ต้องบอกก่อนเลยว่าทริปของพวกเราสี่สหายท่องโลกเกิดขึ้นเพราะจขกท.อยากไปเที่ยว “ซาปา" ตามรอยพี่นิ้วกลม
เพราะเคยเห็นพี่แกโพสต์รูปตอนไปซาปาหน้าฝน โอ้โห!!! พระเจ้าจอร์จมันยอดมากกกก
วิวสวย อากาศดี ทิวทัศน์แจ่ม แหล่มมากนะพูดเลย พอได้โอกาสเหมาะ ตั๋วเครื่องบินโลว์คอสกำลังมีโปรโมชั่น
อิชั้นเลยรวบรวมลูกทีมอีก 3 คน พร้อม (โบ้ย) ให้เพื่อนสาวผู้เชี่ยวชาญจัดการจองตั๋ว
โดยกำชับกับนางอย่างดีว่า “เวียดนามเลยนะแกรรรรรรรรร อย่าให้พลาดดดดดด"

หลังจากจองตั๋วจ่ายตังค์ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เพื่อนสาวนางนี้ก็มาบอกในกรุ๊ปว่าเครื่องจะไปลงโฮจิมินห์นะ
เดี๋ยวๆๆ ฮัลโหลลล แล้วไหนซาปาของชั้นล่ะ??? คือตอนนั้นร้องเ-ี้ย เอ้ยยย!!! #ร้องไห้หนักมาก งอนนาง
เพราะเคยไปเว้ ดานัง ฮานอย ฮอยอันกับทัวร์มาแล้วรู้สึกไม่ประทับใจ เลยไม่อยากไปที่อื่นในเวียดนามอีกแล้ว
นอกจากซาปาเท่านั้น!!! แต่ในเมื่อจองตั๋วไปแล้วชั้นจะทำอะไรได้ นอกจากทำใจ ปลอบตัวเอง โอ๋ๆ ไม่ดราม่าโน๊ะ

แต่ แต่ แต่!!! ผิดคาดจ้า ยิ่งใกล้ถึงวันที่จะเดินทางยิ่งตื่นเต้น เพราะเป็นการเที่ยว
แบบแบ็คแพ็กของพวกเราสี่คนเป็นครั้งแรก แค่คิดก็น่าสนุกแล้วสิ ยิ่งเห็นรีวิวอื่นๆ ในพันทิพด้วยแล้วล่ะก็
'ทะเลทรายมุยเน่ก็เก๋นะแกรรรรร ชั้นจะไปถ่ายแฟชั่นเซ็ตที่นั่น ฮ่าๆๆ' (นี่คือสิ่งที่คิดไว้)

พอถึงวันเดินทาง พวกเราสี่สหายท่องโลกมาพร้อมกัน (โดยนัดหมาย)
ที่สนามบินดอนเมืองตอน 6 โมงเช้า 7.45 น. เครื่องพร้อมออกแล้วจ้า ฟิ้ววววว



ทริปนี้แพลนของเราคือ 4 วัน 3 คืน

วันแรก : เที่ยวในโฮจิมินห์ (ศาลาว่าการนครโฮจิมินห์ จตุรัสโฮจิมินห์ ไซง่อนโอเปร่าเฮ้าส์ ไปรษณีย์กลาง โบสถ์นอร์ทเทอดาร์ม ตลาดเบ็นถั่ญ) จัดการซื้อตั๋วรถและตั๋วทัวร์สำหรับวันต่อไป ชมหุ่นกระบอกน้ำ หาอะไรกิน แล้วขึ้นรถนอนไปดาลัต

วันที่สอง : เช็กอินที่โรงแรม เที่ยว One day tour เดินไนท์มาร์เก็ต

วันที่สาม : เช็กเอ้าท์ เดินทางไปมุยเน่ เที่ยวทะเลทราย One day tour กินซีฟู้ด

วันที่สี่ : เช็กเอ้าท์ เดินทางกลับมาโฮจิมินห์ ซื้อของฝาก นั่งชิลร้านกาแฟ ไปสนามบิน กลับประเทศไทย



พร้อมแล้วจับมือคนข้างๆให้มั่น แล้วไปกันเล้ยยยยยย!!!



