แค่พูดว่าไปเที่ยว หลายคนคงเป็นเหมือนเรา หัวใจมักจะพองโตทุกครั้ง ยิ่งได้เห็นรูปจากที่ต่างๆ สวย งดงามแตกต่างกันไป มันยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้อยากออกเดินทาง และเราก็ทำแบบนั้นมาหลายปี ออกเดินทางท่องเที่ยว เก็บความทรงจำผ่านภาพถ่ายเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็มีหลายต่อหลายครั้ง ที่เราเลือกไปกับกลุ่มคนที่ทำประโยชน์ต่อธรรมชาติ ในหลายๆ ด้าน ทำให้ทริปหลังๆ ของพวกเรามักจะมีกินกรรมเข้ามาในระหว่างทริปด้วย ได้เที่ยวแถมได้ทำดี สนุกไปอีกแบบ
เรา คิด ว่า เรา ค้น พบ แนว ทาง ของ เรา แล้ว
อา สา เที่ยว แค่ อยาก ให้ คน ไป เที่ยว ได้ อะไร มาก กว่า แค่ ไป เที่ยว
ทริปบางทริปก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือจากการอยากไปเที่ยวได้เช่นกัน อย่างทริปนี้ ก็เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ห่างจากทริปแรกแค่เดือนเดียว ทำให้ต้องมีแผน 2 สำรองไว้ก่อน เพราะช่วงเวลาที่เดินทางไปร่วมงานทีอำเภอด่านซ้ายดูจะเป็นวันดี วันที่มีการจัดการและผู้คนก็ออกเดินทางเป็นส่วนใหญ่ ทำให้สมาชิกคนเก่าๆ ก็ไม่ว่าง ไปด้วย
แต่เราก็ดำเนินการตามแผนแรกจนถึง 4 วันสุดท้ายก่อนเดินทาง และคิดว่าจะเปลี่ยนเป็นแผน 2 แต่แล้วเราก็โชคดี มีสมาชิก 2 คนสุดท้ายมาได้ทันเวลาพอดี
ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะพี่เอ ททท.เลย พี่ที่โอ๊ครู้จักจัดกิจกรรม ปั่น ไป ปลูก และชวนไปร่วมกิจกรรมด้วย แค่ฟังก็ตื่นเต้น และ น่าสนุกละ เราก็เลยคิดต่อยอดและวางแผนต่อว่าจะมีอะไรเพิ่มเติม ในแบบฉบับ อาสาเที่ยว อีก
ไหนๆ ก็ไปถึงด่านซ้าย ทำกิรกรรมเสร็จแล้วกลับ มันก็จะดูเหนื่อยไปหน่อย หาที่เที่ยวชิวๆ นอนพัก สูดอากาศบริสุทธิ์ ให้เต็มปอดก่อนกลับจะดีกว่า แล้วก็มาลงเอยที่ เชียงคาน อำเภอที่ติดริมแม่น้ำโขง บรรยากาศดี และฤดูฝนแบบนี้คนคงไม่พลุกพล่าน วุ่นวาย เหมือนที่ใครต่อใครเจอมาช่วงวันหยุดยาวๆ
เมย์รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ กับการไปเชียงคานในครั้งนี้ เพราะ 3 ครั้ง ที่ผ่านมา ก็นานมากละ แม้จะจำภาพเก่าๆ ได้ และหลายต่อหลายคนบอกว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว แต่ความตื่นเต้นที่จะได้ไปกลับไม่ได้น้อยงเลย เจกกันนะ เชียงคาน
สมาชิก 10 คน พร้อมกันที่บิ๊กซีสะพานควาย ช่วง 3 ทุ่ม มุ่งหน้าสู่อำเภด่านซ้าย เราไปถึงหน้าอำเภอช่วงตี 4 กว่า หลับรอบนรถจน 6 โมงเช้า ทุกคนเริ่มทยอยตื่น อาบน้ำ เปลี่ยนชุด เดินเ่นที่ตลาดด่านซ้ายสักพัก แล้วก็กลับมากินข้าวต้ม น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ที่ทางทีมงานได้จัดไว้ให้ รอเวลา เปิดงาน
