"Maldives อย่าปล่อยให้มันเป็นเพียงความฝัน"

ณ ดินแดนที่ใครต่าง ๆ ก็เรียกกันว่า "Paradise on Earth" ผมได้ยินคำพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ ภาพรีสอร์ทมุงจากบนน้ำทะเลสีเขียว ตัดกับท้องฟ้า สีฟ้าครามสดใส มันอยู่ในความทรงจำว่าสักวันผมต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง และสุดท้ายฝันนั้นก็กลายเป็นจริง

เอาหล่ะ ผมเฝ้าอ่านรีวิวของท่านอื่นในห้องนี้มามากมาย อยากที่จะตั้งกระทู้เพื่อแชร์ประสบการณ์เดินทาง
ดูเผื่อจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง แต่ก็ทริปแล้วทริปเล่ายังไม่ได้เริ่มสักที เอาเป็นว่าประเดิม เจิมด้วยทริปนี้เลยละกัน หากผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะด้วยครับ

ใครบ้าเที่ยว ใครบ้ากิน ใครบ้าปาร์ตี้ ไปพูดคุย เฮฮา กับผมที่เพจ

FB: จงเจอนี่ - Jongjourney www.facebook.com/Jongjourney/

IG: JONGKONG_JONGJOURNEY

- การวางแผนเดินทาง -

ก่อนเดินทาง ครั้งแรกเลยคือผมตั้งเป้ากับแฟนไว้ว่าอยากไปมัลดีฟส์ด้วยงบคนละ 20,000 บาท (ถามว่าทำได้มั้ยทำได้ครับ ถ้านอนบนเกาะแบบ Local ที่มีชาวมัลดิเวียนอาศัยอยู่ รร. คืนละ 1,000 - 1,500 บาท หาได้ทั่วไปและเน้นออกทริปเอา จริง ๆ ครั้งแรกก็เล็งโรงแรมบนเกาะ Maafushi ไว้ แต่ก็มีคำถามตามมาว่า" มันก็ไม่ใช่มัลดีฟส์แบบที่ฝันไว้สิวะ" มัลดีฟส์มันต้องแบบนอนบ้านกลางน้ำเดินลงไปถึงทะเลดูปลา ดูปะการังได้สินั่นหล่ะครับงบเลยบานมาเป็น 42,000)

ผมจึงเริ่มศึกษาข้อมูลและวางแผนการเดินทาง ในหัวผมก็อยากจะสเปเชี่ยลไปอีก บอกแฟนว่าไม่อยากไปประเทศเดียวขอไปเปรี้ยวอีกสักประเทศจึงเริ่มมองหาไฟลท์ที่สามารถแวะเปลี่ยนเครื่องได้นาน ๆ และเน้นถูกเท่าที่ผมพอใจในราคาก็มี แอร์เอเซีย ที่สามารถแวะเที่ยวกัวลาลัมเปอร์ได้ และก็มี ไทเกอร์แอร์ เจ้านี้แวะลงสิงคโปร์ครับในราคาพอ ๆ กัน แต่สิงคโปร์ผมกับแฟนไปมาแล้ว จึงเลือก แอร์เอฯ เจ้าเก่า โดยมีสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน ผมจึงจองไฟลท์ กัวลาลัมเปอร์-มาเล่ไปก่อน ในวันที่ 11-16 ตุลาคม 2559 ที่ราคา 7400 บาท ส่วนจะไปเที่ยวกัวลาลัมเปอร์ก่อนกี่วันค่อยตัดสินใจ

จากนั้นก่อนไป 1 เดือน ก็มาจอง ดอนเมือง-กัวลา ไป-กลับ 2800 บาท 10-16 ตุลาคม 2559 เท่ากับว่ารวมตั๋วเครื่องไป-กลับ กรุงเทพ-มัลดีฟส์ ในราคา 10,200 บาท ในวันสุดท้ายผมเลือกที่จะใช้เวลาต่อเครื่อง 4 ชั่วโมงครับซึ่งถือว่าโชคดีมาก ๆ เพราะขากลับเครื่องดีเลย์ไปชั่วโมงครึ่ง แถมการจองแบบไม่ทรานสิทเช่นนี้หากไม่ได้เช็คอินก่อนออกจากมัลดีฟส์จะต้องผ่าน ตม. เพื่อออกไปเช็คอินครับ ซึ่งพวกผมวิ่งกันตับแลบเลย สวนทางกับภาพที่คิดไว้มากทีเดียวที่จะมานอนสบาย ๆ ที่หน้าเกท ถือเป็นประสบการณ์ครั้งใหม่ที่ผมเพิ่งเจอ


ส่วนโรงแรมผมจองกับ Booking.com ทั้งหมดเพราะ 1. มีส่วนลด 2. ยกเลิกได้ และ 3. จ่ายที่รีสอร์ทได้ รายละเอียดเอาไว้เล่าสลับไปนะเพราะผมนอนทั้งหมด 3 ที่ ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้ตัวผมเนี่ยไม่งงสะเอง

- พร้อมแล้วลุยเลย -

10 ต.ค. 2559

Day1 From BKK to KL

จขกท.เลือกเดินทางไปกับสายการบินแอร์เอซียไฟลท์ออกเวลา 08.35 มาถึงสนามบินตอน 06.00 ผมมาเช็คอินเอาไว้แล้วก่อนหน้า 1 วัน

ข้อดีของแอร์เอเซียสำหรับจขกท. ในการเดินทางทริปนี้

1. ถูก (ในกรณีที่ไม่กิน ไม่โหลด ไม่อะไรเลย แค่เอาตัวไปนั่งเฉย ๆ พร้อมกับเดินออกมาในอีกประเทศนึง)

2. แวะเที่ยวกัวลาลัมเปอร์ได้ก่อน (โดยการจองแยกกันสองเที่ยวบิน)

ถาม: ทำไมอยากไปกัวลาฯ

ตอบ: อยากกินสะเต๊ะ เท่านั้นเลยพูดจริง!!!

