หลายคนคงคิดว่าปีนัง มีดีแค่สตรีทอาร์ตไว้ถ่ายรูปชิคๆ อย่างเดียว แต่บอกเลยว่าคิดผิด !!! เพราะปีนังยังมีที่เที่ยวที่ได้รับยกย่องว่าดีระดับโลกจากยูเนสโก ซึ่งคนไทยไม่ค่อยรู้ด้วยนะ แต่จะเป็นอะไรต้องติดตามกันเองนะจ๊ะ แถมยังมีผู้หล่อๆ ฝอ (ฝรั่ง) แซ่บๆ ไว้ให้เชยชมเป็นอาหารตาด้วย ส่วนสาวๆ คนไหนที่อยากไปเที่ยวปีนังลำพังกัน 2 คน แต่ไม่กล้าไป คิดว่าไม่ปลอดภัย นอนโฮสเทลรวม (กับผู้ชาย) จะเป็นยังไง น่ากลัวมั้ยนะ? บอกเลยว่าต้องอ่านกระทู้นี้ มีครบทุกอย่าง
กลับมาอีกครั้งกับพวกเรา 4 สหายท่องโลก ที่เคยพาไปส่อง 'ผู้' ที่วังเวียง งานดี งานโดน งานฝรั่ง งานโอ้ปป้าก็มา ถ้าใครยังไม่เคยส่องก็ตามไปส่องกันได้เลยจ้า https://pantip.com/topic/34882875 ขอบอกว่าคราวนี้เรามาเที่ยวอิโปห์ ปีนัง งานก็ดี๊ดีย์ไม่แพ้กัน แต่ด้วยสามัญสำนึกและความละอายต่อบาปก็เลยไม่กล้าแอบถ่ายมาสักเท่าไหร่ เอาเท่าที่ใจเรียกร้องก็พอละกันเน๊อะ 55555555
คราวนี้เราเหลือกันแค่ 2 สหาย แต่ที่เหลือก็ยังไม่เลิกคบกันนะ 555555 แค่แต่ละคนมีหน้าที่การงานที่ต้องสะสางมากมาย ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่า “พวกแกไม่ได้มาทริปนี้ด้วยกัน ถือว่าพลาดมากกกก อดเจอของ (ผู้) ดี ของ (ผู้) เด็ดประจำปีนัง !!!!" ฮ่าๆๆๆๆๆ (หัวเราะเยาะเย้ยด้วยความสะใจ)
ทริปนี้เราไปกัน 5 วัน 4 คืน ออกเดินทางตั้งแต่ 2 ทุ่มกว่าๆ ของวันที่ 8 ถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา แพลนเที่ยวคร่าวๆ มีดังนี้
วันที่ 8 ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง สายการบินไทยแอร์เอเชีย ไฟล์ท 20.20 น. ไปถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์ KLIA 2 เวลา 00.30 น. นอนพักใน KL
วันที่ 9 ออกเดินทางจากกัวลาลัมเปอร์ โดยรถไฟ ETS ไปยังเมืองอิโปห์ เที่ยวสตรีทอาร์ตและมิวเซียม พักในอิโปห์ 1 คืน
วันที่ 10 เที่ยวในอิโปห์อีกครึ่งวัน ตอนบ่ายออกเดินทางไปเมืองปีนัง โดยรถไฟ ETS ไปลงสถานี Butterworth แล้วต่อเรือเฟอรี่เพื่อข้ามไปยังเกาะปีนัง เดินเที่ยว ถ่ายรูปสตรีทอาร์ต พักปีนัง 2 คืน
วันที่ 11 เที่ยวสตรีทอาร์ต เข้ามิวเซียม ตอนเย็นไปปีนังฮิลล์
วันที่ 12 ช้อปปิ้งห้างฯ คอมต้า ซื้อขอฝากเล็กน้อย ตอนบ่ายออกเดินทางจากสนามบินปีนังกลับกรุงเทพฯ
ขออวดนิสนึงว่ายืมกล้อง LUMIX GF9 รุ่นใหม่ล่าสุดของพี่สาวมาใช้ สีชมพูซากุระ แค่เห็นสีก็กรีดร้องหนักมาก เหมาะกับสาวหวานอย่างเราที่สุด (หราาาาาาาา? 5555555) ส่วนข้อดีข้อเสียอะไรยังไง รูปสวยแค่ไหนติดตามชมกันเองนะจ๊ะ
ถ้าพร้อมแล้วเกาะล้อเครื่องบินตามมาได้เลยจ้า
(ด้านล่างกระทู้มีรีวิวที่พัก การเดินทาง รถไฟ สายรถเมล์ รีวิวกล้อง ทิปส์เล็กๆ น้อยๆ สรุปค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้ด้วย)
นี่เพจของพวกเรา แวะไปให้กำลังใจ+กดไลค์ให้ด้วยนะ (ปิ้งๆ กระพริบตาถี่ๆ)
https://www.facebook.com/gogogowithfourfriends/
Day 1 : BKK – KL กรุงเทพฯ – กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย
ต้องบอกก่อนว่าพวกเราวางแผนล่วงหน้าว่าจะมาเที่ยวที่นี่ประมาณ 1 เดือนกว่าๆ เท่านั้น พอตกลงปลงใจว่าจุดหมายปลายทางครั้งงนี้คือที่อิโปห์-ปีนัง หลังจากนั้นก็จัดการจองตั๋ว โดยได้ตั๋วไป-กลับสายการบินแอร์เอเชียมาในราคา 3 พันบาท ซึ่งขาไปเครื่องลงที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ ขากลับขึ้นเครื่องที่ปีนัง พอจองเสร็จก็ห่างหายไปจน 2 อาทิตย์ก่อนเดินทางค่อยจองที่พัก 3 วันก่อนเดินทางค่อยกำหนดที่เที่ยวในแต่ละวัน ชิลล์มั้ยถามใจเทอดูวววว์ (ไม่ใช่อะไร เร่งเคลียร์งานกันอยู่ 555555 ในเลขห้ามีน้ำตาซ่อนอยู่)
ด้วยความที่เพื่อนสาวที่มาด้วยคนนี้ นางบอกว่า “มาเลย์เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง" ของนาง ไม่ใช่เพราะนางมาได้สามีที่นี่หรืออะไร แต่เพราะนางเคยมาเที่ยวแล้ว 4 ครั้ง (แต่ละครั้งที่มาก็ไปเมืองแตกต่างกันไป) และครั้งนี้กำลังจะเป็นครั้งที่ 5 แล้ว ก็เลยไว้วางใจให้นางนำทางตามสะดวก ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ทันทีที่เครื่องแลนด์ดิ้ง นางก็พาวิ่ง 4x100 เมตร ตรงดิ่งไปขึ้นรถบัส เพื่อไปโรงแรมในกัวลาลัมเปอร์
สารภาพเลยว่า ณ วินาทีนั้นไม่มีโอกาสได้ชื่นชม หรือดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืนในสนามบินกัวลาลัมเปอร์แต่อย่างใด ลำพังหายใจยังเหนื่อย อยากจะเดินเอื่อยๆ สโลว์ไลฟ์ก็ทำไม่ได้ เพราะต้องมาขึ้นรถบัสให้ทันรอบ 01.00 น. ถ้าพลาดรอบนี้ก็ต้องรออีกครึ่งชั่วโมง ซึ่งเรามีเวลาแค่ 30 นาทีเท่านั้นนะคะคู๊ณณณณณ ณ จุดนี้เลยได้แต่วิ่งสุดชีวิต ไม่มีเวลามาคิดอะไร ถ้าให้มาอีกครั้งก็คงจำไม่ได้แน่นอนว่าจะต้องไปขึ้นตรงไหน ซื้อตั๋วรถยังไง รู้ตัวอีกทีคือขึ้นมานั่งบนรถบัสเรียบร้อยแล้ว เป็นยังไง มันส์มั้ยล่ะงงงง (ดีนะที่ไม่ได้โหลดกระเป๋า)
พอขึ้นรถบัสสัมผัสแรกที่แตะจมูกคือ กลิ่น !!! ไม่ใช่กลิ่นมาดามหอมชื่นใจที่ไหน แต่เป็นกลิ่นแขก กลิ่นคนมาเลย์นั่นแหละจ้า พับผ่าสิ่ !!! แล้วนี่ก็ดันไปนั่งหลังคุณพี่ร่างใหญ่อีกต่างหาก อื้อหือออออ ชัดเจน !!! ตอนแรกก็กะจะทนนั่งต่อไป แต่เพื่อนเตือนสติไว้ 'นั่งรถอีกตั้งชั่วโมงเลยนะงงง' ทีนี้เลยรีบย้ายที่นั่งโดยด่วน โชคดีที่รถไม่ได้ฟิกซ์ที่นั่ง แล้วที่ว่างก็ยังพอมีเหลือ รอดตายแล้วตรู...
