ทริปนี้เราเดินทางวันที่ 31 ธันวาคม 2559 - 2 มกราคม 2560
และเดินทางกันไปเพียงแค่ 2 สาวเท่านั้น!!!!
- เริ่มจากเราจองตั๋วเครื่องบินของ Jetstar ผ่านหน้าเว็บไซต์สายการบินเลย -- ที่เลือกเดินทางโดย Jetstar เพราะถ้าเทียบราคาช่วงเทศกาลปีใหม่ กับหลายๆสายการบินแล้วนั้น ต้องเรียกว่าสายการบินถูกสุด
- โดยราคาตั๋ว ไป-กลับ อยู่ที่คนละ 6,776.60 บาท (ราคานี้รวมค่าน้ำหนักกระเป๋าขาไป 15 กิโลกรัมและขากลับ 20 กิโลกรัม+ค่าภาษี+ค่าเปลี่ยนแปลงสกุลเงินและค่าหักบัตร)
31 ธันวาคม 2559
เดินทางออกจากกรุงเทพฯ
- สายการบินนี้จะต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ เราจึงเลือกเดินโดย Airport Rail Link จากพญาไท ไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ
- พอเดินออกมาจากสถานีรถไฟฟ้า Airport Rail Link ก่อนจะไปยังเคาท์เตอร์ของ Jetstar เราแวะทำการแลกเงินที่บูธของ Superrich สีส้ม โดยเรทที่เราแลกได้ 1 SGD= 24.85 บาท
- หลังจากนั้นก็เดินไปดูว่าเคาท์เตอร์ของ Jetstar อยู่ที่ไหน (อยู่ Row E1-E3) แต่เพราะทางสายการบินเปิดให้เช็คอินตอน 9 โมง เราจึงลากกระเป๋าลงมาชั้นล่าอีกครั้งเพื่อทานข้าวเช้า
- พอได้เวลา 9 โมง เราก็รีบตรงไปยังเคาท์เตอร์เช็คอินของสายการบินเลย จริงๆแล้วเราได้ web check-in มาแล้วล่วงหน้า 48 ชั่วโมง แต่เนื่องจากเรามีกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่อง จึงต้องไปแวะทำเรื่องฝากกระเป๋าและรับตั๋วโดยสารใบจริง
- หลังจากฝากกระเป๋าเสร็จ ก็ทำเรื่องออกนอกประเทศ ละก็ไปเดินเล่นบริเวณด้านใน Duty Free
- พอดูว่าใกล้เวลา Boarding Time เราก็เดินไปยัง Gate ที่จะขึ้นเครื่องบิน Gate ของ Jetstar อยู่ Gate F4 ค่อนข้างไกลมาก เดินหาเหนื่อยเลย
- พอได้เวลา เจ้าหน้าที่ก็เรียกขึ้นเครื่อง เที่ยวบินที่เรานั่งคือ 3K520 เดินทางออกจากกรุงเทพ เวลา 11.55 น.
จากกรุงเทพ ไปยัง สิงคโปร์ ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 2 ชั่วโมง 30 นาที
ตั้งแต่นั่งเครื่องมา Jetstar เป็นสายการบินที่ landing ไม่นิ่มเอาซะเลย ทั้งขาไปและขากลับ ^0^
เมื่อถึงสิงคโปร์
- พอออกจากเครื่อง เราก็เดินสู่สนามบิน Changi Airport ประเทศสิงคโปร์
- วิธีไป immigration ไม่ยากเลย เดินตามป้าย Arrival ไปเรื่อยๆ ก็จะเจอบันไดเลื่อน มองลงมาจะเห็นด่าน immigration อยู่ด้านล่าง
- เราไปกรอกใบขาเข้าประเทศก่อน ไม่ต้องกลัวกรอกไม่ถูกนะ เพราะเขามีตัวอย่างแบบที่เป็นภาษาไทยไว้ให้ดูด้วย
- จากนั้นก็ไปต่อแถวเพื่อทำเรื่องผ่านเข้าประเทศ
- ใครที่เป็นโรคกลัว ตม. จะบอกว่าไม่ต้องกลัวจ้ะ ตม.ที่นี่เขาไม่ถามคำถามอะไรเลย กระบวนการ การทำงานของเขาก็ค่อนข้างที่จะเร็วมากด้วย
- พอผ่าน ตม. มา ก็เดินไปรับกระเป๋า ... จะรู้ได้ไงว่าสายพานกระเป๋าคือสายพานไหน?? ไม่ยาก-- พอผ่าน ตม. ออกมา หันไปทางขวามือจะมีหน้าจอ LCD ใหญ่บอกชื่อสายการบิน เที่ยวบิน และตำแหน่งสายพาน
