวะเที่ยวฟาร์มจระเข้ด้านในต่อเพราะเห็นท้องฟ้าเริ่มตั้งท่าครึ้ม ๆ )จึงรีบออกไปยังสถานที่จุดหมายสุดท้ายของวัน “องค์พระสมุทรเจดีย์กลางน้ำ"



...เส้นทางจากฟาร์มจระเข้ถ้าจะขับรถไป “องค์พระสมุทรเจดีย์" จะอ้อมมาก .. ดังนั้นผมจึงใช้วิธีขับรถแล้วต่อเรือข้ามฟากโดยเริ่มต้นเส้นทางจากที่จอดรถฟาร์มจระเข้ให้ไปตามถนนเล็ก ๆ จนถึงสามแยกแล้วเลี้ยวขวาจะเข้าสู่ ถ.ท้ายบ้าน และเป็นเส้นทางไปสู่ปากน้ำ ขับตรงไปจนถึงวงเวียนแล้วให้เลี้ยวซ้ายอีกทีขับมาตามทาง... สังเกตด้านซ้ายจะมีป้ายท่าเรือข้ามฟาก ให้หาที่จอดรถแถวนั้นได้เลยครับ



...เมื่อหาที่จอดรถได้แล้วก็เดินหาทางสู่ท่าเรือข้ามฟาก...



...เสียค่าลงเรือข้ามฟากคนละ 4 บาท... ก็นั่งรับลมกินลมชมวิวฟ้าครึ้ม ๆ มัว ๆ บนเรือ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก็ข้ามมาถึงฝั่งตรงข้าม...จากนั้นจะผ่านร้านขายของเสื้อผ้า กาแฟ ซอยเล็ก ๆ ให้เดินทะลุออกมาถึงปากถนนแล้วเลี้ยวขวา... เดินไม่ไกลครับ เดินเอาก็ได้ประหยัดเงินค่ามอไซด์ได้ 20.-



...และในที่สุดก็มาถึง “องค์พระสมุทรเจดีย์"... หรือเรียกเหมือนชื่อสมัยก่อนว่า “องค์พระสมุทรเจดีย์กลางน้ำ"..



...สาเหตุที่เรียกว่าพระเจดีย์กลางน้ำนั้นเพราะ เมื่อก่อนสภาพพื้นที่ตรงเจดีย์นี้มีลักษณะเป็นเกาะโดยมีน้ำล้อมรอบแต่แล้วเมื่อกาลเวลาผ่านไปสภาพพื้นที่ก็มีการเปลี่ยนแปลง ตะกอนดินต่าง ๆ ที่ไหลพัดก็ทับถมรวมตัวก่อตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ชายตลิ่งทางฝั่งฟากขวาของแม่น้ำยื่นออกมาจนติดกับพื้นที่เกาะฝั่งนี้ .. จึงเป็นสาเหตุให้สภาพไม่ได้เป็นเกาะที่มีน้ำล้อมรอบเหมือนในอดีตต่อไป



...แม้กาลเวลาจะผ่านไปตัวพระเจดีย์จะไม่ได้อยู่กลางน้ำเหมือนในอดีต แต่นั่นอาจกลายเป็นข้อดีทำให้การเดินทางนั้นเป็นที่คล่องตัวมากขึ้นสำหรับคนที่มาแวะเที่ยว กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พระสมุทรเจดีย์แห่งนี้...



...ตัวองค์พระเจดีย์ที่เห็นโดดเด่นสีขาวสะอาดตา หากเป็นวันที่ท้องฟ้าสดใสด้วยแล้วคงยิ่งทวีความงดงามมากยิ่งขึ้น... องค์พระเจดีย์กลางน้ำ ถือได้ว่าเป็นเป็นปูชนียสถานอันสำคัญ นอกจากเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองปากน้ำด้วยแล้ว ความภาคภูมิใจของชาวเมืองอีกอย่างคือทางราชการได้นำพระสมุทรเจดีย์มาเป็นตราจังหวัดสมุทรปราการอีกด้วย..