ใช้เวลาชั่วโมงนึง รถบัสก็มาจอดที่ KL Sentral เปรียบเหมือนหมอชิตบ้านเรา เป็นจุดศูนย์รวมที่จะขึ้นรถต่อไปยังที่ต่างๆ ซึ่งตอนเช้าเราก็ต้องมาขึ้นรถไฟ ETS ต่อไปเมืองอิโปห์ในวันรุ่งขึ้นที่นี่ (จริงๆ นี่ก็เริ่มต้นวันใหม่แล้วนะ เพราะเครื่องลงเที่ยงคืนกว่าๆ) ตอนนี้เราเลยขอไปนอนพักผ่อนที่โรงแรมก่อนสัก 5-6 ชั่วโมงก็ยังดี
โรงแรมที่เราจองไว้คือ My hotel ห่างจาก KL Sentral เพียงแค่ 5 นาที เดินแป๊บเดียวก็ถึง ถ้าถามว่าน่ากลัวมั้ยสำหรับผู้หญิงสองคนเดินกลางถนนตอนตี 1 กว่าๆ มันก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่นะ ไฟส่องสว่างอยู่ เพียงแต่บรรยากาศมันจะเงียบมากๆ แทบจะไม่มีคนเลย ระหว่างที่เราเดินอยู่นั้นก็มีชายหนุ่มฝรั่งหน้าตาดีสองคนเดินนำอยู่ แล้วทันใดนั้นเอง.......เราก็เดินตามเค้าไป 555555 ไม่ได้ใจง่ายแต่อย่างใด แค่บังเอิญเดินไปทางเดียวกันเท่านั้งเอ๊งงงงงงง #เสียงสูง สุดท้ายแล้วเราก็เดินแยกเข้าที่พักไป แหมมมมม เสียดายจัง !!! ใจนึงก็อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ เห็นแค่แผ่นหลังเอาเก็บไปฝันก็ยังดี แต่ใจอีกใจนึงนี่กรูไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยยย ตาจะปิดอยู่แล้ว ฉะนั้นเรื่องส่องผู้ชายเลยพับเก็บไว้ก่อน ตอนนี้ขอนอนเป็นอย่างแรก มีอะไรไว้ค่อยส่อง เอ้ย !! ค่อยว่ากันใหม่
โรงแรมนี้ห้องเล็ก แต่ถูก นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็พอหยวนๆ ไปได้ ความสะอาดก็พอไหว แต่กำแพงห้องบางเหลือเกิน ได้ยินเสียงคนเดินข้างนอก เพื่อนสาวข้างกายบอกว่า ถ้าจะพักแนะนำให้พักโรงแรม KL Sentral ดีกว่า แพงกว่านิดเดียว โรงแรมใกล้กันด้วย แถมห้องใหญ่กว่า มากี่ครั้งนางก็ชอบไปพักที่นั่น แต่ครั้งนี้อยากลองเปลี่ยนดูบ้าง เป็นไงล่ะ 555555555
Day 2 : Ipoh อิโปห์ มาเลเซีย
เช้าวันนี้ก่อนไปขึ้นรถไฟ ETS ก็แวะเติมพลังที่ร้านอาหารแถวนั้นซะก่อน เพราะกว่าจะไปถึงอิโปห์ก็คงเกือบเที่ยง มื้อแรกที่มาเลย์ แน่นอนว่าต้องลองอาหารถิ่นสักหน่อย เดินเข้าร้านแล้วดูเอาเลย อยากกินอะไรก็ชี้ๆ สั่งๆ เอานั่นแหละ ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง รอแป๊บเดียวสิ่งที่มาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้าก็คือ โรตี 1 แผ่นใหญ่ พร้อมน้ำจิ้มเครื่องแกงในถาดหลุม 3 ช่อง กับไก่ทอดอีก 1 จาน ครั้นจะใช้ช้อนส้อมฉีกแป้งโรตีที่แสนเหนียวคาดว่าวันนี้คงไม่ได้กินแน่ๆ หันซ้าย หันขวา เลยใช้มือเปิบตามโต๊ะข้างๆ ก็แล้วกัน เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามเน๊อะ ทำเอามือมันแพร่บตั้งแต่เช้ากันเลยทีเดียว ส่วนเครื่องดื่มที่นี่ยอดฮิตเลยก็คือ 'ชา' ถึงไม่ชอบกินชาแค่ไหนก็ต้องลองสักหน่อยล่ะว้าาาาาาาาา ถ้าอยากรู้ว่ารสชาติเป็นยังไง ต้องมาชิมเอง ไม่ขอคอมเม้นท์ละกัน 5555555555
พอขึ้นรถไฟได้แล้วกะจะงีบหลับเอาแรงซะหน่อย แต่ดันมีพวกเด็กแสบนั่งอยู่ข้างหลัง แถมยังถีบเบาะตลอดดดดด เท่านั้นยังไม่พอ ส่งเสียงกรีดร้องเข้าไปอีก นี่ก็เลยส่งสายตาพิฆาตไปหาแม่นางอยู่หลายครั้ง นางก็พยายามดุลูก แต่ก็ไม่ได้ผล สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำใจ !!!
ในที่สุดมาถึงอิโปห์ ความโมโหทั้งหมดก็มลายหายไปเมื่อเจอท้องฟ้าอันใส สวยมากจนต้องกดชัตเตอร์รัวๆ แต่แดดที่ส่องลงกลางหัวก็ร้อนมากเช่นกัน 5555555 เราเปิดกูเกิ้ลแมพเดินไปยังที่พัก ซึ่งไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก คืนนี้เรานอนโฮสเทลตู้คอนเทนเนอร์ชื่อ The Container สวย ชิคมาก มีสไลด์เดอร์จากชั้น 2 ลงมาชั้น 1 ด้วย บอกเลยว่าแค่เห็นตึกด้านหน้าก็ตกหลุมรักแล้ว เพราะท่ามกลางสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย ตึกนี้เป็นตึกเดียวที่มีต้นไม้เลื้อยโอบล้อมอยู่ ดูเขียวขจีมาก แต่ด้วยความที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะเช็คอินได้ เราเลยฝากกระเป๋าแล้วออกไปหาอะไรกินกันก่อน
มื้อเที่ยงนี้เรากินข้าวกันที่ร้าน Old Town White Coffee ในร้านเย็นสบาย ราคาก็พอรับได้ มีไวไฟให้เล่น ไม่เห็นแพงอย่างที่คิด พออิ่มแล้วก็ได้เวลาตะลุยตามล่าหาสตรีทอาร์ตในตำนาน ซึ่งแต่ละจุดห่างกันไม่มาก เดินได้สบาย แล้วด้วยความที่อิโปห์เป็นเมืองเล็กๆ เพราะงั้นเดินวนไปวนมาเดี๋ยวก็เจอเองแหละ
แต่แล้วเราก็เดินวนมาเจอพิพิธภัณฑ์ Pet Soo ที่เพื่อนสาวนางนี้บอกว่าอยากเข้า เพราะเป็นมิวเซียมที่ได้รับการแนะนำจาก Tripadvisor เราจึงตัดสินใจเดินเข้าไปถาม โชคดีตรงที่ว่าเจ้าหน้าที่เห็นว่ามากันแค่สองคนก็เลยให้เข้า เพราะปกติต้องจองก่อน ถ้ามากันเป็นกรุ๊ปใหญ่กว่านี้คงอดไปแล้ว
มาถึงจุดนี้เชื่อว่าหลายคนคงเกิดคำถามว่ามิวเซียมนี้มีอะไร มิวเซียมที่ไทยก็มีทำไมต้องมาเข้าถึงที่นี่ ไม่เคยไปสวนสัตว์หรือไง แต่ แต่ แต่ !!! ขอบอกว่าพวกเราประทับใจพิพิธภัณฑ์นี้มากกกกกก ตอนแรกอ่านชื่อแล้วก็นึกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับสัตว์ ที่ไหนได้ ผิดคาด !!! พิพิธภัณฑ์นี้เกี่ยวกับ “คลับชั้นสูง" ของผู้ชายมาเลย์สมัยก่อน ซึ่งคนที่มาเที่ยวคลับนี้จะมีทั้งคนเชื้อสายจีน มลายู อินโดฯ ไกด์จะเล่าวิถีของคนในสมัยก่อนที่มาเที่ยวคลับนี้ให้ฟัง แน่นอนว่ากิจกรรมของคนมาเที่ยวคลับในสมัยนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเล่นไพ่ สูบฝิ่น หลีผู้หญิง ยิ่งได้ฟัง ยิ่งได้เห็นหุ่นจำลองวิถีชีวิตแล้วยิ่งสนุก ไกด์บรรยายได้น่าสนใจเลยทีเดียว ถึงแม้จะฟังภาษาอังกฤษสำเนียงมาเลย์ได้ไม่ทั้งหมด แต่ก็รู้สึกอินตามไปด้วย แนะนำเลยว่าถ้ามาอิโปห์คือห้ามพลาดที่นี่เด็ดขาด !!!
คนไทยส่วนใหญ่จะมาเดินแค่สตรีทอาร์ตเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่ามีที่สนุกๆ ได้ความรู้แบบนี้อยู่อีก ซึ่งในรอบที่เราเข้าฟังบรรยาย ไม่มีคนไทยเลย มีแต่ชาวต่างชาติ ทุกคนฟังไป หัวเราะไป เดินกลับออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นี่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วยเสียกับมิวเซียมนี้เลยนะ แต่อยากเรคคอมเมนด์จริงๆ ไม่เสียค่าเข้า แต่ให้บริจาคเป็นค่าบำรุงมิวเซียมแทน เท่าไหร่ก็ได้ แล้วแต่กำลังทรัพย์
พอตอนที่กำลังจะเดินออกจากมิวเซียมไกด์คนนี้ก็แนะนำให้เข้าพิพิธภัณฑ์ชาที่อยู่ข้างๆ กัน เมื่อเทียบกับมิวเซียมเมื่อตะกี้แล้ว มิวเซียมที่นี่ไม่มีอะไรเลย นอกจากประวัติชา แถมยังไม่มีไกด์ ให้เดินทัวร์กันเอง เดินเสร็จก็จะได้ชิมชาฟรีๆ ซึ่งก็อร่อยดี ไม่รู้ว่าหิวน้ำหรืออะไร สองคนนี้เลยตกลงซื้อชากลับบ้านคนละเซ็ต ทันใดนั้นเองพนักงานถามก็ว่ามาจากประเทศไหน พอบอกว่าประเทศไทย นางก็ไปหยิบแก้วชาแอนทีคหนึ่งใบมาให้เป็นของแถม ประทับใจก็ตรงนี้ ได้ของฟรี 55555555555 แต่เอิ่ม น้องจ๊ะ ... พี่มากันสองคนทำไมให้แก้วเดียวล่ะ น้องบอกให้ไปแบ่งกันเองก็แล้วกัน ฮ่าๆ
ที่มัวแต่เข้าพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่อะไร แต่เพราะอยากหาที่หลบแดดนั่นเอง ตอนกลางวันร้อนมากกก ถ่ายรูปก็ไม่ค่อยสวย เลยรอแดดร่มลมตกจะดีกว่า ระหว่างที่เดินไปเรื่อยๆ ก็ผ่านร้านข้าวมันไก่เจ้าเด็ด เห็นคนเยอะดีเลยสุ่มเข้าไปกิน ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ไก่นุ่มมาก เฮียเจ้าของร้านก็ใจดีมากเช่นกัน เฮียถามว่ามาจากไหน พอบอกประเทศไทยเท่านั้นแหละ เฮียรีบพูด “สวัสดีครับ" ทันที ตัลล้าคคคคคอ่ะเฮีย พอคิดตังค์เสร็จก็ยัง “สวัสดีครับ" อีกรอบ แถมยังก้มหัวไหว้พวกเราอีกต่างหาก พอแล้วค่ะเฮีย ไม่ต้องไหว้แล้ว เดี๋ยวพวกหนูอายุสั้นกันพอดี !!!