- ตอนที่ลงมารับกระเป๋า เจ้าหน้าที่เคลียเสร็จเรียบร้อยแล้ว ของเรากะของเพื่อน ถูกนำมาวางเรียงเป็นระเบียบอยู่บริเวณข้างๆสายพาน (หาเจอง่ายมาก ไม่ต้องกังวลเลย)
- จากนั้นก็เดินออกมา เพื่อหาซื้อซิมการ์ด เราแวะซื้อซิมการ์ดของค่าย StarHub ที่บูธของ UOB ราคา 18 SGD ใช้แต่ internet อย่างเดียว เป็นแพ็คเกจแบบ 5 วัน (ซื้อเสร็จก็เปลี่ยนซิมการ์ด ละก็ให้เจ้าหน้าที่เขา setเครื่อง และสัญญาณให้ อ่อ--อย่าลืมเปลี่ยนภาษาในมือถือเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ)
- จากนั้นเดินไปรอขึ้น Sky Train เพื่อไปยัง Terminal 2
- พอถึง Terminal 2 ก็เดินไปยังบูธขายบัตรรไฟฟ้า เพื่อซื้อบัตร EZ-LINK ครั้งแรกจ่าย 12 SGD เป็นค่าบัตร 5 SGD มีเงินให้ในบัตร 7 SGD และเราก็เติมไปอีก 10 SGD (บัตรใช้กับรถไฟฟ้า MRT , รถเมล์ , 7-11 และบัตรมีอายุอยู่ได้ 5 ปี)
วิธีเดินทางเข้าเมือง
ในเมื่อเราได้บัตร EZ-LINK มาแล้ว เราก็จะมาเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองสิงคโปร์ไปยังที่พักที่เราจองไว้
เราจองที่พักไว้ที่ Adler Hostel , South Bridge , Chinatown ดังนั้นเราต้องเดินทางจาก Changi Staion ไปยัง Chinatown station
- เรานั่ง MRT สายสีเขียว จาก Changi Station ไปยังสถานี Tenah Marah จากนั้นให้ไปขึ้นรถไฟฝั่งที่เขียนว่า To Joo Koon (2)
- จาก Tenah Marah นั่งยาวไปจนถึงสถานี Outram Park จากนั้นเปลี่ยนเป็นสายสีม่วง ให้เลือกขึ้นฝั่ง To Punggol (7)
- นั่งเพียงหนึ่งสถานีจาก Outram Park ให้มาหยุดที่สถานี Chinatown เลือกทางออก EXIT.A
เมื่อมาถึง Chinatown
- พอมาถึงสถานี Chinatown ให้เดินออก EXIT.A เดินขึ้นมาด้านบนแบบนี้จะเจอกับ Pagoda Street
- ถนนเส้นนี้ถือเป็นเส้นหลักของย่านไชน่าทาวน์กันเลยทีเดียว ตึก อาคาร บริเวณก็ทาสีให้ดูใหม่อยู่เสมอ และคงเอกลักษณ์ของการเป็นย่านชุมชนของชาวจีน
- ตลอดเส้นทาง จะมีแต่ร้านค้า ร้านขายของฝาก ร้านอาหาร รวมถึงพิพิธภัณฑ์อีกด้วย
- เมื่อเดินมาเรื่อยจนสุดทางถนนสายนี้ จะเจอถนน South Bridge
- เราข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม และเดินไปทางขวามือประมาณ 5-6 ห้อง จะเจอกับ Adler Hostel
- เมื่อเจ้าหน้าที่ให้ทำเรื่อง Check-in เรียบร้อยแล้ว ก็จะมีเจ้าหน้าที่อีกคนพาเดินถัดไปอีกประมาณ 2-3 ห้อง ก็จะเป็นตัวตึกสำหรับเข้าพักอาศัย
- เราจองห้องพักผ่าน Agoda และเลือกพักแบบ Female Dormitory เตียง Queen Size ราคาอยู่ที่คนละ 2,700 บาท (ห้องน้ำหญิงรวม+มีอาหารเช้า)
- ภายในแคปซูลเมื่อไปถึงจะมีน้ำเปล่าให้คนละ 1 ขวด + ผ้าเช็ดตัวคนละ 1 ผืน + ล็อกเกอร์ 1 ตู้/แคปซูล + ชั้นวางของ + ปลั้๊กไฟ)
**สภาพห้องถ่ายไว้วันที่สอง ซึ่งถูกรื้อซะเละเทะไปหมดแล้ว**
- ก้มมองนาฬิกา เวลาเดินไวซะจริงเลยๆ เรากับเพื่อนก็ทำการอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกไปหามื้อเย็นทาน
- เราแวะทานร้านอาหารไทย บริเวณ Pagoda Street ย่าน Chinatown เจอข้าวหมูกระเทียม 9 SGD ส่วนเพื่อนสั่งข้าวผัดหนำเลี๊ยบ 10 SGD (พอถึงเวลาคิดเงิน วิ๊งๆเลยจ้า)