ข้อเสีย

1. มีเที่ยวบินต่อสัปดาห์แค่ 3 เที่ยวบิน มีช้อยวันจำกัดในการอยู่ที่มัลดีฟส์ อาจต้องพักที่มัลดีฟส์ถึง 4 คืน

2. เครื่องออกจากกัวลา 18.55 น. ถึงมัลดีฟส์ 08.30 น. ใช่ครับมึดมากแต่สำหรับผมรับได้ครับ เพราะข้อแรกด้านบน

อาหารบนเครื่องสั่งชุด Breakfast ไว้ครับรสชาติกลาง ๆ

ท้องฟ้าน่าจะเหนือภาคใต้บ้านเรา

ถึงแล้วครับ KLIA2 สนามบินที่คุณจะเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายดีเยี่ยม (คือเดินไกลมาก) ส่วนตม. ก้อผ่านได้อย่างง่ายดาย มาว่าด้วยเรื่องของการเข้าเมือง ผมรู้อยู่สองวิธีนะครับ คือ

1. KL express ค่าโดยสาร KLIA2-KL sentral อยู่ที่ 55RM (ราว ๆ 500 บาท) แต่ 30นาทีถึง

2. Skybus ค่าโดยสาร KLIA2-KL sentral อยู่ที่ 11 RM (ราว ๆ 90 บาท) แต่ 70นาทีถึงขึ้นอยู่กับการจราจรครับ

แน่นอนครับคนอย่างผมเลือกถูกไว้ก่อน เพราะเงินผมน้อย แต่เวลาผมเยอะ

มีป้ายบอกชัดเจนครับเดินไปเลยไม่ต้องกลัวผิด

เดินมาเรื่อยจะเจอ KL Express ก่อนอยู่ชั้นเดียวกับขาออก ตรงข้ามกับ H&M แต่ถ้าจะนั่งรสบัสให้ลงไปชั้นล่างสุดครับ เป็นโซนของรถบัส รถเช่า เท่าที่เห็นสามารถไปได้หลายเหมือนกันแต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาครับเพราะต้องรีบวิ่งไปขึ้นรถ

ระหว่างทางเข้าเมืองหลวง มีรถติดบ้างปะปลาย บ้านเมืองสะอาดตา ไม่มีสายไฟฟ้า มีความคล้าย ๆ กับสิงคโปร์มากทีเดียว


พอถึง KL sentral ด้วยความที่กระเป๋าค่อนข้างหนักผมเลือกนั่งแท็กซี่ไปโรงแรมย่านบูกิตบินตั๋ง ราคา 17 RM การใช้บริการแท็กซี่ที่ KL sentral นี่จะต้องไปที่เค้าเตอร์จำหน่ายตั๋วภายในอาคาร บอกสถานที่ จ่ายเงิน มารอที่จุดรอ และเมื่อขึ้นรถก็นำคูปองให้คนขับเป็นอันเสร็จพิธี
นั่งดูวิวผึ่งแอร์ตามสบาย

โรงแรม Bukit warisan hotel จองผ่าน booking.com ในราคา 1300 บาท ต่อ 3 คน รวมอาหารสองมื้อครับที่คาเฟ่ของโรงแรม โรงแรมค่อนข้างเก่า หน้าโรงแรมกำลังก่อสร้างด้วยเดินค่อนข้างลำบาก แต่ข้อดีคือ ถูก อยู่ในย่านช็อปปิ้ง แหล่งของกิน มีความครึกครื้นทั้งคืน

มาถึงด้วยความหิวโซก็จัดเลยฮะ มีข้าวผัดแบบอินโดนีเซียกินคู่กับไข่ดาว ไก่สะเต๊ะอร่อยมาก และ พาราดาม(คล้ายข้าวเกียบปลาทาโร่) สตูว์หางวัว และฟิชแอนชิบ มื้อนี้รวมอยู่ในราคาห้องพักเลยครับ อร่อยทุกอย่างหรือด้วยความหิวไม่แน่ใจ กินอิ่มก้อไปเดินเล่นที่านบูกิตบินตังครับ อารมณ์คล้าย ๆ สยามบ้านเรา


จากบูกิตบินตังก็นั่งแท็กซี่มา KLCC ราคา 20RM (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าราคาแพงไปหรือเปล่าเพราะลุงคนขับแกบอกราคาแบบเหมาพวกเราก็เห็นว่าพอรับได้) โดยจุดหมายของผมอีกอย่างที่กัวลาฯ คืออยากมาดูตึกแฝด ซึ่งของจริงถือว่าสวยมาก จริง ๆ ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเที่ยวดูสิ่งปลูกสร้างเท่าไหร่ (ออกแนวสายธรรมชาติ) แต่ตึกนี้คือสวยจริง ๆ โดยเฉพาะตอนกลางคืน

Jalan Alor ถนนสายแ..ก

หลังจากทัวร์ตึกแฝดพร้อมกับความหิว ก็ตรงดิ่งมาที่ Jalan Alor ซึ่งเป็นถนนที่มีร้านอาหารยาวเกือบ 1 กิโล ร้านอาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารจีน แบบซีฟู้ดครับ ทุกร้านจะขายคล้าย ๆ กัน มีกุ้ง หอย ปู ปลา แต่ทริปนี้ผมตั้งใจมากินสะเต๊ะ เห็นหลาย ๆ รีวิวบอกว่าอร่อยกว่าบ้านเรามาก ๆ

ซึ่งอร่อยมากจริง ๆ น้ำจิ้มคล้าย ๆ กันแต่ที่ต่างคือกลิ่นเครื่องเทศมันหอมมาก เท่าที่กินมาสามร้านรสชาติจะออกไปทางหวานเหมือนกันหมด สรุปว่าชอบมาก ส่วนไก่ย่างผมว่าเฉย ๆ นะ อีกจานเลยคือ หมี่ผัด เส้นหมี่คล้ายบ้านเราเลยครับ ผัดก้อคล้าย ๆ กัน จะมีอีกจานคือ ลูกชิ้นปลาทอด (Fish cake) อีนี่คือเทพมากมีความนุ่มกรอบ แต่ลืมถ่ายฮะ

ข้อสังเกต

1. อาหารที่นีจานใหญ่ครับ มีหลายไซส์ให้เลือก บางทีแค่ไซส์ s ก้อกินแทบจะไม่หมดอยู่แล้ว

2. ราคาอาหารทั่วไป ที่ไม่ใช่ทะเล อยู่ราว ๆ 10-20 RM ตามขนาดจาน

3. เบียร์ที่มาเลย์แพงมาก กระป๋องละ 100 กว่าบาท ขวดละเกือบ 200 บาทครับ สายเมาเตรียมเงินให้พร้อม

ในร้านอาหารราคาเท่า ๆ 7-11 เลย

4. บุหรี่ก็แพงครับ มาร์โบโร่ ซองละ 200 กว่าบาททางที่ดีเตรียมมาจะดีกว่า

กินเสร็จก็ซื้อเบียร์ไปกินบนโรงแรม พูด คุย เฮฮา ดื่มไปดื่มมาก็ได้เวลาแ.กอีกแล้ว "เฮ้ยกูอยากกินสะเต๊ะอีก" เสียงผมตะโกนออกไป "เออไปดิ" เพื่อนกับแฟนผมตะโกนกลับมา ณ เวลา ตีหนึ่ง พวกเราลงไปทัวร์ Jalan Alor อีกรอบด้วยความเมาก็เลือกมันร้านแรกของถนนนี่แหละ ปรากฎว่ามันอร่อยมาก

