สวัสดีค่ะทุกคนนนน ^^ ยังอยู่กับทริปฮันนีมูนของปิงนะ : )
เมืองนี้เป็นเมืองที่สามของทริปแล้ว นั่นก็คือ “เวนิส” ประเทศอิตาลี
เมืองแห่งสายน้ำ ที่ชีวิตนี้ต้องไปให้ได้สักครั้ง !
รอบนี้เรามากัน 3 วัน 4 คืนค่ะ เก็บไปทั้งหมด 15 พิกัด
รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในรีวิวนี้แล้ว เลื่อนอ่านกันได้เลยยย *
ขอเล่าก่อนว่า นี่เป็นการมาเที่ยวเวนิส ครั้งที่สองของปิงค่ะ
ปิงเคยมาเมื่อปี 2016 เป็นทริป 4 วัน 4 คืน และรีวิวไว้
อย่างละเอียดมากๆ ซึ่งรีวิวเก่า จำนวนสถานที่จะเยอะกว่ารีวิวนี้ค่ะ
ขอแปะลิงก์ไว้ให้ เผื่อใครอยากเข้าไปเก็บพิกัดที่สนใจ
https://tinyurl.com/35s356jn
แต่รีวิวนี้ ข้อมูลจะอัพเดทกว่าค่ะ เพราะปิงเพิ่งไปมาเมื่อเดือนก.ค. ปี 2567
ใครยังไม่ได้อ่านรีวิว 2 เมืองก่อนหน้า ก็ไปอ่านกันได้เลย
“โคเปนเฮเกน” 5 วัน 23 พิกัด ในงบ 29,XXX บาท
ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินค่ะ : ) ลิงก์นี้ https://tinyurl.com/3c4y8y3m
“อัมสเตอร์ดัม” 5 วัน 33 พิกัด (เที่ยวคุ้มม๊ากกก!)
ในงบ 39,XXX บาท ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินค่ะ
ลิงก์นี้ https://bit.ly/blissoutthereinamsterdam
อ่ะ! มาเข้าเรื่องกันเลย! ทริปเวนิสรอบนี้ เป็นทริปสั้นๆค่ะ
เราไปช่วงซัมเมอร์ ซึ่งร้อนมากๆๆ อากาศ 30 องศาเซลเซียส++
แนะนำว่าอย่ามาช่วงนี้ค่ะ มันร้อนเกิน เที่ยวไม่สนุก >//<
วันแรกเราไปถึงตอนดึก เพราะบินมาจากอัมสเตอร์ดัมค่ะ
เลยได้เที่ยวจริงๆแค่ 3 วันนะ ส่วนค่าใช้จ่ายทริปนี้
ตกคนละ 2 หมื่นต้นๆ ต่อคน ขอแจกแจงให้ตามนี้ค่ะ…
(ใช้เรท 1 EUR = 38.80 บาท)
- โรงแรม CAMPANILE VENICE MESTRE 4 คืน 481.295 EUR = 18,674.23 บาท
- City tax ไปจ่ายตอนเช็คอินที่โรงแรม 59.20 EUR = 2,296.96 บาท
- รถบัส ไป-กลับ MESTRE กับสนามบิน 40 EUR = 1,552 บาท
- ค่ากิน 295 EUR = 11,446 บาท
- City pass 3 วัน 150 EUR = 5,820 บาท (ตอนที่เราเขียนรีวิว มีการปรับราคาขึ้นแล้วค่ะ)
- ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ 120 EUR = 4,656 บาท
* ค่าใช้จ่าย 2 คน รวม 44,445.19 บาท
** หารสองแล้ว เหลือคนละ 22,222.595 บาท
ปิงไม่ได้เอาค่าตั๋วเครื่องบินมาคำนวณด้วย เพราะปิงเดินทาง
จากอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ไปเวนิส
และจากเวนิสไปเวียนนา ประเทศออสเตรียค่ะ
ถ้าใครอยากไปตามรอยทริปนี้ ก็หาเป็นตั๋วไป-กลับ กรุงเทพ-เวนิส เอานะ ^^
สุดท้าย ค่าใช้จ่ายในส่วนการกิน เรากินทั้งคาเฟ่
ร้านหรู และ แมคโดนัล ปนๆกันนะคะ และค่าใช้จ่ายที่เอามาคำนวณ
ยังไม่รวมค่าช้อปปิ้งหรือค่าของฝากนะคะ อันนี้แล้วแต่คนเลย : )
ตัว City pass ถ้าซื้อผ่านเว็บไซต์ และซื้อล่วงหน้า
ได้ราคาพิเศษค่ะ อย่าไปซื้อหน้างานแบบปิง : D
ลิงก์นี้เลย https://www.veneziaunica.it/en/e-commerce/services
ถ้าพร้อมแล้ว เราไปเริ่มทริปเวนิสกันเลยค่ะ ปายยยยยย >//<
จากอัมสเตอร์ดัม เรานั่งเครื่องบินมาถึงเวนิสเกือบเที่ยงคืนค่ะ
พอมาถึงสนามบิน รับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ออกมาตรงถนน
จะมีป้ายรถบัสอยู่ค่ะ ปิงรอไม่นานรถก็มาค่ะ เราบอกชื่อโรงแรมกับคนขับได้เลย
แล้วเขาจะบอกเราว่าลงป้ายไหนใกล้ที่สุด ของเราไปลง
ป้าย Venezia Mestre ใกล้สุดค่ะ ค่ารถบัส คนละ 10 EUR ต่อเที่ยวค่ะ
วันที่บินไปเวียนนา เราก็มาขึ้นรถที่ป้าย Venezia Mestre
เพื่อนั่งไปสนามบิน ราคาเดียวกันค่ะ : )
Campanile Venice-Mestre
เราไปถึงโรงแรมประมาณตีหนึ่งค่ะ แต่ยังมี receptionist อยู่
เขามี 24 ชั่วโมงเลย เราเลยเช็คอินได้ตามปกติ
โรงแรมนี้เป็นโรงแรม 3 ดาวค่ะ แต่จะบอกว่าห้องดีมาก
เราพักห้อง standard room ขนาด 18 ตร.ม. ค่ะ
มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีให้แต่งตัว / แชวนเสื้อผ้า
ห้องน้ำก็กว้าง และสะอาดค่ะ เราจองผ่าน agoda
คืนละประมาณ 4,600 – 4,700 บาท ไม่รวมอาหารเช้า
ถือว่าถูกกว่าไปพักบนเกาะเวนิสค่ะ และสะดวกกว่า
เพราะเช็คอินตอนไหนก็ได้ กับไม่ต้องแบกกระเป๋าขึ้น-ลงเรือ
ใครสนใจก็เข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของโรงแรมเลย
https://www.campanile.com/en-us/
แต่ตอนจอง อย่าลืมเปรียบเทียบราคากับเว็บอื่นๆด้วยนะ : )
เช้าวันแรกในเวนิส พวกเราตัดสินใจตื่นสายค่ะ
เพราะเที่ยวสองเมืองก่อนหน้านี้มา 10 วันแล้ว
คืนแรกก็มาถึงดึกอีก พวกเรายมมาก5555555
บอกเลยว่าทริปเวนิส คือ สุดจะยม! ถ้าเราไปเที่ยว
ช่วงที่ไม่ใช่ฤดูร้อน อาจจะเที่ยวได้มากกว่านี้ค่ะ : D
มื้อแรกของวัน เราทานที่ McDonald’s ใกล้ๆโรงแรม
จากนั้นก็เดินไปที่สถานทีรถไฟ Venezia Mestre
ที่สถานีรถไฟจะมีตู้สีแดงๆแบบนี้อยู่ เราซื้อตั๋วรถไฟจากตู้นี้ได้เลยค่ะ
โดยเลือกสถานีปลายทางเป็น Venezia Santa Lucia
ค่าเสียหาย 2 คน 2.9 EUR ค่ะ โดยเราซื้อแค่ครั้งเดียวนี่แหละ
เพราะหลังจากที่เราไปซื้อ City Pass บนเกาะเวนิส
เราใช้ City pass ในการขึ้นรถไฟได้ค่ะ พอได้ตั๋วมาแล้ว
ก็ดูตามจอที่เขาประกาศว่ารถไฟขบวนไหนไป Venezia Santa Lucia
แล้วไปรอที่ชานชาลานั้น ก่อนจะถึงเวลาที่รถออกค่ะ
ป.ล. ทุกครั้งที่ซื้อตั๋ว ช่วยกันดูบริเวณรอบๆด้วยนะคะ โจรเยอะค่ะ *
พอไปถึงสถานี Venezia Santa Lucia แล้ว เดินออกไปตรงท่าเรือ
มองหาบูธขายตั๋วเรือ / City pass ค่ะ จะสังเกตง่ายมาก เพราะคนต่อแถวอยู่เพียบ ^^
พอซื้อ City pass แล้ว ก็มองหาว่าท่าไหน จะมีเรือไป San Marco
(จะใช้ google map ก็ได้ค่ะ แต่ปิงไม่มั่นใจว่า หมายเลขเรือกับท่าเรือ
เขาสม่ำเสมอเหมือนเวลาเราขึ้นรถบัสมั้ย ปิงเลยเลือกดูจากป้ายตามท่าเรือเอา)
เรานั่งเรือเมล์จากป้าย Ferrovia “b” ไป San Marco ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีค่ะ
San Marco เป็น ย่านที่รวมแลนด์มาร์คของเวนิสไว้มากมาย
ด้วยความที่ทริปนี้เรามีเวลาน้อย เลยจัดเลยตั้งแต่วันแรก : D
จากท่าเรือ เดินมานิดนึงก็จะเจอแลนด์มาร์คแรก
คือ “Bridge of Sighs / สะพานถอนหายใจ”
เป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างชั้นใต้ดินของ Doge’s Palace
กับแดนคุมขังนักโทษ ซึ่งสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1602 ค่ะ
ที่ชื่อสะพานถอนหายใจเพราะว่า สะพานนี้เป็นที่สุดท้าย
ที่นักโทษจะได้มองเห็นท้องฟ้า ทะเล และถอนหายใจ ก่อนที่จะถูกจองจำ
Doge’s Palace / พระราชวังดอจจ์
นี่คือแลนด์มาร์คสำคัญที่ใครไปเวนิส แต่ไม่ไปที่นี่ ถือว่าไปไม่ถึง!
เพราะข้างในพระราชวัง คือ สวยงาม อลังการมากๆค่ะ
Doge’s Palace สร้างขึ้นตั้งแต่ค.ศ. 1340 เคยเป็นทั้ง
ที่ประชุมสภา ศาล และ ที่พักของผู้นำสูงสุดหรือดยุคของเวนิส
จนปีค.ศ. 1996 ถูกเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ค่ะ
ที่นี่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ภายในวังมีการตกแต่งด้วย
ศิลปะหลากหลายรูปแบบ ที่เราประทับใจที่สุดคือ ภาพเขียน
ขนาดใหญ่ ทั้งบนเพดานและผนัง ยิ่งในห้องที่เคยเป็นสภา
หรือศาล ภาพเขียนคือ บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของเวนิสได้อย่างดี
ค่าเข้าชม Doge’s Palace ไม่รวมอยู่ใน City Pass ค่ะ
คนละ 30 EUR หรือประมาณ 1,100 บาท
เข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติม / ซื้อตั๋วเข้าชมล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์นี้ค่ะ
https://palazzoducale.visitmuve.it/en/home/
ป.ล. แนะนำให้ซื้อล่วงหน้านะ ปิงไปซื้อหน้างาน ต้องต่อแถว รอนานค่ะ
เดินดูไปเรื่อยๆ ยิ่งดู ยิ่งทึ่ง! มนุษย์เราทำได้ขนาดนี้เลยหรอ!