- เรากับเพื่อนมุ่งหน้าไปสถานที่ต่อไป คือ Singapore Flyer
Singapore Flyer
- วิธีการเดินทาง เรานั่ง MRT สายสีม่วงไปลงยัง Dhoby Ghaut จากนั้นเปลี่ยนเป็นสายสีเหลือง ลงสถานี Promenade เดินตามป้ายลูกศรที่เขียนว่าไป Marina Bay Sand และ Singapore เดินตามทางไปเรื่อยๆไม่แน่ใจ ก็ถามเจ้าหน้าแถวนั้นได้
- จากนั้นก็เดินตามทางเท้าไปเรื่อยๆ จะเจอตึก Marina Bay Sand แบบนี้
- ให้หันไปทางซ้ายมือ แล้วข้ามสี่แยกไฟแดง
- พอข้ามแยกไฟแดงไปก็เดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆ
- พอไปถึงก็เดินไปซื้อตั๋วเพื่อขึ้นไปยังชิงช้าสวรรค์ด้านบน ตั๋วผู้ใหญ่ราคา 33 SGD (ด้วยความที่เรารีบ เราเลยไปได้ไปซื้อตั๋วที่บริษัทเอเจนซี่ตามที่หลายๆคนแนะนำไว้ เราเลยเลือกเอาความสะดวกแทน)
- พอได้ตั๋วก็เดินขึ้นไปยังชั้น 2 เพื่อนเข้าสู่ตัวชิงช้าสวรรค์กันเลย
- ถ้าอยากชมวิวสิงคโปร์แบบ 360 องศา ต้องขึ้นช่วงกลางวัน แต่ถ้าอยากได้ความโรแมนติก ชมแสงไฟของตึก อาคารต่างๆ ต้องขึ้นช่วงหัวค่ำนะจ๊ะ
- การขึ้นชิงช้าสวรรคื ใช้เวลารอบละ 30 นาที โดยชิงสวรรค์จะหมุนช้ามากกกกกกก เราแทบไม่รู้สึกเลยว่ากำลังหมุนอยู่ รู้สึกตัวอีกที อยู่บนยอดสูงสุดแล้วจ้า ขาสั่นนิดหน่อย!!!!!!!!
- พอลงมาจาก Singapore Flyer เรากับเพื่อนเดินย้อนกลับมายังริมอ่าวมาริน่าเบย์ แต่เนื่องจากว่าตำรวจเริ่มปิดถนน ก็ทำการต้อนบรรดาฝูงชน เดินเข้ายังริมอ่าว เนื่องจากมีงานคอนเสิร์ตฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
- ตอนเราเริ่มเดินเข้ายังบริเวณสะพาน Helix Bridge คนเริ่มจับจองพื้นที่เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาล countdown กันเยอะมากกกกกกกก
- ตรงบริเวณอัฒจรรย์กลางน้ำที่เห็นไฟสีม่วงๆนั่น กำลังมีคอนเสิร์ตจากศิลปินของประเทศเขา เราไปยืนฟังอยู่สักพัก รู้สึกเมื่อยขาจึงชวนเพื่อนเดินออกมาบริเวณด้านนอก แต่ กว่าจะออกมาได้ ..... ยากมากกกกกกกกกก คนเยอะขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มมีการเบียดเสียดกัน จากอากาศดีดี กลายเป็นร้อนวูบวาบในพริบตา
- พอเรากับเพื่อนหาทางออกมานั่งตากลมบริเวณด้านนอกได้ เราก็นั่งคอยสักพัก ดูนาฬิกา ใกล้ได้เวลาเคาท์ดาวน์แล้ว จึงเดินลุกไปยังบริเวณใกล้ๆอัฒจรรย์ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็เริ่มไปจับจองพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ ที่สูงๆก็ถูกคนยึดไปก่อนแล้ว เรากับเพื่อนเลยต้องใช้วิธีชะเง้อแทน
- พอพิธีกรเริ่มนับ 5-4-3-2-1 : Happy New Year มหกรรมพลุก็มาเลยจ้าาาาาาา
- กว่าที่พลุจะหมดเซต ใช้เวลารมควันไปประมาณครึ่งชั่วโมงได้ กลายเป็นหมูรมควันกันเลยทีเดียว
1 มกราคม 2560
- หลังจากที่เมื่อคืนกลับจากเคาท์ดาวน์ดึก ทำให้เช้านี้ตื่นขึ้นมาตอนประมาณแปดโมงครึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วที่เราแพลนไว้ว่า เช้านี้จะตื่นสัก 6 โมงครึ่ง ......