ปล.ขออนุญาตใช้ภาษาวิบัติบางคำเพื่ออรรถรถในการอ่านนะจ๊ะ



ออกท่องโลกไปพร้อมๆ กับพวกเรา 4 สหายได้ที่ https://www.facebook.com/4-%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-1624461511126421/?fref=ts



Day 1 โฮจิมินห์ : เดินมาก เบิร์นมาก ก็ต้องกินชดเชยให้มาก



สิ่งแรกที่เราทำหลังจากเหยียบถึงสนามบินเตินเซินเญิต เมืองโฮจิมินห์ คือแลกเงินดอง
โดยการขอแบงก์ย่อยมาจะได้ใช้ง่ายๆ เอ...ว่าแต่ แบงก์ย่อยภาษาอังกฤษเขาพูดว่าอะไรว้ะแกรรรร
Sub bank เหรอ ไม่น่าใช่นะ Small bank เหรอ มันก็ฟังดูแปลกๆ นะ
นี่ขนาดสุมหัวกันสี่คนยังคิดไม่ออก ดีออกอินเทอร์เน็ตก็ไม่มี ยืนเถียงกันอยู่นาน
เลยตัดสินใจเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ด้วยสกิลภาษาแบบงูๆ ปลาๆ ชี้โบ้ชี้เบ้ละกัน
สุดท้ายเจ้าหน้าที่ดันบอกว่าแบงก์ที่ให้มาน่ะ มันEasy to use แล้ว ก็เลยได้ออกจากสนามบินกันสักที 555



พวกเราเดินแบบเริ่ดๆ เชิ่ดๆ ตรงมาขึ้นรถเมล์สาย 152 เข้าเมือง (ออกจากสนามบินให้เลี้ยวขวา
รถจอดอยู่เลนส์สอง สีขาว-ฟ้า) ประหนึ่งว่ารู้ดีและคุ้นเคยกับที่นี่มาก ความจริงแล้วเปล่าเลย
เพื่อนสาวคนหนึ่งนางข้อมูลปึ้กมากจ้า กูเกิ้ลสตรีทวิวเหรอ นางดูมาหมดแล้ว
หลับตาเดินยังได้ อย่างนี้ต้องยกความดีความชอบให้นาง เอ้า!!! ปรบมือรัวๆ ข่าาาาา

พอถึงตลาดเบ็นถั่ญทุกคนบนรถลงเกือบหมดจ้า แต่พวกเราก็ยังมั่นหน้า
มุ่งมั่นและแน่วแน่ว่าจะไม่ลงป้ายนี้ เพราะเพื่อนสาวคนดีบอกว่าอีก 2 ป้ายถัดจากนี้ค่อยลง
ลุงคนขับเลยหันมาพูดย้ำว่านี่คือป้ายตลาดเบ็นถั่ญ พวกยูจะไม่ลงจริงๆ ใช่มั้ย??? ใช่!!! ไม่ลง ออกรถเถอะค่ะลุง

สงสัยล่ะสิ พวกเราจะไปไหน เรากำลังจะไปซื้อตั๋วรถนอนข้ามเมืองไปดาลัตสำหรับคืนนี้
ถ้าไม่ตั๋วละก็เป็นอันจบเห่ ในที่สุดเราก็มาหยุดอยู่หน้าบริษัททัวร์ชื่อ Vietsea Tourist และThe Sinh Tourist
หลังจากจัดแจงซื้อตั๋ว ฝากกระเป๋าเสร็จก็ถึงเวลาตะลุยเมืองแล้ว เฮ้!!!

ก่อนอื่นกองทัพต้องเดินด้วยท้อง ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินอะไรเลย นี่ก็เกือบบ่ายแล้ว จะไม่ให้หิวได้ไง


อิชั้นและผองเพื่อนเลยแวะกินเฝอร้าน Pho2000 ตรงวงเวียน Quach Thi Trang Park เห็นเมนูปุ๊บอยากจะสั่งรัวๆ

นั่นก็น่ากิน นี่ก็น่าโดน แต่ดีที่เพื่อนสาวนางหนึ่งห้ามไว้ก่อน “สั่งเยอะๆ แล้วถ้ามันไม่อร่อยล่ะแกร กินหมดค่อยสั่งอีกก็ได้"

เออ จริงของมัน นี่แหละนะที่เรียกว่าความหิวบังตา #ความรักก็เช่นกัน 555 สรุปว่าชามเดียวก็อิ่มแล้วจ้า

