ภูเก็ต เป็นจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทยที่มีลักษณะเป็นเกาะในน่านน้ำทะเลอันดามัน แน่นอนว่าสถานที่เที่ยวหลักที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาตินิยมมาก็คงหนีไม่พ้นทะเล ภูเก็ตมีทะเลที่สวยติดอันดับของโลก ทั้งยังเต็มไปด้วยธรรมชาติที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ ภูเก็ตจึงได้รับการขนานนามว่า "ไข่มุกแห่งอันดามัน"

ครั้งนี้ เที่ยวคนเดียวต้องสตรอง ได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวสัมผัสกลิ่นไอทะเลถึงหาดกะตะ แวะแหลมพรหมเทพ Landmark สำคัญของภูเก็ตอีกด้วย แถมยังได้เดินย่านเมืองเก่าชมตึกสไตล์ชิโนโปรตุกีส และไม่พลาดที่จะไปสักการะหลวงพ่อแช่ม ที่วัดไชยธาราราม หรือวัดฉลอง วัดคู่บ้านคู่เมืองของภูเก็ต ได้เที่ยวทั้งทะเล ได้ทั้งเดินชมเมืองเก่า แค่นี้ก็ทำให้วันหยุดก็พิเศษขึ้นมาได้แล้ว


<a href="https://www.facebook.com/singletraveltobestrong/">Fan Page : เที่ยวคนเดียวต้องสตรอง</a>  >>  ไปสอบถามพูดคุยติดตามเรื่องราวท่องเที่ยวได้อีกทางนะครับ

DAY 1

ทริปนี้ผมเลือกใช้การเดินทางโดยสายการบิน Bangkok Airway ครับ เที่ยวบินที่ PG271 เวลา 08.05-09.30 ผมเดินทางมาถึงท่ากาศยารสุวรรณภูมิตอนตี 5 ครึ่ง เช็คอินเสร็จบุ๊ป รีบตรงไปเลาจน์ของทางสายการบินทันที (แอบห่วงกิน อยากลองมานานแล้วข้าวต้มมัดในตำนาน) พอทานของว่างอย่างเป็นพิธีเสร็จแล้ว ก็ได้ไปรอที่หน้าเกต วันนี้ออกตรงเวลาครับ โดยเมื่อถึงเวลาบอร์ดดิ้ง ทางสายการบินจะเรียกผู้โดยสายขึ้นทีละโซนครับ

a

ขออนุญาติไม่รีวิวสายการบินละเอียดมากนะครับ พอขึ้นเครื่องก็จะมีแจกผ้าเย็นครับ พอเครื่องไต่ระดับได้ที่แล้วก็เสริฟอาหารร้อน วันนี้เป็นข้าวต้มกุ้งครับ รสชาติดี แต่ทำไมให้น้อยจัง (ยังห่วงกินอีก) มีผลไม้สดสองชิ้นกับน้ำเปล่าครับ มีเสริฟ ชา กาแฟ น้ำส้ม เพิ่มเติมครับ พอมาถึงท่าอากาศยานภูเก็ตแล้ว (ช่วงนี้ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลย คนเยอะวุ่นวายมากครับเลยเดินออกสนามบินดีกว่า) ออกมาแล้วเดินเลี้ยวซ้ายไปเลยครับ จะเห็นรถบัสสีส้ม เป็น shuttle bus ไปยังตัวเมืองภูเก็ต ค่าโดนสาย 100 บาทครับ จะจอดสุดปลายทางที่ บขส เก่า

นั่งมาสุดสายครับ พอถึง บขส ก็เดินมาตามแผนที่เลยครับ (จะนั่งรถมอเตอร์ไซต์รับจ้างก็ได้นะ) ตลอดทางมีอาหารขายอยู่หลายร้านเลยนะครับ แต่พอดีอิ่มมากจริงๆ เลยไม่ได้ทานครับ เดินมาสุดถนนพังงา แล้วเลี้ยวซ้าย จะเห็นวงเวียนเลยครับ เดินไปทางวงเวียนแล้วเลี้ยวขวาครับ จะไปเจอกับตลาดสดบนถนนระนอง เดินไปอีกนิด ก่อนถึง 7/11 จะเป็นที่จอดรถโพถ้องที่จะพาไปยังหาดกะตะครับ รถโพถ้องเป็นรถประจำทางท้องถิ่นของภูเก็ตครับ มีหลากหลายเส้นทางให้ไป ราคาก็แล้วแต่ครับ สำหรับค่าโดยสารไปหาดกะตะก็ 50 บาท สามารถขึ้นไปแล้วลงรายทางก็ได้นะครับ พอคนขึ้นรถจำนวนหนึ่งรถก็ออกครับ นั่งไปสักประมาณ 30-40 นาทีครับ เส้นทางเป็นข้ามเขานิดหน่อยครับ ไม่น่ากลัวเท่าไร

