ต้องบอกก่อนว่าทริปนี้ผ่านมาเป็นเวลา 1 เดือนเต็มแล้ว แต่เนื่องด้วยเราค่อนข้างยุ่ง เพิ่งจะมีเวลามาปั่นรีวิว

ถ้าใครที่เคยติดตามรีวิวเรา จะสังเกตุเห็นว่า "สิงคโปร์" เป็นประเทศที่เราเพิ่งเขียนรีวิวไปเมื่อตอนทริปปีใหม่ที่ผ่านมาเองนี่!!!

ใช่แล้วค่ะซิสสสสสส....แต่นั่นมันตอนปีใหม่ -- แต่นี่มันวันหยุดสงกรานต์!!!! คนละเทศกาลกันค้่ะซิส!!!!!

จุดเริ่มต้นของทริปนี้คือ....หลังจากไปสิงคโปร์มาเมื่อตอนปีใหม่ ละเจอกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำ ทำให้ไปไม่ถึงไหน กลับมาเมืองไทยก็เกิดอารมณ์ค้าง แบบเคยเป็นไหม ไปเที่ยวที่ไหนละมันไม่สุดอ่ะ??? นั่นแหละ....จึงเกิดทริปนี้ขึ้นมาอีกครั้ง!!!

รอบนี้มีเพื่อนร่วมเดินทางเพิ่มมาอีก 4 ชีวิต // และเราก็ทำหน้าที่เป็นไกด์โดยปริยาย!!!!! เกริ่นมาเยอะละ งั้นไปเข้ารายละเอียดทริปกันเลยดีกว่าเนอะ เดี๋ยวจะปิดหน้าต่างหนีเราไปซะหมด ^_^!!!

12 เมษายน 2560

  • เริ่มต้นทริปนี้ด้วยการไปขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมือง โดยสายการบิน Thai Lion Air เที่ยวบินที่ SL100 เส้นทาง DMK To SIN เครื่องออกเวลา 07.40 น. ตามเวลาประเทศไทย



  • จากนั้นนั่งเม้าท์มอยกันไปประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที (หลายคนสงสัย คนอะไรนั่งเม้าท์กันตั้ง 2 ชั่วโมงกว่า ก็คนอย่างเรานี่แหละค่ะ ^_^!) เครื่องบินก็ทะยานก็เข้าสู่ประเทศสิงคโปร์ ตอนเวลา 11.20 น.(ตามเวลาท้องถิ่นประเทศสิงคโปร์)



  • เมื่อถึงสนามบิน Changi Airport สายการบิน Thai Lion Air จะจอดที่ Terminal 3 นะจ๊ะ!!!! พอเดินงวงช้างออกมาก็เดินไปทางซ้ายมือ ตรงไปเรื่อยๆ ก็จะมาโผล่บริเวณด้านหน้า Immigration เราก็เดินลงบันไดเลื่อน และต่อแถวเพื่อเข้าคิวรอตรวจคนเข้าเมืองได้เลย






  • พอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย เราก็จะไปรับกระเป๋าเดินทางกันที่สายพาน



  • ขอเล่าอีกนิด ด้วยความที่ปริปนี้มีกันทั้งหมด 5 ชีวิต แต่อีก 1 ชีวิต จะตามมาสมทบที่สนามบิน ซึ่งไฟล์ทบินของเพื่อนอีกคนจะมาถึงประมาณ 1.20 pm ตามเวลาท้องถิ่น เรากับเพื่อนร่วมทางอีก 3 ชีวิตจึงย้ายมาประจำการยัง Terminal 1 และหาอะไรทานระหว่างรอ
  • จริงๆแล้วร้านอาหารภายในสนามบินราคาไม่ได้ต่างจากร้านบริเวณข้างนอกเท่าไหร่ เพียงแต่ถ้าเทียบกับร้านที่พวกเราตัดสินใจกินแล้ว ราคาถูกกว่า 2 เท่าเลยทีเดียว
  • ซึ่งร้านนี้ชื่อว่าร้าน kaffe&toast ส่วนใหญ่จะเห็นขายเป็นพวกเส้นๆ แต่เมนูที่เราเลือกคือ "ข้าวต้มไก่อบ" ขอบอกว่ามันจืดมากค่าาาาาา เมนูนี้ราคาอยู่ที่ 5$




  • ส่วนน้ำเปล่า เป็น Mineral Water ราคาอยู่ที่ขวดละ 2$



  • น้ำเปล่าที่สิงคโปร์ขึ้นชื่อว่าแพง เนื่องจากประเทศเขาไม่ได้ผลิตน้ำเอง ดังนั้นวิธีแนะนำคือ ลงทุนซื้อน้ำเปล่า 1 ขวด จากนั้นเก็บขวดไว้ แล้วเอาขวดเปล่าไปเติมน้ำ (ในที่พักแต่ละที่ส่วนใหญ่จะมีน้ำเปล่าให้กรอกฟรี ในจุดท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะมีก๊อกน้ำดื่มได้นะ แต่รสชาติมันจะกร่อยๆหน่อย)
  • ใครหาพิกัดร้าน ไม่ยาก....ร้านอยู่ข้างหน้าเคาท์เตอร์ check-in Row A (จำไม่ได้ว่าของสายการบินอะไร)


  • ระหว่างรอเพื่อน เรา 4 คนก็ไปหามุมนั่งรอเพื่อนบริเวณทางออกจาก ตม. ที่ T1
  • ตัดภาพมาที่เพื่อนอีกคนมาถึงสนามบิน และเราทั้ง 5 ก็เริ่มเดินทางกันอีกครั้ง ทีนี้เมื่อประชากรครบ เราต้องเดินทางเข้าเมืองกันแล้ว
  • เราจองที่พักไว้บริเวณย่าน Chinatown (ย่านเดิม แต่ที่พักไม่ใช่ที่เดิม) ดังนั้นเราต้องนั่ง MRT เพื่อไปยังที่พัก


  • เริ่มต้นด้วยนั่ง Skytrain ไปยัง T2



  • จากนั้นเดินตามป้ายที่เขียนว่า Train To City เราก็จะเจอบันไดเลื่อนลงไปตามภาพ (ก็เดินลงบันไดเลื่อนไปเรื่อยๆได้เลย)