เพราะให้เยอะมาก ส่วนรสชาติน่ะเหรอ นาทีนั้นอะไรก็อร่อยหมดแหละเนอะ



กินเสร็จเราก็มาเดินย่อยที่จตุรัสโฮจิมินห์ แวะมาสวัสดีลุงโฮพร้อมเซลฟี่กับแกเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยซะหน่อย


แล้วค่อยแวะไปถ่ายรูปกับไซง่อนโอเปร่าเฮ้าส์ ยาวไปที่ไปรษณีย์กลาง ต่อด้วยโบสถ์นอร์ทเทอดาร์ม ส่วนทำเนียบประธานาธิบดีไม่ได้แวะ เพราะต้องเสียค่าเข้าชม ซึ่งดูแล้วไม่น่ามีอะไรเลยลงความเห็นกันว่าขอผ่านดีกว่าค่ะ



มาถึงจุดนี้เหนื่อยและร้อนมาก เพราะเดินอย่างเดียว นี่ขนาดมาช่วงตุลา ไอเราก็นึกว่าฝนจะตก ชุ่มฉ่ำอะไรอย่างนี้


พี่เลยเตรียมเสื้อกันฝนมาเต็มที่ ดีออกผิดคาด แดดสาดจนชุ่มฉ่ำ เราเลยแวะดื่มด่ำกับแอร์เย็นๆ

เค้กและกาแฟเวียดนามที่ร้าน Sharing Coffee สักหน่อย ความอร่อยเหรอ อย่าถาม เรียกว่าพอกินได้

แต่ชอบตรงที่เสิร์ฟน้ำเปล่าไม่อั้น อิชั้นและเพื่อนๆ กินน้ำเปล่าหมดไปเป็นเหยือก แถมยังมีฟรีไวไฟ

เอาไว้เผือกเรื่องชาวบ้าน ร้านนี้คนไม่เยอะ และเสียงดังได้เต็มที่ (ถ้ามีบาริสต้าหล่อๆ นะแจ่มเลย 555)



พอถึงเวลา 16.30 น. เราเลยมาซื้อตั๋วชมหุ่นกระบอกน้ำ โชว์ขึ้นชื่อของเวียดนาม


ถ้ามาแล้วไม่ได้ดู เหมือนมาไม่ถึง โชว์นี้ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง พอเข้าไปในโรงแอร์เย็นสบาย

นั่งเอนกายพักผ่อนสายตา ไปๆมาๆ กลายเป็นว่าเผลอหลับซะงั้น ตื่นมาอีกทีคือตอนจบ

แนะนำตัวผู้แสดง ซึ่งมีคนหนึ่งหล่อมาก รู้อย่างนี้อิชั้นจะตั้งใจดูไม่กระพริบตาเลยแม้แต่นิดเดียว 555


ดูโชว์เสร็จก็มากิน (อีกแล้ว) บุ๋นทะเล ที้ร้าน Bun Moc Thanh ถึงแม้ร้านจะอยู่ข้างถนน


ดูไม่ค่อยสะอาด แต่รสชาติเด็ดนะขอบอก ระหว่างรอก็สั่งปอเปี๊ยะสดมากินไปพลางๆ



อิ่มจากขอคาวก็ต่อด้วยขอหวานสิคะ เพื่อนสาวนางนี้บอกว่าต้องมากินไอศกรีม


ที่ร้าน Kam Bach Dang Ice cream ให้ได้ ร้านนี้ไม่ธรรมดา เพราะว่าต้องขึ้นลิฟต์มากินบนดาดฟ้า

วิวดีเลอค่า แถมราคาไม่แพง แนะนำว่าให้สั่งเมนูที่เป็นลูกมะพร้าว เนื้อมะพร้าวหวานและอ่อนมาก

ไอศกรีมก็อร่อย ค่อยๆ กินก็ได้นะพวกเธอ ไม่มีใครแย่งหรอก



พอถึงเวลา 21.30 น. ก็เตรียมตัวไปบริษัททัวร์เพื่อขึ้นรถไปดาลัต แนะนำว่า

ให้ไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ เอาทิชชู่เปียกมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวสักหน่อย จะได้นอนสบายDay 2 ดาลัต : อาหารอร่อย อากาศดี๊ดีย์ ได้ออกทีวีด้วยแหละ



