แค่พูดว่าไปเที่ยว หลายคนคงเป็นเหมือนเรา หัวใจมักจะพองโตทุกครั้ง ยิ่งได้เห็นรูปจากที่ต่างๆ สวย งดงามแตกต่างกันไป มันยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้อยากออกเดินทาง และเราก็ทำแบบนั้นมาหลายปี ออกเดินทางท่องเที่ยว เก็บความทรงจำผ่านภาพถ่ายเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็มีหลายต่อหลายครั้ง ที่เราเลือกไปกับกลุ่มคนที่ทำประโยชน์ต่อธรรมชาติ ในหลายๆ ด้าน ทำให้ทริปหลังๆ ของพวกเรามักจะมีกิจกรรมเข้ามาในระหว่างทริปด้วย ได้เที่ยวแถมได้ทำดี สนุกไปอีกแบบ
“เรา คิด ว่า เรา ค้น พบ แนว ทาง ของ เราแล้ว"
“อา สา เที่ยว แค่ อยาก ให้ คน ไป เที่ยว ได้ อะไร มาก กว่า แค่ ไป เที่ยว"
วันเดินทาง หลายคนพร้อม แต่หลายคนก็ยังดูจะไม่พร้อมเท่าไร บางคนก็เงียบหายไปจากกลุ่มเพราะงานยุ่งวุ่นวายกันมาก แต่ก่อนเวลาที่จะถึงเวลานัดเจอกันก็วุ่นๆ กันเล็กน้อย เพราะมีสมาชิกติดงานด่วน 1 คน เป็นทริปที่เต็มเร็วมากตอนที่โพสแต่ก็มีเรื่องวุ่นมากจนถึงวันเดินทาง จนบ่าย 3 ก่อนเวลาเจอกันไม่กี่ชั่วโมง ก็มีนางฟ้าคนหนึ่งที่ตกลงยอมไปทริปเราด้วยความเต็มใจ โดนเราหลอกรึใจง่ายก็ไม่รู้เหมือนกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า
สมาชิกพร้อม รถพร้อม 3 ทุ่มกว่าแล้ว ได้เวลาที่เราจะออกเดินทาง พร้อมกับห้างบิ๊กซีสะพานควายที่เรานัดหมายเจอกัน หลังจากสมาชิกคนสุดท้ายขึ้นที่นวนคร รถก็วิ่งยาว และพวกเราก็เริ่มทยอยหลับไปทีละคน เจอฝนโปรยปรายระหว่างทางบ้าง ตี 3 พวกเราถูกปลุกให้ลงไปเดินตลาดที่ตาก เพื่อซื้อข้าวเช้าและเที่ยง ฝนยังคงตกปรอยๆ เราเดินลงจากรถด้วยอาการงัวเงีย พอถึงร้านขายข้าวเหนียวหมูที่มีให้เลือกหลากหลายเมนูเลย พวกเราตื่นตาและเริ่มแย่งกันสั่ง
จากตรงนี้เราต้องนั่งรถต่อไปยังเทศบาลตำบลทุ่งกระเชาะ ถึงช่วงเกือบตี 5 เรานอนกันอยู่บนรถจนถึงเช้า และก็ทยอยลงมาเตรียมของ อาบน้ำ แต่งตัว และรออีกกลุ่มจากที่มาจากตาก แบ่งเมล็ดพันธุ์ ได้หนังสติ๊กกันแล้วก็พร้อมที่จะลุยแล้ว
เราขึ้นรถจากเทศบาลไปยังจุดเริ่มเดินประมาณ 15 นาที จากจุดนี้เราต้องเดินต่อเอง 11 กิโล แต่กว่าพวกเราจะเริ่มเดินก็ใช้เวลาพอสมควร ยังคงสนุกกับการถ่ายรูปหมู่ ทุกคนยังลัลลา พลังยังเหลือเฟือ ยังคงเดินเกาะกลุ่มตามกันไปเรื่อยๆ เพราะทางช่วงนี้ยังเป็นทางที่ไม่ชันมากเท่าไร
แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าช่วงนี้ยังไม่ค่อยเจอทาก แต่เราก็จัดเต็มกับชุดเดินป่า มีอะไรใส่หมด ผ่านไปสักระยะ หลายคนเริ่มถอดอุปกรณ์ เพราะอากาศค่อนข้างร้อน แม้ว่าจะไม่มีแดดสำหรับวันนี้ แต่ลมก็ไม่มีเช่นกัน เราจึงค่อยๆ เดินตามๆ กันไป จนถึงจุดนั่งพักจุดแรก หลายคนยังคงไหว แต่หลายคนก็เริ่มรั้งทาย เรายังคงพูดให้กำลังใจกันเรื่อยๆ ยังยิ้มสู้ แม้ว่าจะเดินไปพักไปก็ตาม พอหายเหนื่อย เราก็เริ่มเดินกันต่อ
แต่หลังจากนี้ทางเดินที่รอเราอยู่ข้างหน้า เริ่มเป็นทางชันขึ้น จากที่เดินไปพักไป ก็เริ่มก้าวหยุด ก้าวหยุด แบบเดินหนึ่งก้าว หยุดหนึ่งวิเลยทีเดียว หลายคนเริ่มออกอาการหายใจแรงขึ้น หน้าเต็มไปด้วยเหงื่อและแดงอย่างเห็นได้ชัด แต่เราก็ยังเดินเกาะกลุ่มกันได้อยู่ เราเดินไปจิบน้ำกันไปตลอดทาง แต่ก็มีบางคนถึงขั้นขอกินข้าวก่อนคนอื่น เราก็ไม่ว่ากัน เพราะสภาพแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราเดินไปได้อีกสักระยะ เจ้าหน้าและลูกหาบก็บอกว่าจุดนี้สามารถยิงเมล็ดพันธุ์ได้นะ
หลังจากทิ้งเป้แล้วเราก็ช่วยกันทุบเม็ดมะค่าเพื่อให้แตกเล็กน้อยก่อนยิง แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่ใจคิดหรอกนะ บางเม็ดก็แตกแทบจะละเอียดเลย ไม่รู้ว่าหินที่ทุบก้อนใหญ่รึแรงคนทุบที่มีมากเกินไป หลายคนเริ่มได้ยิงบ้างแล้ว ก็สลับกันไป ยิงบ้าง มาทุบบ้าง จนได้ยินเสียงใครสักคนบอกว่าไม่ต้องทุบก็ได้นะ เอ่ออออ ตอนนี้ควรเชื่อใคร!!! สุดท้ายเราก็ยิงทั้งแบบที่ทุบ และไม่ทุบ ผสมกันไป (เรื่องนี้เราไม่มีความรู้จริงๆ)
ตอนเรายิงก็แค่ภาวนาและบอกกับเม็ดมะค่าว่า โตนะคะ งอกนะคะ (คนบ้าอะไรคุยกับเม็ดมะค่าได้ด้วย 555) หลายคนยิงจนเริ่มถนัดมือแล้ว และดูจะสนุกกับการใช้หนังสติ๊กไปละ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้กังวลเล็กน้อยว่ามันจะดีดหน้าไหม แต่ก็แอบเห็นหลายคนที่ยางดีดโดนมือ และบางคนก็ยิงไปโดนต้นไม้ซะงั้น อะไรจะแม่นขนาดนั้น และเราก็ยิงกันจนเพลิน จนลืมกลัววัวก่อนหน้านี้ไปละ วัวก็คงเพลินถึงขนาดนอนดูเลย
หลังจากนี้เราเดินไปอีกสักพัก ก็แวะกินข้าวเที่ยง ที่เราแวะซื้อมาตอนตี 3 ข้าวเหนียวหมู คนละห่อ พออิ่มก็เดินกันต่อ ตอนนี้พวกเราเริ่มเดินแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ใครเดินเร็ว แรงเยอะ ก็มักจะนำหน้าไปนอนรอ ใครเดินช้าก็ค่อยๆ เดินตามกันไปเรื่อยๆ เพาะทางค่อนข้างชัดเจน และมีเจ้าหน้าที่เดินปิดท้ายหนึ่งคนอยู่แล้ว