  • ถ้าเดินตามภาพแล้ว ลงบันไดเลื่อนไป ก็ให้เดินไปทางซ้ายมือ และลงบันไดเลื่อนอีกทีก็จะถึงชั้นใต้ดิน และเราก็เจอจุดบริการ Ticket Information ก็ทำการซื้อบัตร EZ-Link กันได้เลย // สำหรับเรา เราใช้บัตรใบเดิมแต่มีการเติมเงินเพิ่มเข้าไปอีก 10$ แต่สำหรับเพื่อนอีก 4 คนทำการซื้อบัตรใบใหม่ โดยค่าบัตรโดยสาร 5$+เงินในบัตรอีก 7$ ทั้งหมดที่ต้องจ่ายคือ 12$ (บัตรนี้มีอายุ 5 ปี)
  • จากนั้นเรามายืนรอนถไฟฟ้าเพื่อเข้าเมืองกันดีกว่า
  • เราต้องนั่งสายสีเขียวจาก Changi Airport เลือกปลายทาง Joo Koon(2) และนั่งไปยัง สถานี Tanah Merah และทำการเปลี่ยนขบวนมายังฝั่งตรงข้าม



  • เมื่อมาถึง Tanah Merah เราก็จะออกจากตัวขบวนรถไฟ เดินมายังชานชลาตรงข้าม เพื่อรอรถไฟเข้าเมือง เราจะเลือกลงสถานี Outram Park (นั่งไปประมาณ 12 สถานี) จากนั้นเปลี่ยนเป็นสายสีม่วง เลือกขึ้นฝั่ง Punggol (7) และลงสถานี Chinatown



  • เมื่อมาถึงสถานี Chinatown แล้ว เราเดินออกทาง Exit A Pagoda Street



  • เดินขึ้นบันไดเลื่อนมาก็จะเจอถนน Pagoda Street แบบนี้



  • เราจองที่พักที่ 5footway.inn Project Chinatown 2 ผ่านทางเว็บไซต์ของทาง agoda ที่พักที่นี่หาไม่ยากเลย เมื่อออกมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินทาง Pagoda Street จากนั้นเดินตรงไปเรื่อยๆจนสุดถนน เราจะเจอวัดศรีมาริอัมมันต์ อยู่ทางขวามือ ให้มองไปข้างหน้าคือฝั่งตรงข้าม จะเจอที่พักอยู่ปากทางเข้าซอยฝั่งตรงข้ามเลยค่ะ
  • จากนั้นเราก็เดินเข้าไปทำการ check in ที่เคาท์เตอร์ เราเลือกแบบมาจ่ายเงินที่ที่พัก ดังนั้นเงินที่เราจ่ายจะเป็นค่าเงินดอลล่าห์สิงคโปร์ ที่นี่เขาจะให้เราจ่ายค่ามัดจำ Keycard ก่อนจำนวน 20$ / ห้อง แต่เมื่อมา Check out ออกจะได้เงินตรงนี้คืนค่ะ
  • เมื่อทำการ Check in จ่ายเงิน รับ Keycard เสร็จเรียบร้อย เราจะลากกระเป๋าเดินทางมายังซอยด้านข้างที่พัก เพื่อที่เราจะได้เข้าไปยังห้องพักกัน
  • ส่วนนี่คือลักษณะภายนอกของที่พัก อ่อ ลืมบอกไป ทางเข้าไปยังห้องพักของเราคือประตูที่มีสติ๊กเกอร์รูปบันไดแปะไว้นั่นเอง ต้อง Keycard แตะ ก็จะสามารถเข้าไปข้างในได้




  • ส่วนห้องกระจกข้างนั้นเป็นเหมือน canteen ค่ะ เรียกง่ายว่าเหมือนเป็นที่สำหรับนั่งทานอาหารเช้า อาหารว่าง ดื่มน้ำ ดื่มกาแฟ หรือจะนั่งโง่ๆพักเหนื่อยก็ได้นะ





  • อ่อ ลืมบอกอีกละว่า อาหารเช้าที่นี่ มีขนมปังปิ้ง , cereal , ชา , กาแฟ , ผลไม้ ส่วนใครอยากทานอะไรเพิ่มเติมก็สามารถตุนไปได้จากเมืองไทย หรือจะไปแวะ 7-11 ที่สิงคโปร์ก็ได้ (เราพกโจ๊กไป 2 กระป๋อง ส่วนเพื่อนพกมาม่าคัพไปครึ่งโหลได้ // มีประชากรหลายคน ^_^!!)
  • ส่วนนี่คือบรรยากาศภายในตึก จริงๆที่นี่มีที่พักแบบทั้งเป็นห้องรวมและห้องส่วนตัว แต่ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม แยกชาย-หญิง ห้องพักที่เราจองเป็นแบบห้องเดี่ยว เตียงคู่ ลักษณะเตียงจะเป็นแบบทำยึดติดกับผนังยกสูงเหนือศรีษะ เวลาจะขึ้นไปนอนก็ต้องปีนบันไดลิงขึ้นไป ส่วนบริเวณพื้นที่ว่างใต้เตียงยกสูง จะเป็นพื้นที่นั่งเล่น นอนเล่น สามารถวางกระเป๋าเดินทางได้หลายใบ มี Sofa Bed ให้ 1 ตัว มีกระจกบานใหญ่ติดผนัง มีโคมไฟเพื่อช่วยเพิ่มแสงสว่าง มีที่แขวนเสื้อผ้าติดผนังให้ (น่าเสียดาย เราลืมถ่ายภาพบริเวณในห้องพักมาให้ดู)



  • หลังจากที่เรากับเพื่อนถึงห้องพักก็ทำการเปิดกระเป๋า เปลี่ยนกางเกง นั่งโง่ๆอยู่แปบนึง ดูนาฬิกา อ้าวเฮ้ย!!!!!! มันห้าโมงครแล้ว เราเลยรีบไปเคาะห้องหนุ่มๆ เพราะเราจะไปซื้อตั๋วสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆกัน หลังจากนั้นก็จะไปหาอะไรกิน ละก็ไปเดินเที่ยวตามแพลนที่เขียนไว้