หกชั่วโมงผ่านไป เราก็มาถึงเมืองดาลัต ลมหนาวพัดใส่หน้าจนสะใจหลังจากที่เมื่อวานบ่นร้อนทั้งวัน
แต่ใครมันจะไปรู้ว่าจะหนาวขนาดนี้!!! พอถึงโรงแรมปุ๊บก็รีบเช็กอิน ปรากฎว่าในรายชื่อแขกที่จองห้องไว้
ไม่มีชื่อพวกเรา เอาล่ะสิ่ ณ จุดนี้ เป็นเวลาตีห้า บ้าไปแล้ว ทำไงดี แล้วที่อิชั้นส่งอีเมล์ไปจอง
และได้รับการคอนเฟิร์มกลับมาคืออัลไล!!! รออยู่สักพักพนักงานบอกว่ามีห้องว่างเหลือ
นับว่าโชคดีไป เหนื่อยจะไฝว้แล้วนะยูวววว์

หลังจากได้งีบไปนิดนึงก็ถึงเวลาออกเที่ยวแล้ว 7.45 เราเดินมาขึ้นรถบัสกับบริษัททัวร์


ที่ซื้อตั๋วมาตั้งแต่วันแรกจากโฮจิมินห์ ที่แรกที่แวะคือ Bao Dai Summer Palace

หรือพระราชวังฤดูร้อนของพระเจ้าเบ๋าได๋ จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งเวียดนาม ที่ใช้เวลาสร้างถึง 5 ปี

เสร็จแล้วจึงแวะมาถ่ายรูปและซึมซับบรรยากาศของชาวคริสต์ที่ Dalat Cathedral หรือโบสถ์ไก่

ซึ่งจุดเด่นของที่นี่ก็คือมีไก่อยู่บนยอด เป็นโบสถ์ใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่ใจกลางเมืองดาลัต



ถัดมาเป็นอีกหนึ่งที่ที่เราชอบมาก นั่นก็คือRobin Hill ที่นี่เคเบิ้ลคาร์พาเราชมวิวทิวทัศน์ของเมืองดาลัด


แบบพาโนราม่ากว้างสุดลูกหูลูกตา ระหว่างที่รอสมาชิกทัวร์คนอื่นๆ ครบ ลุงคนขับรถก็ชวนอิชั้นคุย

ด้วยท่าทีเป็นมิตร พอรู้ว่าเรามาจากประเทศไทยเขาก็พูด “สวัสดีครับ" “สบายดีไหม" “กินข้าวไหม"

พร้อมทั้งกางสมุดโพยออกมา พอเหลือบมองไปที่สมุดของลุงก็พบว่าแกจดคำทักทาย

เป็นภาษาต่างๆ ไว้หมด ไม่ว่าจะเป็นไทย จีน เกาหลี อังกฤษ และภาษาอื่นๆ อีกมากมาย

ซึ่งทั้งหมดนี้เขาก็เรียนรู้จากนักท่องเที่ยวที่เขาพาทัวร์นี่แหละ โหลุง!!! ประทับใจอะ

ถึงจะแก่แต่ก็ไม่หยุดเรียนรู้จริงๆ ยกนิ้วให้เลย เราเลยถือโอกาสให้ลุงสอนภาษาเวียดนามสักหนึ่งคำ

ลุงสอนให้พูดว่า “เอ็ม แด๊ป ล้ำ" แปลว่า “ฉันสวย" 555555 ลุงนี่เก่งและตาถึงจังเลยนะคะ

คุยไปคุยมาลุงมีการพูด “รักนะ จุ๊บ จุ๊บ" โชว์ด้วยนะ แหม่!!! ใครสอนลุงคะเนี่ยยยย



ระหว่างนั้นก็มีลุงคนเกาหลีที่มาเที่ยวคนเดียวมาร่วมแจมบทสนทนาด้วย แกก็เลยโชว์สกิล

พูดภาษาไทย “สวัสดีครับ" “ขอบคุณครับ" ด้วยเหมือนกัน ส่วนเรามีหรือจะน้อยหน้า

ด้วยความที่ว่าเป็นติ่งเกาหลีมานาน ซีรี่ส์เกาหลีสนุกๆ ทุกเรื่องดูมาหมดแล้ว เลยขออวดภาษากับเขาบ้าง 555