ซี่โครงหมูทอดราดซอสน้ำผึ้ง นุ่มหอมหวาน เทพมาก

จานนี้ผมจำชื่อมาเลย์ไม่ได้ แต่มันคือผักบุ้งผัดกะปิ อร่อยสุดดดดดด ๆ ด เด็ก ล้านตัวจริง ๆ มีสะเต๊ะด้วยแต่ลืมถ่าย ปอบลงนิสหน่อย เป็นอันว่าปิดท้ายวันแรก พุงก็จะแตกแล้ว

11 ต.ค. 2559

Day 2 สบาย ๆ ใน KL ก่อนบินไปสู่สวรรค์ในความฝัน

เช้าวันที่ 2 ลืมตาขึ้นมาตอน 11.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ล่วงเลยเกินมื้ออาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อย แต่อันที่จริงเมิงยังไม่ควรคิดเรื่องอาหาร เมิงควรรีบไปอาบน้ำเก็บของให้ทันเช็คเอ้าท์ก่อนมั้ย หลังจากเช็คเอ้าท์เที่ยงพอดิบพอดีก็เดินมากิน อาหารเช้าปนเที่ยงที่ Connoisseurs Cafe หน้าห้าง fahrenheit 88 จุดสังเกตเป็นร้านสีขาว ๆ หน้าช็อป sephora ครับ ร้านตกแต่งได้สวยงามครับ ออกแนวคาเฟ่ มีอาหารทั้งยุโรปและมาเลย์ ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบร้านอื่นที่นี่ แต่ก็ตกราว ๆ จานละ 200 บาทไทยเมื่อเทียบกับคุณภาพผมว่าไม่แพง อร่อยแนะนำเลย

จานแรก Nasi Lemak ข้าวคลุกกะทิเสริฟพร้อมไก่ทอด น้ำพริกเผามั้งคล้ายอะ ไข่ต้มและปลาตัวเล็กกรอบ อร่อยกว่าที่คิดเยอะมากจานนี้

จานสอง Ayam percik เป็นข้าวแกงไก่กะทิกินกะไข่เค็มและข้าวเกียบ เพิ่มรสชาติด้วยพริกกะปิกระเทียม เป็นจานที่มีความละไม้คล้ายอาหารบ้านเรามากทีเดียว

แต่กินรวม ๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกินนน มีความสุขกินของอร่อย

ปิดท้ายด้วยทีรามิสึ หอมกาแฟมาก ๆ มีความนุ่ม ความฉ่ำ ละมุนมาก เป็นทีรามิสึที่ผมชอบที่สุดละจานนี้

ได้เวลาไปสนามบินแล้ววววว.....นั่ง Monorail จาก สถานี Airasia Bukit Bintang
เพื่อไป KL Sentral และต่อ KL Express ไปสนามบิน KLIA 2 ค่าโดยสาร 2.6 Rm

มาถึงสนามบินอย่างง่ายดายใช้เวลาประมาณ 30 นาที ในราคา 55RM (เกือบ 500 บาท) สนามบินที่นี่ไม่น่าเบื่อนะครับ มาเดินเล่น ช็อปปิ้ง ดื่มชา จิบกาแฟ หาไรกิน ผมใช้เวลารอเครื่องเกือบห้าชั่วโมงไม่เบื่อเลยครับ จริง ๆ โคตรเห่อกลัวไม่ได้ไปมัลดีฟส์ครับ

จิบชาสะหน่อย ที่ร้าน Hometown มีทั้งชา กาแฟ ขนมปัง อาหารมาเลย์ อาหารตะวันตก ครบครันไม่ต้องเถียงกับเพื่อนร่วมทาง

ชา มีความหอมมาก แต่ ผม พลาดเองที่สั่ง เฟรนโทส ไส้สังขยา และเนยถั่ว ผมว่ามันเลี่ยนมาก (ขนาดเป็นคนชอบของทอดแล้วนะ)

เจอกระหรี่พัฟ ขอลองหน่อย ไส้มัน มีเครื่องเทศหนักมาก สรุป ชอบที่บ้านเรามากกว่า

ได้เวลาแล้ววววววววไปมัลดีฟส์กันนนนนนนที่สนามบิน KLIA2 เผื่อเวลาให้มากหน่อยนะครับเพราะ

1. เดินไกลมาก

2. ตรวจสัมภาระใช้เวลานานมาก

ทั้งหมดใช้เวลาราว ๆ 40 นาทีหลังจากผ่าน ตม. เข้ามาแล้ว ถ้ามีเวลาประมาณนี้อย่าเพลิดเพลินกับการช็อปปิ้งเป็นอันขาดอาจจะทำให้ตกเครื่องเป็นแน่

ถึงแล้วววว มัลดีฟส์ รีบวิ่งออกไปดูน้ำทะเลก่อนอย่างแรกเลยยยย

บรรยากาศสนามบินออกมาจากอาคารผู้โดยสารสัก 50 ก้าวก็เจอทะเลแล้ว

อยากให้เช้าไว ๆ

หิวข้าว ด้วยความกลัวที่ Hulhumele ร้านรวงจะปิดตัดสินใจซื้อข้าวที่สนามบินตุนไว้ก่อนกันเหนียว
และ Thai Express คือคำตอบสุดท้าย

เอิ่มมมราคา ข้าวกระเพราไก่ เกือบ 500 บาทใช่ครับเกือบ 500 บาท หรือจะกินไข่เจียวก็เกือบ 500 บาทดี
เราเลือกกระเพราไก่ครับ ซึ่งอร่อยมากซึ่งผัดกระเพราจะอร่อยมากเป็นพิเศษเมื่อเรากินนอกประเทศจริง ๆ นะ

คืนนี้เราพักที่โรงแรมบนเกาะ Hulhumale มีวิธีเดินทางที่ผมรู้อยู่สองวิธี

1. ให้รถโรงแรมมารับ ราคา 10Us

2. นั่งรถ Shuttle bus ราคา 1US

แน่นอนครับคนอย่างผมย่อมเลือกของถูกเพราะเงินผมน้อยแต่เวลาผมเยอะ โดยป้ายรถบัสจากร้าน Thai Express เดินออกมาทางซ้ายเลยครับไม่น่าเกิน 30 ก้าว

หน้าตาป้ายรถรถบัส

ตารางรถมีทุก ๆ ครึ่งชั่วโมงรอบสุดท้าย 23.30 น. ไม่ต้องกลัวเต็มครับมาครั้งละสองคัน