เมย์เป็นคนที่ต้องเดินตามจังหวะตัวเอง แต่ก็ไม่ได้เร็วที่สุดในกลุ่ม และก็ไม่ได้ช้าเกินไป หลายต่อหลายครั้งจะพยายามบอกทุกคนว่า ใครเดินเร็วแซงไป ใครเดินช้าก็ค่อยๆ ตามมา และก็มีหลายต่อหลายครั้งที่เดินๆ อยู่แวะถ่ายรูป มองคนข้างหน้าอีกทีก็ทิ้งห่างไปไกลละ พยายามเดินตามก็ไม่ทัน แต่พอหยุดรอคนข้างหลังก็นานกว่าจะมา ทริปนี้เมย์ค้างเติ่งอยู่ตรงสันคมมีด สันดาบ หรือกิ่วลม ก็ได้ คนละชื่อแต่ที่เดียวกัน ตรงนี้มีเส้นทางให้เดิน 2 ทาง ทางข้างบนจะแคบหน่อยแต่ไม่ได้น่ากลัวอะไร และเห็นวิวสวยกว่า ซึ่งเมย์เดินมาทางนี้ ส่วนอีกทางอยู่ข้างล่างเลียบไปกับสันเขา
สักพัก เริ่มมีคนข้างหลังเดินตามมา เมย์ก็เริ่มเดินต่อ และพยายามเร่งฝีเท้าให้ทันคนหน้า จนได้ไปเกาะกลุ่มกับเจ้ปอ แต่สุดท้ายก็เดินจังหวะช้าลงกว่าเดิม หยุดรอคนกลุ่มหลังบ้าง แวะถ่ายรูปบ้าง หลังจากผ่านป่าไผ่ ช่วงนี้ป่าดูจะทึบกว่าที่ผ่านๆ มา มีต้นไม้น้อยใหญ่ แปลกตาเยอะพอสมควร พอได้ยินว่าถึงสนต้นแรกแล้ว แรงฮึดก็กลับมาอีกครั้ง
ทางตรงนี้เป็นจุดทางชันอีกจุด เราค่อยๆ เดินก้มหน้าก้าวไปทีละก้าว จนถึงทางราบ คนที่มาถึงก่อนก็ได้พักก่อน และหลายคนก็ดูท่าจะหิว ยื่นอะไรให้ไป ก็หมด แม้กระทั่งไวไวดิบ กินกันเพลินเลย คนที่มาทีหลังก็ทยอยเดินขึ้นมากันจนครบแล้ว หลังจากพักหายเหนื่อยก็เดินทางเรียบต่อไปอีก จากตรงนี้ทุกคนดูเดินกันชิวเลยนะ สิงห์ทางเรียบทั้งนั้น
และแล้วก็มาถึงจุดที่ 2 จุดที่เราจะยิงเม็ดมะค่าอีก มุมนี้ดี สวย โล่ง เห็นวิวภูเขาไกลสุดลูกหูลูกตา และมองเห็นยอดดอยหลวงตาก ที่ดูเหมือนยังอีกไกล หลังจากพักหายเหนื่อย และถ่ายรูปกันสนุกสนานแล้ว เราก็ไม่ลืมที่จะมาทำภาระกิจที่เราตั้งใจมาทำ หนังสติ๊กถูกหยิบขึ้นมาใช้อีกครั้ง เหมือนลูกสาวกำนันที่ต้องพกติดตัวไว้
หลังจากที่ยิงมาได้สักพัก เริ่มถนัดมือ คราวนี้ละ ยิงกันไม่ยั้ง ทั้งยิงเดี่ยว ยิงเป็นทีม และยิงพร้อมกันทั้งกลุ่ม แดดที่แรงตอนนี้ทำอะไรเราไม่ได้เลย เพราะเรามีจุดโฟกัสอยู่ที่หนังสติ๊ก เราทำมันด้วยความสนุก แต่เราก็จริงจัง และหวังให้มันงอก และเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ เป็นป่าในภูเขาน้อยใหญ่ ให้เราได้มองเห็นสีเขียวที่กว้างไกลออกไป