...ภายในพื้นที่กว้างขวาง และร่มรื่นไปด้วยสีเขียวของหญ้า และที่ตั้งตำแหน่งของวิหาร เจดีย์เมื่อหันหน้าออกไปทางฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาก็ได้พบกับความสวยงามที่อยู่ภายในพื้นที่องค์พระสมุทรเจดีย์ได้ง่าย ๆ



...เดินถ่ายรูปอยู่ได้ไม่นานสายฝนเริ่มลงเม็ดหลังจากที่ตั้งเค้ามาอยู่ได้สักพักใหญ่ และก็กระหน่ำลงมาในที่สุด...



...สำหรับใครที่จะมายัง “องค์พระสมุทรเจดีย์" สามารถมาได้ทุกวันตั้งแต่ เวลา 07.00-19.00 น...



...สำหรับประวัติความเป็นมาโดยย่อผมขอสรุปคร่าว ๆ ส่งท้ายบทความนี้...



...โดยเริ่มต้นที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงมีพระราชดำริให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นบนเกาะเพื่อเป็นที่สักการะกราบไหว้บูชาของผู้ที่เดินทางผ่านไปมา และนอกจากที่จะมีพระราชดำริให้สร้างพระเจดีย์กลางน้ำแล้ว ก็ยังทรงพระราชทานนามพระมหาเจดีย์นี้ว่า “พระสมุทรเจดีย์" ด้วยเนื่องจากมีพระราชประสงค์ให้สถานที่แห่งนี้เป็นศาสนสถานคู่บ้านคู่เมืองสมุทรปราการต่อไปในภายภาคหน้า ... แต่การก่อสร้างพระเจดีย์ก็ทำได้เพียงการถมศิลาเพิ่มฐานแค่เพียงเท่านั้น ก็เสด็จสวรรคตไปเสียก่อน และพระสมุทรเจดีย์นั้นก็มาสร้างจนเสร็จสมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 สืบต่อมา...

...แต่องค์พระสมุทรเจดีย์ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้นั้นไม่ใช่องค์เดิมตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ 3 เพราะหลังจากนั้นในรัชกาลที่ 4 ได้มีมารศาสนาปีนไปบนพระเจดีย์ แล้วเจาะขโมยพระบรมสารีริกธาตุที่อยู่ข้างในนั้นออกไป .. จากนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้มีโปรดเกล้าฯ ให้สร้างองค์พระเจดีย์ที่ใหญ่กว่า และสูงกว่าขึ้นเพื่อครอบองค์พระเจดีย์ของเดิมไว้.. เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก ..จากนั้นจึงได้เป็นที่มาขององค์พระสมุทรเจดีย์ที่สง่างามอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในทุกวันนี้...



...เป็นอีกหนึ่งวันที่ได้ออกมาเที่ยวใกล้ ๆ ตัวเมืองหลวงขับรถไปเรื่อย ๆ แวะตามแต่ละที่นานบ้าง เร็วบ้าง ตามสภาพของสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ .. ได้ความรู้ ได้เห็นอะไรเพิ่มขึ้น รวมทั้งเรื่องราวต่าง ๆ ที่ในชีวิตประจำวันนั้นแทบจะไม่ได้เหลียวมองสักเท่าไหร่...



...สิ้นสุดไปกับ 3 พิพิธภัณฑ์ และ 1 ปูชนียสถานของเมืองปากน้ำ จ.สมุทรปราการ... มีทั้งประทับใจ และที่ยังคิดว่าต้องดูแลปรับปรุงเพิ่มขึ้นเพื่อให้คนไทยเที่ยวไทยกันเยอะขึ้นกว่าเดิม... สำหรับอัลบั้มนี้ก็ขอขอบคุณทุกคนนะครับที่แวะเข้ามาชมกัน .. สวัสดีครับ



ความคิดเห็น