ตกเย็นพวกเราก็เดินเล่นจนข้ามมาฝั่ง New town ซึ่งปกตินักท่องเที่ยวจะเดินแค่ฝั่ง Old town ที่มีสตรีทอาร์ต แต่หารู้ไม่ว่าฝั่ง New town ก็มีอีกเพียบนะจ๊ะ อาจไม่สวยเท่าฝั่ง Old town เพราะไม่ใช่ฝีมือของ Ernest Zacharevic แต่ก็จัดว่าดีเลยทีเดียว ไม่มีคนต่อคิวแย่งกันถ่าย ทั้งถนนเป็นของเรา รูปแปลกๆ เพียบ !!!
หลังจากถ่ายรูปหลายร้อยแอ๊คจนเหนื่อยก็ถึงเวลาหาของกินอีกแล้ว พอตกกลางคืนที่นี่ไม่ค่อยมีร้านรวงอะไรสักเท่าไหร่ ออกแนวเงียบๆ ซะด้วยซ้ำ เดินวนไปวนมาหลายรอบสุดท้ายเห็นร้านไหนคนนั่งเยอะก็แวะเข้าร้านนั้นนั่นแหละ มื้อนี้เป็นอาหารตามสั่ง สั่งมา 4 อย่าง แต่ราคามื้อนี้มื้อเดียวนี่แพงพอๆ กับค่าใช้จ่ายทุกวันที่ผ่านมารวมกันเลยนะ แถมยังไม่ค่อยอร่อยด้วย
อาหารการกินที่นี่มีแต่ไก่กับแกงที่ใส่เครื่องเทศ อื้อหือ !!! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนที่นี่ถึงมีกลิ่นตัว เดินผ่านทีนี่ขมคอเลยทีเดียว รู้สึกพลาดที่ไม่ได้พกยาดมมาด้วย 5555555 นอกจากนี้ก็มีชานม ถ่ว แป้งโรตี ผัดหมี่มันๆ ที่ฮิตกินกัน แต่ละอย่างไม่ถูกปากเลอออ (แต่พวกงงงงก็ฟาดเรียบทุกจานนะ)
กินเสร็จเราก็มาเดินย่อย ดูแสงสียามค่ำคืนที่สถานีรถไฟอิโปห์ ซึ่งตอนกลางวันที่เรามาอาจจะดูธรรมดา แต่พอเปิดไฟส่องตัวอาคารแล้วสวยงามดี มีความระยิบระยับ ไฮไลท์ของค่ำคืนนี้คือเราไปเจองานแห่ทางศาสนาพอดี !!!! ซึ่งงานนี้จะมีคนเอาเหล็กมาเสียบที่ตัว แล้วเดินไปรอบเมืองพร้อมกับชาวบ้านที่ทยอยออกมาร่วมขบวนอย่างคับคั่งเต็มพื้นที่ถนน มีคนคอยตีกลอง เสียงดังคึกคักมาก พอเข้าไปดูใกล้ๆ นี่ก็แอบน่ากลัว หวาดเสียวเหมือนกันนะ
ตอนหลังที่กลับมาจากมาเลย์แล้ว ถึงมีโอกาสได้คุยและถามเพื่อนชาวมาเลย์ว่า ประเพณีที่ว่านี้คืออะไร จัดขึ้นบ่อยหรือเปล่า ก็ได้คำตอบว่า นี่คือ Taipusam Festival เป็นประเพณีสำหรับชาวฮินดู ที่จะสวด ภาวนา บวงสรวงเทพเจ้า ซึ่งบางครั้งอาจมีการทำร้ายตัวเองโดยการใช้เหล็กทิ่มแทงเข้าร่างกายเพื่อขอให้เทพเจ้ายกโทษให้ในเรื่องที่เคยทำผิด จัดขึ้นปีละครั้งเท่านั้น (ข้อมูลอาจคลาดเคลื่อน เพราะถามเพื่อนที่เป็นอิสลามไม่ใช้ฮินดู หากใครรู้หรือมีอะไรผิดพลาดแย้งได้นะจ๊ะ) ถือว่าโชคดีอีกแล้วที่ได้มาเห็นประเพณีท้องถิ่นอะไรแบบนี้
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันเราก็กลับมาที่โฮสเทลตู้คอนเทนเนอร์ของเรา สภาพภายในโอเคมากเลย ดูใหม่ มีระบบรักษาความปลอดภัยด้วยคีย์การ์ด ทันทีที่เช็คอินจะได้รับถุงยังชีพ ในนั้นจะมีผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ให้ 1 ผืน พร้อมน้ำเปล่าอีก 1 ขวด เราจองไว้แบบ Mix dorm
สารภาพตามตรงเลยว่าเพิ่งเคยนอนแบบหอรวมเป็นครั้งแรก !!! ก่อนหน้านี้ถ้าไม่นอนแบบหอหญิงก็นอนทีเดียว 4 คนเหมา 1 ห้องอะไรแบบนี้ นับเป็นการเปิดประสบการณ์การนอนโฮสเทลรวมครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ตอนแรกก็หวั่นใจนะ ตรูจะอยู่รอดปลอดภัยหรือเปล่าว๊าาาาาาา ไม่กล้าบอกแม่ด้วย กลัวแม่เป็นห่วง 55555555 (อย่าเวอร์ !!! ไปเที่ยวทุกรอบแกก็บอกแค่ว่าไปที่ไหน กับใคร ไปกี่วัน แค่นั้นเอง 555555) แต่ใจนึงก็คิดว่าโตจนป่านนี้แล้ว คงเอาตัวรอดได้แหละ ก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดนะ เพราะด้วยวันที่เราไปมีแก๊งค์ผู้หญิงมาเลย์มานอนกัน 4-5 คน มีผู้ชายอีก 1 คน เลยไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ (รีวิวที่พักที่นี่อยู่ด้านล่างกระทู้) สรุปแล้วถือว่าการนอนโฮสเทลรวมครั้งแรกเป็นประสบการณ์ที่ดีเลยแหละ ....
