กลับมาอีกครั้งกับพวกเรา 4 สหายท่องโลก คราวนี้เราจะพาไปเที่ยวในประเทศกันบ้าง โดยขอปักหมุดที่จ.นครศรีธรรมราช หนึ่งในเมืองต้องพลาด! ที่ททท.โปรโมทไว้ บอกเลยว่ายอมใจให้จังหวัดนี้จริงๆ เพราะมาครั้งเดียว เที่ยวได้ครบทั้งทะเล ภูเขา น้ำตก และตัวเมือง งานนี้ฟินเต็มอรรถรสสุดๆ แต่น่าเสียดายที่สหายคนสุดท้ายติดภารกิจ มาด้วยไม่ได้ เลยเหลือแค่ 3 สาว 3 สหาย เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะกิน เที่ยวเผื่อให้หนำใจ และแชะภาพสวยๆ มาฝากนะจ๊ะ 555555555555555555 (หัวเราะอย่าบ้าคลั่ง ไม่ได้ซ้ำเติมให้อิจฉาเลยจริงจริ๊งงงงงงง ***เสียงสูง***)


ด้วยความที่วันลาเราเหลือเยอะ (อิจฉาละสิ่ อิอิ) เลยตกลงปลงใจไปวันธรรมดา 5 วันรวด ตั้งแต่วันที่ 2-6 สิงหาคม 2559 และตั้งงบไว้ไม่เกิน 5,000 บาทต่อคน ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน (จองล่วงหน้าประมาณ 3 อาทิตย์ ของสายการบิน Lion Air ไปกลับคนละ 1,400 บาท ราคาน่าจะพอๆ กับรถทัวร์แถมประหยัดเวลากว่าด้วย)



ส่วนสาเหตุที่เราเลือกมานครฯ เพราะทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากมาเที่ยว “คีรีวง" หมู่บ้านที่อากาศดีที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเอาจริงๆ แล้วถ้าจะมาแค่นี้ 3 วัน 2 คืนก็เหลือเฟือ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ลาหยุดยาวไปแล้ว จองตั๋วไปแล้ว เลยเที่ยวให้ครบไปเลยละกัน (เป็นตรรกะที่สมเหตุสมผลมากกกกก 55555) พวกเราวางแผนคร่าวๆ ก่อนเดินทางล่วงหน้า 2 วัน ก็ได้แพลน (ฉบับดั้งเดิม) ดังนี้

วันแรก – คีรีวง

วันที่สอง – ตอนบ่ายไปอุทยานแห่งชาติเขาหลวง

วันที่สาม – ตอนบ่ายเข้าตัวเมืองนครฯ

วันที่สี่ - ตอนบ่ายไปขนอม

วันสุดท้าย – ตอนบ่ายกลับเข้าเมือง



ส่วนแผนใหม่จะเป็นยังไงต้องติดตาม พร้อมแล้วแบกเป้ตามมาเล้ยยยยยยยย!!!!

ปล.ถ่ายภาพด้วยกล้อง Lumix GX8 เลนส์ 12-60 mm.



ติดตามพวกเราได้ที่เพจ https://www.facebook.com/gogogowithfourfriends/
Day 1 ขนอม

ทริปนี้ลุ้นระทึกตั้งแต่ตอนขึ้นเครื่อง เพราะเหลือเวลาอีกแค่ 20 นาทีเคาท์เตอร์เช็กอินก็จะปิด แต่สหายนางสุดท้ายยังไม่มาคืออัลไลลลลลล!!! นี่ก็โทรไปจิกจนจะแปลงร่างเป็นไก่อยู่แล้ว แต่ก็ได้คำตอบตอบกลับมาเหมือนเดิมว่า “งงงงง! รถติดไม่ขยับเลยว่ะ" ซึ่งเราก็ทำดีที่สุดคือเช็คอินให้นาง ในที่สุดเหลืออีก 5 นาทีสุดท้ายนางก็วิ่งหน้าตั้งมาทันเวลาพอดี



หลังจากเม้าท์มอยอัพเดทชีวิตกันไปตลอดทางเป็นเวลาชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงสนามบินนครศรีธรรมราช ทันใดนั้นพวกเราก็เหลือไปเห็นป้ายรถตู้ “ไปขนอม" สหายนางหนึ่งเลยหันมาถามว่า “ไปขนอมกันก่อนดีมั้ย?" ที่เหลือก็บอกว่า “เออ ไปดิ่!" ซึ่งมารู้ทีหลังว่ารถตู้ไปขนอมนั้นสำหรับผู้โดยสารของนกแอร์ โชว์โง่อีกแล้วตรู 555555555 แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ออกมาหารถไปขนอมเลยก็แล้วกัน ซึ่งก็มีแต่แท็กซี่เท่านั้น 3 คนราคารวม 1,100 บาท ไปส่งถึงที่พัก ถึงจะแพงไปหน่อยแต่ก็เอาวะ! ไม่มีทางเลือกอื่น



ว่าแต่... “น้องพักที่ไหนกัน" พี่แท็กซี่ที่ดูแค่ครึ่งหน้าบนเหมือนบารัค โอบาม่า ถามด้วยสำเนียงคนใต้ “ยังไม่รู้เลยพี่!! ไม่ได้จองไว้" เราเลยขอให้พี่แท็กซี่ขับพาไปละแวกที่มีที่พักเยอะๆ จะได้เดินดู แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ถึงแม้จะละแวกหาดขนอมจะมีที่พักเยอะ แต่มันก็ห่างกันพอสมควร ไม่เหมือนพัทยาหรือเกาะล้านที่จะเดินดูได้ พอขับผ่าน “ตาลคู่บีช รีสอร์ท" ซึ่งคุ้นชื่อว่าเคยอ่านเจอในพันทิปนี่แหละ เลยบอกให้พี่เลี้ยวเข้าไปแวะดู ปรากฏว่าห้องสภาพถูกใจ ราคาก็ถูกใจ เลยตกลง ดีลลลลลล! ราคานี้ 900 บาทต่อคืน มารู้ทีหลังว่าติดริมหาด แถมมีสระว่ายน้ำอีกต่างหาก คือดี๊ดีอะ!!!



