ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศที่คนไทยนิยมไปเที่ยวมากที่สุด เพราะเที่ยวง่าย อาหารอร่อย สถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย และสามารถเที่ยวได้ทั้งปี จะมาฤดูไหนก็สามารถฟินได้เต็มที่ ทางเราก็อ่านมาหลายรีวิวจนทำให้รู้สึกว่า เฮ้ยยยยแก เราควรที่จะไปเยือนญี่ปุ่นบ้างไรบ้าง เราอยากไปเจแปน เราอยากกินอาหารญี่ปุ่น เราอยากไปเดินชิวๆ อากาศเย็นๆ ถ่ายรูปเรื่อยๆ

เริ่มแรกกับการจองตั๋วเครื่องบิน แวะไปดูโปรโมชั่นที่เพจอาแป๊ะ นางได้โพสต์บอกว่า Malaysia Airline ลดราคา ไม่รอช้ารีบเข้าไปจองเลยจ้า (อาแป๊ะลิงก์ช่องทางการจองไปยัง Expedia) ได้ตั๋วไป-กลับ BKK-KUL-NRT / NRT-KUL-BKK ช่วงวันสงกรานต์ ในราคา 8,9xx บาท เฮ้ยย ราคาน่ารักมาก (แม้จะต่อเครื่องที่ KL ก็ตาม)

ต่อมาก็จองโรงแรมผ่าน Agoda ผมเลือกโฮสเทล ชื่อว่า 1 Night 1980 Hostel Tokyo ในราคา 7xx ต่อคืน เป็นแคปซูลโฮทเทล มีแคปซูลที่นอนส่วนตัวไม่ต้องหันหน้าไปเจอกับใคร (อยากจะบอกว่าโรงแรมที่โตเกียวราคาสูงเลยทีเดียวสำหรับการไปคนเดียว เพราะไม่มีใครช่วยหารค่าห้อง)

การเดินทางไปญี่ปุ่นก็โอเคแล้ว ที่พักก็จองเรียบร้อย เหลือเพียงการเดินทางจากสนามบินไปตัวเมือง ผมแพลนไว้ว่าอยากนั่ง Skyliner จากสนามบินสู่ตัวเมือง เลยไปที่ H.I.S แล้วซื้อแพคเกจ Skyliner Round Trip + 72 hr Tokyo Subway Ticker ในราคา 1,7xx โดยตั๋วจะมีอายุไม่เกิน 6 เดือน (คำนวนดีๆ ว่าจะซื้อตอนไหน) แล้วเอาตั๋วนี้ไปเปลี่ยนเป็นตั๋วรถไฟที่สนามบินนาริตะนะจ๊ะ


คนติดโซเชียลฯ อย่างเราต้องมีอินเทอร์เน็ตติดตัว ผมเลือก Sim2Fly จาก AIS ครับ ราคา 399 บาท ก่อนจะบินออกจากไทยเข้าไปเปิดใช้บริการก่อน หรือจะเปิดใช้บริการที่ญี่ปุ่นก็ได้ ซิมนี้สามารถนำไปใช้ที่ต่างประเทศได้หลายประเทศครับ (ทางเราต่อเครื่องที่มาเลเซียก็สามารถใช้ได้นะจ๊ะ) ของดีต้องบอกต่อ ใช้ดีมากกกกกกกกกกกก เน็ตเร็วสุดๆ เมิน WiFi โรงแรมได้เลย (ใครใช้แล้วไม่อยากทิ้งก็เก็บไว้นะ ค่อยๆ เติมตังเดือนละครั้ง แล้วครั้งต่อไปจะไปเที่ยวประเทศไหน ค่อยซื้อแพคเกจเพิ่มได้นะยูๆๆๆๆ)

และแล้วววว วันเดินทางก็มาถึง ตอนนั้นมีขาวว่า MH มีการเปลี่ยนไฟร์ท มีหลายๆ คนโดนเท เราก็แอบตกใจเบาๆ แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี

ผมเริ่มเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตอน 5 โมงเย็นไปต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ตอนเที่ยงคืนครึ่ง (แอบดีเลย์ไปชั่วโมงกว่าๆ) นั่งๆ นอนๆ พอใกล้จะ Landing ตาก็เหลือบไปเห็นภูเขาไฟฟูจิ โอ้โหๆๆๆๆๆ ตื่นเต้นๆๆๆๆๆๆ จะถึงญี่ปุ่นแล้วววว

ใครบินตรงหรือต่อเครื่องที่ฮ่องกง น่าจะเห็นชัดกว่านี้นะ MH บินห่างไปหน่อย แต่ดีที่เลนส์เรายังซูมได้ เมื่อมาถึงนาริตะแล้วความตื่นเต้นก็ยังไม่จบ เพราะอ่านรีวิวจาก Pantip มาเยอะโดนเฉพาะกระทู้ ตม ที่มีแต่คนบอกว่า ตม โหด ศุลกากรโหดมาก โดนเข้าห้องเย็นเป็นว่าเล่น แต่…อย่าเพิ่งไปเชื่อนะครับ ผมเดินเข้า ตม แบบชิวสุดๆ ไม่ถามสุขภาพสักคำ พอไปถึงด่านศุลกากร ยื่นใบศุลกากร นางไม่สนใจอะไรเราเลย มีการบอกว่าโอเค ยูไปได้แล้ว โอ้ยย ง่ายมากกกกกกกกก เพราะฉะนั้นอย่างเพิ่งกังวลไปครับ อย่าทำตัวให้เขาต้องจับพิรุธเราก็พอ


DAY1


หลังจากผ่าน ตม, ศุลกากร และรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราจะไปแลกตั๋ว Skyliner+Subway Pass กันก่อนเลย โดยเราจะเดินตามป้าย Train to City ไปเรื่อยๆ นะครับ พอมาถึงทางเข้าสถานีรถไฟแล้ว มองหา Skyliner Keisei Information Center ไว้นะ


สังเกตุง่ายๆ ออฟฟิศจะอยู่ตรงข้ามกับทางเข้าสถานีรถไฟติดกับ Family Mart เดินเข้าไปหาพนักงานและแสดงตั๋วที่ได้จากเมืองไทย พนักงานจะให้เราดูว่าจะไปรถไฟรอบไหนดี เลือกรอบแล้วนางจะปริ้นตั๋วให้


ใบแรก เราจะได้ตั๋วรถไฟ สนามบิน – อูเอโนะ ในตั๋วจะบอกรอบที่เราเลือก (Date/DEP/ARR) / ตู้ที่เราต้องไปนั่ง (CAR) / ที่นั่งของเรา (SEAT) และจะได้ตั๋วขากลับสนามบินอีกใบ (ตั๋วอีกใบลืมถ่ายมา) เป็นตั๋วที่ต้องเอาไปแลกตั๋วอีกทีนะครับ ไม่ใช่ตั๋วนั่งรถไฟ เราต้องเอาตั๋วนั้นไปยื่นที่ขายตั๋ว เขาจะให้เราเลือกรอบรถไฟขากลับอีกครั้งนึงครับ