“อันยองฮาเซโย" “คัมซาฮัมนีดา" “โอ้ปป้า" มาเต็มเหมือนกัน คิดแล้วก็ขำตัวเองไม่หาย

นี่ตกลงมาเที่ยวหรือมาเตรียมความพร้อมเข้าสู่ AEC กันแน่ ฮาาาา



หลังจากนั้นแก๊งค์เรากับลุงเกาหลีก็เลยสนิทกันไปโดยปริยาย พอถึงเวลากินข้าวเที่ยงในร้านที่ทัวร์จัดไว้ให้

ลุงก็มานั่งโต๊ะเดียวกับพวกเรา แถมยังชวนคุยว่าเรียนอยู่หรือเปล่า เราเลยบอกว่าเปล่า ทำงานกันหมดแล้ว

(หน้าเด็กล่ะสิ อิอิ แอบดีใจ) ลุงเลยบอกว่ามีลูกชายคงรุ่นราวคราวเดียวกัน พร้อมทั้งเปิดรูปโชว์ให้ดู

แว๊บแรกที่เห็นถึงกับร้องอู้หูวววว!!! ลูกชายลุงหล่อเหมือนกันนะเนี่ย พอลุงเปิดรูปถัดไปเท่านั้นแหละ

รูปลูกชายถ่ายคู่กับแฟนโชว์หรา เอาเป็นว่าจบข่าว กินข้าวต่อเถอะค่ะลุง อารมณ์เสีย

ว่าจะฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกสะใภ้ซะหน่อย 555



ช่วงบ่ายเรามาเที่ยวกันต่อที่ Buddhist Meditation Monastery & Paradise Lake แวะไหว้พระถ่ายรูปกันนิดหน่อย


แล้วค่อยไป Valley of Love ที่นี่คล้ายๆ งานพืชและสวนโลกที่เชียงใหม่ มีดอกไม้งามๆ เพียบ

เสร็จแล้วค่อยไป Datanla Waterfall ที่นี่มีรถรางให้เล่นพอหวาดเสียว หลังจากนั้นแป๊บเดียวเราก็มาโผล่ที่

The Old Railway Station สถานีรถไฟที่เก่าแก่ที่สุดของเวียดนาม ปิดท้ายด้วย Flowers Showroom ที่มีต้นไม้สวยๆ

ราคาไม่แพงขายเพียบ นี่ถ้าไม่ติดว่าจะเอากลับขึ้นเครื่องยังไงนี่จะซื้อกลับไปปลูกที่วังฤดูร้อนสักร้อยต้น (เบะปาก มองบน)



ประมาณบ่ายสามครึ่งก็เสร็จสิ้นภารกิจทัวร์ดาลัต ก่อนกลับพวกเราเลยขอถ่ายรูปเซลฟี่หมู่เป็นที่ระลึก

กับคุณลุงเกาหลีซะหน่อย ต้องขอบคุณแกที่คอยถ่ายรูปรวมให้พวกเราทั้งสี่คนตลอดทริปของวันนี้ “คัมซาฮัมนีดา"



ด้วยความเหนื่อยจัดเราเลยกลับมาพักผ่อนที่โรงแรมก่อน ได้งีบนอนสักนิดค่อยสดชื่นหน่อย


พอห้าโมงเย็นเราค่อยออกไปหาอะไรกินรองท้อง ว่าแล้วก็มาหยุดที่คาเฟ่แห่งหนึ่งชื่อ Windmills ร้านสวย

กาแฟและเค้ก ก็ดีงามตามท้องเรื่อง ส่วนราคาก็อยู่ในเรทพอรับได้ เป็นร้านที่ควรค่าแก่การมานั่งชิลที่สุด



แค่นี้ยังไม่สามารถหยุดการกินแบบล้างผลาญของผู้หญิงตัวเล็กๆ 4 คนได้ (หรา) เราเลยจัด “เหลา"


อาหารขึ้นชื่อของดาลัตอีกสักหน่อย ซึ่งมาร้านเยอะแยะมากมาย แต่เราเลือกร้าน Lau Moy Nguoi

เพราะสัญชาติญาณบอกมาว่ามันต้องอร่อยแน่ๆ มีฝรั่งนั่งกินพอประมาณ สรุปว่าสัญชาติญาณของพวกเรา