  • ระหว่างที่จะเดินไปยังรถไฟฟ้านั้นก็แวะ แวะ แวะ แต่ไม่ได้ซื้อนะ แวะดูไปเรื่อยเปื่อย รู้สึกว่าเฮ้ยหิวว่ะ แต่ไม่ได้อยากจากหลัก อยากกินอะไรกรุบกริบ ก็มาเจอร้านขายของทอด Old Cjang Kee ซึ่งติดใจจากครั้งที่แล้วที่มาเที่ยว เลยแวะซื้อ Otong Wings(หนวดปลาหมึกทอด) ไป 1 ไม้ราคา 1.70$ (รู้สึกมีพลัง ... เว่อมากกกก)
  • จุดมุ่งหมายต่อไปคือ SEA WHEEL TRAVEL ณ ห้าง People's Park Center การเดินทางคือข้ามถนนเดินทะลุไปยัง Pagoda Street เช่นเคย จากนั้นก็เดินลงไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เดินเลยไปยัง Exit D ขึ้นบันไดเลื่อนมาจะสามารถเดินเข้าห้างได้เลย (จำให้ขึ้นใจว่า People's Park Center นะ เพราะมันมีอีกห้างอยู่ฝั่งตรงข้ามกันชื่อ People's Park เราหลงไปมาแล้ว)



  • พอไปถึง SEA WHEEL TRAVEL เราซื้อแค่ตั๋วเข้า Universal Studio ราคา 62$ และ Garden by the Bay ราคา 18$
  • หลังได้ตั๋วเรียบร้อย เราก็มองลงไปเห็นเต้นท์สีเขียวๆประมาณว่า เฮ้ยมันขายอาหารนะ ราคามันจะแพงมั๊ยน๊า???? พอเดินลงไปยังชั้นนั้น ก็มีคนตาดีไปเห็นว่า เฮ้ยๆ มันมันมี Food Court ว่ะแก!!!! เออ... งั้นไปเดิน survey กันหน่อยละกันว่าจะกินอะไรดี
  • พอลองเดินสำรวจดู ตัดสินใจฝากท้องไว้กับมื้อเย็นที่นี่ละกัน ราคาอาหารในนี้ไม่แพงเท่าไหร่ จานหนึ่งก็ตกอยู่ขั้นต้ำที่ประมาณ 3-4$ ถือว่าเป็นราคาที่พอรับได้และให้เยอะด้วย ส่วนรสชาติอาหาร....ก็รู้ๆกันอยู่ว่าอาหารจีนรสชาตเป็นยังไง!!!





  • จากสุดท้ายนี่ของเราเลย มันคือผัดหมี่ซี่ฟู้ด /// ส่วนซอสแดงๆนั่นคือน้ำซอสเผ็ดๆ ใช้แทนพริกป่น จากนี้อยู่ที่ 4.3$


  • พอทานมื้อเย็นกันจนอิ่ม เราก็จะเดินทางไปยังสถานที่ต่อไปคือ Fountain of Wealth ที่ Suntec City นั่นเอง
  • เรานั่งรถไฟฟ้าสายสีม่วงเลือกขึ้นฝั่ง To Punggol(7) มาลงที่สถานี Dhoby Ghaut จากนั้นเราเปลี่ยนเป็นสายสีเหลือง เลือกขึ้นฝั่ง To Marina Bay(10) ลงสถานี Esplanade แล้วก็เดินตามป้ายเข้าไปยังตัว Suntec City




  • ถ้าเรายืนอยู่ตรงจุดที่เห็นทางเข้าห้าง Suntec City แบบนี้ หันหลังกลับมาเราก็จะเจอ Fountain of Wealth



  • จากนั้นเราก็มองหาทางเดินเพื่อจะลงไปยังเจ้าน้ำพุแห่งความมั่งนี้ แต่......เราลงไปในตึกแล้ว หายังไงก็หาทางออกไม่เจอ เราก็กะว่าจะไปเดินวนรอบน้ำพุ 3 รอบ เพื่อรับโชคลาภและความโชคดีติดตัวมาสักหน่อย!!! ทำได้แค่ยืนถ่ายรูปอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ



  • จากนั้นเราก็ตัดสินใจว่า เราจะรีบไปดูการแสดงแสงสี Wonder Full-Light & Water ที่ Marina Bay Sands
  • เรากับเพื่อนใช้วิธีเดินเท้าจาก Suntec City ไปยัง Marina Bay Sand จำไม่ได้ว่าเดินไปทางไหนแต่รู้ว่าตลอดทางเดิน เราได้เดินผ่านตึก Suntec City ทั้ง 5 ตึก ปกติคนเราจะเดินหลงในที่เปลี่ยว วกวนถูกมั้๊ย?? แต่เรา....พาเพื่อนหลงอยู่ริมทางเดินเท้าจ้า ช่าง amazing มาก!!!!! เราเลยลองเปิด GPS ในมือถือดู // โอ้วแม่เจ้า--แม่นาง GPS บอกทางเดินแบบซอกเล็ก ซอกน้อย บอกให้ข้ามถนนตรงบริเวณที่เป็น 4 เลน ไม่มีสะพานลอย ไม่มีทางม้าลาย ไม่มีเกาะกลางถนน อือหือ!! ท่องเที่ยวแบบ safe life สุดๆ



  • พอเดินเลาะทางซอยเล้กๆด้านข้างโรงแรมมาเรื่อยๆ ก็มองเห็นตึก Marina Bay Sand อยู่ไม่ไกล ในใจก็คิดว่า เฮ้ย!! นี่ไงใกล้ถึงแล้ว..... แต่แล้วเราก็ต้องข้ามถนนอีกแล้ว ทีนี้ลองมองหาคนอื่นดูบ้าง ถ้าเขาข้ามเราก็ค่อยข้ามตาม!!!





  • แต่ยังค่ะ นี่คิดว่าข้ามไปแล้วเดินไปทางซ้ายก็ถึง เปล่าเลย เดินมาทางขวามือ อ้อมประตูสถานี Esplanade อีกฝั่งตรงบริเวณด้านหน้าตึกไมโครโฟน





  • พอเดินรูปปั้นนี้มาแปบเดียว เจอแล้ว.....Marina Bay Sand แต่เดี๋ยว!!!! ผู้คนหายไปไหนหมดนี่มัน สองทุ่มครึ่งแล้วนะ



  • ทำไมไม่มีโชว์ Wonder Full-Light & Water แล้วอ่ะ??? เราก็อุตส่าห์ชวนเพื่อนมาดู เพราะครั้งที่แล้วเราก็ไม่ได้ดูเหมือนกัน เพราะติดงาน Count Down ก็นั่งพักอยู่แปบๆ คิดว่ามันคงไม่มีแล้วล่ะ งั้นเดี๋ยวค่อยมาดูวันศุกร์ก็ได้ ก็เลยนั่งเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ตอนสิ้นปีที่มา ไม่ได้สังเกตุไฟช่วงกลางคืนว่าจะสวยขนาดนี้ เพราะตอนนั้นเทศกาลคนเยอะมากมายมหาศาล พอวันนี้มาเห็นชัด แบบ โอ้โห ย่านการเงินของสิงคโปร์นี่แต่ละตึกตอนกลางวันดูธรรมดางั้นๆ แต่พอกลางคืนเปิดไฟรอบอ่าวแล้วสวยมาก เหมือนหลุดมาจากภาพถ่าย