รถจะผ่านหาดกะรนก่อน ใครพักแถวนั้นก็ลงระแวกนั้นได้เลย แล้วจะมาสุดสายที่หน้า สนง เทศบาลตำบลกะรน ที่หาดกะตะครับ (ขากลับมาขึันตรงนี้นะ)

ถึงแล้วหาดกะตะ ทะเลสีฟ้าใสมากกกกกกกกก เดินเข้าสู่ริมหาด นึกว่าโผล่มาเมืองนอก ฝรั่งนอนอาบแดดและทำกิจกรรมกันเยอะมากครับ (มองไม่เห็นคนไทยจริงๆ)




เดินเล่นไปสักพักก็ถึงเวลาเช็คอินละครับ เดินไปโรงแรมครับ อยากจะบอกว่า หาดกะตะกับโรงแรมหลายๆ โรงแรมไม่ได้อยู่ติดทะเลแบบเดินออกมาวิ่งเล่นได้เลยนะครับ เพราะ Club Med ยึดไปเรียบร้อย ถ้าใครมีฐานะขึ้นมาหน่อย ผมแนะนำ Kata Beach Resort ครับ อยู่ตรงหัวมุมแถวๆ คิวรถโพถ้องอะครับ โรงแรมสามารถเดินออกมายังชายหายได้เลย แถมมีห้องอาหารนั่งมองทะเลชิวๆ อีกด้วยนะ

ผมจอง The Blue Pearl Kata Hotel ผ่านทาง Agoda ราคาก็ไม่ถึงหนึ่งพันบาทครับ โรงแรมนี้จะอยู่ในซอยเข้าไปนิดนึง แต่ในซอยไม่มีโรงแรมอื่นนะครับ ถือว่าไม่พลุกพล่านดี มี The Pizza company อยู่ปากซอยเลย เดินถัดไปอีกซอยเป็น 7/11 หากจะไปชายหาด ก็มีทางเล็กๆ ริมคลองเล็กๆ ให้เดินไปยังชายหาดครับ ถือว่าสะดวกเลยทีเดียว

พอมาถึง เปิดประตูเจอลอบบี้เลย โอ้โห แต่งได้เก๋มากจริงๆ โทสีฟ้าๆ บลูๆ ตามชื่อโรงแรมเลย เช็คอินก็แค่ยื่นบัตรประชาชน หากต้องการจะเช่ารถมอเตอร์ไซต์ ก็สามารถบอกพนักงานได้ครับ เขาจะติดต่อให้ ค่าเช่าวันละ 300 บาท ผมสายแว๊นเลยต้องเช่าซะหน่อย รถมอเตอร์ไซต์สภาพดีนะครับ แต่ไม่เติมน้ำมันมาให้ ไปหาเอาดาบหน้าเลย (แถวนั้นไม่มีปั้มน้ำมัน ต้องขี่วนกลับมาทางห้าแยกฉลอง (ซึ่งแพลนผมคือจะไปแหลมพรหมเทพ เลยต้องไปหาเอาดาบหน้าจริงๆ)

ทุกอย่างเป็นสีฟ้าครับ แต่งสวยงามตามท้องเรื่อง มีความคูล มีความเก๋ มีความชิค ได้กลิ่นของที่พักริมทะเลขึ้นมาทดแทนการที่โรงแรมไม่ได้อยู่ติดทะเลเลยครับ (แต่ยังไม่ตัดสินให้คะแนน เพราะต้องเข้าไปด้านในก่อนเนอะ)