- ขอเล่าประสบการณ์การนอนห้องรวมแบบแคปซูลให้ฟังก่อนละกัน // เรียกว่านี่คือครั้งแรก ที่เราเลือกที่พักแบบแคปซูล และพักแบบรวม จริงๆเราเป็นคนหลับยาก และถ้ามีเสียงอะไรนิดๆหน่อยก็ตื่นละ เพราะเป็นคนขี้กลัว!!!! แต่ที่นี่จากการนอนหลับคืนแรก คือหลับสบายมาก ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ไม่รู้เพราะเหนื่อยด้วยหรือเปล่า ทั้งคืนมีรู้สึกตัวครั้งเดียวคือเข่าไปกระแทกผนังด้านข้าง ละก็มารู้สึกตัวอีกทีตอนแปดครึ่ง เพราะมีคนปิดประตูเสียงดัง จริงๆที่นี่เขามีที่อุดหูไว้ให้ด้วยนะ แต่เราไม่ได้ใช้ แต่เราจะลำบากตรงที่ต้องปีนขึ้น ปีนลง เนื่องจากเราได้แคปซูลชั้นบน (ตอนปีนขึ้นกลัวก้าวพลาดขั้น ตอนก้าวลงก็กลัวกลิ้งตกลงมา)
- หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เราก็ลงมาทานอาหารเช้าบริเวณด้านล่าง อาหารเช้าที่นี่จะเป็นแบ Breakfast มี Scramble egg + ไส้กรอก + ขนมปังปิ้ง + น้ำส้ม + ชา กาแฟ ดื่มได้ไม่อั้น
- หลังจากทานอาหารเสร็จ เราก็จะออกเดินทางกันต่อ วันนี้เราแพลนว่าจะไป USS และเดินทัวร์เกาะเซ็นโตซ่า
- ภาพถ่ายบริเวณด้านหน้าที่พัก
Universal Studio
- วิธีเดินทาง : นั่งรถไฟ MRT สายสีม่วง เลือกขึ้นฝั่ง To HabourFront (6) ไปลงที่สถานี HabourFront พอออกจากตัวสถานีเดินตามป้ายไปยังห้าง Vivo City จากนั้นเดินขึ้นไปยังชั้น 3 จะเจอทางขึ้นรถไฟฟ้า monorail เพื่อข้ามไปยังเกาะเซ็นโตซ่า
- เมื่อมาถึงตัวเกาะเซ็นโตซ่า ก็ลงที่สถานี WaterFront
- จากนั้นก็จะเจอป้ายที่บอกทางเพื่อเดินไปยัง USS เดินไปตามป้ายเรื่อยๆ ก็จะเจอสัญลักษณ์รูปโลก Universal แบบนี้เลย
- จากนั้นก็เดินไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าด้านในกัน เราซื้อตั๋วในราคา 72 SGD เนื่องจากเป็นช่วง Peak Day (เราใช้ความสะดวกตัวเอง แต่ไม่สบายกระเป๋าสตางค์ เช่นเคย)
- พอเข้ามาด้านใน เราก็เจอโซน Hollywood : ซึ่งเขาก็จำลองสถานที่ ประหนึ่งว่าเรากำลังเดินลั้ลล้าอยู่บนถนนฮอลลีวูด โซนนี้จะมีการแสดงโชว์ต่างๆ และสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก จากภาพยนต์และการ์ตูนจาก USS
-
- เดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะเจอกับโซน New York City : โซนนี้จำลองอาคารต่างๆ เหมือนเรากำลังเดินเที่ยวอยู่ใน New York City
-
- เราต่อแถวเข้าเล่นเครื่อง Transformers The Ride จำได้ว่าใช้เวลาต่อคิวรอนานเป็นชั่วโมง แต่ถือว่าเป็นเครื่องเล่นที่ชอบมากที่สุด ในบรรดาเครื่องเล่นที่เล่นมา พอเล่นเครื่องเล่นเสร็จ เราก็จะเดินมาตามทางออก ก็จะมาโผล่บริเวณร้านชขายของที่ระลึก ซึ่งเต็มไปด้วยธีม Transformers
