สวัสดีจ้าาาาา นี่กวิ้นไงจำไม่ได้เหรอ?

ในที่สุดกวิ้นก็ขุดตัวเองขึ้นจากหลุมขี้เกียจและโผล่ออกมาเขียนรีวิวได้

อะๆ มาๆเข้าเรื่องเลยดีกว่า วันนี้กวิ้นจะมาพาไปเที่ยว “ปีนัง"

เพื่อนๆ รู้จักน่าจะรู้จักกันอยู่แล้ว แต่เผื่อคนที่ไม่รู้จัก มาๆ กวิ้นจะเกริ่นให้ฟังกัน



อ่ะ เป็นไงรูปหน้าปก งงมะไม่มีตังค์เที่ยวไง ง่ายๆ เงินแม่ไง 55555


ไม่ช่ายยยยยย คืองี้ จริงๆจะบอกว่า ปีนังเนี่ย ตังค์ไม่ต้องมีเยอะก็เที่ยวได้ไง เที่ยวไม่ยากไม่ต้องหรูด้วย

แต่ก่อนไปเที่ยวเว้ย อยากจะให้ข้อมูลนิดหน่อย หลายคนอาจบ่น ยังไม่พาเที่ยวอีก

คืองี้เว้ยแก ก่อนแกจะไปอ่านรีวิวที่เที่ยว เราก็อยากให้แกมีความรู้พื้นฐานไปก่อนไง เป็นห่วงด้วยรักจากใจ

อ่ะ เริ่ม!!

- ปีนังเป็นเกาะ มีทั้งทะเล และมีทั้งภูเขา ฮวยจุ้ยดีค่ะ

- ปีนังเป็นเมืองศิลปะ มี Wall art ทั่วเมือง เป็นแหล่งฮิปๆ มีร้านกาแฟเก๋ๆ เยอะแยะไปหมด

- ปีนังเป็นเมืองเก่า เป็นเมืองมรดกโลก มีตึกเก่าสไตล์ชิโนโปตุเกตเต็มเอี๊ยด

- ปีนังเป็นเมืองที่มีคนจีนอาศัยเยอะมาก คิดว่าเยอะกว่าชาวมลายูอีกนะ

- และได้ความที่มีทั้งคนจีน ทั้งชาวมลายูอยู่ อาหารที่นี่เด็ดโคตรรรร

- ปีนังเป็นทีเบียร์โคตรแพง!!!! ปิดตำนานจิบเบียร์ชิวได้เลยจ้ะ

- เงิน 1RM(ริงกิต) จะประมาณ 8 บาท ( ณ ตอนที่กวิ้นไป )

- เดินทางภายในตัวเมืองจอร์จทาวน์แนะให้เดินจ๊ะ และก็รถเมล์ ซึ่งรถเมล์หมด 5 ทุ่มนะ



หมดยังอะ น่าจะหมดแระ ไปๆ พาไปเที่ยวแระ

สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายภาพในทริปนี้

- Fuji x-m1

- Lens : Kit 16-50 , fujian 35mm f1.7



เรามีเพจแล้วน๊า เข้าไปคุยกันได้นะคะ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/tidsoihoytamDay1

ทริปนี้เราไปอยู่ปีนังมาทั้งหมดสี่วันสามคืนนะ คือบินไปจากไทยไปช่วงบ่ายๆ ถึงปีนังก็5-6โมงเย็นแล้ว (มีไฟล์ทเดียวนาจา,ที่ปีนังเวลาเร็วกว่าเรา 1 ชม.) รอบนี้ใช้บริการ Air Asia Go นะ เป็นตั๋วเครื่องบินไปกลับ + ที่พัก 3 คืน ราคาตกอยู่ประมาณคนละ 7,xxx จำเลขแน่ๆไม่ได้แล้วอะ ซอรี่นาจาาาา แต่ต้องบอกเลยว่าจองแบบนี้ถูกกว่าจองแยกน๊าาาา



คือเรื่องของเรื่อง แม่กวิ้นอะอยากไปปีนังมว๊ากกกก ประกอบกะน้องชายกวิ้นกำลังจะต้องฝึกงานน่าจะไม่ได้เที่ยวอีกนาน กวิ้นเลยจัดทริปซะเลย โดยมีแม่เป็น sponser นี่จริงๆต้องเป็น SR นะ 5555555



กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า


พอมาถึงสนามบินปีนัง เราก็นั่งรถเมล์เข้าเมือง กวิ้นนั่ง 102 รถเข้าเมืองจะมี3สายนะ มี102 401 และ 401E ให้ดูหน้ารถแบบนี้เลย จะมีเลขบอกสายรถเมล์ ค่ารถเข้าเมือง 2.7 RM จ้าาาา



วิธีการจ่ายเงินของที่นี่ ก็คือจ่ายกับคนขับเลยนะ ไม่มีกระเป๋ารถเมล์คอยเก็บ เออ ไปมาหลายประเทศแระ ก็ยังไม่เคยเจอกระเป๋ารถเมล์แบบที่ไทยนะ ที่เคยเจอมาก็มีแต่แบบจ่ายตอนขึ้นรถกับลงรถที่คนขับเลย หรือว่ามีนะ? ไม่รู้แหะ



นั่งรถไปประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงที่ Komtar Bus Terminal ไอ้ตึกสูงๆนี่แหละ ตรงนี้คือศูนย์รวมรถเมล์เลย บขส.บ้านเราเลยจ้าาาาา เกือบทุกสายจะผ่านที่ Komtar นี่แหละ แล้วเวลาจะไปไหนก็ต้องมาที่นี่ กวิ้นอยู่4วัน ผ่านไอ้ท่ารถนี่ทุกวันอะ ถ้าหลงทางให้มองตึกนี้เอาไว้ได้เลย 55555



ที่พักของเราในทริปนี้คือ Armenian Street Heritage Hotel โอ้โห ตั้งชื่อยาวขนาดนี้กลัวคนจำได้แน่ๆ =.,= อ่ะต่อๆ เป็นโรงแรม 3 ดาวนะ ห้องขนาดพอดีๆ เตียงควีนไซส์ ไม่มีอาหารเช้าให้นาจา ทำเลดีตั้งอยู่ที่ถนนArmenian อยู่ตรงข้ามกับ ที่ทำการ Georgetown heritage เลยแหละ (ขอยืมรูปตัวโรงแรมจากเวปมานะ ลืมถ่ายเฉยเลย=.,=)



พอเก็บของเข้าโรงแรมเรียบร้อย ก็หิวเลย ออกไปหาอะไรกินดีกว่า ถามที่รีเซปชั่นด้านล่างบอกมี street food อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมาก ก็เลยเดินไป วันนี้กินที่ถนน


Lebuh Kimberley ตัดกับ Lebuh Cintraนะฮะ

จริงๆ มันไม่ถึงก็เป็นโต้รุ่งนะ แต่ก็มีหลายร้านอยู่ จากที่สังเกตุที่ปีนัง ถ้าไม่เป็นร้านอาหารไปเลย ก็จะเป็นคล้ายๆฟู๊ดคอร์ทอะ สั่งแล้วมานั่งกินที่โต๊ะ



แก อาหารปีนังเป็นอะไรที่แปลกรวมเอาหลายๆอย่างเข้าด้วยกันอะ แปลกแต่ดีนะ นี่เลือกร้านนี้เพราะไอ้ควันๆที่ลอยอยู่นี้แหละ เป็นร้านขายสเต๊ะ มีทั้ง หมู ไก่ เนื้อวัว แกะ มากันให้หมด



อันนี้ก็แปลก แต่อร่อยมากกกกกกก กวิ้นชอบสุดๆ จริงๆมันคล้ายข้าวเกรียบปากหม้ออะ เป็นแป้งนุ่มๆเหนียวๆ ใช้วิธีการทำให้สุกด้วยไอน้ำ มันเรียกว่าอะไรกวิ้นไม่รู้อะ นี่สายกินอย่างเดียว ยิ่งหิวจัดด้วย ดูรูปได้นิ้วติดมาเพราะทั้งจะกินทั้งจะถ่ายอะ สั่งมาแบบจานใหญ่ 11RM



และนี่ไงที่เค้าย่างๆอยู่ เราสั่งเป็นเนื้อสะเต๊ะ กับแกะสะเต๊ะ เห็นดำๆแบบนี้แต่อร่อยมากนะเว้ยย จะสั่งรอบสองของหมดอะคิดดู ขายดีมาก 2 อย่างรวมกันมาแบบนี้ ราคา 12RM จ้ะ