ภารกิจแรกหลังเสร็จเรื่องที่พักคือ หาข้าวเที่ยงกิน หลังรีสอร์ทที่ติดชายหาดมีร้านอาหาร เลยสั่งข้าวผัดทะเลจานใหญ่ (มาก) กับต้มยำมากิน ระหว่างที่รออาหาร ฝนก็เริ่มโปรยปราย ถ้ามากับผู้ชายได้สวีทวี๊ดวิ้วกันแน่นอน บรรยากาศแบบนี้โรแมนติกไปอี๊กกกกก ***เสียงสูง*** แต่ทันทีที่คิดได้ว่ามากับแก๊งค์ชะนีทุกอย่างก็จบค่ะ! 5555555 พออาหารมาเสิร์ฟ สหายนางหนึ่งก็ตะลึงในความใหญ่ (ของข้าวผัด) เลยถามว่าจะกินกันหมดมั้ย? หึหึ นี่ใครรร? สายแ_ดร_กสุดสตรองนะคะ อย่าลืมสิ่! แล้วทุกอย่างก็หายเกลี้ยงภายในพริบตา



หลังจากเติมพลังเสร็จก็เดินถ่ายรูปเล่น นอนชิลๆ ริมหาด รับลมเย็นๆ รอแดดร่มลมตกค่อยเล่นน้ำทะเลและกระโดดลงสระว่ายน้ำ ทั้งหาดเงียบสงบมาก แทบจะไม่มีคน มีฝรั่งบ้างเล็กน้อย #พอดูรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน #ยิ่งดูยิ่งมีเสน่ห์ #นี่พูดถึงทะเลอยู่นะอย่าเข้าใจผิด55555 ความรู้สึกเหมือนทั้งหาดเป็นของเรายังไงยังงั้น แนะนำให้มานอนเล่นโง่ๆ เหมือนที่สหายนางหนึ่งบอกก็พอแล้ว



ตกเย็นก็เดินเลาะริมหาดไปหาอาหารทะเลกิน เดินไปเรื่อยๆ ถึงรู้ว่าร้านอยู่ไกลมากกกกก หิวมากกกกกก มื้อนี้เลยจัดหนักอีกเช่นเคย อย่าให้เสียคอนเซ็ปต์สายแ_ดร_ก ผู้หญิง 3 คน แต่สั่งอาหาร 6 อย่างคืออัลไล พูดดดดด!!! ความจริงคือกินตุนไว้ เผื่อขากลับต้องอีกไกลยังไงล่ะ 555555555 มื้อนี้หมดค่าเสียหายไป 980 บาทถ้วน



จริงๆ ที่พวกเรามาขนอมเพราะอยากดูดาว เห็นในอินเทอร์เน็ตบอกว่าขนอมติด 1 ใน 10 ที่ที่ควรไปนอนดูดาว เราก็เชื่อตามนั้น แต่พอเอาจริงๆ เข้าฟ้าดันปิด เมฆเยอะ เลยอดเห็น มารอลุ้นพรุ่งนี้ดีกว่าจะได้เห็นโลมาสีชมพูไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งของขนอมมั้ย



ถ้าใครจะมาที่นี่แนะนำว่าควรเช่ารถดีกว่านะ เพราะไม่มีรถแล้วเดินทางลำบาก ไม่ค่อยมีรถผ่าน จะออกไปกินข้าวหรือซื้อของกินเล็กๆ น้อยๆ ก็ลำบาก โดยรวมถึงแม้วันนี้ดูไม่ค่อยจะมีอะไร แต่ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่สนุก เพราะคนที่มาด้วยยังไงล่ะ : ))

#เพราะโลกมันกว้างคนข้างๆจึงสำคัญ



Day 2 ดูโลมาสีชมพู+เข้าตัวเมืองนครฯ



แน่นอนว่ามาถึงขนอมแล้วไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้คือการล่องเรือชมปลาโลมาสีชมพู เอาจริงๆ แล้วตอนแรกก็เฉยๆ นะ ดูก็ได้ไม่ดูก็ได้ แถมค่าดูยังแพงอีก ซื้อแพ็คเกจที่โรมแรมคนละ 750 บาท แต่ไหนๆ มาแล้วทั้งที ไม่ดูก็จะพลาดอะไรไป วันนี้เราเลยตื่นแต่เช้าตรู่มาตามล่าหาปลาโลมาสีชมพูกัน หลังจากกินเบรกฟาสต์ของที่โรงแรมเสร็จแล้วเราก็รีบนั่งรถตู้ของโรงแรมไปลงเรือที่แหลมประทับ ซึ่งเป็นจุดที่เห็นปลาโลมาสีชมพูเยอะที่สุด



ก่อนหน้านี้ยังแดดดีอยู่เลย พอลงเรือเท่านั้นแหละ เมฆมาทันที ดีออกกกกก! พี่ไกด์บอกว่า “ฟ้าปิดแบบนี้ไม่น่าจะเห็น" ร้องไห้แพร้พพพ ได้แต่ภาวนาให้เห็น เพราะลมแรง น้ำขุ่น คลื่นสูงมากจนเรือโคลงเคลง นี่ก็เลยนั่งตัวเกร็งจนไม่กล้าขยับไปไหน จะเปลี่ยนท่านั่งยังไม่กล้า ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ว่ายน้ำเป็นและใส่เสื้อชูชีพอยู่นะ ผิดกับสหายอีกนางที่เอ่ยปากว่า “กุว่ายน้ำไม่เป็น แต่กุไม่เห็นจะกลัวเลย" จ้าาาาาา เอากับมันสิ่! ตอนนั้นความรู้สึกแบบว่ากลัวเรือมันไม่บาล้านซ์แล้วคว่ำ รู้ซึ้งถึงคำว่า “เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง" จริงๆ ก็คราวนี้แหละ!!!



ระหว่างนั้นพี่ไกด์ปลอบใจว่าถ้าวันนี้ไม่เห็นปลาโลมาสีชมพู เดี๋ยวพรุ่งนี้พามาใหม่ ไม่คิดเงินเลยด้วย เอาสิ่!!! แต่บ่ายนี้พวกหนูก็จะต้องออกจากขนอมแล้วมั้ยพี่!! ขณะเดียวกันอิชั้นเลยรวบรวมสมาธิ เพ่งจิต อธิฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในท้องทะเลว่าขอให้เห็นปลาโลมาสีชมพูด้วยเถิดดดดด เพี้ยงงงงง!!! #งานไสยศาสตร์ก็มา ในที่สุดก็เห็นจนได้ วินาทีนั้นทุกคนในเรือกรี๊ดกันลั่นเลยจ้าาาา 5555 ยิ่งช็อตที่ปลาโลมากระโดดควงหมุนตัวโชว์นี่ฮือฮาสุดๆ เป็นอะไรที่ประทับใจมาก แล้วมันก็โผล่มาเห็นอีกเรื่อยๆ แถมก่อนจะกลับปลาโลมาสีชมพูยังว่ายมาใกล้ๆ ได้เห็นแบบระยะประชิด คือฟินมากกกกกก มิชชั่นคอมพลีท!