-
- พอเล่น Transformers the Ride เสร็จ ... เดินออกมาฝนตก!!!!! เรากับเพื่อนเลยเดินเข้า food court เพื่อทานมื้อกลางวัน อาหารบริเวณด้านในราคาค่อนข้างสูงงงงงงงงงงง
- ช่วงที่ฝนตกปรอยๆนั้น เราเห็นแต่ละคนเขาก็ยังเดินชิวๆ และเล่นเครื่องเล่นกันแบบปกติมาก
-
- ทีนี้พอหันไปทางขวามือ เห็นเครื่องเล่นอันหนึ่ง สีเหลืองๆ ลักษณะคล้ายๆถ้วย ให้เราไปนั่งละมันก็หมุนๆ เราก็บอกกับเพื่อนว่า เออ...มันดูเป็นเครื่องเล่นโง่ๆดีนะ ลองเล่นดูมั๊ย???? นางก็ตอบว่า เยส!!!!!!! สรุปไปนั่ง -- มันไม่โง่นะจ๊ะ มันเป็นเครื่องเล่นแบบแรกๆหมุนช้าๆ หลังจากนั้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ พอเล่นเสร็จ เดินลงมาเครื่องเล่น ก็มีอาการวิ้งๆ อึนๆ อยู่เหมือนกัน
- พอเล่นไอ้เจ้าเครื่องเล่นเหลืองๆอันนี้เสร็จ ก็พยายามเดินเข้าไปด้านในต่อ ตอนนั้นมองข้ามรถไฟเหาะรางคู่ไปเลย เนื่องจากจากฝนตกปรอยๆด้วย และดูแล้วท่าทางดูหวาดเสียวด้วย เลยขอไปเล่นอย่างอื่นทำใจพลางๆ
- ก็ไปเจอโซน Ancient Egypt : โซนนี้ก็จำลองเหมือนเรากำลังเดินอยู่ท่ามกลางเมืองอียิปต์
- พอหันกลับมาก็จะเจอกับรูปปั้นสฟริ้ง สูงๆ สองตัว ซึ่งด้านในนั้นเป็นเครื่องเล่น Revenge of the mummy
- ก่อนจะเล่นเครื่องเล่นอันนี้ ต้องนำกระเป๋าไปใส่ใน Locker ก่อนนะ เพราะเครื่องเล่นตัวนี้ แรงมากกกกกกกกกกกก แต่ก็อย่าลืมนำเงินหรือบัตร EZLink ติดตัวใส่กระเป๋ากางเกงมาด้วย เพราะล็อคเกอร์นี้เขาให้ใช้ฟรีแค่ 45 นาทีเท่านั้น ถ้าเกินจากนี้เสีย 4 SGD (เชื่อเถอะว่ายังไงมันก็เสียเงิน เพราะแค่รอคิวก็เกิน 45 นาทีแล้ว ^_^!)
- ด้วยความซื่อบื้อ.....เราก็เอากระเป๋าเงินใส่ลงในกระเป๋าสะพายกะเพื่อน ละก็เดินตัวเปล่า เข้าไปเล่นเครื่องเล่นด้วยความที่คิดว่า เฮ้ย----- มันคงไม่ถึง 45 นาทีหรอกเนอะ .... ที่ไหนได้พอเล่นออกมาปาเข้าไปชั่วโมงกว่า /// อ้าววววว ทำไงละทีนี้???? เราหันไปเห็นนักท่องเที่ยวเขากำลังต่อคิวจะใช้บริการล็อคเกอร์เลยขอยืมเงินเขา 4 เหรียญ พอเปิดล็อคเกอร์ได้ก็จ่ายคืนเขาไป -- หลายคนคิดว่าทำไมเราซื่อบื้อจังใช่มั๊ยล่ะ?!?!?!?!? ไม่ใช่เราคนเดียวจ้า.....มีนักท่องเที่ยวอีกสองคน เขาก็เป็นเหมือนเรา พอเราเปิดล็อคเกอร์หยิบกระเป๋าออกมาได้ เขาก็ยืมเราเช่นกันจ้า **เขาเรียกถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเนอะ**
- ไปเที่ยวต่างแดน อย่ามัวแต่อาย อยากได้ความช่วยเหลือก็ต้องเอ่ยปากขอความช่วยเหลือก่อนนะจ๊ะ ^_^!!!!