ปิดเข้ามาแล้วก็คืออึ้งไปสักแปบ ทุกอย่างกำลังดี เหมาะสมกับราคาครับ ข้าวของเครื่องใช้มีให้ครบมาก (คิดว่าให้เต็มห้าดาวได้เลยนะ) หลังจากพักที่นี้ก็พบว่า เงียบมากครับ ไม่มีเสียงรบกวนการฝรั่งเลย ทางโรงแรมมีร้านอาหารนะครับ จะลงไปทานหรือสั่งขึ้นมาก็ได้ครับ

ดาดฟ้าเป็นสระว่ายน้ำครับ มานั่งชิวๆ เล่นน้ำก็ได้ เอาเป็นว่าไม่ชื่นชมโรงแรมนาน ต้องไปแหลมพรหมเทพต่อ

การเดินทางไปยังแหลมพรหมเทพ จากถนนกะตะ เราจะขี่มอเตอร์ไซต์ไปทางหาดกะตะน้อย ขี่ออกจากโรงแรมไปสักพักจะมีทางแยก ให้เลี้ยวซ้าย จะเป็นทางขึ้นเขาครับ (หากไม่ชัวร์ดูป้ายหมายเลขถนน 4233 นะครับ) ขี่ไปทางนี้สักพักจะเจอร้านขายของชำ มีน้ำมันเบนซินขาย แวะเติมเลยครับ แถวนี้ไม่มีปั้มน้ำมัน ส่วนใหญ่ก็จะขายตามร้านขายของชำ อาจจะแพงกว่าไปเติมปั้ม แต่ไม่ได้แพงขนาดนั้น ส่วนต่างน่าจะไม่เกิน 5 บาท (ขวดลิตร ขวดละ 30 บาท)

เส้นทางไม่อันตรายนะครับ มีโค้งมีชันบ้าง ขับดีๆ ละ ไม่ประมาท ขี่ไม่นานก็มาถึงแล้วแหลมพรหมเทพ

หันซ้าย หันขวา ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ทัวร์จีนลง เราจำเป็นต้องกลับ เพราะลงเยอะมาก ที่นี้มีร้านขายของฝาก ขายน้ำ ขายขนมนะครับ แต่เหมือนไม่ได้ขายผม ราคาสูงดีจัง เลยคิดว่า ค่อยแวะเซเว่นเอาละกัน ไปหาดยะนุ้ยต่อดีกว่า

ขี่กลับมาทางเดิมครับ ก็จะถึงหาดยะนุ้ย ไม่ไกล กิโลเดียวเอง จำไม่ได้ว่า กังหันลมอยู่ระแวกนี้หรือเปล่า แต่ไม่ได้แวะเข้าไปครับ

ถ่ายรูปได้สักพักมีถ่ายพรีเวดดิ้ง (เหมือนไล่เรากลับ) ก็เลยไปหาดในหานต่อก็ได้ หาดนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไรครับ ร้านค้าก็มีนะ แต่ตอนผมไปไม่เปิด มีร้านเดียว เงียบดี ไม่ทราบว่ามีที่พักไหม ถ้ามีคงส่วนตัวมากๆ

ขี่กลับถนนเดิมครับ ไปหาดในหาน ไม่ไกลครับ สังเกตง่ายๆ ถ้าขี่ไปสักพัก เจอเหมือนอ่างเก็บน้ำใหญ่ๆ นั้นแหละ หาดในหาน ขี่เลียบอ่างน้ำไปเลยครับ

หาดนี้มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาหน่อย มีร้านอาหารอีสาน มีร้านนวดริมทะเล อาจะไม่คึกคักเท่าหาดกะตะ กะรน แต่น่าพักผ่อนดีเหมือนกัน

ขี่กลับมาทางเดิมเพื่อไปจุดชมวิวสามอ่าวครับ

มาถึงจุดชมวิวสามอ่าวครับ จะเป็นเหมือนหอคอยตั้งอยู่บนเขานะครับ ไม่ได้สูงอะไรมาก ในภาพจะมองเห็น หาดกะร (บน) หาดกะตะ (กลาง) หาดกะตะน้อย (ล่าง) มาจุดเดียวเห็นครบสามหาดเลย