และแน่นอนเมนูลักซา Lak sa เมนูขึ้นชื่อของปีนัง!!! มาต้องกินนะ สำหรับเรื่องรสชาต กวิ้นว่าอร่อย แม่กวิ้นบอกเฉยๆ อ่า แล้วแต่คนดีกว่า คือมันจะเป็นอารมณ์แบบเส้นหนาๆนุ่มๆ ประมาณอูด้ง แล้วน้ำข้นๆอารมณ์แกงส้ม ใส่แตงกวาด้วย ยังไม่พอใส่สัปปะรดด้วยเอาเซ่!!


แต่ดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน เฮ้ย ไม่ใช่ รวมๆแล้วอร่อยแปลกๆดี ถ้วยนี้ 6RM นะฮะ



ถ้าคุณคิดว่ากวิ้นจะหยุดกิน ผิดฮะ!! 3จานแค่นี้ทำอะไรกวิ้นไม่ได้หรอก


นี่เลยนำเหนอ เป็นร้านข้างทางที่ น่าลองสุดๆ เค้าเรียกกันว่า Lok Lok

ขายเป็นไม้ ไม้เล็กๆ ราคาดูตามสีของไม้ได้เลยจะมีเขียนป้ายบอกไว้ด้วย

ไม่แพงนะ มีตั้งแต่ 0.5RM เลย

เมนูมีหลากหลายมว๊ากกกก มีทั้งลูกชิ้น อาหารทะเล หมึกกรอบ หมึกธรรมดา หอยแครง แมงกระพรุน!! ผักก็มีนะ เลือกหยิบได้เลย วิธีกินนะเหรอ เค้าก็จะมีหม้อเดือดๆให้จุ่มไม้ลงไป

และมีจานเล็กๆมาให้ เราก็ยืนกินหน้าร้านนั้นแหละ มีน้ำจิ้มด้วยนะ

สนุกดีอะ ชอบ อร่อยไปอี๊กกก กิกิ



คืนแรกแรงเหลือเยอะ เราเดินไปที่ LOVE LANE เค้าบอกว่าตอนกลางคืนที่นี้จะคึกคักหน่อย



จริงๆกะว่าจะหาร้านนั่งชิลๆ


พอเห็นราคาแล้ว อื้อหื้อออออ แพงมากๆ กินแก้วเดียวกลับเลย

อาจจะเป็นเพราะว่าเมืองนี้เคร่งศาสนาก็ได้นะ ราคาถึงแพงเพื่อให้คนกินน้อยลง แต่นักท่องเที่ยวก็นั่งกินกันเต็มไปหมด อืมมมมมม



.


ขากลับเดินผ่านสุเหร่า ชื่ออะไรก็ไม่รู้แต่ว่าก็สวยดี เลยแวะถ่ายรูปสักหน่อย ต้องบอกว่านอกจากจอร์จทาวน์จะเป็นเมืองที่สวยแล้วยังเป็นเมืองที่รวยสุเหร่าอีกนะ มีแทรกอยู่ทุกมุมเมืองเลย


สรุปคืนนั้นของกวิ้นก็จบลงด้วยการซื้อเบียร์กลับไปกินที่ห้องและวางแผนเที่ยวของวันรุ่งขึ้นกันต่อDay 2



วันนี้กวิ้นเริ่มต้นที่ตึกที่ทำการจอร์จทาวน์ ตั้งใจไว้กว่าจะเก็บรูปศิลปะบนกำแพงของเมืองจอร์จทาวน์ให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้



อ่ะ 1 2 3 เริ่ม!!