ฝนยังคงโปรยปรายอย่างต่อเนื่อง จนถึง 8โมง กิจกรรม ปั่น ไป ปลูก ก็เริ่มขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นสบาย ไม่มีแดดฝนก็หยุดสนิทแล้ว ภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอก หลายคนถึงกับบอกว่าอยากได้บรรยากาศแบบนี้กลับไปไว้ที่กรุงเทพฯ ด้วยเลย
พิธีเปิดถูกจัดขึ้นแบบเรียบง่าย แม้ว่าฝนจะตกตั้งแต่เช้า จนเฉอะแฉะ แต่คนที่มาร่วมงานก็ยังพร้อมใจกันมาร่วมกิจกรรม มีทั้งนักเรียน เด็กๆ รด. ผู้คนทั่วไปที่มีหลายหลายอายุ ตั้งแต่น้อยๆ ไปจนถึงมากๆ ทุกคนมีรอยยิ้มให้กัน สนุกสนานที่ลานหน้าอำเภอ
ทั้ง 10 คนตั้งใจมาร่วมกิจกรรมนี้ แม้ว่าบางคนจะไม่ค่อยได้ปั่นจักรยานที่ไกลขนาดนี้ แต่ทุกคนมาด้วยใจจริงๆ หลายเรื่องหลายอย่างก็ติดขัดไปบ้าง แต่เราก็ยังพร้อม และยังคงสนุกสานเลือกจักรยานที่มีเตรียมไว้ให้ และลองไปปั่นรอบๆ ปรับเบาะ เติมลม เปลี่ยนคันให้เข้ากับเรามากที่สุด เพราะต้องปั่นประมาณ 8 กิโล พอพิธีการจบก็ได้เวลาปั่นกันเลย
ผอ. ททท. สำนักงานเลย นำขบวนจักรยานออกไปก่อน แล้วทุกคนก็เริ่มทยอยปั่นตามเกาะกลุ่มกันไป เลี้ยวเข้าเส้นทางที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ ปั่นกันเรื่อยๆ ชิวๆ ผิวปากกันไป คุยกันไป จุดนี้เราปั่นผ่านพระธาตุศรีสองรักด้วย
แรกๆ ก็ยังอยู่ในขบวน ตามๆ กันไป น้ำเริ่มดีดใส่หลัง เป็นระยะๆ ปั่นแซงเขาบ้าง โดนแซงบ้าง แต่พอเจอเนินแรกไป 1 เนิน ขึ้นไม่ไหวต้องลงไปเข็น กลายเป็น 2 คนสุดท้าย ทันที
หลังจากนั้น คุณลุงที่ขับมอเตอร์ไซด์ปิดท้ายก็เข้ามาสอนการเปลี่ยนเกียร์จักรยานให้ขึ้นเนินแบบสบายๆ โดยไม่ต้องลงไปเข็น ตอนนี้เราถูกทิ้งช่วงห่างจากกลุ่ม ไกลพอสมควร แต่ทุกคนก็อำนวยความสะดวกในการปั่นข้ามสี่แยกไปด้เป็นอย่างดี ตอนนี้เหลือเราสองคนที่ปั่นแซงกันไปมา และสนุกกับการเปลี่ยนเกียร์จักรยานอยู่ รู้ตัวอีกทีก็ต้องแวะเข้าวัดโพนชัย ที่พิพิธภัณฑ์ผีตาโขนอยู่ด้วย
เราถ่ายรูปอยู่ที่นี่สักพัก ถ่ายรูปเฮฮาแล้วก็ต้องปั่นจักยารผ่านตลาดชุมชน ที่มีทั้งรถยนต์ มอไซด์และคนที่ให้ถนนสัญจรค่อนข้างเยอะ แต่หลายคนก็มายืนโบกมือทักทายและให้กำลังใจที่หน้าบ้าน ไม่มีใครบีบแตรไล่ด้วยนะ
เราปั่นจนมาถึงวัดศรีมงคล ที่มีรถอีแต๊กจอด พร้อมกับคนอีกจำนวนหนึ่งที่จะไปปลูกป่าด้วยกัน เราจอดจักรยาน เรียบร้อยแล้วก็เตรียมตัวขึ้นรถกันเลย ที่วัดนี้มีต้นจามจุรี หรือที่บางคนเรียกต้นฉำฉา แต่บางคนก็รู้จักชื่อต้นก้ามปู ที่มีขนาดใหญ่มาก แผ่กิ่งก้านสาขาน้อยใหญ่ ให้ร่มเงาเย็นสบาย รู้เลยว่าเราก็แค่คนตัวเล็กๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของรรมชาติ เรารวมตัวกันจนครบแล้ว ก็ทยอยขึ้นรถอิแต๊กรอ