หันหลังกลับมา เห็นถนนเส้น 4233 ที่พาเราไปแหลมพรหมเทพครับ เห็นไหม ถนนดี ถนนกว้าง ขับขี่ง่าย

หันกลับมาอีกทีก็ยังเป็นสามอ่าว ตอนนี้ก็เย็นแล้ว กลับไปหาดกะตะ ไปดูพระอาทิตย์ตกกันดีกว่า


หมดแล้ว 1 วัน ยังไม่ทันเหนื่อยเลย จะเห็นได้ว่า วันนี้ทั้งวันผมไม่กินข้าวหรอ มัวแต่เที่ยวครับ เลยได้แต่กินอาหารในเซเว่น หลังจากดูพระอาทิตย์ตก ผมเลยไปหาอาหารทานครับ ไปทุกย่านเลยครับ ไนท์บาซา ตลาดกลางคืน ร้านอาหารส่วนใหญ่ขายอาหารฝรั่งครับ ราคาก็เป็นราคานักท่องเที่ยวครับ ในความติสของเราที่ไม่อยากกินอาหารฝรั่ง เลยพยายามหาอาหารใต้กิน (มันจะมีไหมละป่านนี้) แต่แล้วเหมือนสวรรค์เห็นใจ

เซเว่นมีขายข้าวกับแกงส้มครับบบบบบบ อร่อยดีด้วยนะ โหยยย อยากให้กรุงเทพฯ มีบ้าง จริงๆ มีอีกกล่องเป็นคั่วกลิ้งครับ แต่ไม่ได้ซื้อมา มาเที่ยวคนเดียวจะซื้อมาสองกล่องทำไมละเนอะ ฮาๆๆๆๆๆๆๆ วันนี้ก็จบทริปแค่เท่านี้ครับ หาดกะตะตอนกลางคืนไม่มีกิจกรรมอะไรเลยครับ (หรือจริงๆ มี แต่มีวันอื่น) แต่ไนซ์บาซา และระแวกนี้ก็คึกคักพอตัวอยู่ครับ


DAY 2

วันนี้ตื่นเช้าครับ 7 โมงเช้า จริงๆ คิดว่าจะตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ลืมตามาตอนตีห้ากว่าๆ แล้วนึกขึ้นได้ว่า พระอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นที่ทะเล เลยหลับต่อ ฮาๆๆๆๆๆ แพลนวันนี้คือ จะไปแถวท่าเรืออ่าวฉลอง แต่ไม่ได้ลงเรือไปไหน (เวลาเราจำกัด) คิดว่าไปถ่ายรูปวิว รูปเรือเก๋ๆ แล้วไปที่วัดฉลองต่อเลย สองสถานที่นี้จะไปก่อนเที่ยงครับ แล้วจะกลับมา Check-Out เพื่อกลับไปยังตัวเมืองภูเก็ตในช่วงบ่าย

7

จากแผนที่ เราสามารถขับรถลัดเลาะมาทางเส้น 4203 ได้ง่ายๆ เลยนะครับ ลองนึกภาพ ถนนกะตะ กับ 4203 จะขนานกันครับ ทะลุซอยไหนก็ออกมาตรงนี้ แล้วก็ขับไปทางห้าแยกฉลอง เรียกนึกภาพง่ายๆ ทางที่เรามาจากตัวเมืองภูเก็ตเมื่อวานอะครับ ถ้ากลัวจะหลง ขับรถเกาะป้ายท่าเรือฉลองไปครับ ระยะทางก็ 6.5 กิโลเมตร ทางเป็นทางขึ้นลงเขา ไม่ชันไม่โค้งมาก แต่ต้องขับขี่ระวังอย่างมากนะครับ

ถึงแล้ว ท่าเรืออ่าวฉลองก็จะเป็นจุดจอดเรือต่างๆ ไปนู้นไปนี้ ไปเกาะต่างๆ มีทั้งเรือหางยาว เรือยอร์ช เรือโดยสาร ต่างๆ นาๆ แต่เราไม่ไป เพราะเราเที่ยวไม่ทัน ฮาๆๆๆๆๆๆๆ