เราเดินไปทางขวามือของตึกจะมีถนนเล็กๆ พอเดินเข้ามาก็อดที่จะแวะถ่ายรูปกับความสวยงามของตึกสไตล์ชิโนโปรตุกีสเอาไว้ไม่ได้

ตัวเมืองจอร์จทาว์นนี่ยังคงอนุรักษ์ไว้ได้อย่างดีจริงๆ



เดินต่อมาหน่อยก็เจอกับอีกหนึ่งงานศิลปะที่โดดเด่นของจอร์จทาวน์ นั้นก็คืออออออ ศิลปะเหล็กดัดรูปการ์ตูน!! เขาว่ากันว่าไอ้เหล็กๆเนี่ย เป็นการบอกเล่าเรื่องราวขำๆ และประวัติศาสตร์ของเมืองปีนัง


จริงๆแล้วมีทั้งหมด 52 ชิ้น แต่ว่าจะกระจายตัวอยู่ตามมุมต่างๆของจอร์จทาวน์ ถามกวิ้นว่าเก็บได้ครบไหม หุหุ ระดับนี้แล้ว....บอกเลยว่าไม่ 555

เฮ้ยยย มันเยอะมากจริงๆนะ อย่าว่ากันเลย



แต่นอกจากตึกสไตล์ชิโนโปรตุกีสแล้ว ศิลปะแบบจีนของวัดจีนก็มีให้เห็นอยู่สองข้างทางเช่นกันาจาาา



เดินมาได้สักพักเราก็ยังไม่เห็นภาพศิลปะบนกำแพงเลย...ตอนแรกคิดว่าเดินมาผิดทางแน่ๆ


แต่เอ... ก็มีนักท่องเที่ยวเดินสวนทางไปกับเราเยอะนะน่าจะเจอบ้างสักรูปแหละ

... ว่าแล้วไง เจอแล้วใช่ไหม 555 ยังไม่เจอ แต่กวิ้นหิวเลยแวะซื้อชาไข่มุขกิน และด้วยความหิวนี่เอง ก็ทำให้กวิ้นเจอศิลปะบนกำแพงอยู่ 2-3 รูป ไงละความหิวเป็นเหตุ



น้องหมวยน่าร๊ากกกก



สวยไหมละ...รูปนะไม่ใช่กวิ้น แต่รูปที่เจอนี้ก็ยังไม่ใช่รูปที่เราตามหาสักเท่าไหร่ เพราะอันนี้เป็นศิลปะแบบใหม่ แต่ที่เราตามหานั้นเป็นผลงานของ Ernest Zacharevic ศิลปินชาวเอสโตเนียที่เริ่มวาดรูป เมื่อปี 2012 ครั้งแรกมี 12 รูป ภาพเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลศิลปะและวัฒนธรรมจอร์จทาวน์ มันเป็นโครงการที่สร้างสรรค์งานศิลปะครั้งแรกของเค้า 6 ผนังใช้เวลากว่า 3 เดือน ซึ่งผลงานของเค้าจะสัมพันธ์กับวิถีชีวิตกับคนท้องถิ่น เช่น รูปเด็กขับจักรยาน ขี่มอเตอร์ไซด์ เด็กเอื้อมมือหยิบของ เด็กเล่นชิงช้าเป็นต้น



และเมื่อเราเดินต่อมาไม่ถึง 200 เมตรเราก็เห็นคนยืนรอถ่ายรูปกันเยอะแยะ ในที่สุดเราก็เจอศิลปะบนกำแพงจนได้...เย้ๆ ก็ได้ถ่ายรูปสมใจ แต่กว่าจะได้รูปเปล่านี่ก็ต้องรอจังหวะคนเดินออกหมดนะเนี่ยถึงจะถ่ายมาได้



โอ๊ะ...เดินต่อมาอีกประมาณหนึ่งแยกถนนเห็นเด็กๆถ่ายรูปกันน่ารักเชียว...ต่อถ่ายเด็กร้องเหมี๊ยวๆด้วยนะ น่ารักไปอี๊กกกก



ไอ้ศิลปะรูปแมว ที่เห็นอยู่ทั่วเมืองจอร์จทาวน์เนี่ย เป็นโปรเจ็กใหม่ล่าสุด


ขององค์กรเพื่อสัตว์ ซึ่งก็มีศิลปินชาวไทย คุณณัฐธร เมืองเกรียง ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน วาดภาพแมวด้วยนาจา เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกในการหาบ้านให้สัตว์เร่ร่อนอยู่



ลืมบอกไปเลยว่าทุกรูปที่เราถ่ายได้นี้เราถ่ายได้จากถนนเส้น Gat Lebuh Armenian ซึ่งเกือบสุดสายก็จะเจอร้านขนมเปี๊ยะ ที่หน้าร้านมีรูปเด็กเอื้อมมือมาขยิบขนมที่อยู่บนรถจักรยาน