และก็จะได้ตั๋วรถไฟฟ้าใต้ดิน 72 ชั่วโมง (บัตรเป็นระบบ 24 ชั่วโมง แตะเข้าครั้งแรกเวลาไหน ก็นับไปจนครบ 72 ชั่วโมง)

ไปครับ ไปนั่งรถไฟเข้าเมืองกัน เดินเข้าทางนี้เลย ใครไม่ได้จองแพคเกจตั๋วมาจากไทย สามารถซื้อตั๋วที่นี่ก็ได้นะ

เดินเข้าไปในสถานีแล้วอย่าสับสนแบผมนะ ทางเราเข้าใจว่า Skyliner มันสีฟ้า เลยเดินตามสีฟ้าไปเรื่อยๆ สรุป ผิดจ้าาาาา พอผ่านประตูเข้ามาแล้ว มองทางซ้ายมือไว้ จะเห็นประตูสีส้มๆ เขียนหมายเลข 1 ใหญ่ๆ มีโลโก้ Skyliner เดินเข้าไปเลยครับ พอเราเดินมาถึงชานชาลาให้มองที่พื้นนะ เขาจะมีหมายเลขตู้กำกับไว้ (Car no.) จะได้ยืนรอถูกตู้รถไฟ


นั่งไปประมาณ 40 นาทีได้มั้ง ก็มาถึงสถานที Ueno (จะจอดแค่ 2 สถานีนะ) เมื่อเดินทางมาถึง สถานี Keisei Ueno ใครจะไปเที่ยวต่อแล้วอยากฝากกระเป๋าไว้ก่อน ที่สถานีมีตู้ Locker ให้บริการนะครับ (กระเป๋าใบใหญ่ๆ ทำใจหน่อย บางทีก็เต็ม แต่ใบเล็กๆ มาตอนเช้าๆ ยังว่างอยู่เยอะ)


วิธีใช้งาน คือ เล็งไว้เลยตู้ไหนว่างอยู่ > เปิดประตูเอากระเป๋าใส่เข้าไป > ปิดประตูให้แน่น > จำหมายเลขตู้ > ไปที่เครื่องจ่ายเงิน > กดเลือกภาษาอังกฤษบนหน้าจอ > กดเลือกฝากประเป๋า > กดเลือกหมายเลขตู้ > หยอดตังค์ > รับสลิป


เก็บสลิปไว้ให้ดี แนะนำว่าถ่ายรูปไว้เลย มันจะมี PIN สำหรับเปิดตู้ครับ (เวลาจะเปิดตู้ แค่มากดเลือกเปิดตู้ แล้วใส่รหัสที่ได้รับ ตู้จะปิดออกมาครับ ขอแนะนำว่าตอนเปิดตู้ อย่าเปิดแรง อย่าให้ประตู้มันเด้งมาปิด เพราะถ้ามันปิด ต้องเสียเงินเพื่อเปิดตู้อีกรอบนะ ฮาๆๆๆๆๆๆ)

งั้นเราเริ่มเที่ยวกันเลยดีกว่า ที่แรกที่จะไปคือ วัด Sensoji อันนี้ฮิตมาก ต้องไปจริงๆ ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คสำหรับมือใหม่หัดเที่ยวญี่ปุ่นเลยละ วิธีมาก็ง่ายๆ เมื่อกี้เราออกจาก Keisei Ueno ก็เดินมาเปลี่ยนสายรถไฟเป็น Ginza

[เทคนิคง่ายๆ ในการหาสถานีรถไฟใต้ดิน เมื่อต้องเปลี่ยนรถไฟคนละสาย คือ จำหรือหาภาพสัญลักษณ์แต่ละสาย มันจะเป็นแค่วงกลมสีตามสายรถไฟ แล้วด้านในเป็นตัวย่อ เช่น Ginza Line ก็จะเป็นวงกลมสีส้ม มีตัวอักษร G อยู่ด้านใน เมื่อหาเจอแล้ว แล้วเดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ส่วนวิธีจะไปขึ้น Track หรือ ชานชาลา ให้ถูก ก็ดูว่าสถานีที่เราจะไปมันหมายเลขอะไร แต่ละ Track จะมีบอกไว้ว่า Track นี้เดินทางจากสถานีหมายเลขนี้ถึงสถานีหมายเลขนี้ ภาพด่านล่างจะบอกไว้เลยว่า Track 2 เดินทางจาก G17 ไป G19 ]


ใช้ตั๋ว 72hr ticket เข้าสถานีได้เลยครับ มันจะเริ่มนับเวลาตั้งแต่เราเริ่มเสียบบัตร นั่งจากสถานี Ueno ไปสถานี Asakusa

นักท่องเที่ยวเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกก ยิ่งโซนที่เป็น Street คนยิ่งเยอะสุดๆ แต่อากาศกำลังเย็นสบายๆ ลมพัดก็เย็นมากนะจ๊ะ เตรียมเสื้อแขนยาวไปด้วยละ

วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple) เป็นวัดใหญ่ในย่านอาซากุสะ จนบางคนเรียกติดปากไปว่า วัดอาซากุสะ หรือวัดโคมแดง (Asakusa Kannon Temple) เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองโตเกียว มีประวัติความเป็นมาว่า เมื่อ ค.ศ. 628 มีพี่น้องชาวประมงพบองค์เจ้าแม่กวนอิมนาดเล็กที่แม่น้ำซูมิดะ และได้นำกลับเข้าหมู่บ้านในอาซากุสะ ต่อมาชาวบ้านได้สร้างวัดจากบ้านหลังหนึ่งเพื่อเป็นที่เก็บรักษาองค์เจ้าแม่ กวนอิม และหลังจากนั้นก็ได้สร้างวัดเซ็นโซจิขึ้นใน ค.ศ. 645

ก่อนถึงตัววัดจะมีถนนนากามิเสะ (Nakamise dori) ที่เรียงรายด้วยร้านค้าทอดยาวจนถึงบริเวณวัด ใครที่ซื้อของกินตามร้านค้าบนถนนแห่งนี้ ทางร้านจะให้เรายืนกินที่หน้าร้านเท่านั้น เพื่อไม่ให้ขนมหกเลอะเทอะบนถนน ถือว่าเป็นกฎเหล็กของร้านค้าย่านถนนนากามิเซะเลยก็ว่าได้

ที่จุดธูปมีความครีเอท ไม่ต้องกลัวไฟจะมอด ไม่ต้องกลัวว่าไฟจะโดนมือ เอาธูปจิ้มลงไปตรงกลาง จ่อไว้สักพัก ธูปก็จะติดไฟได้ในทันที

เวลาไหว้ แอบเห็นเขาจะเอามือกวักควันธูปให้เข้าหาตัว บางคนก็ไม่ได้จุดธูปนะ เดินเข้ามาขอพรแล้วเอามือกวักควันธูปเข้าหาตัว