ลองมาคิดเล่นๆ ว่าถ้าเปรียบอิโปห์เป็นผู้หญิงสักคน ก็คงจัดว่าเป็นผู้หญิงที่น่ารักเลยทีเดียว มองไม่เบื่อ มีเสน่ห์ชวนให้อยากถ่ายรูปเก็บไว้ตลอดเวลา ถึงจะเงียบๆ แต่ก็มีความเฟรนด์ลี่อยู่ในตัว ... นี่แหละอิโปห์ในความทรงจำ
Day 3 : Penang ปีนัง
เมื่อคืนหลังจากนั่งดูรูปที่ถ่ายกันอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ของโฮสเทล จู่ๆ ผู้ชายตู้ตรงข้ามก็ชวนคุยว่ามาจากไหน จะไปเที่ยวไหนต่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลเที่ยวกัน คุยได้ไม่ถึงห้านาทีก็แลกเฟซบุ๊กกันแล้ว แอร๊ยยยยย !!!! อย่าคิดลึกเชียว 55555 ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้รู้จักเพื่อน (ที่อายุมากกว่าหลายสิบปี) ที่ชอบเดินทางเหมือนกัน และได้ฝึกภาษามากกว่า ซึ่งหน้าตาก็ถือว่าโอเคนะ หนุ่มคนนี้ชื่อ 'ฌอห์น' เป็นคนมาเลย์ที่มีเชื้อสายจีน เกิดที่นี่แต่ไปทำงานที่สิงคโปร์ แล้วก็เพิ่งลาออกจากงานเลยไปเที่ยวพักผ่อนให้หนำใจ เค้าไปมาแล้วทั้งไทย เวียดนาม ลาว ฯลฯ แล้วก็กำลังจะไปต่ออีกหลายที่ คุยเสร็จก็แยกย้ายกันไปนอน
พอตื่นเช้ามาก็มีการเซย์ Good Morning กันนิดหน่อย 5555555 แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็ออกไปเดินหาของกิน ถ้าไม่รู้ว่าจะกินอะไร เข้าร้านไหนดี วิธีง่ายๆ ให้ใช้ตรรกะแบบเดิมนั่นคือ ร้านไหนคนเยอะให้เข้าร้านนั้น 555555555 (ตรรกะอัลไลของพวกงงงง) ก็เลยลองเข้าไปร้าน “Restoran Thean Chun" นี้ดู มีทั้งหมูสะเต๊ะ ก๋วยเตี๋ยว ปิดท้ายด้วยพุดดิ้งนิ่มๆ ฟินสุด แอบกระซิบว่า ที่นี่พออาหารมาเสิร์ฟแล้วส่วนมากเขาจะเก็บเงิน คิดตังค์เป็นจานๆ ไปเลย ตอนแรกก็งงว่ามายืนรออะไร กรูจะกินข้าว ทำไมไม่ไปสักที พอเพื่อนควักตังค์จ่ายก็ถึงบางอ้อทันที
หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้วก็ไปเดินเล่น ถ่ายรูปอีกนิดหน่อยก็กลับเข้าโฮสเทลไปเก็บของ แล้วก็เจอพ่อหนุ่มตู้คอนเทนเนอร์ตรงข้ามคนนั้นอีกครั้ง นางก็ถามว่าไปไหนกันมา ว่าจะชวนไปกินติ่มซำซะหน่อย ว๊าาาาาาาาาาา !! บอกช้าไป อดเลย 555555 ก่อนแยกย้ายกันเลยถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักหน่อย แถมยังมีการบอกว่า ยูว์อย่าลืมแท็กรูปมาหาไอด้วยนะ ฮ่าๆๆๆ นี่แหละเสน่ห์ของโฮสเทล ฟินอ้ะะะะะะะะะ ><
ก่อนจะเช็คเอ้าท์เพื่อนสาวเพิ่งรู้ตัวว่าดันทำคีย์การ์ดของโฮสเทลหาย !!!! งานเข้าแล้วทีนี้ ค่ามัดจำคีย์การ์ด 50 ริงกิต (ประมาณ 500 บาท) คงไม่ได้คืนแน่ๆ คีย์การ์ดคงหายตอนที่กินข้าวเสร็จแล้วไปเดินเล่นถ่ายรูป แต่ก็ไม่รู้จุดที่แน่ชัดว่าหายตรงไหน หายตอนไหน นางเลยวิ่งหาทั่วเมือง สุดท้ายคนแถวนั้นก็ช่วยประกาศหาให้ พร้อมขี่รถมอเตอร์ไซค์มาบอกว่าหาคีย์การ์ดเจอแล้ว !!! โอ้โห ประทับใจจริงๆ คนที่นี่น่ารักมากนะ แม้จะตรงข้ามกับหน้าตาก็ตาม 5555555
พอถึงเวลาเราก็ไปขึ้นรถไฟที่เดิม (จุดที่เคยลง) จากอิโปห์ไปปีนังต่อ รถไฟที่นี่ดีเลยนะ ไม่ใช่รถไฟไทยอย่างบ้านเรา แอร์เย็น มีทีวีให้ดู เบาะนั่งสบาย สะอาดสะอ้าน ขับเร็วดี มีของว่างให้ด้วย (แน่ล่ะสิ่ จองแบบแพลตตินัมนิหว่า) ฟีลลิ่งคล้ายๆ รถไฟของญี่ปุ่นเลยนะ ครั้งนี้โอเค แฮปปี้ที่ไม่มีเด็กผีมาถีบเบาะให้รำคาญใจ
พอลงจากรถไฟที่สถานี Butterworth แล้วก็ต้องนั่งเรือเฟอรี่ข้ามไปเกาะปีนังต่อ เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ก็จะมีจุดให้ซื้อบัตร แล้วก็เดินขึ้นเรือลำใหญ่ได้เลย พอเรือออกเท่านั้นแหละ ลมเย็นสบายปะทะใบหน้า พัดผมปลิวไสวประหนึ่งว่าเป็นนางเอกเอ็มวี ทุกอย่างดูเหมือนจะดี ถ้าไม่มีกลุ่มคนแขกที่มายืนอยู่ต้นลม พร้อมเท้าเอว กางจุกกุแร้รับลมอย่างสบายใจ ถามกุบ้างมั้ย เหม็นรึเปล่า หือออออ !!!!! ขมคอกันเลยทีเดียว คิดถึงยาดมตราโป๊ยเซียนจับใจก็คราวนี้
ทันทีที่มาถึงรู้สึกได้เลยว่าปีนังมีความวุ่นวายประมาณนึง รถเพียบ มอไซค์เพียบพร้อมจะเฉี่ยวตูดได้ตลอดเวลา ทำให้คิดถึงอิโปห์ขึ้นมาทันที แต่ที่ดีงามคือ ฝรั่งหล่อจนอยากห่อกลับบ้าน 555555555 งานดีมีคุณภาพ ทุกอย่างอยู่ที่นี่แล้ว นับว่าเป็นสิ่งที่ดีงามเพียงอย่างเดียวที่หลงเหลืออยู่ ฮ่าๆ (ก็พูดเว่อร์ไป๊ 55555 )
คราวนี้เรามาพักที่โฮสเทลแบบแคปซูลที่จองไว้แล้วชื่อ Time Capsule เมื่อเช็คอินปุ๊บจะได้ถุงยังชีพ 1 ถุง ในนั้นมีผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ 1 ผืน หูฟัง 1 เส้น ส่วนน้ำเปล่ามีให้อยู่ที่เตียงแล้ว (รีวิวที่พักที่นี่อยู่ด้านล่างกระทู้) พอเช็คอินเสร็จกำลังจะเอาของมาเก็บดันเจอป้า (ชาวต่างชาติ) ร่วมห้องที่ไม่โอเค มาถึงปุ๊บยังไม่ทันวางกระเป๋า นางรีบบอกเลยว่านางโดนขโมยของ ระวังนะ บลาๆๆๆๆ ตอนแรกก็โอเค รับฟัง ขอบคุณ แต่หลังๆ ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเราหันไปวางกระเป๋า ทำนู่นทำนี่นางยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพูดเลยแม้แต่นิดเดียว เลยรู้สึกว่านางนั่นแหละที่น่ากลัว รู้สึกเหมือนกำลังโดนข่มขู่คุกคามยังไงไม่รู้ ประกอบกับล็อกเกอร์ของเราเสีย ล็อกไม่ได้เลยขอพนักงานเปลี่ยนเตียงใหม่ ไปๆ มาๆ คิดว่าขอย้ายชั้นเลยดีกว่า ถ้ายังอยู่ชั้นเดียวกันแบบนี้ ยังไงก็คงได้เจอกันอยู่ดี แต่พนักงานบอกว่าถ้าจะย้ายชั้น ยูจะไม่ได้อยู่แบบหญิงล้วนแล้วนะ ณ จุดนี้บอกเลยว่าขอย้ายไปอยู่ชั้นไหนก็ได้ที่ไม่มียัยป้าคนนี้ !!!! แบบ Mix dorm ก็ได้ไม่เกี่ยง ซึ่งก็โอเคพนักงานให้เปลี่ยน สุดท้ายนางยังสาปส่งพวกเราอีกด้วย ขอให้โชคดีแล้วกัน อ้าวววว ป้า !!! ไหงพูดงั้นอะ นี่ตกลงพวกเราทำไรผิดยังคิดไม่ออกเลย !!??
เอาเถอะ อย่าไปสนใจ โนแคร์ โนสน ไปเดินวนเที่ยวรอบเมืองตามล่าหาสตรีทอาร์ตกันดีกว่า ปีนังเป็นเมืองที่กว้างใหญ่กว่าอิโปห์มาก รูปสตรีทอาร์ตจึงมีหลายจุดมาก เดินหากันจนขาลากเลยทีเดียว บางรูปก็หลบซ่อนอยู่ในหลืบ บางรูปก็อยู่บนตึก ถ้าไม่หันหลังกลับไปมองนี่ไม่มีทางเจอแน่ๆ เลยแนะนำว่าให้ตามเก็บเฉพาะรูปที่เป็นไฮไลท์ในแผนที่แค่นั้นก็พอแล้ว
ส่วนใครจะเดินจนขาลากก็ตามสบาย หรือจะปั่นจักรยานก็ได้ถ้าไม่กลัวรถเฉี่ยวตูด แต่ถ้ามาเป็นกลุ่มก็มีจักรยานแบบที่ปั่นได้ 4 คน ให้เลือกด้วยนะเออ ใครจะเลือกออฟชั่นไหนจัดไป #ได้หมดถ้าสดชื่น ระหว่างที่เดินถ่ายรูปตามกำแพงสตรีทอาร์ตทั้งหลาย เชื่อว่าสิ่งที่ทุกคนต้องเจอคือ มวลมหาประชาชนที่คอยต่อคิวถ่ายรูปต่อจากเรายาวเป็นหางว่าว เข้าใจว่าไม่ได้ตั้งใจจะกดดัน แต่มันก็อดรู้สึกอย่างนั้นไม่ได้ บางทีตรูก็อยากจะโพสต์ท่าอะไรแปลกๆ ฮาๆ บ้างได้มั้ย แต่ทำไมสายตาทุกคู่ต้องจับจ้องมาที่ตรูคนเดียวด้วยล่ะ ??? ก็เลยได้แต่รีบถ่าย รีบไป เชื่อว่าคนที่เคยมาแล้วคงเข้าใจฟีลลิ่งนี้เป็นอย่างดี 5555555
ตกเย็นได้เวลากินอีกแล้ว !!! อาหารที่นี่ดีกว่าอิโปห์หน่อย มีให้เลือกเยอะ แต่ก็จะออกแนวเมนูเส้นซะส่วนใหญ่ เอาไปผัดซอสหรือไม่ก็ทำก๋วยเตี๋ยว หรือไม่ก็เป็นอาหารพวกเครื่องเทศไปเลย ถ้าไม่รู้จะสั่งอะไร เพราะอ่านไม่ออก ไม่มีรูปในเมนู คนขายพูดอังกฤษไม่ได้ ก็ให้ใช้วิธีมองโต๊ะข้างๆ เอาละกัน ถ้าน่ากินก็ชี้ไปแล้วสั่งตาม 5555555 มื้อนี้เลยได้เมนูที่คล้ายมาม่าต้มยำมาหนึ่งชาม ใส่ปลาชุบแป้งทอดให้ 3 ชิ้น อร่อยดีนะ รู้สึกชีวิตมีความแซ่บจัดจ้านขึ้นมานิสนึง 5555555
แนะนำให้กินพอหอมปากหอมคอแล้วออกมาเดินถนนย่านโต้รุ่งต่อ ของกินตามริมทางเพียบ เท่าที่เคยอ่านในรีวิวมา มีแต่คนบอกว่า มานี่แล้วต้องกิน “ลก ลก" (Lok lok) ให้ได้ ตามหาอยู่นานก็ไม่เจอ กำลังจะถอดใจเดินกลับที่พักแล้ว แต่ในที่สุดก็เจอลก ลก สักที !!!