เป็นไง เข้ากับสภาพแวดล้อมมั้ยล๊าาาา



เผื่อใครเดินมาเหนื่อยๆก็แวะเข้าไปพักกินชากับขนมเปี๊ยะได้เลยนะ อร่อยเลยแหละ แม่เราลองซื้อมากินอยู่เหมือนกัน



พอเราเดินมาจนสุดถนน Gat Lebuh Armenian ก็จะเจอกับหมูบ้านท่าเรือ ท่าเรือที่เราแวะก็คือ Chew Jetty


ปากทางเข้ามีร้านอาหารจีนสไตล์มาเล มาเล อยู่ เราเลยแวะกินข้าวเช้าที่นั่น รสชาติก็ทั่วไป...



จริงๆท่าเรือมีของกิน เช่นราเมนถ้วยยักษ์เบิ้มๆงี้ เสียดายไม่ได้ลองเลย


แต่ถ้าใครไป ก็ไปลองแทนกวิ้นหน่อยนะว่าอร่อยไหม

แล้วก็จะมีพวกผลงานศิลปะอยู่ตามผนังบ้านด้วย



ภายในหมูบ้านท่าเรือ จะเป็นทางยื่นออกไปในทะเล มีบ้านสองข้างทาง ส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้ ขายของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว



ขนาดมุมแบบนี้ยังมีรุปวาดเลย



งานศิลปะก็มีขายนะ



เดินเข้ามาหน่อยก็เห็นคนยืนดูอะไร.... พระเจ้านั่นมันตัวนาก...


แต่!!! ตอนนั้นกวิ้นตกใจมากไม่เคยเห็นแบบอยู่ตามธรรมชาติ เรียกแมวน้ำเฉยเลย ปล่อยไก่ไปตัวใหญ่เลอะ (ขออภัยจริงๆ เลนส์ของข้าน้อยมันซูมได้แค่นี้)



มีแบบวิดิโอทีเซอร์ที่ตัดไว้เมื่อ2 เดือนที่แล้วด้วยนะ 5555 อายว่ะ แมวน้ำบ้อบอมาก

https://www.youtube.com/watch?v=-Y7wpZxavBg



และเมื่อเดินมาจนสุดเราทางก็จะได้เห็น ฝั่งบัตเตอร์เวิร์ตด้วย


เป็นวิวที่สวยมากมุมหนึ่งของปีนังเลยนะ กวิ้นว่า



หลังจากนั่นเราก็เดินกลับมาที่ถนนเส้นเดิมแล้วเลี้ยวเข้าถนน Lebuh victoria ก็จะเจอรถถังสีชมพูแบบนี้อยู่ช้ายมือ



มีเจ้าแมวเหมียวเดินอยู่ปลายกระบอกปืนแบบนี้... เราลืมบอกไปว่าจริงแล้วไม่ต้องเดินมาแบบเราก็ได้นะถ้าออกจากหมู่บ้านท่าเรือแล้วเลี้ยวขวา พอเจอแยกแล้วก็ข้ามถนนมายังเส้น Gat Lebuh chulia จะง่ายกว่าไม่อ้อมด้วย แต่ตอนนั้นเราไม่รู้ทางเดินไปเรื่อยอะนะ แต่ไม่มาทางนี้ก็ไม่ได้เจอเจ้าเหมียวนาจาาา



เราเดินมาต่อก็จะเจอกับแยกถนน Lebuh victoria ตัดกับถนน Gat Lebuh chulia ตรงแยกมีซอยเล็กๆ ที่กำแพงมีงานศิลปะแมวอยู่ด้วย



ตรงข้ามก็จะมีงานศิลปะเหล็กดัดอยู่แบบนี้ เราก็แวะถ่ายรูปกัน ถ่ายเสร็จอาการติดกาแฟก็กำเริบ


อยากกินตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินกันเลยอะ แดดก็ร้อน ต้คือองบอกว่าที่นี่ร้อนไม่ต่างจากไทยเลยนะ แนะนำให้มาหน้าหนาวน่าจะเดินสบายกว่านี้