เรายิงเมล็ดพันธุ์ที่ถือกันมาคนะละถุง จนหมดทุกถุงที่มีจนปวดแขนไปตามๆ กัน แต่ทุกคนก็ไม่บ่นอะไร นอกจากว่าต้องเดินต่ออีกเหรอ หลายคนเดินนำหน้าไปก่อนแล้ว เมย์เดินปิดท้ายตามไปติดๆ ผ่านดงกล้วยสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของดอยนี้ เพราะครั้งแรกที่มาที่นี่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เราเดินขึ้นอีกทาง และทางนี้จะเป็นทางที่เราเดินลง จำได้ว่าพี่เจ้าหน้าที่พูดแค่ว่า จะถึงดงกล้วยตรงนี้วิ่งอย่างเดียวเลยนะ เชื่อไหมว่าเราสามารถวิ่งตามกัน 6 คนแบบติดๆโดยไม่มีใครล้ม ในเวลาไม่ถึงนาที แต่ทากกลับติดที่เท้าเราแบบยั๊วเยี๊ยะ สิ่งที่เราทำคือกรี๊ดตลอดทาง
แต่ตอนนี้ดงกล้วยในตำนานนอกจากจะไม่ต้องหนีทากแล้ว ต้นกล้วยก็แทบจะไม่เหลือเพราะตรงนี้เพิ่งโดนไฟไหม้ไป ถ้าเลือกได้ ก็ยอมวิ่งหนีทากตรงนี้ดีกว่าที่ต้นกล้วยจะแห้งตายแบบนี้ จากจุดนี้ก็ไม่ไกลจากจุดกางเต้นท์แล้ว แต่เมย์ก็เจอหยกหยุดยืนรออยู่ โดยที่หยกบอกว่าหาทางไปไม่เจอ เดินตามคนหน้าไม่ทัน จัดให้เมย์เดินนำพาหยกมาถึงจุดกางเต้นท์จนเจอ 6 ชั่วโมงที่กลุ่มเราเดินกว่าจะถึงที่นี่
หลังจากกางเต้นท์ และเคลียร์ของเรียบร้อย เราก็เดินขึ้นไปตรงจุดชมวิว ชมพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินแล้ว ตอนนี้ทุกคนเดินสบายแม้ว่าจะเป็นการเดินขึ้นเขา เพราะอย่างน้อยก็เดินตัวเปล่า ไม่มีกระเป๋าละ และก็คุ้มกับที่เราเดินขึ้นมา เพราะฟ้าเปิด สวยใสมาก แม้ว่าจะมีบางช่วงที่หมอกพัดมาเป็นระยะๆ
หมอกหนาตึบ เมื่อกระทบกับแสงแดดยามเย็นบอกเลยว่าเรานั่งมองกันเพลินเลย บทสนทนาที่เรานั่งคุยกันหลากหลายเรื่องราว ทำให้เรามีแต่เสียงหัวเราะ เรานั่งมองความงามและเก็บเกี่ยวสูดอากาศบริสุทธิ์ ที่สดชื่นให้เต็มปอด ก่อนที่แสงสุดท้ายจะลาลับขอบฟ้าไป ให้เรามองเห็นดาวบนฟ้า และดาวบนดิน (แสงจากเมืองตาก)
ค่ำคืนนี้หลังจากที่กินข้าวอิ่ม หลายคนเพลีย และเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ส่วนพวกที่แรงยังเหลือ ก็นั่งคุยกันยาวไปจนถึงเที่ยงคืน อากาศค่อนข้างร้อนทำให้เราเปิดเต้นท์นอน พอเมย์หลับไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงฝนตกดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นดู แล้วก็ได้ยินเสียงอ้อนบอกว่าฝนสาดเข้าเต้นท์ด้วย เราพยายามช่วยกันปิดเต้นท์แต่เค้กที่นอนอยู่ตรงทางเข้าขวางเราทั้งสอง แล้วเค้กก็ลุกมาด้วยอาการงัวเงีย พยายามปิดเต้นท์ กระชากไปบ่นไป ใครปิดเต้นท์วะ มีเสียงอ้อนตอบอยู่ข้างหลังเบาๆ ว่า ฉันเอง สุดท้ายเราก็ปิดเต้นท์ได้สำเร็จเปิดเวลาดูตี 2 ครึ่ง