รายชื่อศิลปินที่เพ้นท์ด้านในของพระราชวัง ได้แก่
Guariento, Jacopo and Domenico Tintoretto,
Paolo Veronese, Tiziano Vecellio, Vittore Carpaccio,
Palma il Giovane, Girolamo Bassano,
Andrea Vicentino และ Giambattista Tiepolo
ใครอยากทราบรายละเอียดของแต่ละชิ้นงาน เข้าไปดูข้อมูลที่ลิงก์นี้ค่ะ
https://vacatis.com/th/doges-paintings/
สำหรับปิง พีคสุดคือห้อง Great Council Chamber ค่ะ!
ห้องนี้ใช้เป็นที่ตัดสินนักโทษจำคุก และที่คัดเลือกสมาชิกสภาของเวนิส
ภาพวาดที่ชื่อ Tintoretto’s Paradise ในห้องนี้
เป็นหนึ่งในภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เลย!
ใน Doge’s Palace ยังจัดแสดงคลังแสงอาวุธ
ของกองทัพในสมัยโบราณไว้แบบครบมากๆ ทั้งหอก ธนู ดาบ ชุดเกราะ ฯลฯ
จากห้องชั้นบนสุดของพระราชวัง
มองลงมาเห็นวิวท่าเรือ San Marco ด้วย : )
อย่างที่บอกว่าที่นี่ ดีทุกอย่าง ควรค่าแก่การมา
แต่ถ้าใครไปเที่ยวหน้าร้อนแบบปิง ก็เตรียมพัดลมไฟฟ้าไปด้วย
เพราะรอบๆพระราชวังไม่มีการเปิดแอร์เลยค่ะ T_T
ทุกคนคือเหงื่อแตก หน้าแดง หิวน้ำกันขั้นสุดดด!
Bar Ristorante Piazza Ducale
เราหามื้อเที่ยงทานใกล้ๆกับ Doge’s Palace ค่ะ
แถวจัตุรัสซานมาร์โค จะมีร้านอาหารอยู่หลายร้าน
เราสุ่มเข้าร้านนี้ ซึ่งมีที่นั่งทั้ง indoor และ outdoor ค่ะ
เสิร์ฟอาหารอิตาเลี่ยน ตั้งแต่ ของทานเล่น
Cheese plate, เบอร์เกอร์, สเต็ก, สลัด
ไปจนถึงพิซซ่าหลากหลายหน้าเลย เราสั่ง Burrata Salad
กับ Pepperoni Pizza ค่ะ อร่อยทั้งคู่
และทาน 2 คนอิ่ม เพราะพิซซ่าถาดใหญ่มาก : p
มื้อนี้หมดไป 53.5 EUR เพราะร้านหรูหน่อย + เราสั่งน้ำผลไม้เพิ่มด้วย
ถ้าใครอยากเซฟเงิน จะซื้อพวกแซนวิช/เบเกอรี่ takeaway ก็ได้ค่ะ
จะประหยัดไปได้อีก แต่พวกเราร้อน เน้นเข้าห้องแอร์55555555
ร้านเหมือนจะไม่มี social media ใดๆเลยค่ะ
แต่เขาบริการดีอยู่นะ ขอแปะลิงก์ google map ให้แล้วกันค่ะ ^^
https://maps.app.goo.gl/WJkA6Nn1yCkWB5hS6
Venchi
จะเรียก Venchi ว่าเป็น Willy Wonka ในชีวิตจริงก็ได้
เพราะตั้งแต่ปีค.ศ. 1878 Silviano Venchi ชายหนุ่มวัย 20 ปี
ใช้เงินเก็บทั้งหมดไปกับหม้อต้มทองแดงสองใบ และเริ่มทดลองทำ
ช็อกโกแลตในร้านค้าเล็กๆ ที่เมืองตูริน (อดีตเมืองหลวงของอิตาลี)
Venchi เริ่มมีชื่อเสียงจาก Nougatine ขนมหวานที่ทำจาก
hazelnuts สับ กับ คาราเมล เคลือบด้วยดาร์กช็อกโกแลต
ปัจจุบัน Venchi มีสาขา ทั้งในอิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมัน
อังกฤษ อเมริกา สิงคโปร์ และ ญี่ปุ่น และได้แตก product line
ของตัวเองออกไปมากมาย หนึ่งในนั้นคือ Gelato ค่ะ
ร้อนๆแบบนี้ก็แวะมาจัดไปคนละ 1-2 scoop พร้อมซื้อ
ช๊อกโกแลตไปเป้นของฝากที่บ้านได้ด้วย >//<
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์นี้เลย
https://eu.venchi.com/
เราเลือกได้ว่าจะสั่งใส่โคนหรือใส่ถ้วยค่ะ
และในโคน/ถ้วยหนึ่ง เราเลือก Gelato ได้สูงสุด 3 รส
ในรูปนี้รวมกัน 13.5 EUR ค่ะ ราคาแอบแรง
ถ้าเทียบกับ Gelato แต่ถ้ามองว่าเขาขายแบรนด์
ขายคุณภาพ ก็คุ้มค่ะ เพราะทุกรสอร่อยมากกกก
เนื้อเนียน ละมุนมากๆเลย เราจำชื่อรสทั้งหมดไม่ได้
แต่ที่เราชอบสุดคือ pistachio ค่ะ มันหวานน้อย
มัน นัวมาก! กินแบบไม่อยากให้หมดดด : p
อีกหนึ่งแลนด์มารค์ใน จัตุรัสซานมาร์โค
คือ “St. Mark’s Campanile” หอระฆังสูง 98.6 เมตร
ที่ชมวิวเมืองเวนิสแบบ 360 องศา : D
รอบนี้เราไม่ได้ขึ้นไปดูวิวค่ะ เพราะเรามีเวลาน้อย
ใครอยากดูรูปวิวจากหอระฆัง เข้าไปดูได้ในรีวิวเก่าของปิงเลย
ลิงก์นี้ค่ะ https://tinyurl.com/35s356jn
มีค่าเข้า 16 EUR นะ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้
https://www.st-marks-basilica.com/st-marks-campanile/
และนี่คือ “St. Mark’s Basilica / โบสถ์เซนต์มาร์ค”
โบสถ์โรมันคาทอลิกระดับมหาวิหารของเวนิส เป็นสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์