Iberry Inn โรงแรมที่เราพักที่ Hulhumale ราคาคืนละ 1,800 บาท สำหรับ 3 คน บวกอาหารเช้า
พนักงานที่นี่น่ารักมาก ๆ ช่วยเหลือเราทุก ๆ อย่าง ทั้งติดต่อกับรีสอร์ทเพื่อคอนเฟิร์มว่าเราจะไปพัก
รวมถึงให้เพิ่มอาหารเช้านอกเหนือจากที่โรงแรมจัดให้ด้วยครับ แนะนำสุด ๆ ครับ หากต้องมานอนค้างที่นี่ก่อนหนึ่งคืน

มาถึงก็ออกสำรวจกันเลยมาเจอร้านข้าวแกงคนค่อนข้างเยอะเลยซื้อกลับไปกินที่ห้อง

ไม่กลัวครับเพราะมีข้าวกระเพราไก่ อุ่นใจนิดนึง

Take Away ในแบบฉบับของมัลดิเวียนครับ เป็นนักเดินทางต้องปรับตัวให้เก่งหน่อย แต่ว่า..แกงเนื้อที่นี่อร่อยเหาะเลย

อยากให้กระพริบตาแล้วเจอพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ ฝันดีครับ


12 ต.ค. 2559

Day 3 From Hulhumale To Paradise (Adaraan Club Rannalhi)

Good Morning Hulhumale, Maldives กองทัพต้องเดินด้วยท้อง กับชุดอาหารเช้าของโรงแรม กับบรรยากาศสบาย ๆ เงียบสงบ

ระหว่างที่กินอาหารเช้าของเราอยู่ ก็มีแขกที่เป็นแขก (งงมั้ย ไม่งงเน๊อะ) มาที่คาเฟ่ของโรงแรม แต่คราวนี้เจ้าของก็ถามว่า "ยูจะรับอาหารเช้าแบบ Local หรือ Western" แขกที่เป็นแขก "สั่งแบบ Local"
ผมกับเพื่อนมองหน้ากันอ่าวที่พวกตูทำไมไม่ถาม พวกเรามันสายแ.ก นะเว้ยย มาถิ่นต้องกินอาหารถิ่นสิครับ ไข่ดาว ไส้กรอกบ้านไอก็มีนะ เลยขอลองบ้าง อาหารจานนี้มีชื่อว่า "Pullimas" เป็นแป้งโรตี กินกับซุปกะหรี่ไก่ (รสชาติออกหวาน ๆ เค็ม ๆ มีกลิ่นหอมของผงกะหรี่ ลองนึกถึงไส้มะตะบะแล้วเติมน้ำซุปรสชาติประมาณนั้น) ส่วนแดง ๆ เป็นผัดพริกแกงไก่ออกเค็ม ๆ เผ็ด ๆ ผมชอบอีกแล้ว ไม่แย่นะ แต่ที่รู้สึกดีกว่ารสชาติ คือ เจ้าของไม่คิดเงินครับ น่ารักจริง ๆ ที่นี่ คนที่นี่หน้าตาออกน่ากลัวแต่น่ารักทุกคนเลย น่ารักกว่า ที่ KL เยอะมากมาย

อิ่มแล้วได้เวลาสำรวจ Hulhumale สะหน่อย Hulhumale เท่าที่ผมเห็นเดาว่าน่าจะเป็นเกาะที่สร้างขึ้นใหม่มีการวางเมืองที่เป็นระเบียบ ผมเคยอ่านข่าวของคนมัลดีฟส์เห็นรัฐบาลกำลังเปิดขายเฟสที่ 2 อยู่ด้วยนะ จะแบ่งขายเป็นบล็อค ๆ ถ้าจำราคาหรืออ่านไม่ผิดน่าจะอยู่ที่ตารางเมตรละ 200 US เผื่อใครสนใจ พวกเรามีเวลาเหลือ ๆ ครับเพราะต้องรอแฟนเพื่อนผมบินมาสมทบเพิ่มอีกคนจากตุรกีตอนบ่ายสอง ฉะนั้นก็พักผ่อนตามอัธยาศัย ก่อนไปสนามบิน เพื่อนั่งเรือไปยังรีสอร์ท

Hulhumale Beach เป็นแนวหาดยาวขนานกับเกาะเลย สะอาด น้ำใส ถือเป็นการเสริฟออร์เดิร์ฟกันก่อน

ก่อนไปสนามบิน จัดอาหารเที่ยงกันก่อน ติดใจแกงเนื้อเมื่อคืน ที่เพิ่มเติมคือ ข้าวหมกเนื้อ จะบอกว่าจานนี้เป็นเป็นข้าวหมก ที่อร่อยที่สุดที่ผมเคยกินมาเลย คือมันหอมมาก ๆ นึกแล้วก็หิว อีกจานเป็นไก่ผัดเปรี้ยวหวาน รสชาติดีหอมเครื่องเทศ แล้วก็มีไก่ทอดราดน้ำแกง ไก่ทอดที่นี่ทอดแห้งมากออกแข็ง ๆ ไม่ผ่านอย่างแรง มื้อนี่หมดไป 14US (490บาท)

โรตี กินคู่กับไก่ผัดผงกะหรี่และมันฝรั่ง แฟนผมกินหมดเกลี้ยงถือว่าผ่าน

อิ่มแล้วเดินทางกันต่อบน shuttle bus ระหว่างสนามบินกับเมือง Hulhumale ค่าโดยสาร 20 รูฟิยา แต่เราจ่ายในราคา 4US/3คน เก็บเงินหน้าประตูรถเลยนะครับแอบเสียดายไม่ได้ถ่ายจุดขึ้นรถด้วยความรีบ บวกฝนตก (คนที่นี่แอบมีโกงนะครับ ตอนแรกเพื่อนผมถามว่า"ถ้าไอจ่ายเป็นUSเท่าไหร่" คนเก็บเงินบอกว่า "5 US" เพื่อนเลยบอกไปว่า "เมื่อคืนขามาเราจ่ายไปแค่ 4 US" เขาก็อะ ๆ โอเค๊ ๆ)

พอมาถึงก็เดินไปหาเค้าเตอร์รีสอร์ทครับ สำหรับรีสอร์ทในเครือของ Adaraan Club ทั้งหมดจะอยู่เค้าเตอร์หมายเลข E2 (เดินออกจากสนามบินมาอยู่ขวามือครับ) หลังจากที่เราจองรีสอร์ทเรียบร้อยเอาก็อีเมลบอกกับรีสอร์ทว่าเราจะมาถึงกี่โมงทางรีสอร์ทจะเตรียมเรือรอ รีสอร์ทคิดค่าบริการไป-กลับ 155++ Us/คน (5425++บาท) อาจจะมีรอผู้เข้าพักคนอื่น ๆ บ้างในกรณีที่มาใกล้เคียงกันอย่างของพวกเรารอประประมาณ 30 นาที พอสมาชิกมาครบแล้วก็ลุยกันเลยยยย