พวกเราก็แยกย้ายซุกถุงนอนของใครของมัน เพื่อหลับต่อ เสียงฝนเริ่มเงียบไปแล้ว แต่กลับได้ยินเสียงคุยขึ้นมาแทน สลับกับไฟฉายที่ส่ายส่องไปมา และเสียงเปิดแก๊สเหมือนทำอะไรสักอย่าง เสียงคุยยงคงดังและไม่มีท่าทีจะเงียบแม้ว่าจะมีเสียงใครบางคนบอกว่า พี่พรุ่งนี้ผมต้องเดินลงนะ เงียบๆ หน่อย ก็มีอีกเสียงหนึ่งตอบกลับไปว่า เอ้าทีพวกคุณยังดังเลย กว่าจะนอนก็เที่ยงคืนกว่า ก็ถือว่าสลับกันละกันคนละครึ่งคืน เมย์นอนหลับๆ ตื่นๆ แต่เสียงคุยก็ยังคงอยู่จนกระทั่งเช้า
6 โมงเช้าแล้ว แสงเริ่มมา พวกเรารีบแต่งตัวออกจากเต้นท์ และเดินขึ้นไปที่จุดชมวิวอีกครั้ง ฝนที่ตกเมื่อคืนทำให้พวกเราได้เห็นหมอก ที่พัดไปตามแรงลม จากซ้ายไปขวา จากหน้าไปหลัง ผ่านตัวเราในบางครั้ง แต่เชื่อสิ เราไม่มีทางหลงแน่นอนสีเสื้อแต่ละคน อย่างกับนัดกันมา ทุกคนมีมุมเป็นของตัวเอง ดื่มด่ำกับธรรมชาติยามเช้า บนยอดดอยที่เต็มไปด้วยความสดชื่น อาการงัวเงียและง่วงนอนหายไปชั่วขณะ
บางคนเลือกที่จะดื่มด่ำกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าด้วยตาเปล่า แต่บางคนก็เลือกที่จะมองผ่านเลนส์จากกล้องบ้าง มือถือบ้าง เก็บเกี่ยวสิ่งที่ทำได้กันอย่างเต็มที่ บางคนก็โพสเฟส บางคนก็ส่งให้คนที่ไม่ได้มาเห็นสิ่งที่เราเห็นในตอนนี้ว่าธรรมชาติ มันสวยงามแค่ไหน มันคุ้มกับที่เราเหนื่อย
ภูเขาน้อยใหญ่ที่เรียงสลับซับซ้อนที่เราเห็น มีหมอกบังบ้างบางเวลา จนทำให้เรารู้สึกว่ามันเหมือนภาพในเทพนิยาย แดดเริ่มแรงแล้วพวกเราก็ทยอยเดินลงกลับมาที่พัก กินข้าวเช้า เก็บของ พับเต้นท์จนเรียบร้อย เราแยกของกองกลางเพื่อให้ลูกหาบเหมือนตอนมา เราเดินกลับทางเดิม หลายคนล่วงหน้าไปก่อนแล้ว มีแต่กลุ่มเราที่ยังคงสนุกกับการได้ดูวิวที่นี่เลยทำให้เดินปิดท้ายของกลุ่ม
หลังจากนั้นเราก็เดินกันแบบหยุดพักน้อยมาก ยกเว้นตอนพักกินมาม่าต้มช่วงเที่ยง ที่มีเพียงเรา 10 คนที่ได้กิน คนก่อนหน้านี้อด แต่หลังจากตรงนี้เราก็เดินตรงยาวไปจนถึงจุดที่รถมารับ โดยมีแรงกระตุ้นอย่างเดียวคือ น้ำอัดลมพร้อมน้ำแข็ง แต่ยิ่งใกล้ถึงอากาศก็ยิ่งร้อน ลมนิ่งสนิท พอถึง ฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนักและตกตลอดทาง จนเกือบถึงรังสิต เป็นไงละใครขอฝน ใครบอกมาเดินป่าหน้าฝนไม่เห็นเจอฝนเลย
มิใช่…แค่ปลายทาง