ผมแนะนำว่า ใครชอบกินขนมลองหาร้านขนมกินดูครับ ไม่ค่อยอยากจะแนะนำว่าควรกินอะไรไม่ควรกินอะไร เพราะเรากินอะไรก็อร่อยไปซะทุกอย่าง

เดินออกจากวัด Sensoji ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามจะเจอกับ Tourist Information Center

เดินเข้าไปในอาคาร Tourist Information Center กดลิฟท์ไปชั้น 8 ไปดูวิวฟรีๆ กันจ้าาาาาาา (ชั้นใต้ดินมีห้องน้ำ / ชั้น 8 มีร้านอาหาร / ชั้นอื่่นๆ มีพวกนิทรรศการ)

เดินออกจาก Tourist Information Center เลี้ยวไปทางขวามือ ตรงไปเรื่อยๆ จะเจออีกมุมที่หลายๆ คนชอบมาถ่ายรูปกับตึกอาซาฮีและสะพานแดง (หามุมดีๆ จะได้ Tokyo Sky Tree มาด้วยนะ)


เดินเลยสะพานแดงมาอีกฝั่ง เดินไปอีกนิดก็จะถึง Tokyo Sky Tree


เดินกลับมาเพื่อจะขึ้นรถไฟใต้ดิน แวะสวนริมแม่น้ำสุมิดะซะหน่อย ดอกไม้กำลังบานเลยละครับ แวะสูดอากาศที่สวนตรงนี้สักพัก เราจะไปลุยต่อที่สวนอูเอโนะไปดูซากุระกัน

ขามาวัด Sensoji ยังไง เราก็นั่งกลับไปแบบเดิม นั่งรถไฟใต้ดินจาก Asakusa ไป Ueno ดูป้ายทางออก Ueno Park ครับ เดินตามทางไปเรื่อยๆ

เดินเข้ามาผมเจอศาลเจ้าก่อนเลยฮ๊ะ ตามธรรมเนียมการเข้าศาลเจ้าของคนญี่ปุ่นคือ ต้องล้างมือ ล้างปาก กันก่อน

สวนเดียวเที่ยวครบ ในสวนอูเอโนะ จะมีวัด ศาลเจ้า สวนสัตว์ และพิพิธภัณฑ์ แต่ผมเก็บไม่หมด สวนอูเอโนะอยู่ใกล้กับตลาด Ameyoko สามารถเดินไปได้ (เปิด Google Map แล้วเดินตามได้เลย ไม่หลงแน่นอน)

ทีนี้ก็ขายของกินของใช้ในราคาที่เป็นกันเอง (บางร้านก็ดูไม่เป็นกันเองสักเท่าไร) ผมสังเกตุเห็นคนไทยนิยมแวะช้อปปิ้งที่ร้านขายกระเป๋า (โดยเฉพาะร้านที่ขายกระเป๋า anello) นอกจากในส่วนของตลาดแล้ว ยังมีห้างร้านรายรอบตัวตลาดอยู่เยอะมากเช่นกัน

หากใครไม่ขี้เกียจเดิน สามารถเดินไปถึงตึกม่วงเลยก็ได้นะ (หากไม่อยากเดินก็ขึ้นรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Naka-Okachimachi ออกทาง exit 3 สถานีจะอยู่ใกล้กับตึกม่วงเลยครับ)

เดินตลาดเสร็จแล้ว เวลาก็เย็นมากแล้ว ต้องรีบไปเช็คอินและอาบน้ำซะหน่อย (ออกจากบ้านมาสนามบินตั้งแต่บ่ายสองเมื่อวาน จนป่านนี้ยังไม่มีน้ำมาสัมผัสผิวเลย ฮาๆ)


โฮสเทลอยู่ใกล้กับสถานี Iriya รถไฟใต้ดินสาน Hibiya Line ห่างจากสถานี Ueno เพียง 1 สถานีเท่านั้น เมื่อเดินทางมาถึงสถานี Iriya แล้วให้เดินออก Exit No.4 แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ ประมาณ 1 กิโลเมตร จุดสังเกตุคือ โรงเรียนจะอยู่ทางด้านซ้ายมือ เมื่อเราเดินผ่านโรงเรียนมาแล้วให้เดินเลี้ยวซ้ายเข้าซอย และเลี้ยวขวาเข้าซอยเล็กๆ อีกทีก็จะถึงโฮสเทล (เปิด Google map แล้วเดินตามก็ได้) [สามารถอ่านรีวิวโฮสเทลได้ที่ 1 Night 1980 Hostel แคปซูลโฮสเทล]

ค่ำๆ ไม่รู้จะไปไหน เลยจะแวะไปช้อปปิ้งซะหน่อย นั่งรถไฟใต้ดินจากโฮสเทลไปที่สถานี Akihabara ย่านของคนรักการเล่นเกม ติดเกม และบ้าเกม


มาดึกไปหน่อย บางร้านปิดไฟไปแล้วเลยไม่ได้รูปที่อยากได้ ใครสาวกเกมมาที่นี้รับรองมีครบ (แต่มาเร็วๆ หน่อยนะจ๊ะ)

นอกจากเกมแล้วมีอย่างอื่นอีกไหม ก็มีครับ ร้านอาหารเด็ดๆ ก็มี ร้าน Sex Shop สาขาใหญ่ก็มีอยู่ระแวกนี้ด้วยฮ๊ะ ตั้งเด่นเป็นสง่า ตึกสีเขียวๆ นี้แหละ

ไม่รู้จะซื้ออะไร เราไม่ใช่คนเล่นเกม เลยเปลี่ยนไปเดินเล่นแถว Ginza ดีกว่า นั่งรถไฟใต้ดินสถานีเดิมนั่งย้อนกลับไปที่สถานี Ginza

ย่านนี้ขาช้อปไม่ควรพลาด เป็นย่านที่รวมห้างสรรสินค้าไว้เยอะเลยทีเดียว มาเที่ยวญี่ปุ่นวันแรกก็เสียตังค์กันเลย ในส่วนของราคานั้น ไม่ได้มีราคาถูกแต่อย่างใด แต่มีบางร้านที่ลดราคา บางร้านมีโปรโมชั่น ทำให้น่าช้อปปิ้งขึ้นมาหน่อย วันนี้ผมจบทริปไว้ที่ Ginza เดี๋ยวพรุ่งนี้มาลุยกันต่อ

DAY2

วันที่ 2 ตื่นตั้งแต่ตี 5 วันนี้มีแพลนไปหลายที่ ไม่รอช้าเริ่มที่แรกด้วยตลาดปลา เริ่มต้นจากสถานี Iriya ไปยังสถานี Tsukji พอมาถึงปุ๊บเดินไปทางออก Tsukiji Hongan-ji (จำไม่ได้ว่ามีประตูที่ออกใกล้ตลาดกว่านี้ไหม) เดินออกมาเรื่อยๆ เราจะเห็น Tsukiji Hongan-ji อยู่ทางซ้ายมือ (ตัวตึกจะขลังๆ ใหญ่ๆ อลังการ) พอเดินถึงทางแยก ก่อนข้ามถนนมองไปฝั่งตรงข้าม ให้สังเกตุว่ามี FamilyMart อยู่ตรงหัวมุมถนนไหม ถ้ามีแปลว่าเดินมาถูกทางแล้วจ้าาา เดินไปอีกนิดก็ถึงแล้ว