- อ่อ...ลืมเลย พอออกมาจากเครื่องเล่นอันนี้ เจอฝนตกอย่างหนักเลย!!!!!! ก็เลยต้องแวะร้านขายของที่ระลึก เพื่อซื้อเสื้อกันฝน ตัวละ 4 SGD โอ้วววววว เสื้อกันฝนพลาสติกใสใส ตัวละ 100 บาท!!!!!!
- พอฝนเริ่มซานิดๆ เราก็เลยปรึกษากะเพื่อนว่า ไปหาเครื่องเล่นอื่นเล่นกันเถอะ -- ก็ไปเจอโซน Lost World : จำลองโลกสมัยยุคที่มีไดโนเสาร์ เราเลยเลือกเล่นเครื่องเล่นที่มันคล้ายๆแกรนด์แคนยอน อันนี้รอคิวไม่นานประมาณ 15 นาทีได้ แต่....พอถึงคิวเราเล่น ฝนเทลงมาเลยจ้า ก็เลยเล่นแบบเลยตามเลยไป ไหนๆก็ต้องเปียกอยู่แล้ว
- เครื่องเล่น Rapids Adventure อันนี้ประมาณแบบให้เรานั่งเรือยาง ล่องไปเรื่อยๆ แล้วก็จะมีไดโนเสาร์อยู่ประตำแหน่ง ขนาบ 2 ข้างทาง ละก็มีเสียงอธิบายแนะนำไดโนเสาร์แต่ละตัวเป็นภาษาอังกฤษ พอล่องไปเรื่อยๆก็จะเข้าสู่โซน Dangerous มันก็จะแบบมืดๆ มีไซเรนเตือนตลอดทาง จากนั้นก็ปล่อยเราออกสู่ปากทาง (ตอนนี้แหละสุ่มว่าฝั่งไหนเปียกเยอะสุด)
- พอเล่นเจ้าเครื่อง Rapids Adventure เสร็จ.....ฝนตกเทกระหน่ำลงมา ต้องวิ่งไปหาที่หลบ ละคือหายากมาก เพราะถูกจับจองด้วยฝูงมหาชนไปหมดแล้ว ก็เลยต้องยอมวิ่งๆผ่าฝนไปยังอีกโซน ก็คือ Far Far Away : แตไม่ได้เข้าไปในปราสาท เพราะฝนตกหนักมาก มายืนหลบอยู่บริเวณหน้าฟู้ดคอร์ท
- หลังจากยืนหลับฝนได้ประมาณ 10 นาที และยังไม่เห็นทีท่าว่ามันจะหยุด เลยตัดสินใจว่ากลับดีกว่า!!!!! สู้ฝนไม่ไหว ยิ่งเดินฝนยิ่งตก และตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยต้องยุติแพลนการเดินลัดเลาะชมเกาะเซ็นโตซ่า
- เราใช้เวลาในการรอ monorail ประมาณหนึ่งชั่วโมงครี่ง รอจนแทบจะลงไปนั่งกับพื้น เนื่องจากวันนั้นคนมาเที่ยว USS ล้นหลามมาก พอฝนกระหน่ำลงมาแบบนี้ ทำให้แต่ละคนรีบเดินทางกลับเข้าตัวเมืองสิงคโปร์ ก็ทำให้แถวรอคิวเพื่อขึ้นรถไฟฟ้ายาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก (ด้วยความที่ประเทศนี้เขาเป็นประเทศที่จัดระเบียบทางสังคมดีมาก ทำให้เวลาที่คุณจะใช้บริการรถไฟฟ้า จะไปแย่งๆลัดคิว เพื่อให้ตัวเองไวขึ้นไม่ได้นะจ๊ะ เขาจะมีเจ้าหน้าที่ช่วยในการจัดแถว จัดคิว แบ่งจำนวนประชากรเพื่อใช้บริการรถไฟฟ้าแต่ละรอบอย่างเหมาะสม ประมาณว่ายังไงก็ถึงที่หมายกันทุกคน แต่ก็ต้องมีระเบียบวินัยด้วย ประมาณนี้)
- พอกลับมาถึง Chinatown เห็นฝนหยุดตกแล้วก็รู้สึกดีใจมาก เลยแวะ 7-11 เพื่อซื้อของกิน พอออกมาจาก 7-11 เท่านั้น ฝนตกลงมาอีกแล้ว!!!!!!