รถอีแต๊กเริ่มทยอยขับออกไป คันเราก็เป็นหนึ่งในนั้น เสียงคุยปนเสียงหัวเราะดังเป็นระยะๆ แซวน้องๆ นักเรียนคันข้างหลังที่ขับตามมา น้องๆ มองเห็นทางข้างหน้า ในขณะที่รถเราขับขึ้นเนินไปเรื่อยๆ พร้อมกับกรี๊ด แต่เรายังขำๆ แกล้งกรี๊ดตามน้องๆ ไปด้วย
แต่พอขับไปได้สักระยะ รถหยุดกระทันหัน ครั้งนี้คันเรากรี๊ดกันเสียงหลงเลย แต่หลายคน ยังคงดูสนุกสนาน ถ่ายรูป พูดคุยกัน เราลงจากรถและเดินนำหน้าไปเพราะรถขึ้นเนินไม่ไหว
เราเดินมาดักรอขึ้นรถอีกครั้งตรงทางราบที่เป็นปูน แต่พอขึ้นไปได้แปบนึงรถก็ค่อยๆ ขับลงทางที่ชันมาก ใจเต้นรัวเลย ดีนะเป็นทางปูน แต่พอพ้นตรงนั้นก็เป็นทางดินแดงที่เฉอะแฉะ คิดภาพตามเลยถ้าทางลงเป็นดินแฉะๆ อาจจะชุ้นมากกว่าเดิม แต่แล้วรถก็ผ่านไปได้ด้วยดี จนมาส่งเราถึงจุดที่จะปลุกป่า
พอทุกคนมารวมกันแล้ว ก็ทำการทำพิธีสวดเพื่อบวชป่าก่อน ซึ่งใช้เวลาไม่นาน หลังจากนั้นก็เริ่มลุกไปรับกล้าไม้ และผ้าเพื่อบวชป่า ทุกคนเดินถือกล้าไม้ไปคนละต้น สองต้น ขึ้นไปปลูก ช่วยกัน คนละไม้คนละมือ จนกล้าไม้ที่เตรียมมาหมด
หลังจากนั้นเราก็เดินขึ้นไปข้างบนเพื่อบวชป่า หาต้นไม้ที่ยังไม่มีผ้าพัน ก็เดินขึ้นไปไกลพอสมควร ทุกคนได้ต้นไม้ที่ว่าง แล้วก็ผูกผ้าที่ต้นไม้เลย และเราก็คุยกันและได้ข้อสรุปว่าคงไม่เดินขึ้นไปที่จุดชมวิว ภูเตาโปง (เสียดายเหมือนกัน) แต่ถ้าจะให้ทิ้งคนที่เดินไม่ไหวรอที่นี่ ก็ไม่เอา
กิจกรรมจบเราก็แวะหาข้าวกิน และแวะไปไหว้พระธาตุศรีสองรัก เพราะตอนปั่นจักรยานแค่ปั่นผ่าน หลังจากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่เชียงคานที่พักคืนนี้ของเรา ไปจะถึงที่พักอยู่ละ แต่เลี้ยวรถเข้าไปไม่ได้ ร้านค้าออกมาตั้งร้านที่ถนนกันแล้ว ถนนคนเดินที่เชียงคานเต็มไปด้วยคนขายของไปเรียบร้อย ก็รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย เพราะสุดท้ายก็ต้องกลับรถขับอ้อมวันไปจอดที่วัดท่าคก ตรงซอย 21และเดินย้อนกลับมา ไกลพอสมควรกว่าจะถึงที่พัก
เราทยอยอาบน้ำ แต่บางคนก็ลุ้นกับแสงเย็นที่ยืนมองอยู่หลังที่พัก แสงสุดท้ายกำลังจะหายวับไปแล้ว แต่ถือว่าฟ้าสวย พระอทิตย์และเมฆ เป็นใจ ได้ภาพประจับใจกันไป หลังจากอาบน้ำเสร็จ พวกเราก็มาเดินเล่นที่ถนนคนเดิน ดูร้านโน่น แวะร้านนี้ แต่เมย์ก็พยายามองหาร้านเก่าๆ ที่เคยเห็นเมื่อครั้งก่อน ไม่น่าเชื่อ ร้านพวกนั้น หายไป ตอนนี้แค่รู้สึกใจหาย แม้ว่ามีร้านอื่นมาแทนที่ แต่เรากลับรู้สึกว่า มันขาดสิ่งหนึ่งไป เสน่ห์ของที่นี่ (อันนี้คือความคิดเมย์เอง) เราเดินไปจนสุดแล้วก็เดินกลับ ก็ยังหาร้านกินข้าวที่ลงตัวกันไม่ได้
ถามไปทุกคนก็ยังนิ่งเฉย จนมีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่าต้องไปซื้อของที่เซเว่น (ใจเราก็แอบคิดทำไมต้องเซเว่นด้วย) พอเดินไปถึงฝั่งตรงข้ามเฉียงๆ เซเว่น มีร้านมีจุ่ม พอมีเสียงใครคนหนึ่งเสนอ ที่เหลือตอบรับอย่างพร้อมเพียง