“ลก ลก" (Lok lok) เป็นร้านรถเข็นริมถนนคล้ายๆ จิ้มจุ่ม มีของกินหลากชนิดเสียบไม้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้น เบคอน ผัก เห็ด ของทอด วิธีกินคือหยิบจานสังกะสีที่ห่อพลาสติกมาถือ แล้วอยากกินอะไรก็เลือกหยิบไม้เหล่านั้นไปลวกในหม้อ พอสุกแล้วตักน้ำจิ้มสะเต๊ะราด แล้วยืนกินตรงนั้นเลย (คล้ายๆ ออมุกของเกาหลี) ยิ่งคนยืนกินเยอะยิ่งคึกคัก ฝรั่งงานดีก็มี มาล้อมวงยืนลวกเป็นเพื่อนกัน เป็นฟีลลิ่งที่สนุกดี กินเสร็จก็เอาไม้ไปจ่ายตังค์ ที่ปลายด้ามจะมีสีบอกราคาไว้ ถือว่ามิชชั่นตามหา “ลก ลก" สำเร็จและผ่านไปด้วยดี !!! เดี๋ยวพรุ่งนี้มากินใหม่ 555555 แอบกระซิบว่าตอนกลางคืนต้องมาตระเวนราตรีย่านโต้รุ่งบนถนนจูเลีย (Lebuh Chulia) นี้นะ ฝรั่งเพียบ เจริญหูเจริญตามากกกกกกก มองไปทางไหนก็ดีต่อใจ แอร๊ยยยยยยยย >////< เหมือนเดินอยู่ถนนข้าวสารยังไงยังงั้น ยิ่งในซอยเล็กๆ จะมีการเปิดเพลง มีฝรั่งมานั่งดื่มกันริมถนนเต็มไปหมด แต่ของดีที่ว่านี้มักจะเดินควงคู่มากับเมีย 5555555 อย่าน้อยมองเป็นอาหารตาก็ยังดีเน๊อะ คืนนี้หลับสบายแล้ว อิอิ
Day 4 : Penang ปีนัง
เช้าวันนี้ออกมาเดินหาของกิน ซึ่งก็ไม่มีร้านในใจอีกตามเคย พอดีเดินผ่านร้าน “Kedai Opi Kong Thai Lai" แล้วเห็นสภาพโอเคเลยเดินก็เข้า ซึ่งก็ได้เจอกับลุงคนขายที่ใจดีมากๆ อีกแล้ว พอมองไปรอบร้าน เห็นว่าร้านนี้เคยลงหนังสือพิมพ์ของท้องถิ่นด้วยนะ อัดกรอบติดป้ายโชว์หรา เป็นการการันตีว่าอร่อย อย่างน้อยอุ่นใจแล้วว่ามื้อนี้แหลกล่ายยยย 5555555
เห็นเมนูมีแต่ก๋วยเตี๋ยวก็เลยลองสั่งไป ซึ่งจากหลายวันที่ผ่านมา คำว่า “ก๋วยเตี๋ยว" ของแต่ละร้านที่นี่ไม่เหมือนกันเลยนะ บางร้านสั่งแล้วได้หมี่ขาวน้ำ บางร้านสั่งแล้วได้หมี่เหลืองผัดซอสดำ บางร้านสั่งแล้วได้คล้ายๆ ผัดซีอิ๊ว ขณะที่บางร้าน สั่งแล้วได้คล้ายๆ ผัดไทย ... อะไรคือมาตรฐานของคำว่า “ก๋วยเตี๋ยว" น้องงงจังเลยค่ะพี่ตา อย่างนั้นก็เสี่ยงดวงเอาล้ะกันว้ะ แต่ละมื้อนี่ลุ้นมากนะบอกเลยยยยยย 555555 นอกจากนี้บนโต๊ะยังมีข้าวห่อกระดาษด้วย เลยเปิดดูว่าเป็นยังไง ... เปิดแล้วก็ต้องกินสิคะซิส ข้างในเป็นคล้ายๆ ข้าวน้ำพริก ปลา ไข่ต้ม ก็พอกินได้อยู่นะ
เนื่องด้วยเมื่อวานเราเก็บสตรีทอาร์ตไปเยอะแล้ว วันนี้เราเลยตั้งใจไปเข้ามิวเซียมกันบ้าง จุดเช็คอินที่แรกคือ Camera Meseum หรือพิพิธภัณฑ์กล้อง แต่ระหว่างทางดันเจอ Chocolate Meseum เลยแวะเข้าไปสักหน่อย เข้าฟรี แถมมีช็อกโกแลตแต่ละแบบให้ชิมด้วย ใครจะซื้อเป็นของฝากกลับบ้านหรือไม่ซื้อก็ได้ ไม่ว่ากัน เอาที่สบายใจ
หลังจากนั้นเดินมาอีกหน่อยก็ถึง Camera Meseum ค่าเข้าคนละ 20 ริงกิต (เกือบ 200 บาท) ส่วนตัวคิดว่าแอบแพง แต่พอเข้ามาแล้วก็โอเคอยู่ มีกล้องหลากหลายประเภทตั้งแต่สมัยรุ่นดึกดำบรรพ์ กล้อง Lego ก็มี Leica ก็มา Rolleiflex ก็เยอะ แถมยังมีห้องมืดที่เอาไว้ล้างฟิล์มให้ดูด้วย มานี่ได้เกร็ดความรู้คือ การถ่ายรูปแบบเซลฟี่มีมาตั้งแต่ 90 กว่าปีก่อนแล้วนะจ๊ะ ซึ่งกล้องสมัยก่อนมีลักษณะเป็นกล่องใหญ่ๆ วิธีเซลฟี่คือถือกล่องใหญ่ๆ ถ่ายทั้งอย่างนั้นนั่นแหละ ที่ชอบสุดคือมีพร้อพส์ให้ถ่ายรูปกับกล้องเก่าๆ เล่นด้วย เซ็ตมุมไว้ให้เลยดี๊ดีย์ ถ่ายรูปเล่นเสร็จลงมาด้านล่างก็มีร้านกาแฟให้นั่งจิบพักผ่อนด้วยนะ จะเขียนโปสการ์ดส่งให้กลับไทย ที่นี่ก็มีให้บริการด้วย
จุดเช็คอินต่อไปคือ National Meseum หรือพิพิธภัณฑ์ของปีนัง ค่าเข้าคนละ 1 ริงกิตเอง ถูกมากๆ ถึงสภาพภายในมิวเซียมจะดูเก่าไปหน่อย แต่ได้ความรู้ดี ด้านในจะเล่าประวัติความเป็นมาของปีนัง จัดแสดงของใช้จริงๆ ของคนที่นี่ ซึ่งประชากรในปีนังประกอบด้วยคนมาเลย์ จีน และอินเดียเป็นจำนวน 90% ของทั้งหมด เพราะฉะนั้นจึงได้เห็นวัฒนธรรมต่างๆ ที่หลากหลายและผสมกันไปของทุกชนชาติ ไม่ว่าจะเป็นตู้ เฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ การแต่งตัว อย่างร้านกาแฟหรือโกปี้ที่ขึ้นชื่อของปีนังนี่ก็มีมานานแล้ว เอาไว้พบปะสังสรรค์ของผู้คนที่นี่ ซึ่งแต่ก่อนจะขายแค่กาแฟอย่างเดียว แต่เดี๋ยวนี้พัฒนามาขายอาหารด้วย และอาหารที่ว่านั้นก็คือ “ก๋วยเตี๋ยว" นั่นเอง
จุดเช็คอินต่อไปถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของวันนี้เลยทีเดียว เป็นมิชชั่นที่ต้องทำให้สำเร็จนั่นก็คือ เข้าพิพิธภัณฑ์ Pinang Peranakan Mansion ซึ่งได้รับการแนะนำเป็นอันดับหนึ่งจาก Tripadvisor พอมาที่นี่แล้วถึงรู้ว่าเป็น Unesco world heritage site อีกด้วย ค่าเข้าแพงมาก 21 ริงกิตต่อคน แต่ก็คุ้มค่ามากกกกกกนะบอกเลย ที่นี่เป็นบ้านของชนชั้นสูงสมัยก่อน มีข้าวของเครื่องใช้ไฮโซเพียบ มูลค่าคงไม่ต้องพูดถึง เพราะดูจากจำนวนเจ้าหน้าที่คุ้มกันแล้วก็คงพอจะเดาได้ไม่ยาก ที่นี่เปิดให้เข้าชมโดยมีไกด์คอยพาทัวร์มุมต่างๆ ของบ้าน
นับว่าเป็นความโชคดีอีกครั้งที่ได้ไกด์คนนี้มาบรรยายให้ฟัง ถึงแม้คุณลุงแกจะแก่แล้ว แต่แกก็ยังคอยยิงมุก สร้างความสนุกครื้นเครงให้คนฟังอยู่บ่อยๆ สารภาพเลยว่าแรกๆ ก็ไม่ค่อยเก็ตมุกของแกเท่าไหร่ เพราะเป็นภาษาอังกฤษด้วย แต่หลังๆ ก็พอหัวเราะตามคนอื่นได้อยู่บ้าง ความจริงแล้วถ้าให้เดินชมกันเอง ก็คงถ่ายรูปแป๊บเดียวแล้วก็ออกเหมือนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ทั่วไปแต่นี่พอมีไกด์คอยเล่าถึงประวัติความเป็นมาของของใช้แต่ละชิ้นให้ฟังแล้วรู้สึกทึ่งมาก ของทุกชิ้นมีเรื่องราวในตัวมันเอง ฟังแล้วอะเมซิ่งสุดๆ ประทับใจมากกกกกก (ก.ไก่ล้านตัว)