  • ก็เดินตามสะพานนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะไปถึงบริเวณ Merlion Park



  • เดินถ่ายรูปเล่นอยู่สักพักก็ตัดสินใจ กลับที่พักเพื่อพักผ่อนดีกว่า เพราะพรุ่งนี้จะไป Universal Studio แต่เดี๋ยว....ระหว่างเดินกลับจะขึ้นไปบริเวณด้านบนถนน เราก็เจอกลุ่มเด็กวัยรุ่นของที่นี่ กำลังมุงลุ้นอะไรอยู่สักอย่าง -- อ๋อ!!! มันคือตู้ Ice-cream Machine




  • มองเผินๆมันก็เหมือนตู้คีบตุ๊กตาบ้านเรานั่นแหละ แต่มันดีกว่าตรงที่ หยอด 4$ คีบกี่ครั้งก็ได้จนกว่าจะได้ Ice-cream มา 1 อัน ถือว่าเป็นอันจบเกมส์
  • เราก็เลยลองบ้าง ..... ครั้งแรกเพื่อนลองคีบๆ 2-3 ทีก็ได้แบบโคนช็อกโกแลตมา 1 อัน ทีนี้ติดใจสิ--เฮ้ยมันง่ายดี งั้นลองอีกที หยอดลงไปอีก 4$ .... ผลปรากฎว่ารอบนี้ไม่ง่ายแล้ว เลยต้องเล่นไปเรื่อยๆ พอไม่ได้ก็ต้องลองใหม่ (เสียดายตังค์ตั้ง 100 บาทแน่ะ) จนมีพี่นักท่องเที่ยวไทย มาช่วยคีบ ก็ยังไม่ได้ จนมีแม่บ้านที่เป็นคนท้องถิ่นแถวนั้นมายืนดูยืนลุ้น ลุ้นแล้วลุ้นอีก เกือบชั่วโมง พออีก 1 อันมาพอ หยุด กลับ!!!!!



  • จริงๆแล้วสโลแกนที่ตู้นี้มันก็บอกอยู่นะว่า.... Play-til Get one (ซึ่งมันก็ไม่ได้ง่ายเลย....แต่อย่างน้อยมันก็ไม่เสียเงินฟรี!!!)



13 เมษายน 2560

ฟ้าใหม่แล้วละนะน้อง สงกรานต์เราร้องทำนองเพลงโทน โน่นไงจ๊ะโทนป๊ะโทนๆ ทั้งโยกทั้งโยนเย้ายวนยั่วใจ......!!!!!

  • วันนี้ทั้งวันจะไปผจญภัยกันที่ Universal Studio@Sentosa กันนะจ๊ะ รับรองว่ามีทั้ง โหด มันส์ ฮา แน่นอน
  • เริ่มแรกเราจะนั่งรถไฟฟ้าจาก Chinatown ไปยัง Harbour Front(9) จากนั้นก็เดินเข้าห้าง Vivo City เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นบนสุด เพื่อที่เราจะเปลี่ยนไปนั่ง Monorail เพื่อข้ามไปยังเกาะเซ็นโตซ่า





  • รถไฟ Monorail ใช้บัตร EZ-Link แตะจ่ายได้เลย ไป-กลับ 3$ เดินทางได้รอบเกาะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 นาทีได้ หรือใครจะนั่ง Cable Car 15$ (คิดว่าครั้งหน้าจะลองนั่งดู) หรือเดินเลียบฝั่งไปก็ได้นะ (ถ้ามีเวลา)







  • เมื่อมาถึง Sentosa เราเลือกลงที่สถานี Water Front




  • เดินตามทางมาเรื่อยจะเจอ Merlion หลากสี ให้เดินมาทางขวามือจะเจอ Universal Studio (หาง่ายมาก)



  • นี่ตอนแรกที่มาคิดว่าคนไม่เยอะเพราะมันเป็นเทศกาลสงกรานต์ของไทย ไม่ใช่ปีใหม่ของทั่วโลก ... ที่ไหนได้ -- หืม นี่คือฝูงชน อยากได้รูปลูกโลหเดี่ยวๆ สวยๆ หามุมไม่ได้เลย
  • กว่าที่เราจะเข้าไปด้านในได้ก็เตร็ดเตร่ถ่ายรูปด้านนอกกันอย่างเบิกบานสำราญใจ วันนี้ที่นี่อากาศอบอ้าว ท้องฟ้าไม่โปร่ง มีความรู้สึกว่าอาจจะเจอฝนซ้ำสองเหมือนครั้งที่แล้วก็เป็นได้ ... แต่สรุปคือ ฝนไม่ตก!!!!
  • เห็นมีซุ้มขายที่ยิงฟองสบู่ ละเห็นเด็กๆวิ่งเล่นกันสนุกสนาน วิญญาณเด็กก็เลยเข้าสิง ไปเดินวนถ่ายรูปอยู่ในวังวนบับเบิ้ลกะเด็กด้วย!!!! (มีความอยากได้ แต่ไม่อยากซื้อ มันแพง!!!! อันละประมาณ 200-250 บาท)





  • จากนั้นเราก็จะพาเดินไปผจญภัยด้านในกันเลย หยิบตั๋วขึ้นมา เตรียมพร้อม!!!!