แพลนไว้ว่าอยากมาดูตอนเขาประมูลปลา แต่อ่านรีวิวมา หลายๆ ท่านบอกว่ามันต้องตื่นเช้ามาก ต้องนั่งแท็กซี่มา เพราะรถไฟใต้ดินยังไม่เปิด และต้องต่อคิวรับบัตรอะไรสักอย่าง เลยเปลี่ยนแผน มาหาอะไรกินและมาเดินดูตลาดอย่างเดียวก็ได้

ตลาดปลาที่นี่ขายอาหารทะเลทั้งสดและแห้ง สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกชอบที่นี้คือ ตลาดสะอาดมาก พื้นแห้งสนิท ไม่มีน้ำกระเด็นมาโดนเลย ไม่ต้องเดินหลบหลุม หลบน้ำขัง เรื่องกลิ่นคาวหรือกลิ่นเหม็น ผมยังไม่ได้กลิ่นนะ เรารู้สึกชอบตลาดแบบนี้ เพราะมันเดินง่ายดี

หลายคนคงคิดว่ามาตลาดปลาก็ต้องกินเมนูปลา เท่าที่ลองกินหลายๆ ร้าน หลายๆ เมนู ทั้งจากในตลาดปลาและจากร้านอื่นๆ ในโตเกียว ผมคิดว่าความอร่อยก็คล้ายๆ กันครับ จะกินที่ไหนก็ไม่ได้ต่างกันมาก ความสดก็ไม่ได้ต่างกับที่อื่นฮ๊ะ ราคาก็พอๆ กัน (ในตัวเมืองอาจจะแพงกว่าก็จริง) อ้อ บางร้านน้ำซุปคิดเงินด้วยนะ ถ้าไม่อยากเสียตังก็ไม่ต้องเพิ่มครับ ราคาน่าจะ 100YEN ไม่ค่อยอร่อยด้วย

ไปเที่ยวต่อเลยดีกว่า กลับมาที่สถานี Tsukji ขึ้นสายเดิมไปยังสถานี Kamiyocho เราจะไปโตเกียวทาวเวอร์กันนนน

พอมาถึงสถานี Kamiyocho เปิด Google Map แล้วเดินตามเลยฮ๊ะ (ชีวิตนี้มีกูเกิลนำทางตลอด) มันจะดูงงๆ หน่อย ผมก็ไม่ได้เตรียมแผนที่เป็นลายลักษณ์อักษรมาว่าจะเดินยังไง เพราะลองหาใน Google Map พบว่ามันมีครบทุกสถานที่ เดินไปเรื่อยๆ มองดูบนฟ้าถ้าเจอยอด Tokyo Tower แปลว่าเรามาถูกทางแล้ว

ใครใช้บัตร JCB สามารถขึ้นไปชมวิวที่ Observation Deck ได้ฟรีๆ แต่ทางเราไม่เข้า เพราะเสียเวลากับการหาของกินที่ตลาดปลานานมาก กลัวว่าแพลนวันนี้จะไม่ครบเลยตัดออกไปครับ (มีแพลนจะไปดูวิวที่ Roppongi อยู่แล้ว) เดินไปไม่ไกลจาก Tokyo Tower จะเจอกับวัด Zōjō-ji


เขาเล่าว่าที่วัดแห่งนี้มีเป็นที่ตั้งสุสานของโชกุนถึง 6 รุ่น หลายส่วนของวัดถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ ยกเว้นประตูทางเข้าหลักที่ถือได้ว่าเป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของวัด คนญี่ปุ่นส่วนมากนิยมมาเฉลิมฉลองและขอพรในวันปีใหม่ที่วัดแห่งนี้

เดินเล่นวัด Zojo ji จนทั่วแล้ว เราจะไปที่ Imperial Palace กันต่อครับ โดยกลับมาขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Kamiyocho นั่งไปสถานี Kasumigaseki สถานีเดียวแล้วเปลี่ยนสายรถไฟ ไปเป็นสาย Chiyoda Line (ออกจากสถานี Kasumigaseki แล้วมองหาสัญลักษณ์ วงกลมสีเขียวเข้ม มีอักษร C อยู่ด้านในวงกลม) นั่งไปสถานี Otemachi (Imperial Palace ไปได้หลายวิธี ลงได้หลายสถานี แต่ผมคิดว่าสถานี Otemachi เดินน้อยและใกล้ประตูทางเข้ามากที่สุด)

เดินขึ้นจากสถานี Otemachi ไปยังประตูทางเข้า Otemon Gatel (Google Map มีให้เห็นนะจ๊ะ) ประตูนี้จะเป็นทางเข้าไปในพระราชวังครับ เดินไปถึงหน้าประตูต้องตรวจกระเป๋า รับบัตรเข้า (ฟรี) เก็บบัตรให้ดีต้องส่งคืนตอนออก [อีกประตูจะสำหรับคนที่ต้องการไกด์นำเที่ยว จะมีเป็นรอบๆ เข้าฟรีเช่นกัน แต่ต้องต่อแถว เพราะฉะนั้นถ้าเห็นคนรับบัตรคิวแล้วต่อคิวยาวๆ แปลว่าเราเดินไปอีกประตูหนึ่ง ถ้าต้องการเที่ยวเองให้มาประตูนี้]

พระราชวังหลวงโตเกียว เป็นพระราชวังของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ภายในพระราชวังประกอบด้วยพระราชมนเทียรพระตำหนักของพระราชวงศ์ พิพิธภัณฑ์ในพระองค์, สำนักพระราชวัง, และพระราชอุทยานขนาดใหญ่ พระราชวังนี้แต่เดิมเป็นที่ตั้งของปราสาทเอะโดะ แต่พระราชวังเดิมถูกระเบิดทำลายลงไปมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ในปี ค.ศ. 1964 พระราชวังได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่

เดินเล่นสักพักใหญ่ๆ เดินไปเดินมาหาสะพานแว่นตาไม่เจอ (รู้เลยว่าทำการบ้านมาไม่แน่น) พอเปิด Map โอ้โห อยู่ด้านนอกจ้าไม่ได้อยู่ในนี้ เดินออกสิครับ วิธีจะไปสะพานแว่นตาก็เดินวนวังไปครับ (เดินวนวัง ศัพท์นี้ทำไมมันคุ้นๆ) ถ้าขี้เกียจเดินนั่งรถไฟใต้ดินไปก็ได้นะ นั่งไปลงสถานี Sakuradamon แต่ผมเดินไปครับ รอบๆ พระราชวังมีคนมาออกกำลังกายกันเยอะมากกกกก (เดินต้องระวังด้วยละ)

