...พบกันอีกครั้งครับกับภาคต่อจากอัลบั้ม "ฟ้าสวยที่เวียงจันทน์" จากกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E13113588/E13113588.html



...สู่ความสวยงามและความสมบูรณ์ของธรรมชาติ ณ อำเภอวังเวียง ยังมีมนต์เสน่ห์เสมอ ๆ สำหรับผู้ที่เคยเดินทางมาแล้วก็อาจให้มีหวนคิดอยากเดินทางกลับมาอีก แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยเดินทางมาผมเชื่อได้เลยว่าอย่างน้อยต้องมีสักเสี้ยวหนึ่งของความรู้สึกที่ดลใจให้รู้สึกอยากกลับมาที่นี่อีกสักครั้ง



...ไม่รอช้าขอพาเพื่อน ๆ ค่อย ๆ เดินทางไปด้วยกัน กับเรื่องราวผ่านเลนส์ เรื่องเล่าผ่านถ้อยคำต่าง ๆ ให้ทุกคนได้สัมผัสวังเวียงในมุมมองของผมว่าจะถ่ายทอดออกมาได้ดีมากน้อยแค่ไหน ... พร้อมแล้วเราออกเดินทางกันเลยครับ

...เริ่มต้นกันที่เดินทางสู่สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่หากใครมาวังเวียงแล้วเป็นต้องแวะให้ได้กับที่นี่ มิฉะนั้นอาจเสมือนว่ามาไม่ถึงวังเวียง



... ถ้ำจัง ... เป็นหนึ่งในถ้ำที่สวยงามที่สุดใน อ.วังเวียง และยังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากที่สุดด้วยเช่นกัน โดยปากทางเข้าถ้ำสังเกตุได้จากบริเวณกลางภาพเยื้องไปทางซ้ายเล็กน้อยจะเห็นศาลาเล็ก ๆ อยู่ .. นั่นคือปากทางเข้าถ้ำโดย ณ จุดที่ยืนอยู่ตรงนี้คือสะพานข้ามสู่ฝั่งถ้ำจัง

...ยังเดินข้ามไปไม่ถึงครึ่งสะพานก็เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพสองฝั่งซ้ายขวา .. ภาพนี้หันไปทางขวาจะเห็นแนวเทือกเขาหินปูนต้องรับแสงแดดยามเย็น



...ถูกเติมเต็มให้ภาพมีเรื่องราวมากยิ่งขึ้นด้วยเรือจากชาวบ้านที่แล่นไปมา...

...ด้านซ้ายของสะพาน.. บริเวณสะพานนี้เดินได้สบาย ๆ ปลอดภัย นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพคู่กับสะพานสีส้มแห่งนี้กันเสมอ ๆ ก่อนที่จะข้ามไปยังอีกฝั่ง


...เมื่อข้ามมายังฝั่งนี้เรียบร้อยก็จะมีร้านค้าของชาวบ้านมาตั้งขายน้ำผึ้งป่า สารพัดผึ้ง อาหารต่าง ๆ ของกินท้องถิ่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่งเสริมรายได้ให้กับชาวบ้าน



...ช่วงเวลาที่เดินทางมาถึงจุดนี้ คำนวณเวลาพลาดไปหน่อยทำให้ถึงเย็นไปสักนิด แสงเริ่มน้อยลง .. ไม่รอช้าให้เสียเวลาจึงรีบเดินสู่ถ้ำจังที่รอคอยอยู่ด้านบนเขาด้านหน้า

...ระหว่างทางเดินก็จะมีศาลาไม้เล็ก ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักผ่อน บรรยากาศดีไม่น้อย สถานที่เงียบสงบ มีต้นไม้ตลอดระยะทางเดิน



...ต้อนรับกันอบอุ่นด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบนี้ ทำเอาเราตกหลุมรักเข้าได้ง่าย ๆ เลย

...บันไดทางขึ้นอยู่ที่ 147 ขั้นเท่านั้น .. อาจจะสูงไปหน่อยสำหรับบางคน แต่ปัญหาหลักอาจไม่ได้อยู่แค่ความสูงเท่านั้น สิ่งที่สร้างความยากลำบากให้กับการเดินนั่นคือ ระยะห่างของแต่ละขั้นที่มีความสูงไม่ค่อยจะสม่ำเสมอสักเท่าไหร่ .. บางขั้นสูง บางขั้นเตี้ย เดินเหม่อ ๆ อาจมีขาพลิกกันได้...



...นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีหยุดพักถ่ายรูป พร้อมพักเมื่อยไปในตัว

...ไม่ต่างกับเรา...



...ก็มีบ้างที่หยุดพักเพื่อมองสิ่งรอบตัว อย่างในภาพนี้เปลี่ยนช่วงเลนส์ซูมไปให้เห็นลักษณะของเทือกเขากันอย่างชัด ๆ โดยมีต้นไม้สูงใหญ่ประดับประดาอยู่รายล้อม

...ทัศนียภาพจากบริเวณหน้าศาลาด้านบนก่อนปากทางเข้าถ้ำ มองลงมาเห็นลำน้ำซองคดเคี้ยว มีสะพานสีส้มโดดเด่นท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ทั้งต้นไม้ และขุนเขา .. และน่ารักสะดุดตาด้วยบอลลูนชมทิวทัศน์สีแดงสวย...



...เห็นแล้วอยากจะหายตัวไปลอยอยู่ในบอลลูนเสียจริง ๆ

...ภายในถ้ำจะเป็นลักษณะของหินงอกหินย้อยตามปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สรรสร้างไว้แต่อดีตกาล .. มีการปรับพื้นที่ให้เหมาะสม และสะดวกแก่การเข้าชมของนักท่องเที่ยว พร้อมประดับไฟเล็กน้อยให้พอเห็นทาง และเห็นความงดงามของตัวผนังถ้ำ ตัวหินที่ย้อยเกิดเป็นรูปร่างต่าง ๆ สุดแท้แต่จินตนาการ และเรื่องเล่าตำนานในอดีต


...ภายในถ้ำนั้นทำทางเดินนั้นทำไว้เดินสะดวก มีบ้างที่แสงน้อยจนถ่ายภาพได้ลำบาก .. ครั้นจะเปิดแฟลชก็อาจทำให้ภาพไม่สวย จึงต้องจำใจเร่งค่าความไวแสง (ISO) ของกล้องให้มากขึ้นอีกหลายเท่าตัวจากปกติ .. แม้จะได้น๊อยส์ที่เยอะขึ้นตามมา แต่เพื่อให้ได้ภาพกลับมาก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย


...สภาพอากาศในถ้ำก็คล้าย ๆ กับถ้ำทั่ว ๆ ไปที่มีความชื้นความเย็น .. ทั้งที่ดูแล้วก็เหมือนเป็นถ้ำตัน แต่บางจุดกลับมีลมพัดเย็นผ่านมาให้สบายตัวเหมือนกัน



...กฏ กติกา มารยาท สำหรับการเข้าชมถ้ำของที่นี่ก็คือห้ามสัมผัส และแตะต้องทุกสิ่งทุกอย่าง .. ซึ่งผมว่ากฏนี้คงเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก หากอยากคงไว้ซึ่งความสวยงามและไม่สูญเสีย

...หินบางก้อนก็มีระยิบระยับจากแร่ธาตุมองดูเหมือนเกล็ดแก้วใส ๆ กระพริบไปมา ภาพนี้พยายามถ่ายให้ได้ ก็ได้ออกมาแค่นี้...



...ใช้เวลาอยู่ที่ถ้ำจังได้ไม่นานก็ต้องรีบออกจากถ้ำเพราะท้องฟ้าภายในก่อนเข้ามาแลดูแสงจะเริ่มน้อยลงไปทุกขณะ จึงต้องขออำลาถ้ำจังไว้ที่ภาพนี้

...หลังจากเอ้อระเหยอยู่นานก็ถึงเวลาล่องเรือไปตามลำน้ำซองเสียที ซึ่งหากได้มาที่วังเวียงแล้วไม่ได้ล่องเรือ หรือสัมผัสสายน้ำสักหน่อยคงเสมือนมาไม่ถึง