หลังจากนั้นก็มานั่ง ๆ ยืน ๆ รอนั่งเรือไปที่รีสอร์ท ที่เห็นไกล ๆ นั่นคือ มาเล่ เมืองหลวงครับ

ภาพเรือเร็วของรีสอร์ท ยืมภาพจาก TripAdvisor

ถึงแล้วครับ Adaraan club rannalhi ท้องฟ้าแจ่มใส น้ำทะเลก็เช่นกัน เป็นโรงแรมในเครือของประเทศ ศรีลังกาอยู่ห่างจากสนามบินประมาณ 70 กม. ใช้เวลาเดินทางด้วยเรือเร็ว ประมาน 50 นาที ค่าเรือไป-กลับ 155++ us

- ตอนเชคอินมีปัญหาบ้างเล็กน้อย เนื่องจากบัตรเดบิตสองใบของเพื่อนผมรูดไม่ผ่าน (ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันแต่ไม่ใช่เรื่องวงเงินแน่นอน) สุดท้ายแฟนเพื่อนผมต้องใช้เงินสดในการจ่าย

- ราคาทุกอย่างที่โรงแรมบอกมายังไม่รวม Vat 12% และ Service Charge 10% รวมถึง Environment tax อีก 6US/คน/คืน นะครับ

เผื่อใครมีการคำนวณ คชจ. จะได้ไม่พลาด

Welcome Drink ชามะนาวเย็น ๆ กับผ้าเย็น เย็น ๆ แก้เมาเรือดีเหลือเกิน

ตัดมาที่ราคารีสอร์ทกันก่อน ผมพักที่ Adaraan Club Rannalhi ทั้งหมด 3 คืน คือ 12-15 ตุลาคม 2559 โดยครั้งแรกผมกะจะพักที่นี่และจองแล้วแค่ 2 คืน คือ 13-15 แต่พอคิดไปคิดมาผมเพิ่มเงินอีกประมาณ 5,000 บาท ได้อาหาร 3 มื้อ + เครื่องดื่มถือว่าคุ้มค่าเลยจองสะสามคืนเลย

คืนแรกและคืนที่สอง ผมจองห้องแบบ Standard ในราคารวมแบบ all-inclusive (อาหาร3มื้อ+เครื่องดื่มไม่อั้น) ได้มาที่ 7500บาท และ 6800 บาทตามลำดับ จาก booking.com กว่าจะได้ราคานี้ก็นานอยู่ครับปกติห้องที่นี่ราคา หนึ่งหมื่นอัพตลอด ต้องยอมรับว่าผมก็ใช้เทคนิดไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โดยเทคนิคง่าย ๆ ให้ได้ราคาถูก คือ

1. จองห้องที่สามารถยกเลิกได้

2. โปรโมชั่นมักจะออกมาช่วงเย็น ๆ ถึง ค่ำ

3. หมั่นเชคราคาบ่อย ๆ ผมเข้า Booking เกือบจะวันเว้นวันเลย

4. เจอราคาที่ถูกกว่าเมื่อไหร่ก้อจองใหม่ซะ เข้าไปยกเลิกของเดิมเท่านั้นแหละราคานี้ผมว่ากินแอลกอฮอลก็แทบจะคุ้มแล้ว

- ราคาสำหรับห้องแบบ Standard คืนวันที่ 12 และ 13 ต.ค.

ส่วนคืนวันที่ 14 ผมจองห้องพักแบบ Water Villa (All-Inclusive) มาในราคาห้องละ 11,700 บาท ตอนจองนั้นรีสอร์ทลดราคาเกือบ 50% ปกติคืนละเฉียด ๆ สองหมื่นเลยครับสำหรับที่นี่

เชคอินเสร็จก็ได้เวลาเข้าห้องพักผ่อนหน้าตาห้องแบบ Standard ห้องสภาพค่อนข้างดีเลยครับ ห้องพักที่รีสอร์ทนี้ทุกห้องติดทะเลหมด

เดิน 10 ก้าวก้อจะถึงชายหาดแล้ว .....

เก็บของเสร็จก็ออกไปหาเบียร์เย็น ๆ ดื่มกันที่บาร์ เครื่องดื่มฟรีสามารถขอได้ที่บาร์เท่านั้น ในรีสอร์ทจะมีอยู่สองบาร์ สามารถมาเมาได้ตั้งแต่ 10 โมงเช้า - เที่ยงคืนครับ ใครไหวจัดหนักเลย ส่วนเบียร์จะเทให้ใส่ในแก้ว ยี่ห้อคาร์ลเบิก แอลอื่น ๆ จะมี ไวน์ จิน รัม วอดก้าอะไรเทือกนั้น แต่ผมขอเบียร์นี่แหละ นอกจากแอลก็มี น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ชากาแฟ ของว่าง ตลอดที่บาร์ จัดกันให้เบาหวานมากันเลย

กินเบียร์ไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกไป ฟินนนนนน ครับ

คอกเทลก็มีนะ แต่เสียเงินเพิ่มที่สั่งเพราะเป็นแฮปปี้ฮาว 1แถม 1 และก็ชอบบริการของพนักงานที่มาถามด้วยครับที่เอาเบียร์มาเสริฟให้ตลอด ปกติต้องไปเอาเองที่บาร์

:: เมาเบอร์ไหน ถามภาพดูวว ::

Nika Bar ยามค่ำคืน

ได้เวลาอาหารเย็นแล้ววว เดินเซ มากินเลยทีเดียว ลูกค้าแบบ All-Inclusive สามารถมากินอาหารได้ที่ Main restaurant ได้ที่เดียวครับ


หน้าตาอาหารครับ ในส่วนของไลน์อาหารส่วนใหญ่เป็นยุโรป และมัลดิเวียน จะมีอาหารของเอเซียฝั่งตะวันออกบ้างสลับกันไป วัตถุดิบหลักเน้นไปทาง เนื้อหมู ไก่ วัว และปลา ปลาทูน่านี่คือมีทุกมื้อ ทุกวัน คาดว่าคงจะจับได้เอง เล่นเอาผมเบื่อปลาทูน่าไปเลย