Nijubashi หรือสะพานแว่นตา จริงๆ ต้องถ่ายให้มันเป็นแว่นตา ให้สะพานมันมีเงากระทบผืนน้ำแล้วเป็นแว่นตาไง (ให้อภัยกับฝีมือถ่ายภาพอันไก่กาอาราเร่ของเราเถอะ)

สถานที่ต่อไปคือ ศาลเจ้า Meiji ผมเดินจากสะพานแว่นตา เดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Sakuradamon นั่งไปที่สถานี Yurakycho (ถัดไปเพียง 1 สถานี) ออกจากสถานี Yurakycho เดินเปลี่ยนสายรถไฟเป็น Chiyoda Line นั้นคือสถานี Hibiya (ใครเดินไหว สามารถเดินจากสะพานแว่นตามาถึงสถานี Hibiya เลยก็ได้นะ) แล้วก็นั่งไปที่สถานี Meiji-Jingumae เดินออกทางออกที่เขียนว่า Meiji Shrine (ย่านนี้คือ ย่านฮาราจูกุ เผื่อนึกกันไม่ออก)

พอเดินจากสถานีรถไฟแป๊บเดียวก็จะเห็นประตูไม้โทริอิ (Torii) ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ประตูนี้มีไว้เพื่อรู้ว่าได้เข้ามาถึงเขตศักดิ์สิทธิ์แล้ว

เดินตามทางเข้าไปเรื่อยๆ ก่อนถึงศาลเจ้า จะมีโซนร้านอาหารและขายของที่ระลึก

ศาลเจ้าเมจิ เป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโต สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1920 เพื่ออุทิศถวายแด่ดวงวิญญาณของสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ และสมเด็จพระจักรพรรดินีโชเก็ง พระพันปีหลวง พื้นที่ของศาลเจ้าเมจิถูกปกคลุมไปด้วยป่าดิบเขาเสมือนป่ากลางเมืองโตเกียว

วันที่ผมไปศาลเจ้ากำลังปรับปรุงจ้า มีผ้าใบมาปิดไว้เรียบร้อย (เศร้า)

ศาลเจ้าปิดปรับปรุงไม่เป็นไร โชคดีที่ได้เห็นพิธีแต่งงานที่มาจัดในศาลเจ้า เดินออกจากวัดแล้วแวะไปเดินเล่นต่อที่ย่านฮาราจูกุ ไม่ได้แพลนไว้ครับแต่เวลาแอบเหลือหน่อยๆ ลองกูเกิลดูเลยพบว่า มีแหล่งให้เดินเล่นให้ช้อปปิ้งเลยเยอะแยะเลย (เข้ามาทางไหน กลับออกทางเดิม หากออกอีกทางมันจะไปโผล่อีกที่เลยละครับ)



เดินออกมาจากศาลเจ้าเมจิข้ามถนนมาก็เดินเอามั่วๆ (โหดูเป็นคนไม่เตรียมตัวอะไรมาเลยอะ) ไปเดินที่ Takeshita Dori แล้วก็ไปต่อที่ย่าน Omotesando ย่านนี้ให้อารมณ์เหมือนกับ Orchard ที่สิงคโปร์ ไม่ก็แนวๆ Causeway Bay ที่ฮ่องกง แหล่งช้อปปิ้งเต็มสองข้างถนน ผู้คนเยอะแยะมากมาย

ผมเดินมาถึงย่าน Omotesando ก็ขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Omote-Sando สาย Ginza มาลงที่สถานี Shibuya

ออกจากสถานีมาทักทายกับ Hachiko ก่อนเลยฮ๊ะ (วันก่อนเห็นมีแมวมานั่งด้วย เราอยากเจอแมววววว)

ชิบูย่า ก็มีห้างและแหล่งช้อปปิ้งเหมือนหลายๆ ที่ที่ไปมาก่อนแล้วฮ๊ะ แต่มีอีกอย่างที่ต้องมาคือ มาเดินข้ามแยกชิบูย่า (เฮ้ยยย สาระมากจริงๆ) ใครอยากถ่ายรูปคนวุ่นวายพลุกพล่านกำลังข้ามถนน ไปที่ตึก Tsutaya เข้าไปที่ร้าน Starbuck ซื้อกาแฟหรือเครื่องดื่ม ดื่มให้ใจร่มๆ ก่อน แล้วหามุมดีๆ ถ่ายรูปนะจ๊ะ (สำหรับเรา เราหิว เราเลยไปหาของกิน)

พอเริ่มค่ำอยากไปโอไดบะขึ้นมาทันที อยากไปถ่ายรูปสะพานสายรุ้ง เราจะนั่งรถไฟใต้ดินสถานี Shibuya ไปที่สถานี Shimbashi พอถึงแล้วออกมา มองหาป้าย Yurikamome Line (ดูโลโก้ในรูปนะ)

เดินไปขึ้นรถไฟสาย Yurikamome ชื่อสถานีคือ Shimbashi (Yurikamome Line ไม่สามารถใช้บัตร Subway Pass ได้นะ ต้องซื้อตั๋วใหม่เท่านั้น)

วิธีซื้อบัตรง่ายๆ ดูราคาสถานีที่เราจะไป > กดเปลี่ยนภาษา > กดจำนวนคน > กดเลือกราคา > หยอดเหรียญ > รับบัตร

นั่งจากสถานี Shimbashi ไปยัง Odaiba-Kaihinkoen เดินออกจากสถานีมาแล้ว ให้เดินไปข้างหน้าตามเส้นทางรถไฟฟ้าไปนะครับ มันจะมีทางขึ้น Walk Way เดินไปจนถึง Palette Town ทีมีชิงช้าสวรรค์เลยละฮ๊ะ

มาถึงก็มืดแล้วละ ถ้ามาเย็นๆ จะมีร้านอาหารเปิดให้บริการบนสนามหญ้าหน้าชิงช้าสวรรค์นี้แหละ (ผมมาเขาก็ปิดกันหมดแล้วไง) อยู่ตรงนี้แป๊บดียวก็พอ เดินไป Diver City กันต่อ (ห้างที่มีกันดั้มตัวใหญ่ๆ นั้นแหละ แต่ตอนนี้มันไม่อยู่แล้ว ต้องรอหน่อยนะ เพราะตัวใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมกำลังจะมาแทนที่) ในห้างมีร้านขายของฝากเป็นพวกขนมจากโอไดบะ ชีสเค้กอร่อยมากกกกกก อยากให้ซื้อกลับไปจริงๆ (กินหมด ไม่มีรูปถ่ายไว้ดูต่างหน้าเลย)