สร้างขึ้นครั้งแรก ปี ค.ศ.823 เพื่ออุทิศให้นักบุญมาร์ค (St.Mark) ที่ชาวเวนิสนับถือ
โบสถ์นี้มีฉายาว่าโบสถ์ทอง (Church of Gold) เพราะตกแต่งได้
สวยงาม อลังการ ด้วยโมเสก และ งานประติมากรรมต่างๆ เป็นการแสดง
ความอุดมสมบูรณ์ และ ความมั่งคั่งของเวนิส ณ ตอนนั้น…
รอบนี้เราไม่ได้เข้าไปชมข้างในค่ะ ใครสนใจก็เข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์นี้เลย
http://www.basilicasanmarco.it/informazioni-per-i-turisti/orari-di-apertura/?lang=en
Museo Correr
พิพิธภัณฑ์ที่นำเสนอทั้งศิลปะและประวัติศาสตร์ของเวนิส
ครอบคลุมพื้นที่ส่วน Napoleonic Wing ที่คิดเป็น 3 ใน 4
ของจัตุรัสซานมาร์โค ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของเหล่ากษัตริย์ในศตวรรษที่ 19
เมื่อเวนิสอยู่ภายใต้การปกครองของออสเตรีย และเป็นที่ประทับ
ของกษัตริย์แห่งอิตาลีเมื่อมาเยือนเวนิส… ปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์ Correr
เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ ภาพวาด ประติมากรรม เฟอร์นิเจอร์ เครื่องดนตรี ฯลฯ
ซึ่งของโบราณ/ชิ้นงานเหล่านี้ บอกเล่าประวัติศาสตร์ของเวนิสไว้เป็นอย่างดีค่ะ
เราใช้บัตรที่ซื้อตอนเข้าชม Doge’s Palace เข้าชมที่นี่ได้ด้วย ไม่ต้องซื้อเพิ่ม
ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ก็เข้าเว็บนี้เลย https://correr.visitmuve.it/en/home/
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นที่รวบรวมชิ้นงานประติมากรรม
ของศิลปินที่มีชื่อเสียง อย่าง Antonio Canova
ชิ้นงานจำนวนมากทำจากหินอ่อน มีความประณีตสูง
แต่ละ collection หรือ ชิ้นงาน จะมีป้ายอธิบาย
ที่มา/ความหมาย เป็นภาษาอังกฤษค่ะ ใครสนใจชิ้นไหน
ก็อ่านเพิ่มเติมได้เลย : )
ช่วงที่ปิงไป (ก.ค. 2567) มีโซนหนึ่งจัดแสดง
งานศิลปะสมัยใหม่ด้วย เป็นพวกภาพเขียน abstract
และงานประติมากรรมที่เล่นกับรูปร่างของฟองสบู่
เหมือนจะไม่เข้ากับ mood & tone ของอาคาร
แต่ถ่ายรูปออกมาสวยเฉย ^^ และเพิ่มสีสันให้กับพิพิธภัณฑ์ด้วย
Chicken Fly
จาก Museo Correr เรานั่งเรือกลับมาที่
ท่า Venezia Santa Lucia และนั่งรถไฟ
กลับมาฝั่ง Venezia Mestre ค่ะ
มื้อเย็นวันนี้เราหาทานง่ายๆ ใกล้ๆโรงแรม
เป็นร้านอาหารเกาหลี ที่มีทั้งเมนูแซนวิช เบอร์เกอร์
เมนูข้าว เมนูเส้น และ ชานมไข่มุก! <3
หลังจากที่เราเที่ยวยุโรปมาเกิน 10 วัน
เราก็คิดถึงอาหารเอเชี่ยนมากขึ้นเรื่อยๆ5555555
มื้อนี้เราสั่งมาม่าเกาหลีกับไก่ทอดต้นตำรับค่ะ
ส่วนของแฟนเป็นเบอร์เกอร์ไก่ (จำชื่อเมนูไม่ได้)
และ ชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว รวม 29 EUR ค่ะ
รสชาติดี ให้เยอะ ไปตามรอยกันได้ : )
FB ร้าน : https://www.facebook.com/p/Chicken-Fly-100077602208920/
Murano Island
วันที่สองในเวนิส เริ่มจาก ทานมื้อเช้าที่ McDonald’s
ในสถานี Venezia Mestre ค่ะ : D
เริ่มเข้าสู่โหมดประหยัดกันแล้ว หลังจากที่ไปเที่ยว
โคเปนเฮเกนและอัมสเตอร์ดัมมา 10 วัน…
ใครยังไม่ได้อ่านรีวิว 2 เมืองนี้ เข้าไปอ่านได้เลยน้า
“โคเปนเฮเกน” 5 วัน 23 พิกัด ลิงก์นี้ https://tinyurl.com/3c4y8y3m
“อัมสเตอร์ดัม” 5 วัน -33 พิกัด ลิงก์นี้
https://bit.ly/blissoutthereinamsterdam
กลับมาต่อที่เวนิส… วันนี้เราจะเที่ยวเกาะ 2 เกาะด้วยกันค่ะ
เริ่มจากเกาะแรก คือ Murano เกาะนี้ดังเรื่องการผลิตแก้วค่ะ
จาก Venezia Mestre เราก็นั่งรถไฟไป Venezia Santa Lucia
แล้วนั่งเรือสาย 4.2 จากท่า S. Giobbe ไปขึ้นที่
ท่า Murano Colonna “B“ ของเกาะ Murano ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ค่ะ
พอมาถึงเกาะ Murano สิ่งแรกที่เราทำเลย
คือเดินเข้าร้านต่างๆ เพื่อซื้อของฝากค่ะ : )
ใครมาเวนิส ควรซื้อของฝากที่ทำจากแก้ว จากเกาะนี้
เพราะเป็นแหล่งรวมช่างฝีมือเครื่องแก้วที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก!