พี่ไกด์อธิบายว่าปลาโลมาสีชมพู เป็นโลมาพันธุ์ปากขวดที่แก่แล้วถึงจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู ถ้ายังวัยรุ่นอยู่ก็สีดำปกตินี่แหละ โลมาชนิดนี้เป็นโลมาเจ้าถิ่น เป็นสัญลักษณ์ของทะเลขนอมเลยก็ว่าได้ มันชอบมาว่ายน้ำผลุบๆ โผล่ๆ ไล่ต้อนปลากระบอกเป็นอาหาร



พอดูโลมาเสร็จก็นั่งเรือไปดูเขาพับผ้ากันต่อ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่ไม่ควรพลาดเช่นกัน เพราะนอกจากจะได้ชื่อว่าเป็น “หินผามหัศจรรย์" แล้ว นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเหมือน Pancake rock ของประเทศนิวซีแลนด์เป๊ะ! เขาผับผ้าเป็นแนวหน้าผาหินสูงใหญ่ มีแนวยาวยื่นลงไปในทะเล และมีลักษณะเป็นหินซ้อนๆ กัน ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกและการกัดเซาะจากน้ำทะเล ส่วนเรายังไม่เคยไปเที่ยว Pancake rock ที่นิวซีแลนด์ เลยไม่รู้ว่าเหมือนจริงมั้ย แต่ที่รู้ๆ มันสวยงามตามธรรมชาติมากๆ เลยแหละ



หลังจากนั้นก็นั่งเรือวนต่อไปค่ะพี่สุชาติ! คราวนี้เรามาหยุดอยู่ที่ “เกาะนุ้ย" ที่นี่มีบ่อน้ำจืดกลางทะเลในตำนานหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวเรือและคนท้องถิ่นเชียวนะ นอกจากนี้ยังเป็น Unseen ของการท่องเที่ยวอีกด้วย ต้องเดินทางไปในช่วงที่น้ำทะเลลด จึงจะมองเห็นบ่อน้ำรูปรอยเท้าที่อยู่บนหินใต้ทะเล พอได้ยินความมหัศจรรย์บ่อน้ำจืดกลางท้องทะเล สหายนางหนึ่งเลยขอชิมน้ำในบ่อดังกล่าว ซึ่งก็พบว่าเป็นน้ำกร่อย



พอขึ้นฝั่งแล้วพี่ไกด์ก็พาไปดูเจดีย์ปะการัง ซึ่งตั้งอยู่บนเขาธาตุ องค์เจดีย์ทำด้วยหินปะการัง สร้างมาได้ 700 กว่าปีแล้วตั้งแต่สมัยกษัตริย์ผู้สร้างเมืองนครฯ สันนิฐานว่าสร้างเพื่อใช้เป็นแลนด์มาร์กในการเดินเรือ เพราะขนอมเป็นเมืองท่ามาตั้งแต่โบราณ และเจดีย์นี้ยังเป็นต้นแบบจำลองก่อนสร้างเจดีย์พระบรมธาตุในตัวเมืองนครฯ อีกด้วย



แผนของเราต่อจากนี้คือเข้าไปนอนในเมือง 1 คืนแล้วค่อยหารถไปคีรีวงจะง่ายกว่าหาจากที่ขนอม (ตามคำแนะนำของพี่ไกด์) ซึ่งกว่าจะออกจากโรงแรมไปถึงตัวเมืองก็บ่ายแก่ๆ แล้ว แถมยังไม่รู้จะไปพักที่ไหน ก็เลยถามอากู๋ (กูเกิ้ล) อีกตามเคย กระทู้ในพันทิปแนะนำโรงแรม @24boutique hotel แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เพราะโรงแรมสภาพใหม่ ตกแต่งน่ารัก ราคาคืนละ 850 บาทเท่านั้น แถมยังเคยลงนิตยสาร Barefoot มาแล้วด้วย นี่ไม่ได้อวยแต่ถูกใจมว๊ากกกกกกจริงๆ เลยอยากบอกต่อ



หลังจากเก็บของเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินเล่นเตร็ดเตร่ในเมืองแล้ว ความรู้สึกแตกต่างจากเมื่อวานลิบลับ ในเมืองมีความคึกคัก มีเซเว่นและร้านอาหารเพียบ งานนี้อย่ารอช้าจัดไปเลยจ้าาาาากับร้านแรก “โกปี๊" สั่งโรตี บักกุ๊ดเต๋ และกาแฟมาชิมให้อิ่มหนำสำราญ จะได้มีแรงเดินเที่ยวต่อ


ระหว่างที่เราจะเดินไปสักการะศาลหลักเมือง ผ่านกำแพงกราฟิตี้และผ่านจุดฮิปๆ หลายจุด เลยหยุดถ่ายรูปไปเรื่อยๆ จนทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “วันนี้งงง จะเดินไปถึงศาลหลักเมืองมั้ย?" และระหว่างที่เราถ่ายรูปแฟชั่นเซตกันอย่างจริงจัง ชาวบ้านและเด็กนักเรียนก็หันมามองด้วยสายตาแปลกๆ เป็นระยะ แต่อย่าได้แคร์จ้าาาา 55555555555



ในที่สุดก็เดินมาถึงศาลหลักเมืองจนได้ แล้วก็พบว่าวันนี้มีงานสมโภชศาลหลักเมืองกันด้วย ซึ่งงานนี้จะจัดเป็นประจำทุกปี! ช่างประจวบเหมาะพอดีอะไรเช่นนี้ แถมทุกคนในงานยังใส่ชุดขาวกันหมด ซึ่งตรงกับธีมคอสตูมพวกเราที่เป็นธีม “ขาว-ยีนส์" เช่นกัน เลยได้เนียนๆ ไปร่วมงานบุญครั้งนี้ด้วย สาธุ เอาบุญมาฝากทุกคนจ้า


ด้านนอกงานมีขายของกิน ซึ่งเกือบทุกอย่างขายเหมือนตลาดนัดในกรุงเทพฯ เลยเก็บท้องเอาไว้รอจัดหนักทีเดียว กระทั่งตกเย็นได้เวลากินอีกแล้ว มื้อนี้โจทย์คือต้องหาร้านที่มีใบเหลียงผัดไข่กับผัดสะตอ เพราะทุกคนว้อนท์มากกกกก อยากกินอาหารใต้แบบต้นตำรับ เลยหาร้านที่ใกล้สุดและสามารถเดินไปได้ นั่นคือร้าน “ชาวเรือ" นั่นเองงงงงง บรรยากาศดีมากกกกกกก อาหารอร่อยหรอยแรงตามแบบฉบับคนใต้ ราคาสมน้ำสมเนื้อ หลังจากทุกอย่างหมดเกลี้ยงภายในพริบตา ทุกคนยังรู้สึกว่ายังกินสะตอไม่สะใจเลย 55555555555


กินของคาวเสร็จต่อด้วยของหวาน งานนี้ต้องร้าน “โรตีป้าหนอม" สิคะ! คือเด็ดสุดนะบอกเลย สายแ_ดร_กจะต้องแวะ แนะนำให้สั่งโรตีทิชชู่ คือบางกรอบมากกกก กินกับน้ำชาเข้ากันสุดๆ กลิ่นหอมมะลิมากกกกก ฟินไปอีกเจ็ดวัน


มาช่วงนี้อากาศกำลังดี ฝนไม่ตก แต่แดดก็ไม่ค่อยร้อน เลยทำให้เดินเล่นได้เรื่อยๆ ถ้าไม่เดินก็มีรถสองแถวและแท็กซี่ไว้บริการ ซึ่งแท็กซี่ที่นี่คิดราคาตามมิเตอร์ เริ่มต้นที่ 30 บาท และทุกครั้งที่เรียกจะต้องโทรเรียกจากศูนย์เท่านั้น โบกตามทางเหมือนในกรุงเทพฯ ไม่ได้ เลยต้องบวกค่าเรียกเพิ่มอีก 20 บาททุกครั้งไป แต่มิเตอร์ขึ้นช้านะ ไม่ต้องกังวล ถ้าจะเรียกไปสนามบินบวกเพิ่ม 50 บาท