...เรือไม้ลำเล็ก ๆ ขนาดนั่งได้ 2 คน รวมคนขับ 3 ... ความกว้างของเรือสำหรับผมแค่ฉีกขากว้างออกหน่อยก็พอดีลำเรือ เพราะขนาดเล็กจริง ๆ โดยจะเป็นเรือพื้นเตี้ย ๆ เนื่องจากน้ำไม่สูงมากนัก

...ขยับแข้งขยับขาวางองศางอเข่าให้ได้เหลี่ยมเรียบร้อย เพื่อความมั่นใจก็ออกเดินทางล่องเรือกันเลย



...ช่วงแรกที่นั่งออกอาการสั่นเล็กน้อยเนื่องจากไม่มั่นใจในความแนบแน่นของเรือกับผืนน้ำ ที่แทบจะห่างกันเพียงคืบกว่า ๆ บวกกับห่วงกล้องสุดที่รักเป็นที่สุด แต่พอนั่งไปสักพักก็เริ่มโอเคและจับจังหวะของเรือไปได้เองโดยปริยาย

...แสงบาง ๆ ยามเย็นกระทบเทือกเขาที่อยู่ริมฝั่ง



...เห็นภาพชาวบ้านถิ่นนี้ดำเนินชีวิตประจำวัน เขาเหล่านี้คงชินและคุ้นเคยกับทัศนียภาพแบบนี้ แต่กับเราที่ไม่เคยเดินทางมาต้องบอกว่างดงามยิ่งนัก ทั้งทิวทัศน์และผู้คน

...บางช่วงแสงส่องลงตรงจังหวะพอดี อย่างในภาพนี้จะเห็นเนินทรายที่ขึ้นกลางน้ำ...



...ก็มีผู้คนมาเดินเล่น เดินถ่ายภาพไปมา ถ้ามีเวลาเยอะเราเองก็อาจเป็นหนึ่งในนั้นที่เลือกลงเดิน สลับนั่งเรือบ้าง

...ทัศนียภาพยามเย็นทั้งวิถีชีวิตริมน้ำ ไปจนถึงนักท่องเที่ยวที่มาชื่นชมสัมผัสบรรยากาศความสวยงามพบเห็นได้เรื่อย ๆ ตลอดลำน้ำซอง



...รอยยิ้มจากผู้คนที่เราไม่รู้จักไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเขินเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามรอยยิ้มเหล่านี้กลับสร้างความอบอุ่น และความประทับใจให้มากยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ

...จำนวนเรือมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับปริมาณนักท่องเที่ยว



...การขับเรืออยู่ที่ความชำนาญของผู้ขับฉันท์ใด ชีวิตเราก็ฝากไว้ที่ผู้ขับฉันท์นั้น ...

...นี่คืออีกหนึ่งไฮไลท์ประจำแม่น้ำซองเลยก็ว่าได้.. การปล่อยตัวเองทิ้งกายลงบนห่วงยางปล่อยให้ตูดแช่น้ำไหลไปเรื่อย ๆ ตามกระแสน้ำพัดผ่าน ... เครื่องดื่มยี่ห้อโปรด หรือจะเป็นเบยลาวเพื่อให้เข้ากับท้องถิ่นก็ดีไม่น้อยที่จะกล้อมแกล้มควบคู่ไปกับการล่องน้ำด้วยห่วงยาง


...ความหนาวเย็นค่อย ๆ สัมผัสได้ทีละน้อย สังเกตุได้จากผิวกายตัวเราที่รู้สึกยามอยู่ภายใต้ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เทือกเขาหินปูนที่วางตัวตระหง่านอลังการทั้งเบื้องหน้า และที่รายล้อมอยู่รอบข้าง.. เปรียบเสมือนเจ้าบ้านที่ทำหน้าที่ต้อนรับเราอย่างอบอุ่น



...สายหมอกที่จับตัวรวมกันเป็นสายยาวเคลื่อนตัวพาดผ่านลำน้ำ และนักท่องเที่ยวเบื้องล่าง .. เชื่อได้เลยว่าผู้มาเยือนทุกคนต้องรู้สึกประทับใจไม่ต่างกับเราแน่นอน