เราเลยพักการตามล่ารูปศิลปะบนกำแพงเอาไว้ก่อน เปลี่ยนมาตามล่าหากาแฟเย็นๆกินกันสักแก้ว เดินตรงเข้ามายังถนน Gat Lebuh chulia ระหว่างทางก็เจอกับ container hotel ก็เก๋ดีนะ แต่ว่าไกลจากตึกคอมต้าร์(ศูนย์ท่ารถ)ไปหน่อย แต่เหมือนจะใกล้กับศูนย์ท่ารถของท่าเรือนะ แต่กวิ้นไม่รู้ว่าจะมีรถให้ไปทุกที่หรือเปล่า



และด้วยความอยากกาแฟเอามากๆ ก็พาเรามาเจอกับภาพศิลปะบนกำแพง ไฮไลท์ของปีนังเลยละ โอ้ว แวะถ่ายรูปกันใหญ่ ลืมกาแฟกันไปเลย



ถ่ายรูปเสร็จเราก็เดินในถนนเส้น Gat Lebuh chulia กันต่อ และในที่สุดเราก็เจอกับร้านกาแฟเล็กที่แทรกตัวอยู่ โอ้วสวรรค์!!!



ในร้านแคปไปนิด กวิ้นไม่ได้ถ่ายรูปมาเยอะ แต่ก็ตกแต่งสวยดีนะ เพื่อนๆมาแวะกินได้ กาแฟอร่อยใช้ได้



หลังจากกินกาแฟเสร็จเราก็เดินกลับทางเดิม และมุ่งตรงไปทาง สถานีดับเพลิง ที่เห็นตามรูป


เป็นอาคารสีขาวแดง ใหญ่ๆเด่นๆเลย



ตรงข้ามสถานีดับเพลิงมีงานศิปละเหล็กดัดอยู่ 2 รูปด้วยกัน



นี่อีกรูป...พอถ่ายรูปเสร็จเราก็ข้ามมาฝั่งสถานีดับเพลิง แล้วข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามหน้าสถานี้ดับเพลิงอีกที แล้วเดินไปทางซ้ายมือ (หันหลังให้สถานีดับเพลิงนะ) ตรงนี้ตามดีๆนะ มีรูปที่เป็นไฮไลท์เยอะเลย


เดินต่อมาประมาณ 200 เมตร จะเจอซอยเล็กๆขวามือ จะมีนักท่องเที่ยวยืนรอถ่ายรูปกันมากมาย



ในซอยมีรูปเด็กขับมอไซค์สุดคลาสสิค กว่าจะได้รูปแบบเปล่าๆก็รอนานเลย



ถัดจากรูปเด็กขับมอไซค์ก็จะเป็น รูปเด็กลากไดโนเสาร์แบบนี้


ดีนะที่กวิ้นไปเป็นวันเสาร์ ถ้าไปก่อนวันหนึ่งจะเป็นไดโนศุกร์ แฮร่ (ให้เล่นเถอะ 5 บาท 10 บาทก็เอา)



รูปนี้อยู่บนกำแพงฝั่งตรงข้าม เด็กขับมอไซค์เลย ซอยนี้รูปเยอะจริงๆ แกต้องมานะเว้ยยยยย!!



ยังนะ ยังไม่หมด เดินต่อเข้ามาในซอยเลยจร้า ประมาณ 50 เมตร จะเจอทางเลี้ยวขวา มีคนเดินเข้าไปมากมาย ทำไมนะเหรอ ก็เพราะมีรูปบูชลีกระโดดถีบแมวไงละ โธ่สงสารเจ้าเหมียวจัง



จากนั้นเราก็กลับทางเดิม แล้วไปทางถนน Lebuh Pantai เพื่อมุ่งหน้าสู่ Fort Cornwallis และระหว่างทาง แม้เป็นเพียงที่จอดรถ ยังมีศิลปะบนกำแพงเลย กวิ้นชอบอันนี้มากมันฮิปดี



เดินต่อมาหน่อยเข้าก็เจอ little India แวะเข้ามาหน่อยไหมจ๊ะนายจ๋า 555


แต่ยังก่อน ขอเก็บไว้ก่อน กะไว้ว่าเดี๋ยวจะแวะไปโดนอาหารอินเดียกินที่นี่ ตอนนี้ยังไม่หิวเราจึงเดินกันต่อ