เดินออกจาก Diver CIty ข้ามถนนไปเจอ Fuji TV ตึกใหญ่ๆ มีลูกกลมๆ กลางตึกนั้นแหละ (มันมืดงะ เลยไม่ถ่าย) ข้ามถนนไปเรื่อยๆ จะมาเจอสวนเพื่อมาถ่ายรูปสะพานสายรุ้งกัน วันนี้ทริปแน่นมาก เดินจนเมื่อยขา พอถ่ายรูปสะพานสายรุ้งได้แล้ว ไม่เดินไปไหนแล้วฮะ กลับโฮสเทลโลดดดดดดดดด เพราะพรุ่งนี้มีออกไปนอกเมือง

DAY3

วันนี้ออกนอกเมืองหน่อยครับ ไปเมือง Kamakura แพลนไว้ว่าจะลองไปแค่ครึ่งวัน (ขอบอกเลยว่า อย่าแพลนไปครึ่งวัน ต้องแพลนไปทั้งวัน เพราะสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ซึ่งเราพลาดมากจริงๆ) เริ่มต้นการเดินทางด้วยการเปิด Hyperdia.com แล้วลองหาดูว่ารถไฟไป Kamakura แบบต่อเดียวมีเวลาไหนบ้าง


นั่งรถไฟใต้ดินไปยังสถานี Tokyo แล้วเดินไปยังสถานี JR Tokyo ซื้อตั่วจากสถานี JR Tokyo ไปยัง Kamakura ในราคา 920 YEN

วิธีซื้อตั๋ว JR คือ ดูราคาบนแผนที่หรือดูใน Hyperdia > กดเปลี่ยนภาษา > กดเลือกจำนวนคน > กดราคา > ใส่เงิน > รับบัตร จากนั้นก็เดินเข้าไปในสถานี JR มองหาป้าย Yokosuka Line เดินไปจนถึงชานชาลา

พอเดินลงมาที่ชานชาลาแล้ว จะขึ้นรถไฟขบวนไหน อันนี้วิธีผมนะ ใน Hyperdia มันจะมีบอกหมดเลยครับว่าต้องขึ้น Track ไหน เวลาเท่าไร (ซึ่งตรงมาก) Hyperdia ขึ้นมาว่า รถออกเวลา 7.12am Track 1 แล้วมาเช็คที่ป้ายด้านบนอีกที ว่าเวลากับ Track ตรงกันไหม แล้วก็ไปยืนรอเลยครับ

เพื่อความชัวร์ว่าจะขึ้นไม่ผิด (เพราะชานชาลาเดียวกันก็มีหลายขบวนผ่านไปผ่านมา) ดูข้างๆ ตู้รถไฟ จะเขียนไว้เลยว่า for ZUSHI หรือเปล่า ถ้าใช่ขึ้นเลย (ผู้ชายอย่าขึ้นตู้ Lady นะย๊ะ) ที่นั่งเป็นเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเรา ไม่ได้ระบุไว้ (เพราะไม่ได้ซื้อตั๋วแบบจองที่นั่ง) นั่งไปยาวๆ ประมาณ 50 นาที ก็จะถึงสถานี Kamakura เลย

แพลนเที่ยว Kamakura ของผมมีแค่ 3 สถานีเท่านั้น (อย่าลืมนะว่า ใครจะมาเที่ยว ใช้เวลาทั้งวันไปเลย ที่เที่ยวเยอะมากกกกกกก และสำหรับใครเที่ยวทั้งวันซื้อ Kamakura Pass ไปเลยครับ)

เมื่อมาถึงสถานี Kamakura แล้ว ไม่ต้องไปไหนก่อน มาที่ศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu มีป้ายบอกทางจากสถานี JR Kamakura ไว้แล้ว ไม่หลงแน่นอน

จากสถานีรถไฟมายังศาลเจ้าไกลพอสมควรนะครับ แต่ช่วงเช้าอากาศกำลังสบาย ไม่เหนื่อย ไม่ร้อน (แต่หิว) ตัววัดใหญ่มากครับ เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ ก่อนเข้าถึงตัวศาลเจ้ามีร้านอาหารขายตามข้างทางด้วยนะ (มาเช้าเกินไปอีกแล้ว ร้านค้ายังไม่ทันจะเปิดเลย)


ศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu เป็นศาลเจ้าชินโตที่สำคัญของเมือง Kamakura ถูกสร้างในปี ค.ศ.1063 โดยนักรบ Minamoto Yoriyoshi ต่อมามีการขยายให้ใหญ่ขึ้นและย้ายมาอยู่ในเมือง Kamakura โดยโชกุน Minamoto Yoritomo ซึ่งจุดประสงค์ของการสร้างศาลเจ้าฯ ก็เพื่ออุทิศให้กับเทพเจ้าการสู้รบและเหล่าซามูไรในตระกูล Minamoto ตัวอาคารหลักของศาลเจ้าตั้งอยู่บนเนิน ต้องเดินขึ้นบันไดไปด้านบน ในศาลเจ้ามีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บมีดดาบ หน้ากาก เอกสาร และ ของเก่าไว้มากมาย

เดินศาลเจ้าเสร็จแล้วมาต่อที่ Komachi-dori เป็นทางเดินกลับสถานีรถไฟ ร้านค้ายังไม่เปิดเช่นเคย เพราะเรามาเช้าเกินไป (ร้านเริ่มเปิดเวลาประมาณ 9 โมงกว่าๆ)

พอกลับมาที่สถานี Kamakura เราจะไม่เข้าไปที่สถานี JR นะ แต่เราต้องไปรถไฟท้องถิ่นของที่นี้ (ทางเข้ามันใกล้ๆ กัน) ไปที่แรกก่อนเลย Enoshima Island (วิธีซื้อตั๋วเหมือนกับการซื้อตั๋ว JR ลองเลื่อนขึ้นไปดูใหม่นะครับ)

เดินออกจากสถานีแล้วเลี้ยวซ้ายจะมีซอยให้เดินไปเรื่อยๆ ระหว่างทางมีร้านค้า ร้านอาหารเยอะแยะเต็มไปหมด

วิธีไปเกาะ Enoshima มี 2 วิธีคือ 1. เดินข้ามไป จะมีสะพานเป็นทางเดินยาวๆ ไห้ข้ามไปด้านหน้าเกาะ ไม่เสียเงิน แถมได้สุขภาพที่ดี และ 2. นั่งเรือข้ามไป เรือจะไปท้ายเกาะตามรูปสุดท้าย เสียค่าบริการด้วยนะ ซึ่งในอดีตเล่ากันว่า สมัยที่ยังไม่มีสพานชาวบ้านจะต้องรอให้น้ำทะเลลดลงซะก่อน จึงจะมีทางเดินขึ้นมาและสามารถเดินข้ามไปเกาะได้

นี้ไงทางขึ้นไปศาลจ้า สองข้างทางก็ยังขายอาหารเหมือนเดิมฮ๊ะ (อาหารทะเลเยอะมากนะ) การเดินขึ้นเขาที่นี้มี 2 วิธีนั้นก็คือ เดินขึ้นปกตินี้แหละ แต่หากใครรู้สึกเมื่อยขา ไม่อยากเดินเยอะ ก็สามารถใช้บริการบันไดเลื่อนตามจุดต่างๆ ได้ (เสียเงินนะสิ)