- เรียกว่า วันนี้ชุ่มฉ่ำ ต้อนรับต้อนปีไก่กันเลยทีเดียว!!!!!!! (ได้หมดถ้าสดชื่น.....แต่เจอแบบนี้ก็ไม่สดชื่นนะจ๊ะ กลัวป่วย!!!!)
2 มกราคม 2560
- วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่เที่ยวที่สิงคโปร์ แต่ว่าเราจองไฟล์ทกลับไทยช่วง 1 ทุ่ม (ตามเวลาสิงคโปร์) ดังนั้น เราจึงมีเวลาเดินเล่นต่ออีกหลายชั่วโมงก่อนจะไปสนามบิน
- เช้านี้ เราลงมาทานอาหารเช้า และจัดการทำเรื่อง Check-out ออกจากที่พักเลยทีเดียว (ที่นี่เช็คเอ้าท์ไม่เกิน 11 น. แต่สามารถฝากกระเป่าไว้ที่ที่พักได้ บริเวณด้านล่างของอาคาร ไม่ต้องกลัวกระเป๋าหายนะ แค่ล็อคกระเป๋าให้ดีเท่านั้นพอ ก็สามารถไปเดินเล่นชิวชิวได้เลย)
- หลังจากเช็คเอาท์เสร็จ เราไปยังสถานที่แรกของวันนี้เลยคือ วัดพระเขี้ยวแก้ว หรือ Buddha Tooth Relic Temple ซึ่งถ้าออกมายืนหน้าที่พักเรา หันหน้าออกถนน แล้วมองไปทางซ้ายมือจะเจอวัดพระเขี้ยวแก้วเลย
- ซึ่งบริเวณชั้นนสุดของวัดนี้ได้เป็นสถานที่พระบรมสารีริกธาตุ พระเขี้ยวแก้ว หรือพระทนต์ ของพระพุทธเจ้าไว้
- บริเวณก่อนจะเข้าไปในด้านใน ก็จะมีที่ให้จุดธูปไว้สักการะ องค์เทพที่ประดิษฐานด้านบริเวณโถงใหญ่
- พอเดินเข้ามาบริเวณด้านในโถง ก็จะเจอกับบูธที่จำหน่ายเชิงเทียน ตกแกต่งด้วยดอกไม้ เพื่อบูชาสักการะ ฝากดวงไว้ พอดีปีนี้เป็นปีชงของเราพอดี เราก็เลยซื้อเชิงเทียนตกแต่งดอกไม้ ราคา 20 SGD สักการะ บูชา และฝากดวงชะตาไว้ทีเดียวเลย
- จริงๆเชิงเทียนมี 2 ราคา ถ้าเป็นเชิงเทียนถ้วยเล็กไม่มีตกแต่ง ราคา 5 SGD แต่ถ้าตกแต่งดอกไม้และมีกระดาษแดงให้เขียนชื่อ วันเดือน ปีเกิด ราคา 20 SGD
- จากนั้นเราก็เดินวนไปทางขวา เพื่อเข้าไปดูบริเวณด้านในต่อไป
- บริเวณกำแพงทางเดินด้านใน ถูกตกแต่งไปด้วยพระพุทธรูปปางต่างจำนวนมาก
- บริเวณด้านหลังจะเป็นที่ประดิษฐาน เจ้าแม่กวนอิม
- พอเดินวนกลับมายังบริเวณประตูด้านหน้าแล้ว เราจะขึ้นไปสักการะ องค์พระเขี้ยวแก้ว ที่ประดิษฐานอยู่บริเวณชั้น 4 (แต่ทางวัดห้ามถ่ายภาพบริเวณด้านในองค์พระเชี้ยวแก้ว เราจึงอดภาพชั้นนั้นไป)
- จากนั้น เราก็เดินขึ้นบันไดไปยังบริเวณดาดฟ้าด้านบน ซึ่งตกแต่งไปด้วยสวนดอกไม้ และมีศาลาซึ่งมีระฆังใบใหญ่อยู่บริเวณด้านใน
- จากนั้นเราก็ออกจากบริเวณวัด และเดินทางไปยังสถานที่ต่อไปก็คือ Merlion Park
Merlion Park