พอเดินเขามาเรื่อยๆจะเห็นก็จะได้เห็นตึกเก่าสวยมว๊ากกกกก เนื่องจากบริเวณนี้เคยเป็นย่านเศรษฐกิจสำคัญของเมืองจอร์จทาวน์ ก็เลยมีแต่ตึกใหญ่ๆทั้งนั้น



ปัจจุบันก็ยังคงเป็นย่านการค้าที่สำคัญ มีร้านค้า ที่ทำการต่างมากมาย



อย่างธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ตึกนี้ก็สร้างมาตั้งแต่ปี 1875 เลยทีเดียว



ตึกสวยๆแบบนี้ก็ไม่พลาดที่แวะถ่ายรูปกันสักหน่อยจริงไหม



เดินต่อมาหน่อยก็เจอกับหอนาฬิกาซึ่งสร้างขึ้นเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองพระชนมายุครบ 60 พรรษาของพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษเมื่อปี ค.ศ.1897 ซึ่งอยู่ติดกับ Fort Cornwallis เลย



Fort Cornwallis สร้างขึ้นตรงจุดแรกที่กัปตันฟรานซิส ไลท์ขึ้นสู่เกาะปีนังในปี ค.ศ.1786 มีค่าเข้าประมาณ 2 RM แต่เราไม่ได้เข้าไปนะ


คือส่องๆดูแล้ว แลดูร้อนเหลือเกิน เอาจริงๆคืองก และคิดว่าน่าจะไม่มีไร เลยเดินชมวิวรอบๆแทน



ริมทะเลบริเวณนี้สวยไม่เบาเลยนะ มองออกไปเห็นย่าน Gurney drive ที่อีกด้านหนึ่งของปีนัง เป็นย่านเมืองใหม่ มีศูนย์การค้ามากมาย แต่เดี๋ยวเราจะไปกันวันพรุ่งนี้



ใกล้ๆกันเป็น City Hall งดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบวิกตอเรีย สร้างขึ้นเมือปีค.ศ.1903



ติดกันเป็น Town Hall ซึ่งใช้เป็นที่ทำการของอังกฤษเมื่อปีค.ศ.1883 หลังจากถ่ายรูปเสร็จความหิวก็เรียกหา


เราจึงต้องออกไปตามหา อาหารอินเดียที่ตั้งใจไว้



เดินไปเดินมาก็ผ่านวัดจีนเล็กๆ แต่เนืองแน่ไปด้วยผู้คนที่มากราบไหว้บูชา เราจึงเดินไป ไปไหว้เจ้าเหรอ... หึ ไม่ใช่ ไปหาของกินต่างหาก


เดินไปเดินมาเราก็หิวไง เลยเปลี่ยนจากอาหารอินเดียเป็นอาหารอิตาเลี่ยนแทนซะงั้น เพราะความหิวทนไม่ไหว จึงได้ร้านที่อยู่หลังวัดจีนนี้



อาหารก็รสชาติพอใช้ได้ แต่ว่าแพงไปหน่อย ร้านนี้ไม่แนะนำนะ มันแพงอะ พวกเราหลวมตัวเข้ามาแล้วก็เลยตามเลย



แต่ไอ้การที่เดินตามหาร้านอาหารนี้ก็ทำให้เราเข้าเจอกำแพงศิลปะอีกครั้ง นี่ก็เป็นอีกรูปหนึ่งสุดคลาสสิคของจอร์จทาวน์เลยนะ



เป้าหมายสุดท้ายของวันนี้คือเราตั้งใจว่าจะเดินไปจบที่ Nagore Square เราจึงเดินไปเรื่อยให้ไปจบที่นั่น ระหว่างทางนี่ก็เจอศิปละบนกำแพงมากอยู่นาาาาา



เราก็ถ่ายรูปเก็บไว้เท่าที่เราถ่ายได้ พอบ่ายสามเราก็เดินไปจนถึง Nagore Square แต่ยังไม่สามารถเที่ยวได้ เพราะย่านนี้เปิดกลางคืน เริ่มตั้งแต่ 6 โมงเป็นต้นไป เราจึงตัดสินใจนั่นรถเมล์กลับมาที่ ตึกคอมต้าร์