  • หลายคนงง ทำไมตั๋วเข้า Universal รูปร่างหน้าตาเป็นแบบนี้??? เราก็งง ตอนที่ไปจ่ายเงินที่ SEA WHEEL TRAVEL เราได้ตั๋วหน้าตาแบบนี้มา 2 ใบ / ใบแรกเป็นตั๋วเข้า Universal Studio สำหรับผู้ใหญ่ 1 ใบ ราคา 62$ อีก 1 ใบ เป็นตั๋วส่วนลดค่าอาหารใน canteen ราคา 5$ ตอนที่จะหยิบตั๋วมาให้เจ้าหน้าที่ตรง gate ทางเข้าด้านใน เราต้องอ่านรายละเอียดด้านหลังตั๋วแทน
  • พอเดินเข้าไปด้านในก็จะเจอกับโซน HOLLYWOOD เช่นเคย เป็นพวกร้านขายพวกของที่ระลึกต่างๆ บริเวณ 2 ข้างทาง และก็จะมีมาสคอต MINIONS มาโชว์ตัวตามเวลาที่เขาจัดไว้ให้ ส่วนใครอยากถ่ายรูปก็เตรียมกล้องส่วนตัวและคิวรอถ่ายได้เลย (แต่เขาจะมีเวลาจำกัด)











  • เลยจากโซน HOLLYWOOD มาก็จะเจอกับโซน NEW YORK











  • พอเดินมาถึงระหว่างทางโค้งจะไปโซน SCI-FI เจอโชว์ มาลิริน มอลโลว พอดี // มองไกลๆนี่นึกว่าตัวจริง ดูเหมือนมาก จริงๆก็อยากไปต่อแถวถ่ายรูปด้วยนะ แต่ว่า.....คนเริ่มมาต่อคิวเยอะขึ้นเรื่อยๆ เวลามีจำกัด งั้นขอแอบดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆละกันนะ









  • ต่อจากโซน NEW YORK เราจะไปยังโซน SCI-FI กัน ... ที่โซนนี้จะมีเครื่องเล่นอันโด่งดังที่ใครๆก็ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องมาเล่นนะ!!!! และเป็นเครื่องเล่นที่มีคิวรอยาวนานที่สุดเลยก็ว่าได้













  • ครั้งนี้ถือว่ารอคิวไม่นานเท่าไหร่ประมาณ 40 นาทีได้ ถ้าเทียบกับที่มาครั้งที่แล้วรอไป 1 ชั่วโมงครึ่ง โหววววว ครั้งนี้ถือว่าไวกว่าที่คิดไว้เยอะมาก หยิบแว่นเตรียมไปหนีพวกดีเซ็ปติคอนกันดีกว่า!!!!!!!



  • จบจาก Transformer เราก็ไปต่อที่โซนอียิปต์ ไปเล่น Roller Coaster ใน MUMMY กัน ส่วนเสต็ปการต่อคิวนี่ถือว่าสูสีมากับ Transformer เลยนะ // รอบนี้ถามว่ากลัวเหมือนครั้งที่แล้วมั๊ย -- ตอบเลยว่าไม่!!! (ไม่ปฏิเสธค่ะ) ยังคงกลัวอยู่เช่นเคย มันหวาดเสียว เล่นเสร็จใจก็ตุ้มๆต่อมๆกันไป!!!
  • ยังค่ะ ... เรายังคงไม่หมดเรื่องหวาดเสียวเพียงเท่านี้ เราไปต่อกันที่รถไฟเหาะค่ะ // อ่อ ลืมบอกมันมี 2 ราง อยากจะไปกรีดร้องที่รางไหน เลือกตามใจชอบค่ะ มีสีแดงกับสีขาว -- เราตัดสินใจเลือกรางขาว (แบบห้อยขา) ดูแล้วมันน่าจะเสียวสุดแล้วล่ะ มีทั้งตีลังกาหมุน 360 องศา -- นี่ก็ได้ข้อสังเกตุมาอย่างหนึ่งนะว่า รถไฟเหาะที่นี่ ตอนที่เราเคลื่อนตัวออกจาก platform มันใช้แรงส่งมาก มากกว่ารถไฟเหาะบ้านเราอีก ตอนเคลื่อนที่ออกไปนี่รู้สึกเหมือนกระสวยอวกาศกำลังพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า รอวันตกลงมาสู่พื้นดินยังไงยังงั้นเลย ^_^--



  • จบจากรถไฟเหาะเราเดินต่อไปยังโซน The Lost World ที่เป็นเครื่องเล่น Jurassic Park Rapids Adventure มันเหมือน Grand Canyon ในดรีมเวิลด์บ้านเราอ่ะ ที่มันล่องเรือยางไปเรื่อยๆ มีไดโนเสาร์คอยทักทายเราตลอดสองข้างทาง จากนั้นก็เข้าที่มืดๆ วนไปวนมา ละมันก็ปล่อยเราลงน้ำอีกครั้งก่อนถึงปลายทาง มันเหมือนจะเป็นเครื่องเล่นโง่ๆ ล่องลอยไปเรื่อยแต่เชื่อมั๊ยรอบนี้รอคิวนานมาก 1 ชั่วโมงครึ่งได้ !!!!! รอจนอยากถอยทัพกลับไปนั่งโง่ๆ อยู่ข้างนอกเลย



  • จากนั้นเราก็ไปดูโชว์ Water World กัน ซึ่งจัดอยู่ในโซน The Lost World เป็นการแสดงโชว์ "สตั๊นท์แมน" ซึ่ง Water World เป็นหนังเรื่องหนึ่งของ America มีการลงทุนที่สูงมาก แต่กระแสตอนฉายจริงกลับไปปังอย่างที่คิด ฝีมือการแสดงของนักแสดงในโชว์นี้ดูแล้วถือว่าเป็นนักแสดงจริงๆได้ดีทีเดียว มีการยิงปึงปังปึงปัง มีระเบิด ดูแล้วคือมันเหมือนๆในหนังแอ๊คชั่นที่เราดูๆกันนั่นแหละ เนื่อเรื่องประมาณว่า นางเอกถูกจับตัวไป พระเอกขี่เจ็ทสกีไปช่วย วิ่งหนีกันชุลมุน ปีขึ้น ปีนลง ห้อยโหนตีลังกา (นางเอกที่เห็นวันนั้นคือดูดี ดูสวย ส่วนพระเอกนี่ไม่รู้คนไหน ตัวร้ายนี่หัวกลมๆวาวหน่อยนะ ^_^)




  • จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่โซน Far Far Away ซึ่งเป็นโซนเกี่ยวกับ Fairy Tale