ศาลเจ้า Enoshima Jinja เป็นที่ประดิษฐานของเทพแห่งโชคลาภประจำเกาะแห่งนี้ ภายในศาลเจ้าแห่งนี้ยังแบ่งออกเป็นอีก 3 ศาลเล็ก แยกอยู่ทั่วทั้งเกาะ

เดินขึ้นมาอีกสักระยะจะเจอกับ ศาลเจ้า Hetsu no Miya คนญี่ปุ่นนิยมเดินลอดผ่านห่วงด้านหน้า (ห่วงสีเขียวๆ) เพื่อโชคลาภ


แต่ละจุดพัก ก็จะมีศาลเจ้าให้สักการะบูชา ถามว่าเดินขึ้นเหนื่อยไหม ก็ไม่นะ เดินเรื่อยๆ แต่คงไม่เหมาะกับคนที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงหรือคนที่ขามีปัญหา (ไปใช้บริการบันไดเลื่อนก็ได้)


มาเกาะก็ต้องมาดูวิวทะเลด้วย

ด้านบนเขามีร้านอาหารให้บริการ ใครอยากชมวิวก็สามารถเสียตังขึ้นไปหอคอยเพื่อชมวิวแบบ 360 องศาก็ได้ครับ (ไม่เข้าอีกแล้ว สาเหตุเพราะเสียตังค์) ขาลงแอบส่องคนที่กำลังเดินมายัง Enoshima คนเยอะมากกกกกกกก

ใครมาได้จังหวะดีๆ (ซึ่งจังหวะดีๆ มันคือตอนไหน) ก็จะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิด้วยนะฮ๊าาาา (นี้พยายามปรับให้เห็นสุดๆ แล้ว)

ยังมีกิจกรรมอีกเยอะที่เกาะแห่งนี้ (แต่เรารีบบบบบ) นั่งรถไฟกลับไปที่สถานี Hase เพื่อไปวัดพระใหญ่ที่วัดโคโตคุอิน (Kotokuin Temple)

ออกจากสถานี Hase ก็เดินไปยาวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ตามป้ายไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึง ทีนี้เสียค่าผ่านทางฮ๊ะ (กี่บาทจำไม่ได้แล้ว)

จากหลักฐานพบว่าพระใหญ่ไดบุตซึสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1252 ในตอนแรกนั้นพระใหญ่ตั้งอยู่ในห้องโถงของวัด แต่ตัววัดได้รับความเสียหายจากพายุและแผ่นดินไหวหลายครั้ง จนในที่สุดไม่มีตัวอาคารของวัด พระใหญ่ไดบุตซึจึงได้ตั้งอยู่กลางแจ้ง พระใหญ่ไดบุตซึสร้างจากสำริดและทองแดง ที่เห็นองค์พระเป็นสีเขียวเป็นเพราะว่าเกิดปฏิกริยาทางเคมีเกิดออกไซด์ของโลหะที่สะสมมาเป็นเวลานานจนองค์พระเป็นสีเขียว

ใต้พระใหญ่มีทางให้เดินลงไปด้วยนะ (เสียตังค์ด้วย ทำไมเสียตังค์เยอะจัง ฮาๆๆ) แวะพักที่วัดนี้สักพักใหญ่ๆ ก็ได้เวลากลับไปโตเกียว ผมเสียดายมากที่เที่ยว Kamakura ไม่ครบ ระหว่างทางมาวัดนี้ก็ยังมีอีกหลายๆ สถานที่ที่ควรแวะไปเที่ยว และยังมีอีกหลายแห่งในเมือง Kamakura ที่ควรจะต้องไป แต่ผมไม่ได้ไปเพราะดันแพลนมาแบบเร่งรีบ (เสียดายจุง)

บ่ายๆ ผมตั้งใจเดินทางกลับโตเกียวโดยรถไฟ JR จากสถานี Kamakura ไปยังสถานี Shinjuku ผมเปิด Hyperdia เช็คดูว่าจะไป Shinjuku ได้ด้วยรถไฟขบวนไหนบ้าง เลยเลือกรถที่กำลังจะถึงต้องซึ่งนั่งสองต่อ ต่อแรกนั่งจาก Kamakura ไปลงที่สถานี Ofuna แล้วไปเปลี่ยน Track และ Line ที่สถานีนั้น ผมนั่งรอสักพักใหญ่ๆ ไม่มีรถไฟจอดชานชาลานั้นเลย (เอาแล้ว เหงี่อแตก อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้) วิธีแก้ปัญหาง่ายๆ คือ ผมเปลี่ยนไปลงสถานี Tokyo แทน เปิด Hyperdia อีกครั้ง แล้วหารถไฟจากสถานี Ofuna ไปยังสถานี Tokyo แล้วค่อยนั่งรถไฟใต้ดินไป Shinjuku (เฮ้อ จริงๆ ก็นั่งสายเดิมกลับจาก Kamakura มา Tokyo ก็จบเรื่องแล้ว ใครพอทราบว่าจะมา Shinjuku ยังไงก็แนะนำด้วยครับ)

หลังจากที่งงกับการเปลี่ยนสายรถไฟอยู่นาน ก็มาถึง Shinjuku ซะที คนพลุกพล่านเป็นปกติ

แวะไป Say Hi! กับก็อตซิลล่าที่ถนน Central Road ย่าน Kabukicho

ย่านคาบูกิโจเป็นแหล่งเอ็นเตอร์เทนเมนท์ใหญ่ที่สุดในโตเกียว (เขาบอกมาแบบนั้น) เดินเข้าไปในซอยคนเดียว เดินมั่วๆ เข้าซอยนู้นออกตรอกนี้ โดนจนได้ โดนคนมาเรียกเข้าร้าน พูดภาษาญี่ปุ่นรัวๆ ใส่เลย มีทำท่าทางให้ดูด้วย เราไม่เข้าก็เดินตามมาเลยจ้า อื้อหือออ (เกือบเสียตังค์ซะแล้ว)

DAY4

เริ่มต้นเช้าวันที่ 4 ด้วยการนั่งรถไฟออกนอกเมืองอีกแล้ว วันนี้ผมจะไปที่ Kawagoe โดยเริ่มต้นการเดินทางที่สถานี Ikebukuro มาถึงแล้วก็หารถไฟสาย Tobu Line (ดู logo จากภาพนะครับ)

จะไปเที่ยว Kawagoe ควรใช้เวลาเท่าไร ซื้อตั๋วยังไง ผมแนะนำว่าควรใช้เวลาทั้งวันและซื้อ Kawagoe Pass ไปเลย (รวมค่ารถไฟและรถนำเที่ยว) คุ้มมาก แต่ผมไม่ได้ใช้บริการ เพราะจะเที่ยวแค่ครึ่งวัน (น่าเสียดายมาก ไม่น่าแพลนมาแค่ครึ่งวันเลย)