บอกผิดว่ะแกร เพราะที่นี่ให้น้อยเหลือเกิน รสชาติก็พอกินได้ ส่วนราคาสวนทางกับปริมาณลิลับ

ก็เลยกินกันพอหอมปากหอมคอแล้วมาเดินหาอะไรกินต่อที่ดาลัตไนท์มาร์เก็ต เด็ดทุกอย่างทั้งขนมเบื้อง

อาหารย่างเสียบไม้ ขนม Keo Chi (คล้ายโรตีสายไหม) โยเกิร์ต



ปิดท้ายด้วยน้ำตู้หู้นมถั่วเหลืองร้าน Quan Hoa Sua ซึ่งมีโต๊ะเตี้ยๆ ให้นั่งกินริมถนน


รสชาติเข้มข้นดีเหลือเกิน กินไปกินมามีทีวีท้องถิ่นช่องไถ่อิ๋งมาถ่ายพร้อมขอสัมภาษณ์เฉยเลย

คุณเพื่อนตัวดีทั้งหลายก็โบ้ยหน้าที่ให้อิชั้นเผยหน้าออกสื่อ ได้!!!งั้นขอเตรียมคำตอบแพร้พพพ

ว่าแล้วพวกเราก็ช่วยกันนึกคำศัพท์จดลงโพยกระดาษว่าจะพูดอะไรบ้าง เทปนี้ล่อไปสามเทค!!! 555

ไม่ใช่เพราะพูดผิดหรืออะไร แต่มอเตอร์ไซค์วิ่งตัดหน้ากล้องซะงั้น โดยรวมแล้วถือเป็นอีกหนึ่งวันที่สนุกมากจริงๆDay 3 มุยเน่ : ถ่ายแบบแสนเก๋ที่ทะเลทราย



วันนี้เราเช็กเอ้าท์ออกจากโรงแรมตั้งแต่ 6.30 น. เพื่อไปขึ้นรถข้ามเมืองไปยังมุยเน่ ระหว่างทาง
รถทัวร์ก็แวะรับผู้โดยสารคนอื่นตามจุด ซึ่งส่วนใหญ่มีแต่ชาวต่างชาติ (ที่สำคัญคือหล่อและแซ่บมากกกก)
สี่ชั่วโมงผ่านไปในที่สุดก็มาถึงมุยเน่จนได้ เราจึงเดินไปเช็กอินที่โรงแรมที่จองไว้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดจอดรถ

บ่ายนี้เราจะไปเที่ยวทะเลทรายโดยการซื้อทัวร์ของโรงแรมตามที่รีวิวหลายๆ กระทู้บอกไว้
และแล้วรถจิ๊ปคันสีเขียวมาจอดรอหน้าโรงแรม รถคันนี้นั่งได้ 4 คนพอดีเป๊ะ (ไม่รวมคนขับ) พร้อมแล้ว Let's Go!!!

ที่แรกที่เราไปคือแฟรี่สตรีม ที่นี่เราต้องเดินลุยน้ำ (สูงระดับข้อเท้า) เข้าไปชมทัศนียภาพของหินผาที่ถูกกัดเซาะ


ถัดมาคือหมู่บ้านชาวประมง ที่เบื้องหน้าเป็นทะเล เต็มไปด้วยเรือนับสิบนับร้อยลำจอดเรียงรายอยู่



และแล้วก็ถึงไฮไลต์ที่พวกเรารอคอย นั่นก็คือทะเลทรายขาว พอไปถึงเจ้าถิ่นชาวเวียดนามก็จะมีช้อยส์ให้เลือก 2 อย่าง


คือ จะนั่งรถจิ๊ปออกไปกลางทะเลทรายพร้อมคนขับ หรือ ขับรถ ATV ไปเอง ซึ่งถ้าขับเองราคาจะถูกกว่า

แต่ระยะเวลาที่ได้ไปอยู่กลางทะเลทรายน้อยกว่า ณ จุดนี้ขอแนะนำว่าให้ตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนตั้งแต่เนิ่นๆ

เพราะหากไปเงอะๆ งะๆ อยู่หน้างาน เจ้าถิ่นก็จะมาคอยเร่ง เร้าหรืออยู่นั่นแหละว่าจะเอายังไง ไอเราก็ตกลงกันไม่ได้สักที