...ธรรมชาติสรรค์สร้างสิ่งสวยงามให้แก่มนุษย์เสมอ ๆ โดยไม่ขออะไรมากแค่เพียงดีตอบกลับธรรมชาติแค่นั้น ธรรมชาติก็คงอยู่กับเราไปอีกนานเท่านาน



...วินาทีที่เรือลำน้อยแล่นผ่านจนถึงจุดที่เห็นสายหมอกอยู่เบื้องบนเบื้องหน้า ณ วินาทีนั้น ผมรู้สึกประหลาดใจ และรู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้เห็นสายหมอกเหล่านี้ เนื่องจากคงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนอกจากว่าสภาพอากาศจะเป็นใจ

...ความยิ่งใหญ่ของขุนเขาถูกเติมเต็มเรื่องราวด้วยภาพของเรือ และนักท่องเที่ยว...



...ยิ่งแสดงให้เห็นได้ชัดถึงความยิ่งใหญ่ของวังเวียง บวกด้วยมนต์เสน่ห์แห่งสายน้ำของที่นี่ ย่อมไม่น่าแปลกใจหากใครจะตกหลุมรักที่นี่เอาเสียง่าย ๆ

...นอกจากกิจกรรมล่องเรือชมทิวทัศน์สองฟากฝั่งแม่น้ำซองแล้ว หรือจะเป็นการลอยห่วงยาง ก็ยังมีกิจกรรมพายเรือสำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากออกกำลังกายด้วย อย่างในภาพนี้มากันเป็นทีมเป็นกรุ๊ปก็ดูสนุกสนาน อบอุ่นไม่น้อย


...แสงของวันค่อย ๆ หมดไป .. เริ่มถ่ายภาพยากขึ้นเรื่อย ๆ แสงที่น้อยลง เรือที่แล่นอยู่ไม่หยุดนิ่ง ทำให้ผมเก็บกล้องลง และนั่งปล่อยให้เวลาสายลม และสายน้ำพัดผ่านตัวเราไปพร้อม ๆ กัน



...เผลออีกทีก็ถึงฝั่งเตรียมขึ้นเป็นที่เรียบร้อย

...หลังจากกลับขึ้นฝั่งได้เรียบร้อยจึงรีบคว้าขาตั้งกล้อง เลือกทำเลมุมที่คิดว่าน่าจะถ่ายทอดความเป็นวังเวียงได้มากที่สุด ผมเลือกมุมนี้ที่มีสะพานเล็ก ๆ เห็นดวงไฟจากชาวบ้าน มีขุนเขาอยู่ด้านหลัง และห้อยด้วยจันทร์เดือนหงายอีกดวง ...



...ปรับ white balance ไปเรื่อย ๆ เพื่อความไม่ซ้ำซากจำเจของภาพ จนสุดท้ายก็มาถูกใจที่สีน้ำเงินนี้ เพราะให้เห็นแสงระเรื่อ ๆ สีชมพูอมแดงอยู่ปลายท้องฟ้าไกล .. ก่อนจะบรรจงสูดอากาศหายใจเข้าลึก ๆ ช้าจนเต็มปอด และค่อย ๆ หายใจออกให้กินเวลานานกว่าที่หายใจเข้า... เพื่อซึมซับอากาศอันบริสุทธิ์ให้เต็มที่

...ยังคงยืนอยู่ตำแหน่งเดิม แต่ซูมให้เข้าใกล้มากขึ้น เพื่อจะได้เห็นภาพดวงจันทร์ชัดขึ้นมาอีกหน่อย บวกกับแสงสะท้อนของไฟบนราวสะพานที่ฉายส่องลงน้ำ พร้อมค่อย ๆ เฝ้าดูท้องฟ้าเปลี่ยนสีก่อนจะเป็นสีดำไปในที่สุด


...พักเหนื่อยได้สักพักรอให้ค่ำอีกสักนิด จึงออกมาเดินเล่นแถวตลาดวังเวียง ... บรรยากาศไม่อึกทึกคึกคักเสียงดังมากมายเท่าไหร่นัก แต่จากที่ได้คุย ๆ ดูกับคนแถวนั้น เค้าบอกว่านี่เปลี่ยนไปเยอะแล้ว ...