ตั๋วแบบเที่ยวเดียวก็ซื้อเหมือนกับรถไฟสายอื่นๆ แต่หากจะซื้อ Kawagoe Pass ติดต่อที่ Information เวลาจะเข้า-ออกสถานีใชัวิธีโชว์ให้พนักงานดูนะจ๊ะ

เมื่อมาถึงสถานี Kawagoe แล้ว ใครอยากได้แผนที่ มีข้อสงสัยแวะที่ Tourist Information Office ได้เลยครับ ทริปนี้ผมไม่ง้อรถบัส ผมเดินเอาอย่างเดียว (ควรง้อขาตัวเองบ้าง)


บ้านเมืองที่นี่น่ารักดี บ้านหลังเล็กๆ ถนนเล็กๆ รถน้อยๆ ชาวบ้านปั่นจักรยาน โซนเมืองเก่ากับโซนวันอยู่ห่างกันพอสมควรครับ ถ้าใช้พาสแล้วนั่งบัสมาจะสะดวกกว่า (ไม่เมื่อยด้วย) ย่านนี้วัดและศาลเจ้าอยู่ไม่ไกลกันมาก

เดินเล่นไป 2 ศาลเจ้า เดินมาอีกสักระยะหนึ่งก็จะถึงวัด Kitain

วัดคิตาอิน (Kita-in Temple) เป็นวัดพุทธนิกายเทนได สร้างโดยพระ Ennin ในสมัยเฮอัน (Heian) วัดแห่งนี้เคยถูกไฟไหม้จนทำลายตัววัดเกือบทั้งหมด ในช่วงที่มีการซ่อมแซมวัด โชกุน Tokugawa ได้มีคำสั่งให้นำส่วนหนึ่งของปราสาทเอโดะย้ายไปยังวัดคิตาอิน เพื่อช่วยให้ตัววัดเสร็จสมบูรณ์เร็วขึ้น ภายในวัดยังมีรูปปั้นพระพุทธรูป Gohyaku Rakan ที่มีมากถึง 540 องค์ แต่ละองค์มีใบหน้าที่ไม่ซ้ำกัน

ติดกับวัด Kitain ก็จะเป็นวัด Naritasan Kawagoe Betsuin เป็นวัดขนาดเล็ก

จากวัดนี้ผมเดินไปย่านเมืองเก่า ระยะทางไกลพอสมควร วิธีเดินไปก็เช่นเคยเปิด Google Map ค้นหา Kurazukuri Street หรือ Toki no Kane แล้วก็เดินตามไปเลย


สองข้างทางของ Kurazukuri Street ยังคงกลิ่นอายของความเก่าแก่สมัยเอโดะ ซึ่งอาคารเหล่านี้เคยเป็นโกดังมาก่อน ปัจจุบันก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของอาคารไว้ แม้ว่าจะถูกดัดแปลงให้เป็นร้านค้าต่างๆ ก็ตาม

เดินไม่นานก็จะเจอหอระฆัง (Toki no Kane) ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง Kawagoe ซึ่งหอระฆังแห่งนี้ใช้ตีบอกเวลาในสมัยเอโดะ แต่ไม่ใช่หอระฆังเวอร์ชั่นออริจินัลนะครับ หอระฆังถูกสร้างขึ้นมาใหม่เป็นเวอร์ชั่นที่ 4 แทนของเดิมที่ถูกไฟไหม้

เดินทางกลับไปยังสถานีรถไฟ Kawagoe ระหว่างทางยังมีศาลเจ้าให้แวะอีกหลายแห่ง

เดินเลยจากตรงนี้ไปหน่อยก็จะเจอ CREA MALL แหล่งช้อปปิ้งของ Kawagoe ใกล้สถานีรถไฟอีกด้วย

ถึงเวลากลับ Tokyo แล้ววว มีเวลาแค่ครึ่งวันก็สามารถเที่ยว Kawagoe ได้ (แต่ไม่ครบ) ช่วงบ่ายผมมีไปซื้อของในตัวเมืองโตเกียวครับ ผมแพลนว่าจะไปดูวิวที่ Roppongi ตอนกลางคืน แต่อดไปเพราะฝนตกหนักมาก เกรงว่าการไปดูวิวขณะที่ฝนตกหนักคงจะเห็นอะไรไม่ชัดเจนบวกกับเหนื่อยและเมื่อยเลยยกเลิกไป

หมดทริปเที่ยวโตเกียวเพียงเท่านี้ และกลับกรุงเทพฯ ในวันถัดไป (เดินทางกลับตั้งแต่ 10.30 น ไปต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์เช่นเคย และถึงกรุงเทพฯ ในเวลา 20.00 น เป็นการเดินทางที่ใช้เวลา 1 วันเลยทีเดียว)

รวมๆ แล้วแม้ว่าจะเที่ยวได้เกือบครบทุกที่ แต่อาจจะไม่เต็มที่กับทุกสถานที่เนื่องจากผมมีเวลาที่โตเกียวแค่ 4 วัน เลยอยากจะเก็บสถานที่หลักๆ ให้ครบ (ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง) ผมถือว่าโอเคมากสำหรับผม แต่มาครั้งหน้า จะจัดแพลนหลวมๆ ใช้เวลาทั้งวัน (รับรองว่าจะไม่พลาดอีกแน่ๆ) เพราะทุกสถานที่ในญี่ปุ่นสามารถเที่ยวได้หมด ไม่ว่าจะฤดูไหน เวลาอะไร หรือเมืองไหนก็ตาม

สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ไม่รวมช้อปปิ้งและค่าอาหาร/ราคาโดยประมาณ)

  • ค่าเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ-นาริตะ โดยสายการบิน Malaysia Airline : 8,9xx บาท
  • ค่าโฮสเทล 1 Night 1980 Hostel : 2,9xx บาท
  • ค่า Skyliner + 72hr Subway Pass : 1,7xx บาท
  • ค่า 48hr Subway Pass : 180 บาท
  • ค่า Sim2Fly : 399 บาท
  • ค่าตั๋วรถไฟไป-กลับ Odaiba (320+320 YEN) : 250 บาท
  • ค่าตั๋วรถไฟไป-กลับ Kamakura (920+920 YEN) : 580 บาท
  • ค่าตั๋วรถไฟภายใน Kamakura : 200 บาท
  • ค่าตั๋วรถไฟไป-กลับ Kawagoe (470+470 YEN) : 280 บาท
  • ค่าเข้าชมสถานที่/ค่าผ่านทาง/ค่าอื่นๆ : 300 บาท
  • ค่าอาหาร ของฝาก และช้อปปิ้ง : ล้มละลายยยยยยยย

ติดตามรีวิวท่องเที่ยวและพูดคุยกันได้ที่ : Fanpage เที่ยวคนเดียวต้องสตรอง

ความคิดเห็น