  • พอเราเดินเข้าไปในปราสาท เขาก็จะมีที่ให้เราหยิบแว่น 3 มิติ เพื่อเข้าไปดูหนัง 4 มิติเรื่อง Shrek ตอนแรกเข้าไปก้อ งงๆ เขายืนมุงอะไรกัน ละมันก็มืดๆ เห็นไม่มีที่นั่งเลยลงไปนั่งกับพื้น สักพักเขาก็เปิดประตู และเรียกเข้าไปด้านในอีกที อ่อ...มันเป็นโรงหนังนั่นเอง รอรอบก่อนหน้าออกมา ด้านในโรงจะเป็นเก้าอี้เป็นเซ็ต เซ้ตละ 4 ตัว เก้้าอี้จะสามารถโยกได้ ฉีดน้ำได้ ตอนแรกที่มันโยก มีความตกใจเล็กน้อยถึงปานกลาง มีลมพัด มีละอองน้ำ มีแมงมุมไต่ที่ขา(รู้สึก) เสมือนเราอยู่ในภาพยนต์นั้นด้วย นั่งดูไปสักพัก อ้าว...ผู้ร่วมเดินทางหลับอยู่ภายใต้แว่น 3 มิตินั้นแล้ว (ก็แอร์มันเย็น)
  • ออกจากโรงหนังเราก็เดินไปเล่นรถไฟเหาะเด็กน้อย ที่หัวขบวนมันเป็นรูปมังกร แทบไม่มีคนต่อเลย นี่เราก็ชอบคิดว่าเครื่องเล่นบางอย่างมันโง่ๆนะ ที่ไหนได้ ในความโง่และความแบ๊ว มันก็มักจะแอบมีความน่ากลัวซ่อนอยู่ ^0^
  • จากนั้นเดินไปเล่นต่อตรงโซน Madagascar ก็ไปเล่นเครื่องเล่น A Create Advemture นั่งในเรือลำนึงก็ประมาณสิบกว่าคน เรือก็จะไหลไปตามทางน้ำ เข้าไปด้านในที่ตกแต่งไปด้วยผืนป่ามาดากัสก้า ตอนล่องไปผ่านจุดหนึ่งมองไกลๆนึกว่าเปียกแน่เลย นี่ก้มหัวเต็มที่ สรุป--มันเป็นเหมือนม่านใสๆ ให้ความรู้สึกมองไกลๆเหมือนเป็นน้ำตก ออกมาจากเครื่องเล่นซึ่ง ณ ตอนนั้นคือมันเย็นมากแล้ว ร้านค้าเริ่มเก็บ โชว์ตัวการ์ตูนก็ไม่มีแล้ว ดูนาฬิกาประมาณ 6 โมงครึ่ง ถามเจ้าหน้าที่ว่าที่นี่ปิดกี่โมง เขาบอกว่า 1 ทุ่ม เพื่อนเห็นว่าเหลือเวลาเลยเดินไปเล่นรถไฟเหาะรางแดง
  • พูดถึงรถไฟเหาะรางแดง ขบวนแรกที่เราไปถึง มันผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อยคือ เราเล่นกับเพื่อน 4 คน ซึ่งเราต้องได้ที่นั่งใกล้กัน บังเอิญ ที่นั่งของเราที่เขาจัดแถวไว้ให้ มันถูกเปิดใช้ได้แค่ที่นั่งเดียว เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้เราไป เราก็มายืนรอรอบต่อไป // พอมาถึงขบวนที่ 2 เราต่อคิวได้ขึ้นไปนั่ง ล็อคเข็มขัดเรียบร้อย แต่เราไม่ได้ไปต่อ--- เจ้าหน้าที่บอกหมดเวลาแล้ว!!!! ปล่อยเครื่องเล่นไม่ได้ ลุกขึ้นยืน เดินกลับมายัง platform ทำหน้ามึนๆ งงๆ เงยหน้าไปขบวนของเพื่อนก่อนหน้านี้มาถึงแล้ว แบบเซ็งอ่ะ!!!! (นี่เดินบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลย)
  • รอ Monorail ประมาณ 30 นาที เพื่อกลับมายัง Vivo City แวะทานอาหารเย็นบน Food Center ที่นั่น และก็นั่งรถไฟฟ้ากลับ China Town


14 เมษายน 2560

  • ต้องถือว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ได้เที่ยวแบบเต็มๆวันที่สิงคโปร์ เพราะวันที่ 15 เมษายน เราต้องเดินทางแต่เช้าเพื่อไปขึ้นเครื่องกลับประเทศไทย
  • ไหนๆก็วันสุดท้ายแล้ว แพลนที่เขียนไว้คือ เข้าวัด ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง เนื่องในวันปีใหม่ไทย และเราก็ตั้งใจว่าจะพาเพื่อนๆมาเที่ยววัดที่มีชื่อในสิงคโปร์ด้วย และในเมื่อเป็นวันสุดท้าย ก็ต้องขอตื่นสายนิดหนึ่งนะคะ เพราะปวดแข้ง ปวดขา ปวดหลัง มากมาย จริงๆถ้ามีเวลาอีก 1 วัน ก็อยากจะชวนเพื่อนนอนโง่ๆอยู่ที่โฮสเทล แล้วเย็นค่อยออกไปเดินเล่นกัน แต่...ในเมื่อวันและเวลาที่มีมันจำกัด เหนื่อยแค่ไหน ก็ต้องลุกไปค่ะ ให้มันคุ้มค่าตั๋ว คุ้มความตั้งใจที่จะมาเที่ยวซะหน่อย
  • เริ่มที่แรก เราพาไปยังสถานที่ซึ่งใกล้ที่สุดก่อนนั่นคือ วัดพระเขี้ยวแก้ว หรือ Buddha Tooth Relic Temple and Museum ซึ่งถือว่าเป็นวัดที่ผสมผสานระหว่างนิกายหินยานและนิกายมหายาน มีทั้งหมด 4 ชั้น และชั้นดาดฟ้าอีก 1 ชั้น




  • บริเวณชั้น 1 เป็นห้องโถงใหญ่ ใช้สำหรับทำพิธีกรรมต่างๆ รวมถึงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปต่างด้วยเช่นกัน




  • หลังจากเดินไหว้พระประจำปีเกิดเรียบร้อย เราก็เดินทะลุมายังบริเวณด้านหลังตัวอาคาร ก็จะเจอเหมือนเป็น ศูนย์ประชาสัมพันธ์ข้อมูลการท่องเที่ยวของย่านไชน่าทาวน์ และก็เจอรถขายไอศครีมวอลล์หน้าตาแบบนี้



  • เอาจริงมะ ไม่รู้ว่าใช่ไอศครีมวอลล์หรือเปล่า แต่เห็นติดสติ๊กเกอร์ที่ตัวตู้แช่ พอเข้าไปซื้อจริงๆ มันเป็นไอศครีมรสชาตต่างๆ อยู่ตรงกลางและประกบด้วยเวเฟอร์ อันละ 1.6$ รสชาติก็เหมือนไอศครีมทั่วไปนั่นแหละ ไม่มีอะรไเป็นพิเศษ



  • ระหว่างกำลังจ่ายเงินอยู่นั้น ฝนก็เทลงมาเม็ดหนามาก ตอนแรกเราดีใจมากที่แบบมาเที่ยวรอบนี้ยังไม่เจอฝนเลย ที่ไหนได้....เจอเหมือนเคย คาดเดาอะไรไม่ได้เลยจริงๆ /// คุณลุงก็ทำการเข็นรถขึ้นถนน ไปหลบในเต๊นท์!!!!