สรุปแล้ววันนี้แค่ได้เห็นโลมาสีชมพูก็รู้สึกคุ้มแล้ว เป็นอีกวันที่มีทั้งความตื่นเต้นและความเรื่อยเปื่อย ก็มาพักผ่อนนิเนอะ : ))



Day 3 ตัวเมืองนครฯ+คีรีวง



ตื่นมาเติมพลังก่อน อาหารเช้าที่โรงแรมคือดีมากกกก มีหลายอย่าง อร่อยทู๊กอย่างงงง



เนื่องจากเมื่อวานกว่าจะเข้าตัวเมือง กว่าจะเข้าที่พักได้ก็บ่ายคล้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ที่โรงแรมบอกว่าถ้าจะไปวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือ ที่ชาวนครฯ เรียกว่า “วัดพระธาตุ" คงไม่ทันแน่ๆ เพราะ 16.00 น. ก็ปิดแล้ว วันนี้เราเลยมาแต่เช้าตรู่ (วัดเปิด 8.30 น.) วัดพระธาตุเป็นวัดเลื่องชื่อของนครฯ ใครมาก็ต้องแวะสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่น่าเสียดายที่ส่วนเจดีย์พระธาตุบูรณะซ่อมแซมอยู่เลยถ่ายรูปออกมาไม่ค่อยสวยตามที่คาดหวังไว้เท่าไหร่

ในทุกปีช่วงวันมาฆบูชาและวันวิสาขบูชา จะจัดงานแห่ผ้าขึ้นธาตุซึ่งถือเป็นงานบุญประจำปีที่มีผู้คนจากทั่วสารทิศมาร่วมสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่นี้


ความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งขององค์พระบรมธาตุ คือ องค์พระธาตุจะไม่มีเงาทอดลงพื้นไม่ว่าแสงอาทิตย์จะส่องกระทบไปทางใด ซึ่งยังไม่มีใครหาคำตอบได้ว่าเป็นเพราะอะไร จากความมหัศจรรย์นี้ ททท. จึงให้เจดีย์นี้เป็น 1 ใน unseen Thailand ของเมืองไทย


ก่อนออกมาจากวัด พวกเราบังเอิญได้ร่วมห่มพระธาตุพอดี เพราะชาวบ้านชวน ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชาวบ้านที่นี่เขาห่มพระธาตุกันเป็นปกติมั้ย แต่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากกกก ที่ได้ร่วมงานสำคัญๆ ของคนท้องถิ่นอีกแล้ว จนสหายนางหนึ่งบอกว่า “สงสัยชาติก่อนเราคงได้ร่วมงานบุญกันมาแน่ๆ เลย" จ้า เอาที่สบายใจเนอะ 555555555


การนำผ้าขึ้นธาตุ ตามตำนานเชื่อว่า หากใครได้นำผ้าขึ้นธาตุ และบนขอพรใน เรื่องใด จะขอให้หายเจ็บหายไข้ ขอให้ได้ลูก ขอเรื่องการงานการเรียน สิ่งนั้นก็จะเป็นจริงดังหวัง


หลังจากนั้นเราก็กลับมาเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมเพื่อเดินทางไปคีรีวงต่อ เลยถามพนักงานว่าเดินทางไปยังไง ได้ความว่าต้องเดินไปประมาณ 1 กิโลเพื่อขึ้นรถสองแถวที่นั่น พอเดินออกจากโรงแรมมาได้สักพัก พี่พนักงานที่โรงแรมคนเดิมก็ขับรถมาบีบแตรใส่แล้วบอกให้ขึ้นรถ เดี๋ยวไปส่งที่ท่ารถ เพราะกำลังจะไปธุระ ทางผ่านพอดี โอ้โห! ซาบซึ้งน้ำตาจิไหล ขอบคุณไปสิบรอบ ก่อนลงรถถึงรู้ว่าพี่ไม่ใช่คนนครฯ แต่มาได้แฟนเป็นคนนครฯ นี่เอง (เกี่ยวกันมั้ยยย? 55555555)


ตลอดทริปนี้พอถามทางชาวบ้าน หลายคนบอกว่าเดินได้ ระยะทางแค่ 1 กิโลเอง บอกเลยว่าอย่าไปเชื่อนะ!!! ไกล!!! แล้ว 1 กิโลของพี่ที่บอกว่าเดินจากโรงแรมได้เนี่ย แมร่งงงง โคตรไกลเลยพี่!!!


ระหว่างที่นั่งสองแถว (คนละ 25 บาท ใช้เวลาประมาณ 40 นาที) เข้ามาที่หมูบ้านคีรีวง เริ่มสัมผัสได้ถึงต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจีเต็มสองข้างทาง แถมฝนยังตกโปรยปรายต้อนรับเลยจ้าาาา คิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะไปไหนพวกเราเลยลงมติว่าควรจะแวะพักร้านกาแฟ “บ้านนายทั่ง" ที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนแล้วกัน เพิ่มน้ำตาลในเลือดสักนิด เติมความหวานให้ชีวิตสักหน่อยแล้วค่อยไปต่อ แต่แล้วก็ได้คุยกับ “พี่ทั่ง" เจ้าของร้าน เลยถือโอกาสถามเรื่องที่พักซะเลย สุดท้ายพี่แกแนะนำให้อย่างดี แถมยังให้ส่วนลดค่าเช่าจักรยานที่ร้านอีกด้วย


คืนนี้เราพักกันที่ “เรือนไม้แก่น โฮมสเตย์" คนละ 200 บาทต่อคืน (ไม่มีแอร์ แต่มีพัดลมให้ 3 ตัว ปลั๊กพ่วงอีกเยอะ และไพ่อีก 2 สำรับ) ป้าเอียด เจ้าของใจดีมากกกกกกก ยกบ้านทั้งหลังให้เราสามคนนอนเลย เหมือนเหมาบ้านในราคา 600 บาท ที่สำคัญคือมีแค่ห้องเดียว หลังเดียวด้วยนะ คือดีอะ แถมป้ายังคอยแนะนำที่เที่ยวนั่นนี่ให้อีก ใครมาคีรีวงแนะนำให้พักที่นี่เลยยยยยยยยยยย ถูกใจมากกกกกกกก รักป้าที่สุด