- วิธีเดินทาง : รถไฟฟ้า MRT สายสีเขียว ลงสถานี Raffles Place เดินตามป้ายทางออก Fullerton พออกมาก็เดินไปทางขวามือ จะเจอแม่น้ำสิงคโปร์จากนั้นก็เดินเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ
- Cavenagh Bridge
- รูปปั้นเด็กกระโดดน้ำที่เลื่องลือ
- ระหว่างทางก็จะเดินผ่านห้องอาหารโรงแรม Fullerton
- พอเดินไปเรื่อยๆ ก็จะขึ้นไปบริเวณด้านบนถนน จะเจอสี่แยก ก้ให้รอสัญญาณไฟ จากนั้นก้เดินข้ามถนนลอดลงใต้สะพาน
- จากนั้นก้เดินลอดใต้สะพานไปทางขวามือ ก็จะเจอรูปปั้น Merlion ตัวเล็ก
- บริเวณด้านหลังเจ้าตัวเล็กนี้ ก็จะเจอเจ้าตัวใหญ่และตึกมาริน่าเบย์ แซนด์
- ระหว่างกำลังเดินถ่ายรูปอยู่ ฝนก็เริ่มตกปรอยๆ เราก้เลยตัดสินใจเดินทางกลับที่พักเพื่อไปเอากระเป๋าดีกว่า
- สี่แยกถนนที่จะข้ามมา Merlion Park ระหว่างทางเดินกลับปยังสถานีรถไฟฟ้า Raffles Place
- พอไปถึงที่ที่พักเพื่อเอากระเป๋า ก็มีฝนปรอยๆ เราเลยนั่งกินขนมในที่พักประมาณชั่วโมงหนึ่ง ก็ลากกระเป๋าไปสนามบิน
- เรากลับสายการบิน Jetstar 3K521 รอบ 19.10 น. ซึ่งเราต้องไปเช็คอินที่ Terminal 1
- ที่เาคท์เตอร์ของสายการบินจะมีตู้อัตโนมัติ ให้เราทำการเช็คอินโดยแสกนพาสปอร์ต และออกแถบบาร์โค้ดสำหรับโหลดกระเป๋าลากเอง
- พอโหลดกระเป๋าเสร็จ ก็ไปทำเรื่องขาออกนอกประเทศ (ต้องยอมรับว่าสนามบินนี้ มีระบบการจัดการที่ไวมาก)
- ทำเรื่องออกนอกประเทศเสร็จเราก็ไปเดินเล่น Duty Free และก็แวะ Subway เพื่อทานมื้อเย็น
- จากนั้นก็เดินไปยังเกทที่จะขึ้นเครื่อง (อย่าใช้คำว่าเดิน ใช้คำว่าวิ่งดีกว่า เพราะเกท C24 อยู่ไกลมากกกกกกกกก กลัวไปไม่ทัน Boarding Time เลยต้องเดินเร็ว เร็วมากด้วย)
- เข้าเกทไปประมาณ 10 นาที เจ้าหน้าที่ก็เรียกขึ้นเครื่อง โดยเรียกแบบครอบครัวขึ้นเครื่องก่อน จากนั้นก็ตามด้วยแถวจากด้านหลังไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ
- แปบเดียวเครื่องก็เริ่ม take-off วันนั้นสภาะอากาศไม่ค่อยดี กว่าที่กัปตันจะปิดสัญญาณไฟที่ให้นั่งกับที่ ประมาณครึ่งชั่วโมงได้ เรานี่นั่งเกร็งเลย
แต่สุดท้ายเราก็กลับมาถึงกรุงเทพฯโดยสวัสดิภาพ ^_^
- สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้
ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ 6,777 บาท
ค่าที่พัก 3 วัน 2 คืน 2,700 บาท
ค่าใช้จ่ายระหว่างทริป (รวมค่าเข้า Singapore Flyer+USS+ค่ากิน+ค่าใช้จ่ายจิปาถะ+เงินช้อปปิ้ง) 7,400 บาท
wywayoon
วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.18 น.