เรากินกันจนอิ่มและเดินกลับที่พัก ร้านค้าเริ่มทยอยปิดไปเกือนหมดละ เรานั่งเฮฮา คุยกันจนดึกก็แยกย้าย และตื่นมาใส่บาตรตอน 6โมงเช้าพอดี
หลังจากที่ตักบาตรข้าวเหนียวเสร็จแล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าไปตลาดเช้าเพื่อหาของกินกันเลย จำได้แค่ว่ามันอยู่ถนนเส้นบน แต่จำแยกที่จะไปไม่ได้ ถามป้าข้างบ้าน ให้เดินไปซอย 10 ตรงไป ข้ามแยก ผ่านเซเว่นไปเลย พอเราไปถึงตลาดดูเงียบมาก ไม่รู้ว่าเราไปสาย รึว่าบรรยากาศมันเป็นแบบนี้ เราเดินวน 1 รอบ หลายคนได้ของกินละ หมูปิ้ง น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ แต่ร้านปาท่องโก๋ยัดไส้ไม่เปิด
บางคนเดินกลับที่พัก บางคนแวะกินข้างปุ้นน้ำแจ่วที่ตลาด ร้านเล็กๆ แต่คนแน่นตลอด เราเดินกลับไปพร้อมกับกลุ่มแรกและเดินหาร้านไข่กระทะ เพราะมีหลายคนเรียกร้องอยากกิน ต่อด้วยข้าวเปียกเส้น และก๋วยเตี๋ยวเนื้อซอย 14 ถนนบน และก็เพิ่งนึกได้ว่า ซอยนี้มีร้านข้าวปุ้นน้ำแจ่วเหมือนกัน นึกได้ก็สายเสียแล้ว เพราะตอนนี้พุงจะแตก
เราใช้เวลาชิวรอรถตู้มารับตอน 11 โมง แต่บางคนก็ใช้เวลาคุ้ม ไปนวดก่อนกลับทิ้งท้ายจนได้ เราออกจากที่พักไปแวะที่แก่งคุดคู้ และซื้อของฝาก ก่อนกลับกรุงเทพฯ จากที่เห็นที่นี่ก็เปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างเหมือนกัน แต่เราก็เก็บบางอย่างไว้ในความทรงจำก็พอ
มิใช่แค่ปลายทาง
การไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้ แฝงไปด้วยมิตรภาพดีๆ ที่เจอระหว่างทาง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะที่มีให้กันทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน กิจกรรมเล็กๆ ที่ดูใส่ใจกับทุกเรื่องแม้กระทั้งเรื่องของกินที่ห่อใบตองมาให้อย่างน่ารัก อาหารท้องถิ่นสีสันน่ากินแถมอร่อย มาร่วมกิจกรรมก็ฟรีมีจักรยานให้ยืม แถมแจกของรางวัลอีกต่างหาก
ที่สำคัญการออกทริปครั้งนี้ ทำให้ได้เจอเพื่อน ที่ไม่ค่อยจะมีเวลาเจอกันมานานมาก มาพูดมาคุย สารทุกข์สุกดิบกันแบบเห็นหน้าสักที
การเดินทางทุกครั้ง มันทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น และง่ายขึ้น ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ได้เรียนรู้มิตรภาพใหม่ และรักษามิตรภาพเก่าให้คงอยู่ ให้เสียงหัวเราะดังกว่าเสียงอื่น เวลาเราอยู่ด้วยกันอยากให้ทุกคนรู้สึกแบบนั้นตามไปด้วยเช่นกัน
พบกับกิจกรรมใหม่ๆ ที่ เว็บ อาสาเที่ยว
และรูปกิจกรรมที่ผ่านมาของพวกเราได้ที่ www.rsatieow.com
May Macro
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.37 น.