สุดท้ายก็เลยต้องเออออห่อหมกนั่งรถจิ๊ปไป ซึ่งพอมาคิดดูทีหลังรู้สึกว่ามันแพงและไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่



ทันทีที่ก้าวเหยียบทะเลทราย โอ้มายกอด! วิวสวยมาก ทรายละเอียดมาก แต่ลมก็แรงมากเช่นกัน

ทำเอาผมปลิวจนหัวกระเซิง ไหนจะโดนเม็ดทรายเล็กๆ ปลิวพัดใส่ขาอีก มันคันยิบๆ ผสมความเจ็บนิดๆ

กว่าจะได้ถ่ายรูป เฮ้อ! หมดพลัง แนะนำเลยว่าผู้หญิงควรมัดผมทรงดังโงะไว้ตั้งแต่แรก เพราะถ้ามามัดทีหลังตอนอยู่ทะเลทราย

ผมจะเหนียวมากและสางไม่ออกเลย ถ้าใส่หมวกก็จับให้ดี เพราะถ้าหมวกปลิวแล้ว มันจะพัดไปไกลมาก

พอกำลังจะก้มลงเก็บแมร่งก็ปลิวหนีไปอีกเหมือนหนังตลกอย่างนั้นแหละ แต่บอกเลยว่าทั้งหมดที่บ่นมามันคุ้มมาก

เพราะวิวสวยและเลอค่าสุดๆ ยิ่งถ้าถ่ายรูปย้อนแสงแบบซิลูเอทนี่ใช่เลย! เสื้อผ้าพลิ้วๆ จัดไปอย่าให้พร่อง รองพื้น กันแดด โบกให้มิด



แล้วเราก็มาต่อที่ทะเลทรายแดง ที่นี่จะไม่ค่อยสวยเท่าทะเลทรายขาว แต่ก็จัดว่าโอเคอยู่ ลมไม่ค่อยแรง


ถ่ายรูปได้ตามสบาย จะกระโดด หรือจะเหม่อๆ เผลอๆ มองธรรมชาติก็ดีงาม ยิ่งตอนใกล้พระอาทิตย์ตกดินแล้วล่ะก็

รัวชัตเตอร์เท่าไหร่ก็ไม่พอ เอาเป็นว่าวันเดย์ทัวร์ที่มุยเน่เป็นอันเสร็จสิ้นแต่เพียงเท่านี้ พร้อมกับทรายที่แทรกซึม

ไปทั่วอณูของร่างกายไม่ว่าจะเป็นผม ปาก ไม่เว้นแม้แต่เสื้อใน กางเกงใน เราเลยกลับที่พักไปอาบน้ำอาบท่า

ก่อนมากินซีฟู้ด อาหารขึ้นชื่อของมุยเน่ เมืองติดชายทะเลแห่งนี้



มาถึงร้าน bo ke' ก็จัดการจิ้มเลยจ้าว่าอยากกินอาหารทะเลอะไร มีให้เลือกกันสดๆ สั่งแล้วพนักงาน


จะนำไปปรุงให้ทันที รสชาติก็ดีงาม ราคาก็สูงตามไปด้วย ขาดก็แต่น้ำจิ้มซีฟู้ดนี่แหละ

หลังจากที่เอ้อระเหยลองชาย สูดกลิ่นอายทะเล พร้อมซีฟู้ดหมดเกลี้ยงแล้ว พวกเราก็ซื้อเบียร์ไซ่ง่อนกลับไปกินที่ห้องพัก

เพราะเมืองนี้ไม่ค่อยคึกคักเหมือนดาลัต ออกแนวเงียบเหงามากกว่า เพราะว่าไม่มีตลาดไนท์มาร์เก็ต

ไม่ค่อยมีพับ บาร์ เอาเป็นว่าวันนี้ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะทุกคนDay 4 โฮจิมินห์ : ละลายทรัพย์ มีเท่าไหร่ ใช้ให้หมด



วันนี้เราเช็กเอ้าท์ และเดินทางกลับด้วยรถทัวร์จากมุยเน่สู่โฮจิมินห์ ตอน 7.30 น. กว่าจะมาถึงก็เกือบบ่าย
เมื่อถึงแล้วเราก็ฝากสัมภาระไว้กับบริษัททัวร์ แล้วก็ตะลุยกินโลดดดด!!!

