เป็นทริปที่วางแผนและเตรียมการภายในเวลาไม่ถึงอาทิตย์เพราะสิ่งที่เราอยากทำมันมีอยู่ในหัวนานมากละ ซึ่งจุดหมายก็ไปบ่อยจนคุ้นเคย

แต่ด้วยเวลาที่กระชั้นชิดสิ่งที่ยากสำหรับเราตอนนี้กลายเป็นสมาชิกที่จะร่วมเดินทางกับเรา เพราะส่วนใหญ่จะมีนัดล่วงหน้ากันแล้ว และก็มีหลายคนก็ยังคงไม่เข้าใจกับสิ่งที่เราจะไปและจะทำ

แต่เราก็ไม่ว่ากันเพราะมีแค่ไหน เราก็จะไปกันแค่นั้น เริ่มทำสิ่งเล็กๆ ให้การเดินทางไม่ใช่แค่ไปสนุกเท่านั้น

สมาชิกพร้อม ทุกอย่างก็เตรียมการเรียบร้อย ถึงเวลาก็ลุยกันเลย เช้าวันเสาร์เรานัดกัน 8 โมงที่อนุสาวรีย์ เพิ่อขึ้นรถตู้โดยสารมุ่งหน้าสู่เกาะลอย


แต่คนบ้านไกลอย่างเราต้องตื่นตี4ครึ่ง เผื่อเวลาดีที่สุด จัดแจงแต่งตัวและออกจากบ้านมาต่อรถตู้ ตรงพระจอมเกล้าลาดกระบังตอน 6 โมงครึ่ง

ถึงสาวรีย์ 7 โมงกว่า เร็วกว่าที่คิด ก็เลยหาร้านกินข้าวกันก่อนเดินไปวินรถตู้ กินง่ายๆ ร้านข้างทาง ข้าวมันไก่คนละจาน

อย่าถามนะว่าร้านไหน แนะนำว่าอย่าไปลองจะดีที่สุด รสชาติอาจจะดีก็ได้เพราะคนก็แน่นร้านนะ แต่คงไม่ตรงจริตลิ้นเรา 3 คนเองแหละมั้ง


สมาชิกมาครบ 7 คนตามเวลานัดหมาย อ้อ! ตอนไปซื้อตั๋วพี่ที่ขายตั๋วบอกเราว่าถ้ารถติด รถเยอะ คงจะไม่เข้าไปส่งที่ท่าเรือเกาะลอยนะ เผลอๆ อาจจะส่งแค่ที่โรบินสันศรีราชา (ทำได้เพียงยิ้มอ่อนๆ ไร้การตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะปกติแรกๆ ไปส่ง แต่หลังๆ กลับไม่ค่อยเข้าไปส่งละ)


ตอนนี้เราทำได้เพียงรอเวลา คุยกันบ้างบ่นกันบ้าง รสชาติชีวิตการเดินทางเนอะ และเราก็ไม่ได้รีบเท่าไร พอ 9 โมง รถเข้ามาที่อู่ เราวิ่งขึ้นรถกันด้วยความเร็วไวกว่าแสง (ก็กลัวจะไม่ได้นั่งด้วยกัน ^^) แต่กว่าจะออกจากสาวรีย์ได้ก็ 9 โมงครึ่ง เพราะรถติดมากๆ จนลุงคนขับเริ่มบ่น

แล้วก็ตะโกนถามเราว่าลงที่ไหนกันบ้าง กลุ่มเราบอกเกาะลอยค่ะ ลุงเงียบไปพักนึง เราก็พยายามบอกว่าตั้ง 7 คนนะลุง

แล้วก็มีอีก 2 คนข้างหลังบอกลงด้วย ลุงก็เลยบอกเดี๋ยวไปส่งก็ได้ สบายละไม่ต้องต่อรถให่ยุ่งยาก


รถวิ่งเส้นมอเตอร์เวย์ ไปได้สักระยะ ผ่านเทคโนลาดกระบังไปไม่ไกล แดดเริ่มแรง ตาเริ่มค่อยๆ ปิดลงปิดลง กำลังเคลิ้มก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะลุงคนขับบอกทุกคนว่า เปลี่ยนเส้นทางนะครับเพราะมอเตอร์เวย์ข้างหน้ามีรถคว่ำ จะวิ่งเข้าชลบุรีก่อน แล้ววิ่งบายพาสกลับมาศรีราชา



ครับ!! เสียงตอบรับจากหนึ่งสมาชิกเรา รถวิ่งขึ้นทางข้างบน วิ่งลงข้างล่าง เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หลายคนหลับหัวโอนเอนไปตามแรงรถ แต่พอจะเข้าเส้นศรีราชารถเยอะและเริ่มติด แต่บรรยากาศภายในรถกลับเฮฮาเพราะลุงคนขับอารมณ์ดีเกิ้น แซวคนโน้นคนนี้ไปทั่ว ทำให้ผู้โดยสารอย่างเราหัวเราะครื้นเครงไปด้วย