อย่างบ้านของคนจีนร่ำรวยสมัยก่อนจะตรงกลางบ้านจะเปิดโล่ง ไม่มีหลังคา เวลาฝนตกก็จะมีร่องระบายน้ำอยู่รอบๆ ไม่ต้องห่วงว่าจะท่วม ในแง่ของฮวงจุ้ย ฝนเปรียบเหมือนเงินทองตกไหลลงมาวนเวียนในบ้านถือเป็นความโชคดี หรืออย่างเก้าอี้ดีไซน์แปลก ที่ออกแบบมาเป็นรูปอินฟินิตี้ นั่งได้ 2 คน ออกแบบมาเพื่อหันหน้าสบตาคุยกัน ในหลักฮวงจุ้ยเหมือนเป็นหยินหยาง ช่วยเพิ่มความสมดุลให้ที่อยู่อาศัย
หรือในประเพณีแต่งงาน ผู้หญิงจะต้องปักผ้าไว้เพื่อใช้ในงานแต่งของตัวเอง ผ้าผืนนี้ใช้ความละเอียดปักนานถึง 5 ปี !!! วันแต่งจะให้ผ้าผืนนี้แก่ผู้ชายไว้ใส่สินสอด วางเงินทอง แล้วห่อกลับ คือจะแต่งงานได้นี่ต้องเตรียมปักผ้าล่วงหน้า 5 ปีเลยทีเดียวเชียวนะ จะปุ๊บปั๊บแต่งไม่ได้เลยงี้ 5555555 สำหรับผู้ชายหลังแต่งงานแล้ว 1 วัน ก็จะต้องใส่ชุดที่ปักลายดอกไม้ที่ทำจากทองแท้ จำนวน 100 ดอก ไม่ขาด ไม่เกิน ซึ่งเป็นความเพอร์เฟคอย่างหนึ่ง ใส่เดินรอบเมือง เพื่อให้คนรู้ว่ากรูแต่งงานแล้ว มีเจ้าของแล้วงี้
เกร็ดความรู้เหล่านี้ฟังแล้วแบบ อื้มมมม ดีย์ เพลินมากกกกก ตลอด 2 ชั่วโมงกว่าที่อยู่นี่ไม่น่าเบื่อเลย อยากอยู่ต่อด้วยซ้ำ แต่ไม่มีเวลา แนะนำเลยว่าถ้าใครพอฟังภาษาอังกฤษได้ มาเที่ยวที่นี่เถอะ หรือต่อให้ฟังไม่ออกก็มาถ่ายรูปสถาปัตยกรรมก็ยังดี คุ้มค่าแล้ว !!! นี่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับพิพิธภัณฑ์นี้อีกเช่นกัน แต่ชอบมากกกก เลยบอกต่อ
พอออกมาจากมิวเซียมกำลังจะไปปีนังฮิลล์ ไฮไลท์ของค่ำคืนนี้ แต่ฟ้าฝนดันไม่ค่อยจะเป็นใจสักไหร่ มืดครึ้มมาแต่ไกลเชียว พอเช็คพยากรณ์อากาศก็บอกฝนตกแน่ !!! เอาล่ะสิ่ ทำไงดี พวกเราไม่อยากเสี่ยงขึ้นไป เลยเปลี่ยนแผนเป็นเดินวนตามล่าหาสตรีทอาร์ตที่เหลืออยู่ให้ครบ แล้วว่าจะไปเดินห้างแถวย่านคอมต้า (Komtar) ซื้อของฝาก พรุ่งนี้จะได้ขึ้นปีนังฮิลล์แทน ว่าแล้วก็นั่งรถเมล์สาย 101 หรือ 102 ไปคอมต้า ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที พอมาถึงจุดลงรถและต่อรถใกล้กับห้างคอมต้าแล้วพบว่าฝนไม่ตกสักที เราก็เลยเปลี่ยนแผนกันอีกรอบ ตัดสินใจเปลี่ยนไปนั่งรถเมล์สาย 204 ไปขึ้นปีนังฮิลล์ตอนนั้นเลย ซึ่งต้องใช้เวลาอีกประมาณ 40 นาที กว่าจะถึงที่ซื้อตั๋ว (ค่าเข้าขึ้น-ลงปีนังฮิลล์คนละ 30 ริงกิต) กว่าจะรอขึ้นรถ tram ไปข้างบนปีนังฮิลล์
เบ็ดเสร็จแล้วใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่งก็ขึ้นมาถึงปีนังฮิลล์จนได้ โชคดีที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน ได้เห็นวิวรอบเมืองปีนังแบบ 180 องศา แต่ฟ้าไม่ค่อยเปิดเท่าไหร่ ดูครึ้มฟ้าครึ้มฝน พวกเราทนอยู่รออีกจนกว่าจะมืด เพราะจะได้ถ่ายรูปเมืองปีนังที่เต็มไปด้วยแสงไฟยามค่ำคืน ซึ่งก็รออยู่เกือบ 2 ชั่วโมง (ที่นี่ 1 ทุ่มฟ้ายังสว่างอยู่เลย นึกว่าแค่ 5 โมงเย็น) ใครจะมาตอนค่ำๆ แนะนำให้พกเสื้อหนาวมาด้วย เพราะยิ่งดึกลมยิ่งแรง ในที่สุดก็ได้ภาพที่สวยงามสมใจอยาก ถือว่าวันนี้มิชชั่นคอมพลีท !!! ขอบคุณเพื่อนสาวนางนี้ที่อยู่รอจนฟ้ามืดโดยไม่งอแงแต่อย่างใด สรุปแล้วอีพยากรณ์อากาศในกูเกิ้ลนี่เชื่อถืออะไรไม่ได้เลย !!! แอบกระซิบนิดนึงว่าบนปีนังฮิลล์นี่เด็ดมากกกกก วิวหรอ??...ก็ส่วนนึง แต่อีกส่วนนึงคือ 'ผู้' จ้าาาาาาาา ฝรั่งเพียบอีกแล้ว น้องช๊อบชอบจังเลยค่ะพี่ตาาาาาาา อยากพากลับบ้านด้วยจัง อุ๊ปส์ 555555555555
Malaysia Day 5 (Last day) : Penang
ในที่สุดก็เป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่ที่นี่ มิชชั่นของวันนี้คือกินติ่มซำ ว้อนท์มากตั้งแต่วันแรกที่มาถึง เพื่อนสาวแสนดีก็จัดการเสิร์ชเลยค่ะ เจ้าไหนดี เจ้าไหนดัง มาแล้วต้องโดน เดินทางไปยังไง ขึ้นรถสายไหน ร้านเปิดมั้ย สรุปว่ามาลงเอยที่ร้านนี้ “Restoran Zim Sum" มาร้านนี้ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ติ่มซำ ขนมจีบ ซาลาเปา ฮะเก๋า ของทอด ขนมปัง ซุป ทาร์ตไข่ มีให้เลือกละลานตามาก เดินหยิบตามสบาย กินเสร็จค่อยคิดเงิน แล้วที่หยิบๆ มาเต็มโต๊ะนี่ก็ไม่มีใครรู้นะว่าราคาเท่าไหร่ 55555 ความหิวมันบังตา เลยจัดไปชุดใหญ่ไฟกระพริบ ไม่บอกไม่รู้เลยว่าทั้งโต๊ะนี่กินกันแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ (หราาาาาา ?? 55555) สองคน สุดท้ายเลยหันไปถามเพื่อนสาวว่านี่เรายังมีเงินเหลือพอจ่ายค่าอาหารใช่มะ ไม่ต้องอยู่ล้างจานชดใช้เค้าใช่มะ 55555555 พอคิดเงินออกมาค่อยโล่งใจ เพราะราคาไม่แพงอย่างที่คิด ฟินสุดก็มื้อนี้แหละจ้าาาาาาาาาาา
ระหว่างตอนที่ไปหยิบทาร์ตไข่มากินตบท้าย เพื่อนสาวแสนดีดันเจอเรื่องพีคอีก คือนางก็กินเสร็จแล้ว นั่งเฝ้าโต๊ะอยู่คนเดียว รออินี่ไปหยิบทาร์ตไข่อยู่ไง แล้วดันมีเจ๊คนไทยมายืนใกล้ๆ โต๊ะ แล้วพูดว่า “กินเสร็จแล้วทำไมไม่ลุกให้คนอื่น มัวนั่งแช่อยู่ได้" หารู้ไม่ว่าพวกตรูก็คนไทยเหมือนกันนี่แหละคนไทย ฟังภาษาไทยออกนาจา ด้วยความสตรอง บวกหมั่นไส้นิดๆ เพื่อนสาวนางนี้เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วแกล้งคุยโทรศัพท์เป็นภาษาไทยดังๆ ให้นางได้ยิน เท่านั้นแหละ รู้เรื่อง !!! เจ๊แกหันมามองหน้าเหวอแล้วเดินไปเลยจ้า ณ จุดนี้เมนเทอร์ลูกเกดยืนปรบมือรัวๆ พร้อมมอบมงลงศีรษะเพื่อนสาวในบัดดล 55555 ก็เข้าใจนะว่าคนเยอะ ไม่มีโต๊ะ แต่พวกตรูก็ยังกินไม่เสร็จโว้ยยยยยย เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าไม่ชัวร์ อย่างเม้าท์เป็นภาษาไทยนะจ๊ะ !!!