ชมวิวกันสักพักแล้ว ไปวัดฉลองกันต่อเลยครับ

8

ออกจากท่าเรืออ่าวฉลองมา เจอวงเวียนเดิม แล้วเลี้ยวขวานะครับ ไปตามถนน 4021 แล้วจะเจอป้ายวัดฉลองครับ ที่วัดมีที่จอดรถให้นะครับ

ถึงวัดฉลองแล้วก็ทักทายเจ้าถิ่นซะหน่อย น่ารักกกกกกก วัดฉลองเป็นวัดที่ว่ากันว่าสวยงามที่สุดในภูเก็ตครับ และยังเป็นวัดเก่าแก่มาก ที่สำคัญคนท้องถิ่นบอกว่า หลวงพ่อแช่ม อดีตเจ้าอาวาสวัดฉลอง ศักดิ์สิทธิ์มาก ทำให้ชื่อเสียงเรียงนามเป็นที่กล่าวขานไปถึงเมืองปีนัง ประเทศมาเลเซียเลยครับ

เช่าพระมาด้วยครับ ราคารับได้ ภายในวัดสงบมากครับ (อาจเพราะไปเช้า นักท่องเที่ยวเลยยังบางตา) พอชื่นชมความงามอย่างพอใจแล้ว ก็กลับไป Check-Out แล้วก็ไปยังคิวรถโพถ้อง เพื่อกลับตัวเมืองภูเก็ต

2

เผื่อจำไม่ได้ รถจอดอยู่หน้า สนง.เทศบาล นะครับ หรือตรง กะตะ บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา นั้นแหละ ขึ้นรถไปรอได้เลย เดี๋ยวพอมีคนขึ้นไปสักพัก รถก็จะออกเดินทางไปยังตัวเมืองภูเก็ตละครับ

รถจะไปจอดตรงตลาดเทศบาล (ยังจำขาไปกะตะได้ใช่ไหม เราขึ้นรถแุถวนี้ ถ้าเกิดจำไม่ได้ พี่คนขับจะบอกเราเอง ผมก็จำไม่ได้ พี่คนขับบอกทางไปถึงโรงแรมเลย) ผมพักแถวเมืองเก่าครับ ก็บริเวณในแผนที่นี้แหละ รถจะจอดตรงแถวๆ วงเวียนตามในภาพนะครับ

พอเดินไปสักพักผมเริ่มรู้สึกสะดุดตากับตึกเก่าที่ตั้งตระหง่านอยู่ในย่านการค้าเก่าเเก่ของเมือง เป็น อาคารสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่ผสานศิลปะตะวันตกและตะวันออกเข้ากันไว้อย่างลงตัว จนเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเมืองภูเก็ต


เดินเพลินๆ ดีครับ แถวนี้มีร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่เปิดใหม่เยอะแยะ ทั้งชิค ทั้งคูล เต็มไปหมดครับ มาถึงภูเก็ต จะไม่หาอาหารทานก็ไม่ได้ ครั้งนี้มาเที่ยวไม่เน้นกินครับ (เอาแต่เที่ยวจริงๆ เลยเรา) แต่ก็ยังได้กินอาหารพื้นเมืองอร่อยๆ บ้างนะ

หมี่ฮกเกี้ยน ร้านลกเที้ยน อร่อยดีนะ แต่ผมว่ามันเหมือนผัดซีอิ้ว (เราพวกลิ้นจรเข้ กินอะไรก็อร่อย)

ปอเปี๊ยะสด ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

อิ่มแล้วก็เดินเที่ยวกันต่อ และในย่านเมืองเก่าไม่ได้มีแค่ตึกเก่าๆ ยังมี Street Art ศิลปะยอดฮิตที่รวมกันอยู่ในหลายๆ สถานที่ท่องเที่ยวครับ


ถ่ายรูปกันหนำใจ ไปเช็คอินกันดีกว่า ภูเก็ตเป็นเมืองร้อนนะครับ หาน้ำเปล่าติดตัวด้วยก็ดี เอ้อ แนะนำเลยว่า ระแวกเมืองเก่า หามินิมาร์ทไม่ค่อยจะเจอ (หรือเราไม่สังเกตุ) แต่ต้องเดินออกมาจากย่านนี้หน่อยถึงจะเจอ 7/11 ครับ ใครกระหายน้ำบ่อยๆ แบบผม มีน้ำติดตัวไว้จะดีกว่าครับ เพราะอากาศร้อนมากกกกกกกกกกกกกกก