สเต็กเนื้อ ทำได้ดีครับ แต่ต้องเลือกชิ้นสวย ๆ หน่อย บางส่วนก็เหนียวซะปวดฟัน

สเต็กหมู ของโปรดแฟนผม กินได้ทุกมื้อไม่มีเบื่อ

ไลน์ของหวานกันบ้าง ส่วนใหญ่เป็นผลไม้ เค้ก ไอศครีม พุดดิ้ง มูสสส และครัมเบิ้ล (สลับผลไม้ไปในแต่ละวัน)

ลองทุกอย่าง พอใช้ได้ ไม่ถึงกับ ว้าววว และไม่ถึงกับแย่

.
.
.
ปิดท้ายวันที่สามด้วยขนมจานนี้นะครับ ขอไปนอนอืดแพรบบบ


13 ตุลาคม 2559

Day 4 I'm woke up in paradise

เป็นวันที่ไม่สดใสเอาสะเลย เมื่อพวกเราได้รู้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องพ่อของพวกเรา ขนาดท้องฟ้ายังมึดหม่น และพายุเข้าตลอดทั้งวันขนาดฟ้าฝนยังร่วมร้องไห้ไปกับพวกเราเลย ขอให้พระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัย

ตื่นมานั่งจิบกาแฟชิลล์ ๆ หน้าบ้านชิลล์สิครัชไปไหนไม่รอดพายุลง ลมแรง และคลื่นสูงมาก

ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว (อาหารเช้าที่นี่มีบริการ ตั้งแต่ 07.30 - 09.30 น. ถึงเวลาไม่คอยนะครับ
วันสุดท้ายผมตื่นสายเก็บต่อหน้า ต่อตาเลย) ส่วนเรื่องที่นั่งนั้นจะต้องนั่งที่เดิมตลอดทั้งทริป

ผมกินเบคอนหนักมาก ทีเด็ดอาหารเช้าคือ ออมเล็ตไส้ชีส ไข่เจียวก็เจียวปกตินี่แหละใส่หอม พริก พอจะเสร็จถามใส่ชีสมั้ยบอกไปเลยว่า "Extra Extra" สวรรค์ที่ปากไปเลยเลยชีสเยิ้ม ๆ แหมะน้ำลายไหลไปอีก โดยภาพรวมอาหารเช้าเน้นไปทางยุโรปครับ อยู่สามวันเมนูเดิมสามวันติดเลยครัช

จี่กันสด ๆ ไม่มีแห้ง

วาฟเฟิล & แพนเค้ก ซอส และเครื่องใส่เพียบเลย ทำสนุกเลยครับ

ไลน์ขนมปังกันบ้าง นอกเหนือจากนี้ก็มีพวกคอนเฟลก โยเกิร์ต น้ำผลไม้

อิ่มแล้วก็เดินย่อยกันไป อยากดำน้ำมากมาย แต่ลมขนาดนี้เสียวจมจริง ๆ

ตัวอย่าง กิจกรรมที่สามารถจ่ายเงินเพิ่มได้ อย่างดินเนอร์ล็อปเตอร์ ที่ยกไปเสริฟที่บ้านพักราคา 55+US/คนหรือ Candle Dinner ราคา 90+US/คน

กีฬาทางน้ำค่อนข้างหลากหลายมากครับ มีSurf windsurf Jetski เรือแคนู ฯลฯ ราคาก็ อื้มมมมมมมมมมมมมมม

แด่วันพายุเข้า ฝนตก พับกิจกรรมทุกอย่างที่เตรียมไว้ในหัวแล้วมานั่งมองทะเล กับบ้านในฝันกัน
ในส่วนนี้จะอยู่ทางด้านหลังเกาะมีบาร์เล็ก ๆ อีกหนึ่งบาร์คนจะไม่ค่อยเดินมากันครับส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มพักที่ Water Villa

:: ระหว่างนั่งมองบ้านในฝันกัน พวกเราเดินไปเอาของในบ้านกันก็มีพนักงานมาบอกว่า "พวกยูต้องเปลี่ยนไปนอน Water Bangalow แล้วนะวันนี้" เอาหล่ะสิทุกคนมองหน้ากันแล้วมองมาที่ผมคิดว่าผมจองผิดวันจริง ๆ ผมจองบ้านกลางทะเลไว้คืนวันสุดท้ายแต่ไหนจะมาให้ย้ายวันนี้เพื่อนผมเลยถามว่า "แล้วอีกวันเราต้องย้ายกลับมานอนที่นี่อีกมั้ย" คำตอบคือ "ไม่ต้อง" พวกยูได้นอน Water Bangalow สองคืนไปรีบเก็บของเดี๋ยวมีพนักงานมาขนไปให้

เอ้าทุกคนมองหน้ากันสตั้น 38 วินาที ใจตูนี่เต้นตึก ๆๆๆ ความรู้สึกหลาย ๆ อย่างรวมกันในหัว แล้วพูดว่า อิเชรี่ยรอไรครัช รีบไปเก็บกระเป๋าสิเดี๋ยวแม่มมเปลี่ยนใจ ณ เวลาตอนนั้น 11.45 มีเวลา 15 นาทีในการเก็บของ โกยอย่างเดียวให้เสร็จไว ๆ ยังไงพวกตูไม่ยอมละนะ ยังไงก็ต้องย้าย สรุปว่าคืนที่ 2 จากที่เราจ่ายกันในคืนละ 6,900 บาท เลยกลายเป็นได้นอนบ้านในฝัน ฟินไปอีก 38 ต่อ จนกลับมาได้จะสองอาทิตย์ก็ยังไม่รู้เลยว่าทำไมได้อัพเกรด

โดยห้องของพวกเรา 4 คน 2 ห้องอยู่ชั้นบนครับ ถึงจะไม่มีบันไดสู่ทะเลโดยตรงแต่ได้พื้นที่หน้าระเบียงห้อง ซึ่งผมว่าเป็นมุมดูวิวรีสอร์ทที่ดีที่สุด คือ เห็นเป็นแบบ พาโนรามาเลยฮะ

วาร์บมาที่ห้องแบบ Water Villa หน้าตาในห้องอะไรต่าง ๆ ก็ไม่ต่างจากห้อง standard เท่าไหร่ จริง ๆ ผมจองในคืนสุดท้ายในราคา 11700 บาท น่าจะเป็น Water Villa แบบ All-Inclusive ที่น่าจะถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ใน booking ละ

แต่ แต่ ที่ไม่เหมือนคือ วิววววววววววววววว ภาพจากเตียงนอน นอนดูทะเลฟังเสียงคลื่น เหมือนฝันไปจริง ๆ ครับ

ของใช้ครบครัน ขาดแต่ที่ปั่นหู เศร้าใจ

มินิบาร์ มูลค่าร่วมหมื่น

เปิดประตูออกมา เมื่อไหร่ลมจะสงบหนอออ ไม่จริงเสมอไปนะครับในวันที่พายุเข้า ที่บอกกันว่า ที่มัลดีฟส์ฝนจะตกแค่ 30 นาที แล้วแดดก็ออก วันนี้ที่มัลดีฟส์แทบไม่เห็นแดดเลย