หลังจากเก็บของเข้าที่พักและเติมพลังด้วยผัดสะตอจนอิ่มหนำสำราญแล้ว พวกเราก็ปั่นจักรยานเล่นรอบคีรีวง มิชชั่นของวันนี้คือหาสะพานแขวนเพื่อถ่ายรูป ซึ่งสหายทั้งสองดูรูปจากในอินเทอร์เน็ตแล้วบอกว่าสวยดี โอเค! ไปไหนก็ไป! พอถามทางชาวบ้านก็บอกให้ปั่นเลียบลำธารไป แต่! แต่! แต่! อีชะนีพวกนี้ดันปั่นผิดฝั่ง เพิ่งมารู้ทีหลังว่าลำธารมีทางขนาน 2 ฝั่ง กว่าจะไหวตัวทันก็ล่อไปเกือบ 3 กิโลแล้ว แถมยังเป็นทางขึ้นเขา บอกได้คำเดียวว่า “เหนื่อย!!!" คือถ้าไม่แวะถามทางคนแถวนั้นอีกครั้งคงปั่นเข้าป่าไปเก็บสะตอแล้วล่ะมั้ง 5555555555 ทว่าในความโชคร้ายยังมีเรื่องดีเสมอ เพราะปั่นไปเจอกับโลเคชั่นเด็ด วิวสวยปังมากกกก รัวชัตเตอร์กันไม่ยั้งเลยทีเดียว



พอหายเหนื่อยก็ปั่นกลับมาทางเดิมอีกเกือบ 3 กิโล แล้วปั่นไปหาสะพานแขวนในเส้นทางที่ถูกต้องอีก 2 กิโล น่องปูดพอดี ไม่บอกนี่นึกว่าขาโต๊ะสนุ๊ก 5555555 (เล่นเองเจ็บเองน้อยกว่าเนอะ) ระหว่างนั้นฝนก็โปรยปรายเป็นช่วงๆ เลยต้องหาศาลาข้างทางหลบฝน คือแบบ เหมือนฉากในละครเป๊ะ! แค่ไม่มีพระเอกเท่านั้นแหละ กว่าจะไปถึงสะพานดูสภาพแต่ละคน หน้าเมือก รองพื้นหลุดร่อนกันเลยทีเดียว แต่ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือพอไปถึงสะพานแขวนแล้วทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทำไมไม่เห็นสวยเหมือนในรูปเลยวะ?" 555555 เลยนั่งพักที่ร้านกาแฟให้หายเหนื่อยพร้อมวางแผนเที่ยววันพรุ่งนี้ต่อ แต่สุดท้ายแพลนก็ยังไม่ลงตัวเลยช่างแมร่_งงงงง ปั่นจักรยานกลับดีกว่า แพลนอะไรเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที บอกแล้วมากับพี่ทริปนี้ชิลๆ (ฮา)



มิชชั่นต่อไปที่สหายนางหนึ่งว้อนท์คือ ไปดูกลุ่มชุมชนทำผ้ามัดย้อม แต่กว่าจะมาถึงเค้าก็เลิกทำกันแล้ว แถมยังฝนตกหนักอีก เลยต้องรอให้ฝนหยุด แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ เลยกลับมาตั้งหลัก นอนแผ่ที่บ้านสักพักให้หายเหนื่อย ก่อนที่จะไปเล่นน้ำตกในหมู่บ้านกันต่อ


ขอบอกว่าใครไม่ได้เล่นน้ำในคีรีวงนี่พลาดมากนะ น้ำใส ไหลเย็น เห็นตัวปลาสุดๆ ดูเหมือนน้ำจะตื้นๆ แต่น้ำไหลแรงดีมากกกกก สดชื่นระดับสิบ



กลับมาก็ยังคิดกันไม่ตกว่าพรุ่งนี้จะไปไหนดี เพราะตามแผนที่วางไว้ถ้าจะไปอุทยานแห่งชาติเขาหลวงก็กลัวไปไม่ทันเดินป่า แล้วจะไปยังไง รถก็ไม่มี ถึงมีเหมาไปได้ค่ารถแพงเกิ๊นนนนน แต่ถ้าจะให้ค้างที่คีรีวงอีกคืนก็ไม่เอา กลับเข้าเมืองก็เที่ยวจนหมดแล้ว จนปัญญา นี่ก็ปาไปเกือบ 4 ทุ่มแล้ว สุดท้ายเหมือนสวรรค์มาโปรด ส่งเทพบุตร “พี่ราชัย" หลานป้าเอียด (เจ้าของโอมสเตย์) มาช่วยพวกเราไว้ได้ทันเวลาพอดี พี่ราชัยบอกว่าจะขับรถไปส่งที่ให้ ค่ารถตกลงในเรทที่พอสู้ไหว ไม่เกินงบ ดีใจสุดๆ ทุกอย่างลงตัวแล้ว เย่!




เมื่อทุกอย่างคลี่คลายพวกเราเลยมานั่งจิบเบียร์ เล่นไพ่ริมระเบียง ชิลสุดในสามโลก อากาศเย็นสบายมากกกกก แค่นี้ก็ฟินแล้ว แตกต่างจากตอนกลางวันลิบลับที่เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก อบอ้าวซะเหลือเกิน ส่วนพรุ่งนี้จะเป็นยังไงต้องติดตาม มีความอรรถรสแน่นอน!



Day 4 คีรีวง+อุทยานแห่งชาติเขาหลวง-กรุงชิง



อากาศตอนกลางคืนที่คีรีวงดีมากกกกก เย็นโดยไม่ต้องพึ่งแอร์แต่อย่างใด บอกเลยว่าแอร์ธรรมชาตินี่แหละดีสุดแล้ว (ไม่เชื่อก็ลองมาสัมผัสกันเองนะจ๊ะ) งานนี้สหายแต่ละนางเลยนอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มกันอย่างสบายจนไม่มีใครอยากตื่นเชียวล่ะ แต่เช้านี้เรามีมิชชั่นต้องไปเดินสำรวจตลาดเช้าและหาของกินกันสักหน่อย ของกินเยอะมว๊ากกกกก แกงใต้ก็มี ข้าวหมกไก่ก็ให้เยอะ คั่วกลิ้งก็แซ่บถึงเครื่อง ข้าวยำคนก็ซื้อเพียบ ราคาตั้งแต่ 20-40 บาท แต่ที่เด็ดคือขนมกล้วย ชิ้นละ 1 บาทเท่านั้น

หลังจากช้อปปิ้งตุนเสบียงไว้พร้อมออกรบแล้ว เราก็ยังไม่ลืมมิชชั่นของเมื่อวานที่ตั้งใจไว้ นั่นก็คือดูผ้ามัดย้อม พี่ๆ ชาวบ้านอธิบายวิธีการทำผ้ามัดย้อมคือนำผ้าเปียกมามัดด้วยหนังยางและไม้ เพื่อให้เกิดเป็นลวดลาย แล้วเอาไปต้มกับสีธรรมชาติ ซึ่งทำมาจากใบไม้ที่ปลูกไว้ในสวน อย่างสีส้มอิฐก็ได้มาจากการนำเอาเปลือกมังคุดมาต้ม ถ้าจะให้สีติดต้องต้มนานกว่า 2 ชั่วโมง ต้มเสร็จก็เอาไปซักแล้วตาก บอกเลยว่าเหมาะกับการซื้อไปเป็นของฝากอย่างยิ่ง มีทั้งเสื้อ กางเกง กระโปรง ผ้าคลุม กระเป๋า ฯลฯ สหายแต่ละนางเลือกช้อปกันเพลินจนตัวเบากันเลยทีเดียว