มีตั้งแต่เครื่องประดับ อย่าง แหวน กำไล สร้อยคอ
ไปจนถึงของแต่งบ้าน อย่าง แจกัน จาน ชาม
หรืออย่างชิ้นใหญ่ๆ ที่เป็นงานอาร์ตไว้ตั้งโชว์เลย
มีร้านหนึ่ง เจ้าของแนะนำเราว่า เวลาจะซื้องานแก้วจากที่นี่
ให้ดูร้านที่เป็นคน local มีใบรับรองว่าเป็นช่างฝีมือของเวนิสเท่านั้น
เพราะบางร้านรับแก้วจากโรงงานในประเทศจีนมาขาย
แล้วตัดราคาร้านอื่นๆ… ซึ่งก็ไม่ได้ผิด แต่ถ้าอยากได้ของดี ของแท้
ก็ต้องเช็คกันนิดนึงค่ะ ของแท้เขาผลิตกันทีละชิ้น ใช้ความรู้
และทักษะที่สั่งสมมาหลายปี ก็ต้องมีราคาเป็นธรรมดานะ : )
The Glass Cathedral
บนเกาะ Murano จะมีการแสดงสาธิตการเป่าแก้วให้ดูด้วย
บางเจ้าก็ดูฟรี บางเจ้าก็มีค่าใช้จ่ายค่ะ ซึ่งเจ้าที่เราเลือกคือ
The Glass Cathedral มีค่าชมคนละ 10 EUR
เราเลือกที่นี่ เพราะตารางการสาธิตของเขา ลงตัวกับเรา
แล้วค่อยมารู้ตอนดูสาธิต ว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ผลิตแก้ว
ที่เก่าแก่ที่สุดในเวนิส! : D การสาธิตยาวประมาณ 30 นาทีค่ะ
โดยเขาจะเปิด audio เล่าประวัติของเกาะ Murano
ให้เราฟังคร่าวๆ แล้วก็เป็นประวัติของ The Glass Cathedral
จากนั้นช่างฝีมือก็จะออกมา สาธิตตั้งแต่ขั้นตอนแรก
จนเสร็จสิ้นเป็นหนึ่งชิ้นงาน ทำให้เรารู้ว่ากว่าจะได้งานแก้วออกมาชิ้นหนึ่ง
มันต้องใช้ทั้งความรู้ ความสามารถ และ ประสบการณ์
เพราะการทำแก้วใช้ความร้อนค่ะ ถ้าอุณหภูมิคลาดเคลื่อน
หรือเรากะจังหวะผิดนิดเดียว ก็มีผลกับชิ้นงาน
จากท่าเรือ เดินมาที่โบสถ์เก่า เป็นสถานที่สาธิต แค่ 3 นาทีค่ะ
เข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ IG : theglasscathedral
https://www.instagram.com/theglasscathedral/
ใครดูการสาธิตแล้ว สนใจซื้อชิ้นงานกลับบ้าน
เขาก็มีมุมให้ช้อปปิ้งค่ะ มีตั้งแต่ไซส์เล็กๆ ไปจนไซส์กลางเลย
และร้านนี้เป็นของเวนิสแท้ 100% ช่างฝีมือก็มี
ประสบการณ์เป็น 10 ปี++ ค่ะ
Ristorante Dalla Mora
ดูสาธิตการเป่าแก้วเสร็จ เราก็เดินเล่นอีกหน่อยค่ะ
จากนั้นก็มาทานมื้อเที่ยงที่ร้านนี้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก the Glass Cathedral
เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนเล็กๆ มีที่นั่งทั้งนอกและในร้าน
และแน่นอนว่า ร้อนขนาดนี้ เราเข้าข้างในค่ะ55555555
เมนูมีให้เลือกเยอะ จนเลือกไม่ถูกเลยยย ทั้งสลัด สเต๊ก พาสต้า ซีฟู้ด
สุดท้ายเราสั่งเป็น สเต็กเนื้อ กับ pasta aglio e olio ค่ะ
จานใหญ่พอสมควร สเต็กอร่อยเลย แต่พาสต้าแอบจืดค่ะ
มื้อนี้ 31.5 EUR หรือประมาณ 1,200 บาทค่ะ
เหมือนร้านจะไม่มี social media เลย ขอแปะเป็น
ลิงก์ google map นะคะ : D https://g.co/kgs/sqBZ4X4
อีกเกาะหนึ่งที่เราจะไปวันนี้ ชื่อว่า Burano ค่ะ
เป็นเกาะที่มีบ้านสีสันสดใส คนชอบไปถ่ายรูปกัน
แต่ปิงจะบอกว่า ที่จริง เกาะ Murano ก็มีบ้านสีๆนะ
ถ้าใครมีเวลาเที่ยวเยอะๆก็อยากให้มาเกาะ Murano
ไปเลย 1 วัน และเกาะ Burano อีกวันค่ะ
เพราะอัด 2 เกาะในวันเดียวแบบปิง ก็แอบเหนื่อยอยู่
กับ Murano ยังมีอะไรให้ดูอีกเยอะเลย : )
Glass Museum
พิพิธภัณฑ์แก้วแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1861
มีจัดแสดงแก้วจำนวนมาก ที่สร้างขึ้นบนเกาะตลอดหลายศตวรรษ
และยังมีวัตถุร่วมสมัย ที่เจ้าของโรงงานแก้วบริจาคให้อีกด้วย
ในปี 1923 เกาะ Murano กลายเป็นส่วนหนึ่งของเทศบาลเวนิส
พิพิธภัณฑ์แก้วก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ประจำเมืองเวนิส
Collection ต่างๆได้รับการปรับปรุงและดูแล ให้หลากหลายมากขึ้น
ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์แก้วที่แรกและที่เดียวที่ปิงเคยเห็น เพราะฉะนั้น
ใครมาเที่ยวเวนิส แนะนำให้มาที่นี่ด้วย เราจะได้เข้าใจเมืองนี้มากขึ้น <3
ค่าเข้าชมคนละ 10 EUR ค่ะ ดูข้อมูลเพิ่มเติมและ
จองตั๋วล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์นี้ https://museovetro.visitmuve.it/en/il-museo/museum/
สายอาร์ตต้องชอบ เพราะเขาจัด display ได้สวยงาม น่าดูมาก
และมีงานแก้วรูปทรงแปลกๆที่เราไม่ค่อยได้เห็นที่อื่นอีกด้วย : D
Burano Island
จาก Glass Museum เราเดินไปที่ท่าเรือ Murano Faro “A”
เพื่อขึ้นเรือสาย 12 ไปยังเกาะ Burano ค่ะ ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที
Burano เป็นหมู่บ้านชาวประมง ที่โดดเด่นด้วยสีสันของอาคารบ้านเรือน
เขาเล่าว่า ที่ต้องทาสีอาคารให้สดใส เพราะชาวประมงจะได้มองเห็นทางกลับบ้าน
เวลาที่หมอกปกคลุมทะเลสาบค่ะ โดยแต่ละบ้านจะทาสีประจำตระกูลที่สืบทอดกันมา
บ้านไหนอยากเปลี่ยนสีก็ต้องยื่นคำร้องต่อสภาจังหวัดค่ะ : D
ของขึ้นชื่ออีกอย่างของเกาะนี้คือผ้าลูกไม้ แต่ก่อนผู้ชายบนเกาะส่วนใหญ่ทำประมง
ภรรยาว่างๆก็ถักผ้าลูกไม้จนเก่งค่ะ ใครมีเวลาก็ไปชม Lace Museum /
พิพิธภัณฑ์ลูกไม้ได้นะ รอบนี้ปิงไม่ได้ไป แต่รีวิวไว้ให้รอบที่แล้วค่ะ
ดูได้ลิงก์นี้ https://tinyurl.com/35s356jn
ขอยกให้เกาะนี้เป็นสถานที่ที่ instagrammable ที่สุดที่หนึ่งที่เคยไปมาในโลกเลย!