เป็นการ .. ที่มีความสุขมาก

หลังจากฝนกระหน่ำมาทั้งวันก็ได้เวลาแดดออกแล้ว ข่าวดีชะมัด พอฝนกับแดดมาเจอกันก็จะเจอภาพแบบนี้

จากระเบียงห้อง

หลังจากนอนเล่นฟินนน ๆ ก็ได้เวลาอาหารเย็น ออกมาเดินเล่น มีคนขอแต่งงานกันด้วยแหละ
คน ๆ นั้นคือผมเอง 55555555555

เพื่อนผมเป็นคนจัดการให้ทั้งหมดครับ งานทั้งหมดนี้ถูกทำขึ้นโดยสั่ง Moet Chandon 1 ขวด + ค่าสถานที่ 150+US ก็ถูกจัดขึ้นในแบบที่ประทับใจไม่รู้ลืม พนักงานที่นี่เต็มที่มาก ๆ กับทุก ๆ เรื่อง รวมถึงเพื่อนรักผมด้วย ที่เซอไพรซ์ จนผมเองก็เซอไพรซ์ พิมพ์ไปน้ำตาจะไหลไป

ในส่วนอาหารเย็นก็แบบเดิม ๆ วนไปนะครับเลยไม่ได้ถ่ายมา พออิ่มข้าวแล้วก็มาเมากัน ขอเบียร์แบบ take away จะใส่แก้วพลาสติกให้ต้องแบกเบียร์มาจากฝั่งไกลแค่ไหนไม่หวั่น หวั่นอย่างเดียวคือไม่เมา ก็อยู่บ้านสวยก็ต้องกินที่ระเบียงสิเน๊อะ

ก็เพราะมองลงมาเจอแบบนี้ พอตกกลางคืนฟ้าเริ่มใสแล้ว บ๊าย บาย พายุ ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันที่สดใสด้วยเถิด

พอหันขวาไปก็เจอแบบนี้

.
.
.
จบวันที่ 4 ของการเดินทางด้วยภาพนี้ครับ ไปนอนฟังเสียงคลื่นก่อนละ


14 ตุลาคม 2559

Day 5 Hello Sunshine

Good Morning with Sunshineเช้านี้มีแขกที่เราต้องการพบเป็นอย่างมากมาเคาะเรียกที่หน้าต่าง "เอ้า สวัสดีครับ คุณอาทิตย์" อย่ารอช้าผมรีบลุกขึ้นมาเปิดประตูห้องเพื่อพบกับวันที่สวยที่สุดของทริป ดวงอาทิตย์กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ สาดแสงส่องเต็มกำลังลงมายังพื้นน้ำทะเล เป็นภาพที่ผมจะจดจำตลอดไป

เอาอีก

รัว ๆ

เดินมาดูระเบียงอีกฝั่งกันมั่ง

อย่ารอช้ารีบอาบน้ำ ไปกินข้าว เช่าสน็อกเกิ้ล และไปดำน้ำกานนนนน

หันหลังกลับมาที่บ้าน

จากมุมไกลมั่ง

กินข้าวเสร็จก็มาเช่าสน็อกเกิ้ล กับตีนกบ ราคาต่อหนึ่งวัน (นับไป 24 ชม.ได้เลยค่อยคืน) 10+ us/ชุด ถ้าจะเช่าอย่างใดอย่างหนึ่งก็ 7+ us/ชุด ทุกอย่างที่ซื้อหรือใช้บริการบนเกาะลงบิลห้องไว้ครับ ค่อยมาเคลียร์ก่อนกลับทีเดียว

พร้อมละลุยกันเลยยย

ฝูงปลามารอรับที่บันไดกันเลย

Sea Sand Sun Sky and ME

บ้านเราเอง

แอบไปดูบ้านคนอื่นมั่ง สวยคือกัน

ส่วนใหญ่มีแต่ปลาตัวเล็ก

ปะการังสีสันไม่จัดจ้านเท่าไหร่ ดีตรงที่ลงจากบ้านแล้วก็เจอเลยเท่านั้น

- Alone but not lonely -
สาว ๆ ดำกันได้ครึ่งชั่วโมงก็ขึ้นไปนอนตากแดด ส่วนผมนาน ๆ ที ขอยาว ๆ เลย อยู่กับ ปลา ปะการัง ผมว่ามันเงียบ สงบ ดีนะ ยิ่งไปในที่น้ำลึก ๆ ด้วยแล้วน้ำก็ยิ่งเย็นขึ้น ความรู้สึกตอนนั้นสุดจะบรรยาย

ดำน้ำเสร็จก็ได้เวลาอาหารเที่ยง อาหารเที่ยงก็คล้าย ๆ กับอาหารเย็นแต่จะมีไลน์ไม่เยอะเท่า

สลัดมีทุกมื้อ

พาราดาม (ข้าวเกรียบปลา) กับแกงกะหรี่ก็มีแทบทุกมื้อเช่นกันประเทศนี้มีลักษณะเป็นเกาะ อาหารทุกอย่างต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่างผลไม้เหลือกลางคืน กลางวันก็กลายมาเป็นฟรุ๊ตสลัด หรือปลาย่างเหลือ ตอนเช้าก็มักจะมีแกงกะหรี่ปลา เราโชคดีเหลือเกินที่อยู่ในประเทศที่มีอาหารกินเหลือเฟือ

อิ่มจากข้าวเที่ยงก็หอบเบียร์กลับห้อง จะเอากี่แก้วแล้วแต่เลยจ๊ะ All you can carry
ลมก็แรงการแบกเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่ความรักที่มีต่อเบียร์ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด

Wake eat dive drink sleep..replete
นอกจากนั้นก็ถ่ายรูปวนไปชีวิตติดเกาะแต่โคตรมีความสุขเลย

.
.
.
จบวันที่ 5 วันที่มัลดีฟส์สวยที่สุด


15 ตุลาคม 2559
Day 6 Time to say goodbye

การจากลาสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละครั้ง ไม่เคยเป็นเรื่องง่ายสำหรับผมเลยแม้แต่ครั้งเดียวแล้วยิ่งเป็นมัลดีฟส์ด้วยแล้ว ผมกำลังจะต้องจากลาชีวิตที่มีแค่ ตื่น.กิน.ดำน้ำ.ดื่ม.ถ่ายรูป.และทำซ้ำ ไปสู่โลกแห่งความจริง เฮ้อ...