...ทำให้ไม่อยากจะคิดต่อว่าแต่ก่อนนั้นจะสงบเงียบเพียงใด เพราะขนาดนี้เรายังถือว่าปกติ ผิดกับบรรยากาศยามค่ำคืนตามสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังต่าง ๆ ในบ้านเราจริง ๆ ...



...หลังจากหาร้านนั่งกินข้าว เดินเล่นสักหน่อยก็จึงกลับเข้านอน.. เพราะยามเช้าผมยังมีภารกิจต้องเก็บภาพบรรยากาศยามเช้าอีกสักหน่อยก่อนเดินทางกลับ... ราตรีนี้จึงฝากไว้ที่นอนหมอนมุ้งที่วังเวียงอย่างมีความสุข

...เวลาประมาณ 6 โมงเช้ากว่า ๆ .. ริมน้ำซองมีสายลมเย็น ๆ อุณหภูมิประมาณยี่สิบกว่า ๆ น่าจะได้ เสื้อยืดหนึ่งตัวที่ใส่อยู่พอให้รู้สึกถึงความเย็นแต่ยังไม่ถึงกับสั่นสะท้าน .. สายตามองทอดไปมาซ้ายขวา เทือกเขานปูนอันเป็นเอกลักษณ์ สายน้ำที่พัดผ่านไปอย่างไม่มีวันหยุด เสียงนกร้องที่ค่อย ๆ ได้ยินถี่ขึ้น ..



...ความสุขในชีวิตแบบนี้ จะมีสักกี่วันที่เราได้ค้นพบ และได้เจอะ .. การตื่นเช้าสักหน่อยเพื่อมาซึมซเป็นอะไรที่ผมโหยหาเสมอยามออกเดินทางไกล.. และทุกครั้งนอกจากภาพที่ได้กลับมามันคือ ความสุข และความทรงจำ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ...

...สายน้ำที่พัดผ่านไปอย่างช้า ๆ แต่ต่อเนื่อง เปรียบเสมือนเข็มนาฬิกาที่ค่อย ๆ เดินไปตามจังหวะของมัน



...น่าแปลกใจเหลือเกินทั้งที่เวลาก็เดินด้วยความเร็วเท่าเดิม แต่เวลาที่อยู่ที่นี่ดูเหมือนจะค่อย ๆ หมุนไป ช่างแตกต่างกับช่วงเวลาในเมืองใหญ่เหลือเกิน

...รีสอร์ท ที่พัก ริมน้ำมีอยู่เป็นระยะ ๆ ริมลำน้ำซอง ...



...ใหญ่บ้าง เล็กบ้างตามแต่พื้นที่ ตามแต่ความต้องการของผู้สร้าง และผู้เลือกใช้บริการ .. เลือกสถานที่ให้เข้ากับตัวเราเอง แล้วเราก็จะพักที่นั้น ๆ ได้อย่างมีความสุข

...สะพานข้ามฝั่งยามเช้า ที่ยังไร้ผู้คนเดิน...



...รอบ้างนาน ๆ จังหวะจะมีชาวบ้านเดินผ่านสักคนสองคน ช่วงที่รอจังหวะก็ยืนทอดกายทอดใจปล่อยไหลอารมณ์ไปเรื่อย แบบไม่เสียดายเวลา.. เพราะในเมื่อเวลาแห่งความสุขอยู่ตรงหน้า ก็ไม่น่าจะมีอะไรให้เสียดายอีกแล้ว

...สายน้ำนุ่ม ๆ เปิดสปีดชัตเตอร์ให้ใช้เวลานานขึ้นสักนิด เพื่อให้กล้องได้ทำหน้าที่เก็บภาพความเคลื่อนไหว่างที่ดวงตาเราทำไม่ได้...



...สีสันของเรือถูกเลือกมาเป็นส่วนหนึ่งของภาพ บวกด้วยเงาสะท้อนจากขุนเขา พอมบอกกับตัวเองว่า ภาพที่สวยงามคือภาพที่เราชอบ...

...สายน้ำทุกสายมีส่วนช่วยให้ทั้งสัตว์ ทั้งคน ทั้งต้นไม้ได้มีชีวิตอยู่...