เพราะไม่ต้องมีแพลนอะไร แค่เดินรอบๆเกาะ ก็เพลินมากๆแล้ว >//<
เพราะมันน่าถ่ายทุกมุมเลยค่ะ! แนะนำว่าใครจะมาเที่ยวให้ใส่สีขาว / สีครีม โทนอ่อนๆ จะได้เด่นในรูปนะ
ป.ล. ใครไปเที่ยวก็ให้เกียรติชาว local กันด้วยนะ
อย่าถ่ายรูปถึงขั้นที่ไปรบกวนบ้าน/พื้นที่ส่วนตัวของเขาค่ะ
ถ้าไม่อยากพลาดรีวิวท่องเที่ยวแบบละเอียดๆ
ไปตามรอยได้จริงแบบนี้ อย่าลืมติดตาม 𝐁𝐥𝐢𝐬𝐬 𝐎𝐮𝐭 𝐓𝐡𝐞𝐫𝐞
ให้ครบทุกช่องทางด้วยน้า >//< ขอบคุณค่ะ <3
FB : https://www.facebook.com/BlissOutThere/
IG : https://www.instagram.com/blissoutthere/
TikTok : https://www.tiktok.com/@blissoutthere
YouTube : https://www.youtube.com/c/BlissOutThere
Website : https://blissoutthere.com/
บนเกาะ Burano มีร้านขายเสื้อผ้าและเครื่องประดับเยอะมาก
บางร้านก็ขายผ้าลูกไม้ งานฝีมืออย่างเดียวเลย แต่ส่วนใหญ่
จะขายพวกเดรสลายดอก หรือ เสื้อผ้าน่าร้อนค่ะ
บังเอิญเจอน้องหงส์ 2 ตัว ขอถ่ายรูปด้วยหน่อยจ้า : “)
Ristorante Cinese Delizie 小食堂
เที่ยวเสร็จ 2 เกาะ คือ ยมมากค่ะวันนี้55555
จาก Burano เรานั่งเรือสาย 12 ไปลงท่า F.te Nove “A“
เปลี่ยนไปขึ้นสาย 1 ที่ท่า Ca’ D’Oro ACTV Fermata
มาที่ Ferrovia “E“ แล้วขึ้นรถไฟจาก Venezia Santa Lucia
กลับมา Venezia Mestre แล้วดินมาที่ร้านนี้ค่ะ…
แค่เล่ายังเหนื่อยเลย5555555 ใครจะไปเที่ยวตาม
อย่าลืมฟิตร่างกาย ออกกำลังกายกันก่อนไปด้วยค่ะ : D
ร้านนี้เป็นหนึ่งร้านอาหารจีนไม่กี่ร้าน บริเวณนี้ค่ะ
เราเห็นรีวิวบน google ดูโอเค ก็เลยลองดู
เขามีตั้งแต่พวกติ่มซำ เกี๊ยว ไปจนถึงเมนูกับข้าว
สั่งมาแชร์กันได้ ทั้งผัด ทอด นึ่ง มีหมดค่ะ
เราสั่งมาเป็นเป็ดทอดหนังกรอบ กับเนื้อผัดผัก
ทานกับข้าวสวย ก็อร่อยดี ราคารวม 31 EUR
ร้านไม่มี social media น้า ปิงขอแปะลิงก์ google map ให้ค่ะ
https://g.co/kgs/HsQBDdY
Coffee Break
เช้าวันที่สามในเวนิส เราเปลี่ยนจาก McDonald’s
มาเป็นคาเฟ่กันบ้าง >//< ร้านนี้อยู่ห่างจากโรงแรมที่เราพัก
ประมาณ 10 นาทีค่ะ เดินมานะ… เขาขายแซนวิซ ครัวซองต์
มีพิซซ่า สปาเก็ตตี้ ด้วยค่ะ ส่วนเครื่องดื่มก็มีชา กาแฟ ครบ!
เราลองเป็น cabonara ค่อนข้างจืด และให้แฮมน้อยมากค่ะ
อีกจานเป็นมะเขือยาวอบ ในซอสมะเขือเทศ อันนี้อร่อย
หวาน เค็ม ลงตัว ทานคู่กับขนมปังคือดี! มื้อนี้ 24.3 EUR ค่ะ
และเช่นเคย… ร้านไม่มี social media… งงอ่ะ55555
คนเวนิสไม่ทำการตลาดออนไลน์กันหรอ : D
อันนี้ลิงก์ google map นะคะ https://g.co/kgs/zJ3djSk
เช้าวันสุดท้ายในเวนิส ^^
เหมือนเดิมคือเรานั่งรถไฟจาก Venezia Mestre