ขากลับที่พักแวะซื้อทุเรียนย่างห่อหาบหมาก ขอป้าชิม ชิมปุ๊บซื้อเลย อร่อยมากกก หอมกลิ่นย่าง


เที่ยงนี้เรามีนัดกับพี่ราชัย เพราะพี่เขาจะพาไปส่งที่อุทยานแห่งชาติเขาหลวง-กรุงชิง แต่ช่วงเช้าพี่เขาขอไปเก็บสะตอก่อน ระหว่างนั้นเราก็ไปนั่งชิล “ร้านกาแฟลุงโรม" ที่เล็งไว้ตั้งแต่ตอนมาถึงคีรีวง ร้านน่ารัก มีความคิ้วท์ ตอนแรกพวกเราอ่านชื่อร้านเป็น “ร้านกาแฟลุงขรรม" เพราะฟ้อนท์ลายมือที่เจ้าของร้านเขียนป้ายเอง เลยทำให้เข้าใจผิดอยู่ตั้งนาน ความคูลของร้านนี้คือมีน้ำตาลทรายแดงไว้ให้เพิ่มความหวานตามใจชอบด้วย


พอมองออกไปนอกร้านเพิ่งเห็นว่าวันนี้ฟ้าใสมาก แดดออกจ้า พวกเราเลยขอแก้ตัวด้วยการถ่ายรูปกับแลนด์มาร์กสะพานคีรีวงอีกหนึ่งรอบ ครางนี้ได้ภาพออกมาสวยงามตามท้องเรื่อง (แหงสิ่ย๊ะ ล่อไปหลายสิบแอ็ค) พอแท็กรูปและเช็คอินอำลาคีรีวงกันเสร็จเรียบร้อยเราก็ปั่นจักรยานกลับไปคือที่บ้านนายทั่ง แล้วกลับมาเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก ก่อนจากกัน ป้าเอียด (เจ้าของโฮมสเตย์) ยังอุตส่าห์ให้สะตอมาอีก 1 ถุงใหญ่ ซาบซึ้งน้ำตาจิไหล ทำไมป้าใจดีจังคะ ทำเอาแต่ละคนอยากจะผัดกินเดี๋ยวนั้นเลย! #เดี๋ยวๆใจเย็นนะทุกคนนนนนนน


ระหว่างนั่งรถไปอุทยานแห่งชาติเขาหลวง-กรุงชิง (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ) เราก็ชวนพี่ราชัยคุยเป็นระยะ ผลัดกันถามชีวิตความเป็นอยู่ได้สักพักพี่แกก็เปิดเพลงสร้างบรรยากาศให้ไม่เงียบเหงาจนเกินไป บางเพลงจำได้ว่าฟังตั้งแต่ สมัยป.6 (หลายสิบปีผ่านมาแล้ว) ทั้งเพลงของพี่เสก โลโซ กะลา Big ass Silly fools ฯลฯ มาเต็มหมดทุกวงทุกทั้งอัลบั้ม สหายนางหนึ่งฟังแล้วชอบมากถึงขั้นขึ้นอินโทรมาก็ร้องได้แล้ว เพราะส่วนมากเป็นเพลงฮิตสุดๆ สมัยตอนนางเป็นวัยรุ่น (ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าตอนนี้แก่แล้ว 5555)



ยิ่งใกล้ถึงที่หมายก็ยิ่งรู้สึกว่าทางคดเคี้ยว ดูเปล่าเปลี่ยวจนไม่น่ามีใครมาเที่ยวในวันธรรมดาแบบนี้ พี่ราชัยถึงกับเอ่ยปากบอกว่า “ยังไม่สายนะที่จะเปลี่ยนใจกลับ" โห! มาขนาดนี้แล้วพี่ ภารกิจพิชิตน้ำตกกรุงชิงรอพวกเราอยู่!!!



ในที่สุดพี่ราชัยก็ขับรถมาจอดถึงหน้าที่ทำการอุทยาน แล้วอยู่รอจนกว่าพวกเราจะจัดการเรื่องที่พักเรียบร้อย จึงค่อยขอตัวกลับ เราเลยขอบคุณและถือโอกาสขอถ่ายรูปเซลฟี่กับพี่เป็นที่ระลึกด้วยสักหน่อย พี่ราชัยยังทิ้งท้ายว่า “ถ้ามาคีรีวงอีกโทรหาพี่ได้นะ มีเบอร์พี่แล้วใช่มั้ย" แอร๊ยยยยยยยย! มีแล้วค่าาาาาาา : ))

ภายในอุทยานมีแค่ร้านค้าสวัสดิการเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ค่อยมีอะไรขายสักเท่าไหร่ แถมยังเปิดถึงแค่ 4 โมงเย็นเท่านั้น ส่วนร้านค้าอื่นๆ ก็ไม่มีเลย ดีที่พวกเราซื้อเสบียง (มาม่า โจ๊กคัพ และข้าวกล่อง) มาจากคีรีวงตุนเอาไว้แล้ว ไม่งั้นอดตายแน่ 555555555 พอเติมพลังเสร็จ ระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่เตรียมและทำความสะอาดห้องพักให้ พวกเราจึงไปเดินป่า 4 กิโล (ต้องเริ่มเดินก่อนบ่าย 3 โมง) เพื่อเข้าไปชมน้ำตกกรุงชิง น้ำตกที่ชาวนครฯ หลายคนแนะนำและลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องมาให้ได้ เพราะมันสวยมากกกกกกก



แค่เริ่มเดินได้ 500 เมตรก็เหนื่อยแล้วว่ะแกรรรรรรร ทางชันใช้ได้เลย แล้วนี่ยังเหลืออีกตั้งกี่กิโล จะรอดหรอวะ 5555555555 (ในเลขห้ามีน้ำตาซ่อนอยู่) แต่ค่อยยังชั่วที่เดินไปสักพักทางไม่ชันเท่าตอนแรก ในป่าเงียบมาก เพราะวันนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย มีแค่เรา 3 คน ระหว่างทางพวกเราเลยได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตกันเกือบตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน เรียนต่อ ไลฟ์สไตล์ ความคิด ความเชื่อ ครอบครัว ไปจนถึงเรื่องหมาแมว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวความรักของสหายสุดฮอตนางหนึ่งซะมากกว่า 5555 ระหว่างนั้นก็มีแวะพักถ่ายรูปฮิปสเตอร์ในป่าบ้างเป็นระยะ


ตามทางที่เดินมีผีเสื้อวนเวียนอยู่รอบตัวเยอะจนอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ แต่เสียดายที่มันบินหนีไปซะก่อน ความสวยงามบางอย่างก็ได้แต่ใช้ดวงตาและหัวใจจดจำ ‪#‎ความรักก็เช่นกัน ‪#‎ง่อววววววว‬ ‪#‎สหายทั้งสองไม่ได้กล่าว‬ ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬



หลังจากผ่านไปชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดเราก็ยืนอยู่ตรงหน้าน้ำตกกรุงชิงจนได้! เล่นเอาเหงื่อไหลไคลย้อย ปากห้อย หน้าเมือกกันเลยทีเดียว ซึ่งน้ำตกก็สวย (ประมาณนึง) นะ แต่เสียดายที่เล่นน้ำไม่ได้ กะด้วยสายตาน่าจะลึกพอสมควร แหม่! ถ้าได้กระโดดน้ำตอนนี้จะเป็นอะไรที่ฟินมาก ชวนให้คิดถึงลำธารน้ำตกอันใสแจ๋วที่คีรีวงขึ้นมาทันที


พอพักให้หายเหนื่อย ถ่ายรูปให้หนำใจ เสพความงามเบื้องหน้าจนเต็มอิ่มแล้ว ก็ถึงเวลาเดินกลับอีก 4 กิโล แค่คิดก็ไม่อยากเดินแล้ว แกล้งเป็นลมแพร้พพพพ เส้นทางเดินป่าครั้งนี้ไปกลับ 8 กิโล เราใช้เวลาไปทั้งหมด 4 ชั่วโมง ทำเอาหมดเรี่ยวแรง เดินเข้าบ้านพักในสภาพที่เหมือนคนเพิ่งผ่านสมรภูมิรบมา 555555555555 บ้านพักอุทยานหลังนี้นอนได้ 2-3 คน ราคาคนละ 200 บาท ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ อีกคนละ 40 บาท พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าคืนนี้ไม่มีใครมาพักเลย นอกจากพวกเรา 3 คนเท่านั้น เย่! ทั้งอุทยานเป็นของเราแล้ว แต่เอ๊ะ!!! พอมาคิดๆ ดูแล้ว ..... มันก็น่ากลัวอยู่เหมือนกันนะ เอาน่ะ! เรามีหน้าตาเป็นอาวุธ และเราก็ใส่สร้อยพระอยู่แล้วจะกลัวอัลไลลลลลล 555555555


ทันทีที่ได้อาบน้ำเย็นๆ นี่บอกเลยว่าสดชื่นมากกกก ยิ่งพอได้กินมาม่าหมูสับท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรเลยทำให้มื้อนี้อร่อยไปอีกแบบ ตกเย็นบรรยากาศเงียบกว่าเดิม ทำให้ได้ยินแต่เสียงจิ้งหรีด แต่บางช่วงก็เงียบจนน่ากลัว ได้ยินเสียงอะไรนิดหน่อยนี่มองหน้ากันแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าทักหรือพูดอะไร 555555555 คิดแง่ดีเอาไว้ เสียงนก เสียงกระรอกน่ะ



ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอะไร เพราะทีวีก็ไม่มี มือถือก็ใช้ไม่ได้ เพราะไม่มีสัญญาณ (ทุกเครือข่าย) เลยได้แต่นั่งจับเข่าเม้าท์มอยกัน รู้สึกว่าเวลาเดินช้าลงไปเยอะเลย แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่เราทั้ง 3 สหายได้คุยและรู้จักกันมากยิ่งขึ้นไปอีก นี่ไม่ได้โลกสวยอะไร แต่มันคือเรื่องจริง เพราะสหายนางหนึ่งแมร่งงงงง โคตรพูดมากเลย 555555 จริงๆ นางอัดอั้น เลยต้องระบายทุกอย่างออกมา (ฮา)



ถึงแม้ว่าส่วนตัวจะไม่ค่อยชอบเดินป่าสักเท่าไหร่ (เพราะมันร้อนและไม่สบายตัว ชอบทะเลมากกว่า) แต่กลับรู้สึกแฮปปี้ที่ทุกคนโอเคกับการเดินป่าด้วยกันแบบนี้



วันนี้ถือว่าเป็นวันที่ได้พักผ่อนจริงๆ เพราะนอนตั้งแต่ 4 ทุ่มครึ่งปกติหรอ นอนเที่ยงคืนนู่นนนนนน 55555



ตื่นเช้ามาเห็นผีเสื้อเกาะอยู่ริมระเบียง เลยเดินเข้าไปถ่ายระยะใกล้สุดๆ ไม่บินหนีอีกต่างหาก



Day 5 เขาหลวง-ตัวเมืองนครฯ-กรุงเทพฯ



ภายในอุทยานฯ ตอนเช้าอากาศเย็นสบายมาก เป็นอีกหนึ่งคืนที่ไม่ได้นอนห้องแอร์ เพราะไม่มีแอร์ให้นอนนั่นเอง 5555 บ้านพักอุทยานทั้งหลังมีพัดลมติดฝาผนังอยู่ตัวเดียว แต่ก็ไม่ร้อนนะ

เมื่อวานเจ้าหน้าที่บอกว่าเช้านี้หัวหน้าอุทยานจะเข้ามาตรวจงาน กว่าจะเสร็จก็ประมาณ 10 โมงเช้า ให้ติดรถลงไปหน้าปากทางอุทยานฯ ได้ (ราวๆ 10 กิโลเมตร) แต่พอวันนี้พี่แกบอกว่าหัวหน้าคงไม่เข้ามาแล้ว อ้าว! แล้วพวกหนูจะออกไปยังไงกันละคะ!!! เงิบและเหวอกันเลยทีเดียว สุดท้ายพี่เจ้าหน้าที่คงสงสารเด็กน้อยตาดำๆ ทั้ง 3 คน เลยขับรถกระบะมาส่งตรงจุดขึ้นรถสองแถวจนได้ พวกเราจึงช่วยออกค่าน้ำมันให้พี่เค้าสักหน่อย

ระหว่างรถสองแถวจอดรอรับลูกค้าตามทางเพื่อเข้าเมือง ลุงคนขับไปซื้อฮอล์ลมาแบ่งให้กินแผงนึง ลุงมีความใจดี เอ๊ะ! หรือว่าพวกเราปากเหม็น! เมื่อเช้าแปรงฟันแล้วนะ แค่ไม่ได้อาบน้ำเท่านั้นเอง 55555 มิชชั่นของวันนี้คือตามหาร้านขนมจีนเส้นสด ‪#‎อยากกินต้องได้กิน‬ ตามคอนเซ็ปต์สายแ_ดร_ก ในที่สุดก็เจอร้านขนมจีนเมืองคอน อร่อยยยย (หรือหิวก็ไม่รู้) ให้ผักเครื่องเคียงหลายชนิดมาเต็มถาด ‬‬


ของกินอีกอย่างที่พลาดไม่ได้เมื่อมานครฯ คือ “มังคุดคัด" เป็นมังคุดเปลือกสีเขียว ยังไม่สุก เอามาปอกเปลือกออกแล้วเสียบไม้ กรุบกรอบดี มีขายที่นี่ที่เดียวในประเทศไทยนะจ๊ะ ไม้ละ 10 บาทเท่านั้น แต่เราโดนหลอกขายในราคาไม้ละ 20 บาท โอ่ยยยยย เพลียยยยยย (ให้ซื้อร้านรถเข็นที่อยู่หน้าร้านขนมจีนเมืองคอน อย่าซื้อกับคนที่หาบมาขายในร้าน คนละเจ้ากัน) นอกจากนี้ยังช่วยป้าอุดหนุนขนมลา และขนมจำปาดะทอดด้วย เกิดมาเพิ่งเคยกินจำปาดะก็คราวนี้ คล้ายขนุนชุบแป้งทอด แต่รสชาติขมๆ ไม่ถูกปากเอาซะเลย