...ลำน้ำซองก็เช่นกันเป็นทั้งบ้าน เป็นห้องทำงาน เป็นห้องครัว ห้องน้ำ สารพัดที่เราจะใช้ประโยชน์ได้จากธรรมชาติ... คิดภาพไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าวันหนึ่งสายน้ำซองต้องเปลี่ยนไป จะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหน

...แสงแดดค่อย ๆ แรงขึ้นจากด้านหลัง...



...สาดส่องกระทบแนวภูเขายามเช้า กลายเป็นขุนเขาสีส้มไปโดยปริยาย... ชาวบ้านที่เริ่มออกมาใช้ชีวิตประจำวันเริ่มบอกถึงสัญญาณวันใหม่อย่างเต็มตัวอีกครั้ง

...ความสดชื่นยามเช้าของวันไม่ใช่เพียงแค่อยู่ภายใต้ธรรมชาติอันอบอุ่น



...แต่การได้ยืนเฝ้ามองทิศทางที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปของแสงและเงา และสภาพแวดล้อม .. อาจไม่ต่างอะไรกับการนั่งดูรายการโปรดผ่านจอโทรทัศน์...

...แสงสีทองได้จางหายไปเรียบร้อย...



...ตอนนี้ความเย็นของอากาศตั้งแต่ยามเช้าค่อย ๆ ถูกแดดเผากลืนหายไป จนเริ่มร้อนขึ้นมาบ้างตามเวลา

...ลักษณะของเขาหินปูนโดยมากก็จะมีพืชพันธุ์ปกคลุมอยู่บ้างเป็นหย่อม ๆ แล้วแต่สลับกันไป


...นักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความสนใจ และเดินทางมาวังเวียงค่อนข้างเยอะพอสมควร .. สังเกตุได้จากตลาดกลางคืนที่ได้เดินเมื่อคืนผ่านมา และจากบริเวณต่าง ๆ



...การเดินทางของชาวต่างชาติที่มาจากแดนไกลบางคนก็โหยหาความศิวิไลซ์ แสงสีเสียง.. แต่บางคนก็เลือกที่จะหาความศิวิไลซ์ในรูปแบบของกลิ่นไอธรรมชาติ...

...และในที่สุดช่วงเวลาอันแสนสุขก็หมดลง.. เมื่อต้องเดินทางกลับ...



...วันนี้ดีใจมากที่ได้เลือกวังเวียงเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายที่เดินทางมา ไม่ผิดหวังที่ได้เดินทางมาเลยแม้แต่น้อย แม้เวลาจะสั้นไปนิดเพราะมีเวลาเดินทางจำกัด .. แต่เชื่อเหลือเกินว่าสักวันจะต้องได้กลับมาที่ดินแดนแห่งนี้ให้ได้อีกสักครั้งก็ยังดี... ปิดท้ายภาพวังเวียงภาพนี้ก่อนจะเดินทางกลับสู่เวียงจันทน์นอนพักอีกสักคืนแล้วเดินทางกลับในอีกวันถัดไป

...สนามบินวัดไต คือจุดสุดท้ายที่ได้เหยียบก่อนจะกลับสู่กรุงเทพเมืองฟ้าอมรที่มีงาน มีคน มีชีวิตที่เร่งรีบวุ่นวาย ระคนรอยยิ้ม และความสุขของการใช้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง


...ก่อนขึ้นเครื่องก็แวะที่เลานจ์ของบางกอกแอร์เวย์สเพื่อเติมพลังก่อนกลับบ้านกันสักเล็กน้อย ซึ่งอย่างที่เห็นว่ามีขนมหวาน คุ๊กกี้ ขนมปังให้เลือกอยู่หลายแบบ.. โดยเลานจ์ที่เปิดให้บริการนี้จะเป็นในส่วนของตั๋ว Business Class


...และแล้วก็ถึงเวลาเครื่องขึ้นเสียที...