แม้ว่าเราจะไม่ได้เดินขึ้นลงเหมือนครั้งแรกที่เราเคยมา และพี่เอบอกว่าทางนั้นเป็นทางขึ้นและลงโหดที่สุดละ วิวข้างบนยังคงสวยเหมือนเดิม ได้เห็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นอย่างรุ้งวงกลม ที่มีเงาเราอยู่ในนั้นด้วย ดอกไม้ใบหญ้าหลายอย่างที่ไม่คุ้นตา การได้กินข้าวที่ไม่รู้สึกว่าได้กิน (น้อยไปหน่อย) ท่ามกลางธรรมชาติ และผู้คนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จักอีกหลายคน
แต่ก็มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไป อย่างที่กางเต้นท์ดูกว้างขึ้น โล่งขึ้น กลายเป็นดินที่ไม่มีต้นไม้ขึ้นแล้ว และยังไม่ชัดเจนว่าตกลงแล้วเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นได้จำนวนมากน้อยแค่ไหน มีเพิงเหมือนเป็นห้องครัวถาวร มีขวดพลาสติกที่ทิ้งไว้เพื่อกอกน้ำในครั้งต่อไปที่มีทั้งใหม่และเก่า มีหลุมกลบขยะที่กลบทุกอย่างแม้ว่ามันจะย่อยสลายไม่ได้ ส่วนที่เหลือก็เลือกเผา ทั้งๆ ที่ตอนไปเราแจ้งเจตนาแล้วว่า เอาขยะลง!!!
กิจกรรมที่เราทำ เราจริงจัง จริงๆ เต็มที่กับสิ่งที่ตั้งใจไปทำ แม้ว่าผลที่ออกมามันจะดูเก้ๆ กังๆ บ้าง ดูเหมือนเล่นมากกว่าบ้าง แต่เราแค่อยากทำให้มันสนุก เพราะถ้าเราสนุกเราจะทำมันออกมาได้ดี
เมื่อรวมกลุ่มกันเมื่อไรเราจะคุยกันตรงนั้น เราสามารถทำได้เหมือนกันทันทีที่ตากล้องสั่ง บอกได้คำเดียวว่าเสียงหัวเราะเรามีให้กันตลอด จนเริ่มคิดว่านี่เราไม่รู้จักกันจริงๆ เหรอ เราจับคนบ้ามาเจอกันนี่นา โดยเฉพาะเรา 3 คน (เมย์ หยก อ้อน) บ้าพอกัน รั่วพอกัน ยังจะมาเดินอยู่ใกล้ๆ กัน ไม่มีใครห้ามใคร ตามๆ กันไป
แต่ทริปนี้หลายคนก็เหนือความคาดหมาย อย่างตั้มดูจะเปลี่ยนแปลงเยอะสุด จากก่อนหน้านี้เจอมา 2 ทริปก็ดูเรียบร้อยกว่านี้นะ แต่ทริปนี้บอกได้คำเดียว รั่ว รั่วมาก นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเธอใช่ไหมย๊ะ เจ้ปอที่ดูมาดเข้มมาตั้งแต่ต้น มาตายตอนจบเล่นมุกบาท สองบาท กับผ้าคลุมเบาะรถตู้ ส่วนสาวหมวยอย่างหยกที่ดูจะถึกเกินหน้าตา และอีฟก็เก่งมากกับการเดินป่าครั้งแรก อุปกรณ์ครบครันเพราะมีพี่จัดให้ และอีกหลายๆ คนที่ไปทำให้ทริปสนุก
แล้ว ไป ด้วย กัน อีก นะ
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม
Worapot Juntaranil
เต่าโก๊ะ ระเบียบนาวีนุรักษ์
Yuri Pinky
Cakeio Cake
Tum Platookem
Nichaphat Pakanan
Aon Aon
Wirot A Chanrit
May Macro
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.37 น.