เราเดินมาหาของกินในตลาดเบ็นถั่ญ เดินไปเดินมาบรรดาแม่ค้าก็ฮาร์ดเซลล์เหลือเกิน ทั้งยื่นเมนูให้


ทั้งรัวภาษาจีนใส่ บางคนถึงขั้นดึงมือยื้อให้หยุด แต่อิชั้นไม่สน Don't care ค่ะ ยิ่งฮาร์ดเซลล์เท่าไหร่ยิ่งไม่อยากกิน

ในที่สุดก็มียืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าร้าน Ba'nh Be'o Hue' คนมุงเยอะมาก ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร

แต่เป็นแป้งและเครื่องเคียงพร้อมราดน้ำจิ้ม พวกเราลงความเห็นว่าแปลกและคนกินเยอะ น่าจะอร่อย (มั้ง)

เลยลองดู ที่นี่ไม่มีโต๊ะให้นั่งเป็นกิจจะลักษณะ มีเพียงเก้าอี้พลาสติกคนละตัว นั่งกินกลางตลาดแบบนั้นเลย

เออ! อร่อยและได้บรรยากาศไปอีกแบบแฮะ ตบท้ายด้วยของหวานในตลาดอีกเช่นกัน คล้ายๆ ลองช่องทำกะทิ

หอม หวาน ชื่นใจ ดื่มหมดแก้วสิคะ จะรออะไร



เท่านั้นยังไม่พอ ขอชิลต่อด้วยร้านกาแฟ Anh Coffee ข้างๆ ตลาด ร้านสวย ขนม เครื่องดื่มอร่อยหมด

แถมยังมีฟรีไวไฟเล่นอีกต่างหาก แต่วันนี้เราจำใจต้องจากที่นี่แล้ว



ก่อนขึ้นเครื่องเงินยังเหลือนิดหน่อย จะแลกกลับก็คงไม่คุ้ม เลยจัดการซื้อโน่นนี่นั่นเล็กๆ น้อยๆ ในดิวตี้ฟรีให้หมด


ปรากฎว่าเครื่องดีเลย์จ้า เอาล่ะสิ หิวก็หิว แต่ทำยังไงได้ เงินหมดตัวแล้ว จะให้แลกเงินเพิ่มขั้นต่ำก็ตั้ง 1,000 บาทไทย

อิชั้นเลยตัดสินใจอดทนกับความหิวไปกินข้าวที่ไทยก็แล้วกัน งานนี้เลยได้แต่นอนนิ่งเป็นผัก งดคุย งดหัวเราะ

เดี๋ยวเปลืองพลังงาน 555555 ในที่สุดก็รอดมาได้



สรุปแล้วทริปนี้สนุกนะ แม้ประเทศเวียดนามจะไม่ได้เจริญ หรือศิวิไลซ์เหมือนประเทศอื่นๆ ก็ตาม

แต่มันก็มีเสน่ห์ในแบบของมัน อยากให้ทุกคนลองมาสัมผัสทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ไม่ต้องไปไกล

ถึงทะเลทรายซาฮาร่า หรืออียิปต์ ก็ได้เห็นอะไรดีๆ แบบนี้

หลายคนถามมาว่าเวียดนามมีทะเลทรายสวยๆ แบบนี้ด้วยเหรอ ขอนอนยันเลยว่ามีค่ะ!!!



เอาจริงๆ การที่ไม่ได้ไปซาปามันก็ไม่น่าผิดหวังสักเท่าไหร่นะ (แค่นอยด์นิดหน่อย)

สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการได้มาเห็นอะไรใหม่ๆ กับเพื่อนๆ ที่รู้ใจ ไม่ต้องพูดอะไรมากก็พอแล้วแหละ

เพราะโลกมันกว้างคนข้างๆจึงสำคัญ ไว้ไปเที่ยวด้วยกันอีกนะชาวสี่สหายท่องโลก ♥

#survivorinvietnam #vietnamtrip #เพราะโลกมันกว้างคนข้างๆจึงสำคัญ #สี่สหายท่องโลก



ปล.1 ฝรั่งที่มาเที่ยวเวียดนามคือดีงามมากทุกคน

ปล.2 หนุ่มเวียดนามก็ดีงามไม่แพ้กัน

ปล.3 พาสเวิร์ดไวไฟในดาลัตเกือบทุกร้านคือชื่อร้านภาษาอังกฤษ

ความคิดเห็น