...การเดินทางครั้งนี้แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แค่ไม่กี่วัน.. แต่กลับได้พบเห็นอะไรมากมาย วัฒนธรรม วิถีชีวิต รูปแบบของสังคมเมือง ธรรมชาติ ภาษา รอยยิ้ม ผู้คน และอีกหลาย ๆ สิ่งที่จะเป็นแรงกระตุ้นให้สักวันได้เดินทางกลับมาอีกสักครั้ง

...แต่จะเป็นที่ไหนนั้น ลาวเหนือ หลวงพระบาง ลาวใต้ ปากเซ หรือส่วนใดของลาว



...เชื่อเหลือเกินว่าย่อมมีอะไรที่มากมายและแตกต่างจากที่ได้เดินทางมาในวันนี้แน่นอน

...ระหว่างที่นั่งบนเครื่องก็หยิบภาพจากกล้องค่อย ๆ ไล่ย้อนดูอีกครั้งตั้งแต่ภาพแรกไล่ไปเรื่อย ๆ



...ความสุขที่ได้จากการเดินทางนอกจากประสบการณ์มุมมองที่ได้รับแล้ว ภาพที่เป็นตัวแทนของช่วงเวลานั้น ๆ จะยังคงจดจำอยู่ในความทรงจำเสมอ ๆ

...ภาพทุกภาพผมจำช่วงเวลาที่แน่นอนไม่ได้เลยสักภาพ แต่หากจะถามถึงภาพทุกภาพที่ได้ถ่ายเก็บไว้ ผมกลับจำอารมณ์ ณ ช่วงเวลาเหล่านั้นได้ดี ราวกับเพิ่งเกิดขึ้น...



...i cant remember the days . i remember the moments.



ทิ้งท้ายการเดินทางที่ภาพนี้กับภาพของมหานทีลำน้ำโขง .. สายน้ำแห่งมิตรภาพที่กั้นระหว่างฝั่งเราและฝั่งเพื่อนบ้านมาแต่อดีตกาล.. และจะยังเชื่อมความสัมพันธ์ให้งดงามอย่างนี้ต่อไป...



...ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนครับที่แวะเข้ามาชมภาพทั้งชุดนี้ และชุดที่ผ่านมา.. ปีใหม่แล้วขอให้ชีวิตเจอะเจอแต่เรื่องราวที่สดใส เดินทางไปไหนมาไหนให้ปลอดภัยตลอดทุกการเดินทางนะครับ... สวัสดีครับ / ฟอร์ซ่านุ...

...คห.46 วิภาวดี06 - ขอบคุณสำหรับเสียงปรบมือนะครับ ^_^

...คห.47 hippysiam - ขอบคุณมาก ๆ คร๊าบบ

...คห.48 คุณนายแดนไกล - สถานที่เค้าอบอุ่นเลยถ่ายทอดออกมาได้ดีด้วยครับ

...คห.49 tangs - ตาม 2 กระทู้เลย เดินทางมีความสุขและปลอดภัยตลอดทริปนะครับ

...คห.50 pchamaip - ขอบคุณที่ตามดูทั้ง 2 ภาคเลยนะครับ

...คห.51 Nat_NM - ขอบคุณสำหรับคำชมครับ

...คห.52 ตระเวนเที่ยว - ว้าวๆๆๆ ฉลองปีใหม่ เดินทางปลอดภัยให้ได้ภาพสวย ๆ อากาศดีดีนะครับ

...คห.53 เด็กศิลป์ (Artiste) - ไปรถเพื่อนครับ ให้เพื่อนขับส่วนผมนั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ

...คห.54 รักปาฏิหาริย์ - ได้แน่นอนครับ สถานที่เค้าสวยอยู่แล้ว .. สบายใจได้เลย

...คห.55 chaiyotkk - ผมใช้ Nikon D7000 อุปกรณ์ก็มีส่วน ความตั้งใจก็มีส่วนควบคู่กันเลยครับ

...คห.56 ลูกอมpinkk - อย่าลืมหาโอกาสไปเก็บภาพด้วยตัวเองนะครับ

...คห.57 tu_ehub - ฮ่าๆๆๆ คิดว่าภาพนี้จะไม่มีคนสังเกตุซะแล้ว

...คห.58 Ar_charee - ติดตาม 2 ภาคเลย .. ขอบคุณมาก ๆ นะครับ...คห.59 Bnuit - ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับผม ^_^

Forzanu

 วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 14.15 น.

ความคิดเห็น