ตอนที่มีโอกาสได้นั่งรถเมล์ไปปีนังฮิลล์และมากินติ่มซำ บอกเลยว่าประทับใจรถเมล์ของที่นี่มาก เพราะนอกจากสภาพรถเมล์บ้านเค้าจะดูดีกว่ารถเมล์ไทยเย๊อะะะะแล้ว ยังมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้โดยสารขึ้นได้เฉพาะประตูหน้า ลงได้เฉพาะประตูหลังเท่านั้น คนขับก็ใจดี๊ใจดี จะลงไหนบอกคนขับรถ ถ้าบอกไม่ถูกก็เปิดดูเกิ้ลแมพโชว์ให้นางดูเลยจ้า นางจะเป็นคนออกตั๋วและบอกราคาให้ แล้วให้เราหยอดเงินใส่กล่องเอง แต่ต้องเตรียมเงินให้พอดีนะ เพราะไม่มีทอน ซึ่งตอนขึ้นรถเมล์ครั้งนึงมีเหรียญไม่พอ จริงๆ มัน 28 บาทกว่าๆ (2.8 ริงกิต) ก็เลยจะจ่ายแบงก์ที่เล็กที่สุดที่มีอยู่ ก็คือ 50 บาท (5 ริงกิต) คนขับรถเลยรีบบอกว่า ไม่ทอนนะ ไอเราสองคนก็ควานหาเหรียญทั้งเนื้อทั้งตัวมีอยู่แค่นี้จริงๆ นอกนั้นมีแต่แบงก์ คนขับเลยบอกว่า งั้นคิด 20 บาทถ้วนก็ได้ หยอดๆ ไปเถอะ โอ้โห !!! ประทับใจสุดๆ อะ มีลดค่ารถเมล์ให้ด้วยอะ แบบนี้ก็ได้หรอ 55555 แต่ก็ขอบคุณมากกกกกกก คนที่นี่น่ารัก ใจดี ตรงข้ามกับหน้าตาเลยจริงๆ เป็นเมืองที่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะ
กินเสร็จก็มาเดินเล่นแถวห้างคอมต้า กะจะมาช้อปปิ้งกันสักหน่อย แต่ผิดคาด ห้างไม่มีอะไรเลย บางห้างก็ร้างไปนะ ก็เลยแวะซูเปอร์มาร์เก็ตแถวนั้นแล้วซื้อชา ซื้อช็อกโกแลตกลับบ้านแทน ซื้อเสร็จก็กลับมาเก็บกระเป๋า เช็คเอ้าท์ ขึ้นรถเมล์ ไปลงสนามบิน (ดูรายละเอียดการเดินทางด้านล่างกระทู้)
ถ้าถามว่าปีนังเป็นผู้หญิงแบบไหน คงจะบอกว่าเป็นสาวสมัยใหม่ มีความเยอะในแบบของผู้หญิง ชอบปาร์ตี้ ชอบสีสัน ดูภายนอกอาจจะขี้เหวี่ยง แต่จริงๆ แล้วไม่มีอะไร น่ารัก จริงใจ ฉลาดและมีสมอง นี่แหละ ... 'ปีนังในความทรงจำ'
รีวิวที่พัก
ที่พักในอิโปห์ The Container Hotel
ที่พักที่นี่ดีงามตามบอกไปข้างต้นแล้วนิสนึง คือดูใหม่ แต่ละตู้นอนก็ไม่แคบเกินไป พอดีสำหรับนอน 1 คน ถามว่าอึดอัดมั้ยที่ไม่มีหน้าต่าง สำหรับเราก็เฉยๆ นะ เข้าไปนอนก็คือนอนเท่านั้น ด้านข้างมีกระจกให้ ดึงไม้ลงมาเป็นที่วางของได้ มีปลั๊กไฟให้เสร็จสรรพ แต่ละตู้จะมีม่านกั้นเป็นสัดส่วน มีล็อกเกอร์อยู่ด้านล่างเตียง ซึ่งต้องใช้คีย์การ์ดเปิด แต่ละคอนเทนเนอร์มี 2 ชั้น ใครได้นอนชั้นบนนี่ลำบากหน่อยนะ เพราะบันไดขึ้นเป็นแนวตรง ขึ้นยาก ลงลำบาก ราวจับเป็นเหล็ก ห้องน้ำรวมก็มี แยกหญิงชายก็มีแต่อยู่คนละชั้น แถมยังสะอาดด้วย สบู่ห๊อมหอม 55555555 แต่ห้องส้วมกับห้องอาบน้ำไม่ได้แยกกัน อยู่ในห้องเดียวกันเลย เพราะฉะนั้นอาจจะมีพื้นเปียกบ้าง แต่ใส่รองเท้าเตะเข้าไปได้ก็โอเค มีไดร์เป่าผมให้ จะเสียอย่างนึงก็ตรงที่เปิดตูห้องเป็นเหล็กเลยเสียงดังไปหน่อย เวลาใครเข้าใครออกตอนดึกๆ นี่รู้สึกตัวตลอด แต่โดยรวมแล้วถือว่าประทับใจมาก ทำเลดี เดินทางสะดวก ใครที่มาเที่ยวแนะนำให้พักที่นี่เลย มีสาขาที่ปีนังด้วยนะ
ที่พักในปีนัง Time Capsule
ภายในแคปซูลค่อนข้างทันสมัย ไฟเป็นสีฟ้าประหนึ่งว่านอนอยู่บนอวกาศยังไงยังงั้น ทุกอย่างเป็นระบบสัมผัส มีสวิทช์ SOS ไว้กดขอความช่วยเหลือได้ แล้วก็มีทีวีอยู่ปลายเตียง มีแผงเหล็กกั้นปิดพร้อมโซ่ล็อกจากด้านใน เป็นเตียงสองชั้น ชั้นบนขึ้นง่าย เพราะบันไดเป็นแบบลดหลั่นกัน มีล็อกเกอร์อยู่ด้านข้างกำแพง มีพื้นที่ให้นั่งเล่นหน้าแคปซูลได้ ทำเลดี มีรถเมล์ผ่าน โดยรวมแล้วที่นี่เรารู้สึกว่าคนมาพักเยอะ หรืออาจจะเพราะเปิดมานานแล้ว ของบางอย่างเลยเก่าและเสีย เช่น ประตูล็อกเกอร์ ปุ่มสวิทช์ต่างๆ ส่วนห้องน้ำก็พอใช้ แต่กลิ่นเหม็นไปหน่อย เหมือนไม่มีคนมาทำความสะอาด ประตูเป็นกระจกฟ่า เอาจริงๆ ถ้าจะแอบดูมันก็มีช่องระหว่างประตูอยู่นะ ห้องน้ำเป็นแบบรวม ของผู้ชายถึงก่อน ของผู้หญิงเดินถัดเข้าไป ส่วนห้องอาบน้ำกับห้องส้วมแยกกัน มีไดร์เป่าผมให้ ถ้าให้เทียบกับโฮสคอนเทนเนอร์ เราทั้งสองสหายชอบคอนเทนเนอร์มากกว่า
รีวิวกล้อง
อย่างที่บอกไปแล้วว่ายืมกล้องรุ่น Lumix GF9 ที่พี่สาวเพิ่งถอยออกใหม่สดๆ ร้อนๆ สีชมพูซากุระ โอ๊ยยยย !!! แค่เห็นสีก็ใจสั่นล๊ะ มีความพาสเทล พอใช้ไปยิ่งรู้สึกดี เพราะน้ำหนักเบา ไม่เทอะทะ มีโหมดปิดเสียง เงียบกริ๊บ ถ่ายรูป ส่องผู้ชายได้สบาย 555555 (ชอบสุดก็ตรงนี้)
แต่อีกอย่างหนึ่งที่ชอบเหมือนกันก็คือ ถ่ายรูปคนสวย !!!! พอส่งรูปผ่านไวไฟจากกล้องลงมือถือแล้วอัพขึ้นเฟซ มีแต่เพื่อนๆ มาว่า ทำไมถึงสวย ??? คือปกติไม่สวยงี้หรอ นี่เพื่อนไม่ได้หลอกด่าน้องใช่มั้ยคะพี่ตา 555555555 ถ้าจะตอบไปว่าเบ้าหน้าดี แม่ให้มา ก็เกรงว่าจะโดนด่าว่ามั่นหน้าเอาได้ ก็เลยตอบแบบซอฟต์ๆ ใสๆ ไปว่าเพราะกล้องดี 555555 คือมันมีโหมดสำหรับถ่ายพอร์ตเทรตโดยเฉพาะ สีภาพก็โอเค ไม่เข้มไป ไม่เหลืองไป ยิ่งถ่ายวิวยิ่งเลิศอยู่นะ
ถ่ายไฟตอนกลางคืนก็ไม่ต้องปรับอะไรมาก ไม่ค่อยสั่นไหว ดีกว่ากล้อง dslr รุ่นที่เคยใช้ซะอีก !!!! มีโหมดสำหรับถ่ายไฟเป็นแฉกๆ เปลี่ยนโหมดนี้ปุ๊บ ไฟเป็นแฉกปั๊บ ถ่ายได้เลย ไม่ต้องปรับชัดเตอร์สปีดหรือรูรับแสงอะไรให้ยุ่งยาก แต่อาจจะดูฟรุ้งฟริ้งไปหน่อยเท่านั้นเอง
สำหรับคนชอบเซลฟี่คงถูกใจเพราะหน้าจอพับขึ้นมาได้ 180 องศา เซลฟี่ได้ไม่ยาก แต่นี่เป็นคนไม่ชอบเซลฟี่ไง ก็เลยเฉยๆ ตรงจุดนี้ แต่ข้อเสียคือแบตหมดเร็วมาก ถ้าถ่ายรูปเยอะ ถ่ายตลอด ตอนบ่ายๆ ก็หมดแล้ว ถึงแม้หน้าจอจะมีโหมด sleep อัตโนมัติก็เถอะ อีกอย่างคือไม่มีแท่นชาร์จแบต (ถ้าอยากได้แท่นชาร์จต้องซื้อเพิ่ม) แต่จะชาร์จโดยการก็เสียบสายเข้าตัวกล้องได้เลย ซึ่งก็สามารถชาร์จแบตจาก power bank ได้เช่นกัน ระหว่างนั่งรถ หรือกินข้าวก็ชาร์จไปสิ่ จะว่าสะดวกก็สะดวกดีนะ พกแค่ power bank อันเดียวก็เอาอยู่ ไม่หนักกระเป๋า แต่จะว่าไม่สะดวกก็ไม่สะดวก เพราะต้องชาร์จแบตเข้าตัวกล้องบ่อยๆ