  • ยืนทานไอศครีมไป มองดูฝนที่ตกไปแล้วก็พบว่า คนที่นี่เขามีวิธีการตากผ้ากันแบบแปลกดี อาจเป็นเพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่จะอยู่คอนโดมิเนียมหรืออพาทเมนต์ก็แล้วแต่ และค่าเช่าหรือราคาที่พักอาศัยคงมีราคาสูง เนื่องจากประเทศสิงคโปร์ เป็นประเทศที่มีข้อจำกัดทางด้านพื้นที่พอสมควร อพาทเมนต์บริเวณนี้ที่เรามองเห็นคือไม่มีระเบียงห้อง วิธีการตากผ้าของคนที่คือ ตากผ้าโดยพาดไว้บนไม้ แล้วก็ยื่นมันออกมาทางนอกหน้าต่าง /// และที่สงสัยคือ ลมพัดกระโชกแรงๆ ผ้าหรือไม้ก็ไม่ตก!!! ทำไงได้??? และฝนตกขนาดนี้บางห้องก็ยังไม่เก็บ คิดว่าเจ้าของบ้านน่าจะออกไปทำงานข้างนอกนะ แล้วคือไง เก็บไม่ทัน -- ก็ตากใหม่แบบนี้หรอ -- งง???





  • ทานไอศครีมเสร็จ เราก็พากันขึ้นไปยังบริเวณชั้น 4 เพื่อที่จะไปสักการะพระเขี้ยวแก้ว ซึ่งบริเวณนี้เขาห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด รอบนี้นอกจากกราบไหว้บูชา และขอพรแล้ว เรากับเพื่อนยังเดินจงกลม 3 รอบ และนั่งสมาธิเป็นเวลาประมาณ 3 นาทีอีกด้วย เป็นเพราะช่วงที่ขอพรนั้น เรามองไปเห็นคนที่นี่มานั่งทำสมาธิกัน เลยคิดว่าไหนๆมาแล้ว ขอลองทำบ้างเปลี่ยนบรรยากาศ พูดถึง ก็ได้สิริมงคลติดตัวกลับมา ต้องรับเทศกาลปีใหม่ไทยนั่นเอง จากนั้นก็เดินขึ้นไปยังบริเวณชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นดาดฟ้า เป็นที่ตั้งของระฆังยันต์และสวนดอกไม้



  • พอฝนเริ่มซา เราก็เดินลัดเลาะบริเวณถนน Smith Street เพื่อจะมายังรถไฟฟ้าใต้ดินสถานี Chinatown เพื่อที่จะไปหาของทานที่ห้าง People's Park Center
  • ระหว่างเดินเจอร้านขายผลไม้ข้างทาง รู้เลย นำเข้ามาจากประเทศไทยแน่ๆ มีทั้งทุเรียน ข้าวเหนียวมะม่วง และผลไม้ชนิดอื่นๆอีกมากมาย ราคาก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ




  • อยากบอกว่าเราพาเพื่อนหลงไปยังห้าง People's Park (ถ้าย้อนกลับไปของวันที่ 12 เมษายน ที่เราทักไว้ว่าอย่าจำสลับชื่อห้างนะ // นั่นแหละค่ะ เราหลงเอง เรามาเดินออกทาง Exit E ซึ่งตอนขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินมานั้น ก็รู้สึกแปลกๆชอบกลละว่าทำไมบันไดเลื่อนมันไม่เชื่อมต่อกับตัวห้างเลย แต่ก็ยังคงมั่นหน้าเดินไปเรื่อยๆ) แต่ที่ห้างเหมือนลานบริเวณด้านหน้าห้างมีจัดบูธขายอาหาร เราไปเจอบูธหนึ่งเหมือนขายพวกขิ้นส่วนเป็ดและอวัยวะหมู!!! ขายเป็นชิ้นๆ ราคามีบอกเสร็จสรรพ เนื่องจากคนขายเป็นคนจีน พูดอังกฤษไม่ได้ และคนที่ซื้อก็สังเกตุมีแต่คนจีนเท่านั้น!!!



  • จากนั้นเราก็พากันเดินไปหา food court /// คุณพระ!!!เชื่อมั๊ย ศูนย์อาหารอยู่บริเวณด้านนอกห้าง -- มีนกพิราบมาเดินล้อมรอบแต่ละโต๊ะ เรามั่นใจละว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เราเคยไป เพราะเราหันไปเห็นป้าย People's Park ตัวเบ้อเริ่มเลย!!!!
  • หลังจากเดินย้อนกลับมายังรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อไปยัง Exit D เราก็ได้เข้าศูนย์อาหารเจ้าประจำ อย่างที่บอก อาหารที่นี่ราคาไม่แพง สามารถฝากท้องได้สบายมากและมีให้เลือกหลากหลาย





  • หลังจากทานเสร็จ เราก็นั่งรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินไปยังสถานี Bugis เลือกขึ้นฝั่ง To Bukit Panjang(11) เพราะเราจะไปวัดเจ้าแม่กวนอิมกัน
  • Kwan Im Thong Hood Cho Temple หรือวัดเจ้าแม่กวนอิม เป็นวัดศักดิ์สิทธิของชาวพุทธ ย่าน Bugis เราตั้งใจไปขอพร เนื่องจากปีนี้เราปีชง เพราะครั้งที่แล้วเราพลาด ไม่ได้มา ครั้งนี้เลยตั้งใจว่ายังไงต้องไปให้ได้ ตอนแรกที่เดินออกมาจากสถานีจะเจอห้าง Bugis ก่อน เราก็งงๆ พอดีเห็นคนจัดบูธแจกอะไรสักอย่างเลยแวะไปถาม เขาก็แนะนำว่าให้ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม มองเห็นอาหารเหลืองๆนั้นไหม นั่นแหละวัด เราก็ค่ะๆ
  • พอข้ามมาฝั่งตรงข้าม ก็จะเจอกับเหมือเป็นตลาดบาซาร์หรืออะไรสักอย่างเป็น ซอกซอย เราก็เดินลัดเลาะด้านข้างไปเรื่อยๆ ก็ข้ามถนนอีกที ที่นี้เจออพาทเมนต์สีเหลืองๆ มีศูนย์อาหารเต็มไปหมดบริเวณใต้ตึก เราก็ไปถามเถ้าแก่แถวนั้น เขาบอกว่าเดินเลาะไปด้านหลังตึกนี้ไปเลยจะเจอ