เช้านี้แดดดี ไม่แพ้ไปกว่าเมื่อวาน จัดไปหลาย ๆ แชะ ก่อนวันสุดท้ายทางรีสอร์ทจะโทรมาถามไฟลท์ที่เราจะกลับ รวมถึงรอบเรือที่ต้องการไปสนามบิน ผมไม่แน่ใจว่าทั้งหมดมีกี่รอบ แต่ที่ทางรีสอร์ทให้ตัวเลือกมาคือ 12.30 กับ 16.30 เนื่องจากเที่ยวบินเราคือ 20.55 น. จึงเลือกกลับตอน 16.30 น. โดยจะต้องเชคอินตอนเวลา 12.00 น.แต่ก็ไม่ได้เก็บสายริชแบนสำหรับ All-Inclusive ไปนะ หมายความว่าเราสามารถใช้สิทธิ์ All-Inclusive ได้จนกว่าจะกลับ

อาบน้ำ ไปกินข้าว รีบเอาตีนกบไปคืน

จากนั้นก็มาเก็บของ วางกระเป๋าที่หน้าห้องได้เลยครับจะมีพนักงานมานำไปไว้ให้ที่ล็อบบี้ครับ
ไปเคลียร์หนี้สินที่ติดไว้ ระหว่างการพัก จากนั้นก็ไปกินข้าวเที่ยง เที่ยงนี้มีปูครับ เป็นอาหารทะเลมื้อแรกนอกจากปลา ผมเลยจัดหนัก

นั่ง ๆ กินเบียร์ที่บาร์ ก็ได้เวลากลับแล้ว หงอยกันไปตามระเบียบบบ

ลาแล้วนะ Adaraan ไว้เจอกันใหม่ ใครมามัลดีฟส์ ผมโคตรแนะนำที่นี่เลย พนักงานน่ารักทุกคน บริการดี อาหารอร่อยคือมันเป็น 4 วัน ที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต

ถึงแล้วสนามบินพอมาถึงที่สนามบินจะมีเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทไปเช็คเกี่ยวกับรายละเอียดของเที่ยวบิน แถวที่ต้องไป เวลาเท่าไหร่ ผมคิดในใจเลยว่าต้องทำกันขนาดนี้เลยเหรอ คือแค่ที่ผ่านก็โอเครมากละ แต่แบบนี้ยิ่งทำให้ประทับใจเข้าไปใหญ่

ป.ล.

- ถึงสนามบินที่มัลดีฟส์นี้จะเล็กพอ ๆ กับเชียงใหม่แต่ว่าไฟลท์แน่นมากนักท่องเที่ยวเยอะมากอย่างเค้าเตอร์ของแอร์เอเซียมีเพียง 2 เค้าเตอร์

สำหรับผู้โดยสารชั้น Economy และพนักงานเคร่งครัดเรื่องน้ำหนักกระเป๋ามาก คือเกินจะไล่ไปจ่ายเงินทั้งหมด ทำให้แต่ละเคสใช้เวลาร่วม 15 นาที พวกเรารอเกือบ 40 นาทีสำหรับการเช็คอิน ทางที่ดีควร self check-in มาก่อนเลย สัมภาระก็ไม่ควรเกิน 7 กิโลด้วยนะ ไม่งั้นต้องจ่ายจิง ๆ นะ

- เชค-อิน นานแล้ว ต่อคิวตม.ก็เช่นกัน มีประมาณ 4 แถว แสกนกระเป๋าก็ด้วย มีอยู่สองช่องทาง

- สรุป ควรมีเวลาประมาณ 1 ชม. 30 นาที ก่อนเครื่องออกครับ

เนื่องจากไฟลท์เราดีเลย์ไปร่วม 1.30 ชม. จึงควรจะหาอาหารใส่ท้องหน่อย ภายในสนามบินขาออก มีร้านอาหารอยู่ประมาณ 3 ร้าน ถ้วน มี BurgerKing The Coffee Club และร้านชาท้องถิ่นอีกหนึ่งร้าน เราจัด The Coffee Club เนื่องจากมีอาหารไทยให้เรากินพอหายอยาก แต่ราคา Thai Express ว่าโหดแล้ว The Coffee Club นี่โหดกว่า อย่างผัดไทยจานนี้ ราคา 14 US (500+บาท) แต่อร่อยมากครับ

อีกจานคือไก่ผัดเม็ดมะม่วงก็อร่อยเช่นกัน ราคา 14 US (500+บาท) ส่วนก๋วยเตี๋ยวต้มยำพอใช้ได้ครับ

จากนั้นเครื่องออกไปถึง KL และเนื่องจากผมลืมเช็คอินไปก่อน และด้วยความที่คิดว่าการทรานสิทภายในสนามบินสายการบินสามารถเชคอินให้ได้ แต่ไม่ได้ครับ ผมจึงต้องผ่าน ตม.ออกไปเพื่อทำการเชคอินแล้วเข้ามาใหม่ ยังดีที่เป็นช่วงเช้าจึงทำโดยใช้เวลาไม่นาน และถึงประเทศไทยตามกำหนดการ ตื่นเต้นทิ้งท้ายจริง ๆ

สรุปค่าใช้จ่าย

ขอคิดเป็นเลขกลม ๆ นะครับ

1. ตั๋วเครื่องบิน 10200 บาท

2. โรงแรม KL คนละ 500 บาท

3. โรงแรม Hulhumale คนละ 700 บาท

4. Adaraan Club แบบ All-Inclusive คนละ 18000 บาท

5. ค่าเรือ 6000 บาท

6. ค่ากินเดินทาง คนละ 6000 บาท ทั้งมาเลย์เซีย และมัลดีฟส์ เน้นว่ากินแหลกกกก ไม่มีประหยัดเลยครับ ผมไม่ได้มาจดว่าใช้อะไรเท่าไหร่ แต่ติดไป 12000 กับแฟนเหลือติดตัวมา 240 บาท

รวมทั้งหมด 41400 บาท

สำหรับที่นี่ผมคงไม่ต้องบรรยาสรรพคุณอะไรมากมาย จริง ๆ คือไม่รู้เอาคำพูดไหนมาบอกว่ามันสวยได้เท่าของจริง เอาเป็นว่าถ้าที่นี่เป็นฝันของคุนแล้วหล่ะก็ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามอย่าเอามันออกไปจากลิสต์การเดินทางนะครับ มันคุ้มค่าแก่การมาพบจริง ๆ ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ


เข้าไปพูดคุยกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์เดินทางต่อได้ที่นี่ครับ

FB: จงเจอนี่ - Jongjourney www.facebook.com/Jongjourney/

IG: JONGKONG_JONGJOURNEY

ความคิดเห็น