ผมจอง 99 Oldtown Boutique Guesthouse เป็นเกสเฮ้าที่อยู่ในย่านตึกเก่า ง่ายๆ เลยคือ ตึกชิโนโปรตุกีส นี้แหละ ทำการรีโนเวทภายในแล้วแบ่งออกเป็นห้องให้คนเข้ามาพักอาศัย ราคาไม่เกิน 1000 บาท พร้อมอาหารเช้า ที่นี้เหมือนอยู่บ้านครับ เพราะเจ้าของก็อยู่ในตึกนี้แหละ ไม่มีลิฟ เป็นบันไดไม้ ต้องถอดรองเท้าก่อนขึ้นไปด้านบนห้อง เดินเบาๆ ไม่ส่งเสียงดังครับ ด้านในแต่งเก๋ดี แต่มืดเลยไม่ได้ถ่ายมามากครับ ห้องพักก็พอสมควร ไม่กว้างมาก ไม่เล็กไป สะอาดดีๆ ดูวินเทจๆ ดูมีสไตล์ เสียงดังมากไม่ค่อยได้นะครับ ห้องไม่ค่อยจะกันเสียง ประตูจะปิดตอนหกโมงเย็น (มั้ง) แต่จะมีคีการ์ดให้เปิดเข้าออกเวลาดึกครับ ถามว่ามีผีไหม เพราะอยู่ในตึกเก่า ตอบเลยว่าไม่มี แต่ผมดันเจออย่างอื่นที่ตึกเก่านั้นมีแทน (ฮั่นแหน่ๆๆๆ อยากรู้ละสิ)


ช่วงค่ำตึกระแวกนี้เปิดไฟกันสวยงามเลยครับ แต่.....เงียบมากกกกกกกกกกก ทุ่มครึ่ง ไม่มีคนเลย อาจเพราะวันที่ผมอยู่นั้น ไม่มีตลาดกลางคืนครับ ทำให้บรรยากาศแถวนั้น เงียบแบบสุดๆ เงียบแบบเหงาเลยแหละ แต่ไม่เป็นไร เราสตรองมาก เราเลยเดินเล่นดูไฟไปเรื่อยๆ พอตกดึก ก็กลับเข้านอน

ตื่นเช้าอีกวัน ผมมีบินไฟร์ทสายๆ เลยเดินไปขนส่งเพื่่อนั่ง Shuttle Bus กลับไปสนามบิน ครับ อ้อ! ระหว่างที่เดินไปสถานีขนส่ง(เก่า) จะมีร้านขายของฝากอยู่ในซอยครับ ชื่อร้าน เมธี ผมลองแวะเข้าไป ตอนเห็นราคาตกใจ

มาก แพงสุด แต่พนักงานเข้ามาบอกว่า ราคานั้นอะไม่ใช่นะ น้ำพริก 3 กระปุกร้อย จาก กระปุกละ 1xx ไอเราก็อยากซื้อของไปฝากคนที่กรุงเทพ เลยซื้อซะหน่อย สรุป คนที่กรุงเทพบอกว่าอร่อยมาก โดยเฉพาะไตปลาแห้งกับน้ำพริกกุ้งเสียบ

ทริปผมจบเพียงเท่านี้ครับ เป็นการไปเที่ยวภูเก็ตคนเดียวแบบจริงๆ จังๆ ไม่ได้ไปทำงาน ไม่ได้ไปเพื่อนเรียนหรือสัมนาครั้งแรกเลย ติดใจทะเลภูเก็ตครับ ขนาดไม่ได้ไปเกาะยังดูดีขนาดนี้ ถ้าออกเกาะจะสวยขนาดไหน ครั้งหน้าสัญญาเลยว่า จะกลับไปภูเก็ตอีกครับ


ติดตามรีวิวท่องเที่ยวและพูดคุยกันได้ที่ : Fanpage เที่ยวคนเดียวต้องสตรอง


เที่ยวคนเดียวต้องสตรอง

 วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 23.52 น.

ความคิดเห็น