ลุงขับมาส่งเราถึงท่าเรือเกาะลอย ลงรถปุ๊บก็รีบไปดูตั๋วเรือข้ามฝั่งเพราะมีรอบเที่ยงพอดี อีก10นาทีเรือจะออกแล้วแต่ที่นั่งบนเรือเต็ม รอบต่อไปก็รออีก 1 ชั่วโมงแหนะ พี่ที่ขายตั๋วอยู่ หันมาเห็นเรา (แฟนลุงอุ๊เจ้าของบุญศรีโฮมสเตย์ ที่ที่เรามาพักบ่อยๆ) ก็เลยจัดที่นั่งพิเศษให้มานั่งกับลุงคนขับเรือเลย (ปกติไม่ให้นั่ง) พื้นที่กว้างขวงพอที่จะให้พวกเรา 9 คน นั่งอย่างสบาย (เจอที่ท่าเรือเกาะลอยอีก 2 คน) เราชวนลุงคุยไปเรื่อยรู้ตัวอีกทีก็มาถึงเกาะสีชังอย่างรวดเร็ว พอเรือจอด ท่าเรือก็วุ่นวายไปด้วยผู้คนที่มาเที่ยวและคนขายของ ใครติดต่อรถไว้ก็ไปก่อน ใครยังไม่มีก็สามารถเช่ารถที่นี่ได้เลย มีทั้ง มอเตอร์ไซด์ สองแถวและสกายแลป

กลุ่มเราติดต่อรถไว้เรียบร้อย แต่ก็แวะถ่ายรูปและรอให้ผู้คนไปกันจนหมดละ รถสกายแลปของเรา 2 คันก็มุ่งหน้าสู่ที่พัก บ้านเพื่อนสีชัง หลังจากเก็บของเข้าที่พักแล้ว ก็เดินมากินข้าวเที่ยงที่ร้านตามสั่งใกล้ๆที่พัก ร้านเล็กๆ เพราะบ่ายมากแล้วทุกคนเริ่มหิว และจะหมดแรง หลายครั้งที่มาก็ผ่านร้านนี้แต่ไม่เคยแวะเลย แต่หลังจากครั้งนี้ต่อไปคงเป็นร้านประจำแน่ๆ หมูกรอบเด็ด!!! กุ้ง ปลาหมึกก็ตัวสมราคา ข้าวตักแบบพูนจานเลย อิ่ม แรงก็มาละ พร้อมตะลุยเที่ยวต่อได้



เริ่มด้วยไปไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่ (วัดจุฑาทิศธรรมสภารามวรมหาวิหาร) ที่ต้องเดินบันได้ขึ้นไป แต่ข้างๆ ก็มีรถรางขนาดเล็กไว้บริการสำหรับคนที่เดินขึ้นไม่ไหว หยอดเงินใส่กล่องตามศรัทธาได้เลย ระหว่างทางบันไดที่จะขึ้นไปเจ้าพ่อเขาใหญ่ จะมีทางแยกซ้ายมือสามารถเดินขึ้นไปยอดพระจุลจอมเกล้า ซึ่งมีรอยพระพุทธบาทจำลอง ใครฟิตลองเดินทางนี้ได้เลย เพราะป้ายบอกระยะทางไว้ 268 เมตร แต่เราขอนั่งสกายแลปขึ้นไปละกัน



จากตรงนี้เราจะมองเห็นวิวเกาะสีชังมุมสูงและกว้างมาก เพลิดเพลินกันอยู่พักใหญ่


เราก็มาต่อที่พระจุฑาธุชราชฐาน พระราชวังที่ประทับในฤดูร้อนของรัชการที่ 5 มีสถานที่สำคัญอยู่ในนี้หลายแห่งด้วยกัน อย่างสะพานอัษฎางค์

จุดที่ใครๆ ก็มาถ่ายรูปโดยเฉพาะคู่รักที่กำลังจะแต่งงาน ก็มักกจะมาถ่ายรูป พรีเวดดิ้งกันที่นี่ จนทำให้ที่นี่รายล้อมไปด้วยความรัก และที่นี่ยังเต็มไปด้วยต้นลีลาวดีรูปทรงต่างๆ ที่ออกดอกทั้งสีขาวและสีชมพู



วันที่เราไปน้ำลดลงไปเยอะมากเห็นโขดหินที่เต็มไปด้วยหอยนางรม มีผู้คนลงไปหากันอยู่พอสมควร เราก็เลยลงไปเดินดูใกล้ๆ ปรากฎว่าเขาหาหอยตาวัวที่แทรกตัวอยู่ตามซอกหินหอยนางรมที่เหลือแต่เปลือก เราก็พยายามมองหานะ ในที่สุดก็เจอ เอามือล้วงเข้าไป โดนเปลือกหอยนางรมบาดเลือดไหลหายซ่าไปเลย พวกเราก็ใช้เวลาอยู่ที่นี่จนถึง 5 โมงครึ่งกว่าๆ