ตึกคอมค้านี่นอกจากเป็นศูนย์ท่ารถแล้วยังเป็นศูนย์การค้า สิ้นค้าภายในก็เหมือนห้างทั่วไป ของอาจไม่ใช่คอเล็คชั่นใหม่เท่าไหร่ เราจึงเดินฆ่าเวลากันที่นี่



พอหกโมงเราก็นั่นรถกลับไปที่ Nagore Square เราขึ้นรถที่ศูนย์ท่ารถที่ตึกคอมต้าร์ นั่งสาย 101 ป้ายรถเมล์อจะเลยไปนิดนึงต้องเดินย้อนกลับมาหน่อย ไม่ไกลหรอกๆ



ย่านนี้เป็นย่านใหม่แต่สร้างเลียนแบบสไตล์เก่า จะเห็นว่าตอนนี้หกโมงแล้วแต่ยังไม่มืดเลย เพราะตอนที่ไปเป็นช่วงหน้าร้อนด้วยแหละ ที่นี่เลยมืดช้า แต่ดีแระ ได้ภาพสวยเยอะดี



ที่นี่มีมุมชิคๆให้ถ่ายรูปอยู่นะ แต่สังเกตได้เลยว่ารูปมันคนละสไตล์กะในตัวเมืองเก่าเลย



ส่วนใหญ่เป็นศิลปะแบบใหม่ที่ถูกแต่งเติมให้เข้ากับความเป็นเมือง Street Art



ร้านส่วนใหญ่ที่นี่ก็เป็นร้านอาหาร และร้านนั่งดื่มชิลๆ



ไงละร้านเบียร์ชิลๆเต็มเลยใช่ไหมละ น่านั่งเลยที่เดียว



.



และก็ไม่พ้นที่จะมีมุมศิลปะบนกำแพงให้ถ่ายรูปด้วยนะ



มีน้องมาร์ดี้ด้วย ตัลร๊ากกกก..เดินถ่ายรูปและสำรวจราคาเบียร์อยู่สักพัก คิดว่าจะได้นั่งชิลกันแถวนี้ แต่สุดท้ายก็สู้ราคาไม่ไหว จึงเดินออกไปอีกซอยนึง



แต่!! เราก็เจอกับร้านนี้ ราคาถูกลงมาหน่อย ชื่อร้าน Piknik เราเลยคิดว่าไหนๆมาแล้วก็นั่งกินสักหน่อยเดินมาทั้งวันแล้ว



ร้านนี้ตกแต่งแปลกแต่สวย ใช้ได้เลย สไตล์แบบฮิปเตอร์มากๆ


เข้ามาก็เจอกับบรรยากาศสีสันสดใส ตกแต่งน่ารักทุกมุมจริงๆ

ร้านนี้เปิดตั้งแต่สามโมงเย็น ถึงเที่ยงคืน



ไฮท์ไลท์ของทางร้านนี้ก็คือลูกค้าที่มานั่งกินที่นี่สามรถ เขียนชื่อตัวเองหรือฝากข้อความไว้ที่บนทำแพงร้านได้ด้วย


อ่ะ มาแล้ว ต้องฝากรอยไว้หน่อย ขอติดสอยห้อยตามจารึกไว้สักหน่อยเด้อออออ



แล้วคืนนี้นี่เราก็จบลงที่เบียร์คนละขวดและกลับ ต้องบอกว่าถ้าจะกินเบียร์ที่ปีนังซื้อกลับไปกินที่ห้องเถอะ ถูกกว่าเยอะ



วันรุ่งขึ้นเราจะพาเที่ยวนอกเมืองกัน มาดูกันว่านอกเมืองจอร์จทาวน์จะมีอะไรให้เที่ยวบ้าง ติดตามได้ตอน 2 เด้ออออ กวิ้นสัญญาว่าจะรีบเขียนให้เสร็จเร็วๆ (ถ้าไอ้ความขี้เกียจมันไม่มาฉุดรั้งไว้ =.,=' ) ถ้าเพื่อนคนไหนอ่านแล้วชอบอย่าลืมกดไลค์กดแชร์เป็นกำลังใจให้กวิ้นด้วยนะ จุ๊บบบบบบ

ติดสอยห้อยตาม

 วันพฤหัสที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 17.25 น.

ความคิดเห็น