ไป Venezia Santa Lucia แล้วค่อยเที่ยวบนเกาะเวนิส
อันนี้ปิงมารู้ตอนเขียนรีวิวนะ… ว่าการที่ปิงซื้อ city pass 3 วัน
มันไม่คุ้มค่ะ เพราะวันหนึ่งเราไปไม่กี่ที่ ขึ้นเรือไม่กี่รอบ
และ city card ก็ไม่ได้รวมค่าเข้าชมสถานที่ในทริปนี้เลย
ถ้าใครจะไปตามรอยทริปนี้ ปิงว่าซื้อตั๋วเรือแบบต่อเที่ยวดีกว่าค่ะ
Ca’ Rezzonico
พอมาถึง Venezia Santa Lucia ก็ขึ้นเรือจากท่า Ferrovia “E“
ไปลง Ca’ Rezzonico ได้เลย ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีค่ะ
หรือจะเดินมาก็ได้ แต่ใช้เวลา 20 – 25 นาทีค่ะ
Ca ‘Rezzonico พระราชวังเก่า ที่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เวนิส
แห่งศตวรรษที่ 18… ออกแบบโดย Baldassare Longhena
สถาปนิกสไตล์บาโรก ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเวนิส สร้างขึ้นตามคำสั่งของ
ตระกูล Bon เป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่ของเมือง และเริ่มก่อสร้างในปี 1649 ค่ะ
ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประติมากรรม ภาพวาด และเฟอร์นิเจอร์
ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 เฟอร์นิเจอร์บางชิ้นเคลือบทองคำ ภาพวาดบนเพดาน
บางส่วนก็ใช้เทคนิคปูนเปียก (Fresco) โดยใช้น้ำละลายสีลงไป
ในปูนที่ยังไม่แห้ง เมื่อสีเริ่มซึมลงไปในผนัง ก็จะเริ่มเป็นเนื้อเดียวกับที่ผนังเริ่มแข็งตัว
ที่นี่มีค่าเข้าชมคนละ 10 EUR ค่ะ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://carezzonico.visitmuve.it/en/home/
ในพิพิธภัณฑ์แบ่งโซนชัดเจน มีหลายๆห้องที่เราชอบ
อย่างห้องแต่งตัวของผู้หญิง ที่อลังการแม้กระทั่งลิ้นชักใส่ของ
ไปจนถึงโคมไฟระย้า ไหนจะห้องปรุงยาโบราณ ที่ให้ฟีล
เหมือนเราอยู่ใน Harry Potter : D
ชั้นบนสุด รวบรวมภาพวาดไว้เยอะมากกกกก
ดุคุ้ม เกินค่าตั๋วแน่นอนค่ะ >//< ใครมีแพลนมาเที่ยวเวนิสหลายวัน
และชอบเข้ามิวเซี่ยม/gallery ปิงแนะนำให้ซื้อ museum pass
ที่รวมค่าเข้าชมสถานที่ดังๆหลายๆที่ จะคุ้มกว่ามาซื้อแยกแบบปิงค่ะ : )
Santa Maria Della Salute
โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลลาซาลูเต้ เป็นโบสถ์สไตล์โบรอก
ตั้งอยู่ปาก Grand Canal ทางทิศใต้ ก่อนจะออกสู่ทะเลสาบ
สร้างในปีค.ศ. 1630 เพื่อเป็นบรรณาการแด่พระแม่มารีย์
เพื่อให้พระนางปัดเป่าโรคระบาดออกจากเมืองเวนิสค่ะ
ภายในโบสถ์มีงานศิลปะเกี่ยวกับศาสนาหลายชิ้น
รวมถึงภาพวาดโดย Tintoretto และ Titian
ที่เป็นภาพเหตุการณ์จากคัมภีร์ไบเบิล…
ที่นี่ไม่มีค่าเข้าชมค่ะ : ) เข้าไปแล้ว อย่าลืมรักษาความสงบด้วยนะ!