แล้วก็ตกลงกันว่านั่งรถไปรอดูพระอาทิตย์ตกที่ช่องเขาขาด (ช่องอิศริยาภาณ์) ทุกคนเพลิดเพลิน ถ่ายรูปจนแสงสุดท้ายหายลับขอบฟ้าไป แต่พอขึ้นรถจะกลับที่พัก ก็แวะสั่งมื้อเย็นที่ร้านป้าหน่อย อาหารทะลจัดมาจุดใหญ่ แต่คนเยอะมาก เราก็เลยสั่งให้เขามาส่งที่พัก

หลายคนอาบน้ำรอ เพราะอาหารมาช้า แต่แล้วเราก็ขนของไปกินที่โฮมสเตย์ลุงอุ๊ (ที่มีบ้านต้นไม้) กินไปคุยไป เกือบห้าทุ่มพวกเราก็เดินกลับมาที่พักแยกย้ายกันเข้านอน

เช้าวันอาทิตย์เราทยอยตื่นอาบน้ำกันตั้งแต่ตี 5 เพราะรถจะมารับเราตอน 6 โมงเช้า ไปที่ช่องเขาขาด ที่ที่พวกเราตั้งใจมาเก็บขยะ


หลังจากแจกอุปกรณ์แล้วเราก็เดินไปจนสุดแล้วก็ค่อยๆ เดินเก็บขยะมาเรื่อยๆ จนถึงสะพานวชิราวุธดีที่วันนี้แดดไม่แรง ทำให้เราเก็บกันไปได้เรื่อยๆ จนเกือบ 9 โมง เราก็เดินกลับมาหาข้าวเช้ากินแถวๆ ที่พัก มีโจ๊กและต้มเลือดหมู


พอ 9 โมงครึ่งรถสกายแลปก็มารับเราไปลงท่าเรือล่าง เพื่อลงเรือไปเที่ยวรอบเกาะ และเก็บยะ พอลงไปได้สักพักก็มีคนออกอาการเมาเรือ

เพราะคลื่นตรงนี้แรงมาก แต่วิวที่เราเห็นก็แปลกตาไปจากเดิมจากทุกครั้งที่เรามา


พอเรือไปจนถึงหลังเกาะ แถวท่ายายทิม ห่างออกไปไม่ไกลจะเป็นเกาะค้างคาว เวลาน้ำลดสามารถเดินข้ามจากท่ายายทิมไปเกาะค้างคาวได้

(อันนี้ยังไม่เคยเห็นกับตาตัวเองต้องกลับมาอีกแน่ๆ) กว่าเราจะขึ้นฝั่งอีกทีก็จะเที่ยงละ ยังจะเดินเล่นตลาด ช้อบปิ้งของกินกันอยู่พักใหญ่

แล้วก็เดินกลับที่พัก มาอาบน้ำ และกินข้าวเที่ยงก่อนที่รถจะมารับช่วงบ่ายสองกว่าละ



ถึงท่าเรือก็เลยต้องรอรอบบ่ายสาม แต่ถ้าเต็มก็ออกก่อนเวลา พอบ่ายสองกว่าเรือก็ออกละ หลายคนหลับ หลายคนก็ยังคงมองวิวไปเรื่อยๆ

จนถึงเกาะลอย 3 คนขอแยกกลับไปก่อน เหลืออีก 6 คน เดินออกไปตรงวงเวียนเพราะรถตู้ไม่เข้ามารับที่เกาะลอย

โบกสามล้อ อัดกันไป 6 คน มานั่งรอรถตู้ ชั่วโมงกว่าก็ได้เวลากลับเมืองหลวงแยกย้ายกันทำหน้าที่ใครหน้าที่มัน



รอเวลามาออกทริปไปสนุก และได้ประโยชน์กันอีกครั้งน๊าาา

จุดหมายก็ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่เราจะได้พบเจอเวลาออกเดินทางเท่านั้น


ยิ่งไปกับคนที่เรายังไม่รู้จัก อย่างน้อยเราก็จะได้มิตรภาพกลับมาด้วย

ส่วนคนที่เรารู้จักแล้ว ก็จะยิ่งรู้จักดียิ่งขึ้นไปอีก

ระหว่างทางก็สำคัญพอๆ กลับ ปลายทางเสมอ

อาสาเที่ยว แค่อยาก ให้คน ไปเที่ยว ได้อะไร มากกว่า แค่ ไปเที่ยวแผนที่เกาะสีชัง ฉบับเมย์ มาโคร


Guide trip ฉบับสั้นกระทัดรัด ตั้งแต่การเดินทาง รวมไปถึงค่าใช้จ่าย


ความคิดเห็น