รีวิวการเดินทางตลอดทริป
จากสนามบินกัวลาลัมเปอร์เข้าเมืองไปที่พักแถว KL Sentral
ออกจากสนามบินแล้วเดินตามป้าย Bus ไปซื้อตั๋วตรงจุดขายบัตรก่อนออกจากประตู Arrival หลังรับกระเป๋า จะมีป้ายตรงทางออกว่า Buy ticket here ราคาคนละ 12 ริงกิต ซื้อเสร็จแล้วให้ไปขึ้นรถบัส Aerobus ที่ชั้น L1 ออกทุก 30 นาที ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ลงสถานีสุดท้ายเลย
จากที่พักแถว KL Sentral ในกัวลาลัมเปอร์ไปอิโปห์
ต้องจองตั๋วรถไฟ ETS ก่อนล่วงหน้าจากไทยที่เว็บ http://www.ktmtickets.com เช็ครอบวัน เวลาให้เรียบร้อย ราคาคนละ 35 ริงกิต ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จุดขึ้นรถคือ Senrtral Kuala Lumpur ไปลงสถานี Ipoh (Ipoh train Station)
จากสถานีรถไฟอิโปห์ (Ipoh train Station) ไปที่พัก The Container Hotel
เปิดกูเกิ้ลแมพแล้วเดิน ไม่ไกลเท่าไหร่
จากสถานีรถไฟอิโปห์ (Ipoh train Station) ไปปีนัง
ต้องจองตั๋วรถไฟ ETS ก่อนล่วงหน้าจากไทยที่เว็บ http://www.ktmtickets.com เช็ครอบวัน เวลาให้เรียบร้อย (จากอิโปห์ไปปีนัง มีรถ 5 รอบต่อวัน) ราคาคนละ 42 ริงกิต ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จุดขึ้นรถคือ Ipoh train Station ไปลงสถานี Butterworth
จากสถานีรถไฟ Butterworth ปีนัง ข้ามไปเกาะปีนัง
ออกจากสถานีรถไฟแล้วเดินตามป้ายไปขึ้นเรือเฟอรี่ จ่ายเงินหน้าตู้ได้เลย ราคาคนละ 1.20 ริงกิต ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึงเกาะปีนัง เรือเฟอรี่รอบแรกเวลา 05.20 น. ส่วนเรือรอบสุดท้ายเวลา 00.40 น. มาทุกๆ 20 นาที หลังสี่ทุ่มไปแล้วมาทุก 40 นาที
จากเกาะปีนังไปที่พัก Time Capsule
เปิดกูเกิ้ลแมพแล้วเดิน ไกลพอสมควร
จากที่พัก Time Capsule ไปจุดขึ้นรถแถวห้างคอมต้า
ขึ้นรถเมล์สาย 101 หรือ 102 ราคาคนละ 1.4 ริงกิต
จากจุดขึ้นรถแถวห้างคอมต้าไปปีนังฮิลล์
ขึ้นรถเมล์สาย 204 ราคาคนละ 2 ริงกิต
จากปีนังฮิลล์กลับที่พัก Time Capsule
ขึ้นรถเมล์สาย 204 ราคาคนละ 2 ริงกิต ไปลงแถมคอมต้าแล้ว ขึ้นรถเมล์สาย 101 หรือ 102 ราคาคนละ 1.4 ริงกิต (เส้นทางเหมือนกับขามา)
จากที่พัก Time Capsule ไปสนามบินปีนัง
ขึ้นรถเมล์สาย 101 หรือ 102 ราคาคนละ 1.4 ริงกิต ไปต่อรถแถวห้างคอมต้า แล้วสายนั่งสาย 401 หรือ 401E ไปสนามบิน ราคาคนละ 2.7 ริงกิต
ทิปส์เล็กๆ น้อยๆ สำหรับทริปนี้
ค่าครองชีพที่นี่ก็พอๆ กับไทย อาจจะแพงกว่านิดนึง ราคาอาหารตามข้างถนนแบบถูกๆ ก็ประมาณ 4 ริงกิต (40 บาท) แต่ถ้าแพงหน่อยก็ 8-12 ริงกิต (80-120 บาท) ถ้าอยากตีค่าเงินจากริงกิตเป็นเงินบาทง่ายๆ คร่าวๆ ก็คูณ 10
เวลาที่มาเลย์เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง กว่าพระอาทิตย์จะตกดิน ฟ้าจะมืดก็ประมาณ 1-2 ทุ่มเลย เพราะฉะนั้นมีเวลาเดินเที่ยวได้ยาวๆ ทั้งวัน (ถ้าไม่หมดแรงไปซะก่อน)
มาประเทศนี้แนะนำให้พกทิชชู่กับทิชชู่เปียกมาเยอะๆ ร้านข้าวแต่ละที่ไม่มีทิชชู่เลย แถมยังต้องใช้มือจกไก่ ฉีกแป้งโรตี จิ้มแกงกินอีก มือมันกันตั้งแต่เช้าเลยทีเดียว แต่ถ้าใครถนัดใช้ช้อนส้อมก็ไม่ว่ากัน 5555 ที่สำคัญคือยาดม อย่าลืมพกมาล่ะ
ขึ้นรถเมล์ในปีนังให้เตรียมเหรียญเอาไว้เยอะๆ จะได้มีพอดี เพราะรถเมล์ที่นี่ไม่ทอนนะจ๊ะ
ปลั๊กที่ใช้ที่นี่เป็นแบบสี่เหลี่ยม สามรู ให้เตรียม Universal ปลั๊กและปลั๊กพ่วงมาด้วย แต่ปลั๊กในที่พักโฮสเทลแต่ละคืนจะสามารถใช้กับของไทยได้อยู่แล้ว
ถ้าใครไม่ชอบกินชา แนะนำให้ซื้อน้ำขวดใหญ่แล้วแบ่งใส่ขวดเล็กกินระหว่างวันน่าจะดี แต่น้ำที่นี่ก็ไม่แพงเท่าไหร่ ราคาชวดละประมาณ 10 บาท
ห้องน้ำให้เข้าในสถานที่ใหญ่ๆ เช่น คาเฟ่ มิวเซียม ห้าง หรือที่โฮสเทล ให้เรียบร้อย
ไวไฟที่โฮสเทลมีทุกที่ เชื่อมต่ออัตโนมัติ แต่ระหว่างวันแนะนำว่าควรจะมีอินเทอร์เน็ตไว้เสิร์ชหาข้อมูล สายรถเมล์ หรือสถานที่เที่ยว ร้านอาหารต่างๆ ซึ่งเพื่อนสาวเราซื้อแพ็คเกจของค่ายมือถือจากไทยเอาไว้คุยกับแฟนอยู่แล้ว มีแค่คนเดียวก็พอ ถ้าไม่ได้ติดโซเชียลอะไรมาก
จองรอบรถไฟ ETS ข้ามเมืองให้เรียบร้อยก่อนเดินทาง เพราะช่วยให้เรารู้เวลาคร่าวๆ ได้ ถ้าไปแบบไม่จอง กะว่าไปตายเอาดาบหน้าไม่แนะนำ เพราะรถไฟที่นั่งเต็มทั้งขบวนนะ
สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมด
-ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ราคา 3,033 บาท
ค่าที่พัก 4 คืน รวมเป็นเงิน 1,695 บาท
คืนที่ 1 My hotel ราคา 350 บาท
คืนที่ 2 The Container Hotel ราคา 365 บาท
คืนที่ 3+4 Time Capsule 2 คืน ราคา 980 บาท (ตกคืนละ 490 บาท)
ค่ารถ รวมเป็นเงิน 850 บาท
รถไฟ ETS ขาไปอิโปห์ ราคา 295 บาท
รถไฟ ETS ขาไปปีนัง ราคา 355 บาท
รถเมล์และรถบัส ราคา 200 บาท
ค่ากิน 5 วัน รวมเป็นเงิน 1,630 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ค่าเข้ามิวเซียมกับจิปาถะ) รวมเป็นเงิน 838 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทริปนี้ 5 วัน 4 คืน คนละ 8,046 บาท
4 สหายท่องโลก
วันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 17.00 น.