ด้านในโอ่อ่า เรียบหรูมากๆค่ะ
เขาบอกว่าส่วนโดมของโบสถ์เป็นสัญลักษณ์ แทนมงกุฎของพระแม่มารีย์
ส่วนภายในโบสถ์ ที่แบ่งเป็น 8 ด้าน เป็นสัญลักษณ์แทนโพรงมดลูก
และรูปปั้นที่อยู่บนแท่นบูชาสูง เป็นตัวแทนของงพระเยซูและพระแม่มารีย์
วิวจากหน้าโบสถ์ Santa Maria Della Salute มองไปเห็น St. Mark’s Campanile เลย : )
จาก Santa Maria Della Salute เราเดินเล่นรอบๆ ก่อนที่จะกลับไปฝั่ง Venezia Mestre ค่ะ
PASTA & PIZZA e non solo
มื้อสุดท้ายในเวนิส เราต้องทานอาหารอิตาเลี่ยนค่ะ! ^^
เราหาเอาบน Google map แล้วมาเจอร้านนี้
ซึ่งรีวิวดี หน้าตาอาหารโอเค เราเลยจัดเลย!
เดินจากสถานีรถไฟมาแค่ประมาณ 5 นาทีค่ะ
ตามชื่อร้านเลย ก็คือ เขาขายพิซซ่าและพาสต้าเป็นหลัก
ซึ่งเป็นพิซซ่าโฮมเมดและพาสต้าเส้นสดค่ะ
เราสั่งไป 3 อย่าง อร่อยทุกอย่าง! : p
นี่คือร้านที่อร่อยที่สุดในทริปเวนิสค่ะ ย้ำว่าต้องมา!
Website : https://www.pastaepizzaenonsolo.it/
เราสั่ง pasta aglio e olio และขอเพิ่มเบค่อน
อร่อย นัว ลงตัวมากกกกก >//< อีกจานคือสปาเก็ตตี้ซีฟู้ด
ใส่กุ้ง หอยแมลงภู่ หอยกาบ ชอบจานนี้สุดดดด ซอสเค็มนิดๆ
เปรี้ยว หวาน จากมะเขือเทศหน่อยๆ อร่อยมาก และไม่คาวเลย
ซีฟู้ดให้มาแบบตัวใหญ่ๆเลยค่ะ : p สุดท้ายคือพิซซ่าไส้กรอก
แป้งหนา นุ่ม ให้เยอะมากกกกก และแค่ 7.5 EUR อ่ะเท๊อ!
รวมมื้อนี้ 53 EUR เพราะเราสั่งแอลด้วย 2 แก้วค่ะ
ถ้าไม่สั่งแอลจะประมาณ 36 EUR ซึ่งถือว่าโอเคเลย!
ขอจบทริปเวนิส – อิตาลี 3 วัน 15 พิกัด อย่างเป็นทางการ : )
หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่อยากไปเวนิสนะคะ
ใครยังไม่ได้อ่านรีวิว 2 เมืองก่อนหน้านี้ ก็ไปอ่านกันได้เลย
“โคเปนเฮเกน” 5 วัน 23 พิกัด ในงบ 29,XXX บาท
ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินค่ะ : ) ลิงก์นี้ https://tinyurl.com/3c4y8y3m
“อัมสเตอร์ดัม” 5 วัน 33 พิกัด (เที่ยวคุ้มม๊ากกก!)
ในงบ 39,XXX บาท ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินค่ะ
ลิงก์นี้ https://bit.ly/blissoutthereinamsterdam
และฝากติดตามรีวิวอีก 2 เมืองด้วย นั่นก็คืออออ
เวียนนา ประเทศออสเตรีย และ ซานโตรินี ประเทศกรีซค่ะ
ติดตาม 𝐁𝐥𝐢𝐬𝐬 𝐎𝐮𝐭 𝐓𝐡𝐞𝐫𝐞 ให้ครบทุกช่องทางเลยน้า >//<
FB : https://www.facebook.com/BlissOutThere/
IG : https://www.instagram.com/blissoutthere/
TikTok : https://www.tiktok.com/@blissoutthere
YouTube : https://www.youtube.com/c/BlissOutThere
Website : https://blissoutthere.com/
แล้วเจอกันรีวิวหน้า… ขอบคุณค่ะ <3
Bliss Out There
วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2567 เวลา 12.23 น.