หลังจากนั้นเราก็แบกกระเป๋าเดินไปพิพิธภัณฑ์ “บ้านหนังตะลุง สุชาติ ทรัพย์สิน" ที่อยู่ไม่ไกลกัน พี่เจ้าของต้อนรับดีมาก แถมยังให้น้องลูกหว้า (ลูกสาว) มาเป็นไกด์พาชมพิพิธภัณฑ์อีกด้วย งานนี้เลยได้ชมพิพิธภัณฑ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ เพราะทั้งพิพิธภัณฑ์มีแค่เรา ได้ลองตอกหนังตะลุงเองกับมือด้วย


เสร็จแล้วก็ไปนั่งชิลที่ “บ้านพักนิทาน" (อยู่ไม่ไกลจากพิธภัณฑ์) ด้านหน้าเปิดเป็นคาเฟ่ ส่วนด้านหลังเปิดเป็นโฮมสเตย์ คอนเซ็ปคือแต่ละห้องตกแต่งตามนิทาน มี 7 ห้อง 7 เรื่อง คิ้วท์มากๆ ป้าที่เฝ้าร้านมีการถามว่าอยากเดินชมห้องพักมั้ย เดี๋ยวป้าพาไปดู แต่ยังไม่ทันจะตอบคำถามใดๆ ป้าแกก็เดินนำไปพร้อมกับกุญแจห้องซะแล้ว คือแต่ละห้องเก๋ไก๋ประทับใจมาก คืนละประมาณพันนิดๆ พอป้าพาชมห้องเสร็จ ตบท้ายด้วยการถ่ายรูปให้พวกเราทั้ง 3 สหายอีก ทำไมป้าน่ารักอย่างนี้!!!


ถึงเวลากลับกรุงเทพฯ แล้ว เป็นอันจบทริปขนอม-เมืองนครฯ-คีรีวง-อุทยานแห่งชาติเขาหลวง-กรุงชิง ถ้าถามว่าประทับใจที่ไหนสุดถ้าบอกเลยว่าที่ขนอม เพราะบรรยากาศเงียบ สงบ ชิล ฝรั่งงานดี มีโอกาสคงได้เจอกันอีกนะ “นครศรีธรรมราช"



สรุปแพลนฉบับใหม่ ดังนี้
วันแรก – ขนอม
วันที่สอง – ตอนเช้าดูโลมาสีชมพูที่ขนอม+ตอนบ่ายเข้าตัวเมืองนครฯ
วันที่สาม – ตอนเช้าไหว้พระธาตุในตัวเมืองนครฯ+ตอนสายไปคีรีวง
วันที่สี่ – ตอนเช้าคีรีวง+ตอนเที่ยงไปอุทยานแห่งชาติเขาหลวง-กรุงชิง
วันสุดท้าย – กลับเข้าเมือง รอกลับกรุงเทพฯ

เอาจริงๆ คือชาวบ้านที่เห็นเราสะพายเป้ใบโตเดินไปเดินมาหรือหาทางไปจุดหมายเค้าก็พร้อมจะช่วยและให้คำแนะนำเสมอแหละ น้ำใจหาได้ไม่ยาก คำขอบคุณและรอยยิ้มคือสิ่งที่เราสามารถตอบแทนเค้าได้



‪#‎ทริปนี้เป็นของเรา‬ เพราะเกือบทุกที่ที่ไปนี่คือไม่มีคน! จนบางทีก็หว่าเว้นะ 5555 แต่รวมๆ แล้วคือดีย์อะ!‬‬



‪#‎ทริปสโลว์ไลฟ์‬ คือชิลขั้นสุด ที่พักไม่ได้หา ไม่ได้จองเลย วันๆ ก็เข้าแต่ร้านกาแฟ ไม่มีแพลนอะไรมาก เดินเที่ยวไปเรื่อย ถ่ายรูปไปเรื่อย ขนาด 4 ทุ่มแล้ว วันรุ่งขึ้นจะไปไหนยังไม่รู้เลย 55555 แต่เราก็เชื่อว่าทุกอย่างมันมีทางไปของมันเสมอ‬‬



‪#‎ทริปนี้มีแต่ความโชคดี‬ เพราะได้เห็นโลมาสีชมพูแบบระยะใกล้ในวันที่สภาพอากาศไม่ดีเลย ฟ้าครึ้ม คลื่นสูง ได้ร่วมงานสมโภชศาลหลักเมืองที่จัดปีละครั้ง ได้ร่วมห่มพระธาตุ ได้เจอคนดีๆ ตั้งแต่ป้าเอียด พี่ราชัย เจ้าของโฮมสเตย์ที่คีรีวง พี่ทั่ง เจ้าของร้านจักรยาน ลุงขับสองแถว พี่เจ้าหน้าที่อุทยาน พี่พนักงานโรงแรม น้องลูกหว้าที่พิพิธภัณฑ์หนังตะลุง ป้าที่คาเฟ่บ้านพักนิทาน ได้เจอที่พักดีๆ สะอาดสะอ้าน แม้ไม่ได้จองไว้เลยสักคืน ที่ขาดไม่ได้คือเพื่อนร่วมทริปทั้งสองนางที่ไม่งอแงเลย ขอบคุณเพื่อนร่วมทางที่ดีทั้งสองที่ทำให้ทริปนี้ผ่านไปด้วยดี มีความอรรถรส มีความส.ป.ช. (สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต)‬‬

แบ่งสะตอที่ได้จากป้าเอียดกันกลางสนามบิน 55555555555


#ทริปนี้หญิงล้วนก็ไปได้ เห็นแล้วใช่มั้ย ผู้หญิงสมัยนี้สตรองขนาดไหน จริงอยู่ที่ว่าสังคมสมัยนี้มันน่ากลัว แต่ถ้ามีคนข้างๆ ที่ไว้ใจได้และพร้อมจะออกเดินทางไปกับเรา แค่นั้นก็อุ่นใจแล้ว อยากเชิญชวนสาวๆ ให้ออกไปท่องโลกกว้างกันเถอะ!!!


ว่าแต่ ... จบทริปนี้ไปไหนต่อดี (ตังค์ไม่มีแล้วนะ 5555) ภูกระดึง ย่างกุ้ง ไต้หวัน โบรโม่ มาเลย์ ไปไหนก็ได้แต่อย่าเทเราก็พอ!

‪#‎เพราะโลกมันกว้างคนข้างๆจึงสำคัญ‬‬‬‬‬‬‬


ปิดท้ายด้วยรูปนี้นะจ๊ะ อิอิ

4 สหายท่องโลก

 วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.39 น.

ความคิดเห็น