  • พอเดินเลาะมาหลังตึกสีเหลือง เราก็แล้ววัดเจ้าแม่กวนอิม



  • ตอนที่ไปถึง บริเวณด้านในคนเยอะมาก ดูแล้วค่อนข้างแออัด เพราะเรามีเวลาจำกัด เลยทำได้แค่ยกมือไหว้ขอพรบริเวณด้านหน้าเท่านั้น แล้วก็เดินกลับมายังทางเดิม



  • แวะห้างสรรพสินค้า ซื้อไอศครีมทานอีกแล้ว ที่ไทยก็มี ทำไมไม่ซื้อ งง -- โคนนี้จ่ายไป 9.8$ (จำไม่ได้ว่าชื่อห้างอะไร รู้แต่ว่าอยู่ข้ามห้าง Bugis นะ)



  • จากนั้นเราก็เดินทางกลับที่พักแปบนึง ไปเปลี่ยนกางเกง และกรอกน้ำ และก็มาต่อยัง Garden by The Bay
  • จากไชน่าทาวน์ไปยัง Garden by the Bay ไม่ยากเลย เพียงแค่นั่งสายสีม่วง ไปเปลี่ยนเป็นสายสีเหลืองที่ Dhoby Ghaut จากนั้นเปลี่ยนเป็นสายสีเหลือง เลือกขึ้นฝั่ง To Marina Bay(10) ลงสถานี Bayfront เลือกออกทาง Garden by the Bay เดินตามทางที่เป็นกระจกมีลายต้นไม้ ดอกไม้ ไปเรื่อยๆ จะเจอทางออก



  • ขึ้นมาบริเวณด้านบนก็จะเห็น ตึกมาริน่าเบย์แซนด์ ตั้งสง่าอลังการอยู่บริเวณด้านหลัง



  • เราใช้วิธีเข้าไปยัง Garden by the Bay โดยรถ shuttle bus โดยต้องซื้อตั๋วเพิ่มราคา 3$ ได้ทั้งขาไปและขากลับ




  • เริ่มแรกเราเข้าไปยัง Flower Dome ก่อน บริเวณภายในเป็นที่จัดแสดงดอกไม้นานาชนิด ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นดอกทิวลิป




  • เดินไปสักพักก็จะเจอกับการจัดแสดงต้นไม้ของทางทวีปแอฟริกา




  • ลักษณะทางเดินภายในนี้จะเป็นทางชัน เดินขึ้น เดินลง ตลอดเวลา เดินๆไปสักพักก็ไปโผล่บริเวณด้านล่าง ซึ่งถูกตกแต่งเต็มไปด้วยดอกทิวลิป และดอกไม้นานาชนิด






  • หลังจากนั้นเราก็เดินต่อไปยัง Cloud Forest โดม ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับจัดพวกพืชพันธุ์ที่อยู่ในเขตชื้น ภายในโดมนี้ขอบอกว่าอากาศเย็นและหนาวมาก ที่เป็นนิยมในโดมนี้คือ น้ำตก...ใช่แล้ว งงล่ะสิ น้ำตกมาอยู่ในโดมได้ยังไง แต่คือมันเป็นจุดถ่ายรูปในนี้เลยนะ ไม่มาถือว่าพลาด!!!



  • ส่วนบริเวณด้านบนที่เห็นเป็นรูปหูกระต่ายนั้นคือ ทางเดิน อันนี้เราไม่ได้ขึ้นไป เนื่องจาก เราเดินมานานมาก แล้วเริ่มเย็นๆเท้า เมื่อยด้วย


  • เดินมาก่อนจะถึงลิฟต์ เราเจอสวนแบบนี้ ที่เห็นคือต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง ขอนับถือคนที่จัดสวนนี้ขึ้นมา เห็นสีแดงๆนั้นไหม??? อยากบอกว่ามันคือ Lego ใช่แล้ว...ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่เราเห็นนั้น เขาทำมาจากเลโก้ เฮ้ย!!!สุดยอด



  • หลังจากนั้น เราก็ไปเดินการแสดง Supertree Grove จริงๆเราไม่ได้ตั้งใจไปดูโชว์การแสดง เรากะแค่ไปถ่ายรูปด้วยเท่านั้น แต่บังเอิญ ช่วงจังหวะที่เราเดินไปนั้น ก็ถึงช่วงเวลาการแสดงพอดี เลยปูเสื่อนั่งดูเสียเลย
  • Supertree Grove จะมีการแสดงที่มีชื่อเรียกว่า Garden Rhapsody ซึ่งเป็นการแสดง Light and Sound ประกอบจังหวะเพลง Rainforest Orchestra – Australasia และ Oceania ให้ชมฟรีวันละ 2 รอบ รอบละ 15 นาที









  • หลังจากชมการแสดงเสร็จ เราก็จะเดินกลับมายังจุดขึ้นรถ Shuttle Bus ซึ่งเราจำได้ว่ามันอยู่บริเวณหน้า Flower Dome แต่....เราหามันไม่เจอ เพื่อนเราเลยไปถามเจ้าหน้าที่ เขาบอกว่าหมดให้บริการตอน 3 ทุ่ม โห!!!!!! นี่เรามีแพลนจะไปดูการแสดงไฟที่มาริเบย์อีก สรุปเราต้องใช้วิธีการเดิน เดินจาก Garden by the Bay เลาะบริเวณด้านหลังตึกมาริน่าเบย์แซนด์ เดินเลาะไปเรื่อยๆ เดินผ่านสะพาน Helix Bridge ผ่านสนามกีฬากลางน้ำ



  • เมื่อเดินไปถึงบริเวณด้านหน้าตึกมาริน่าเบย์แซนด์ ก็ยังไม่เห็นมีไฟอะไรเลย คนก็ไม่มี ก็เลยถามคนบริเวณนั้น เขาก็บอกว่าไม่มีแล้วนะ อ่อ สรุปมาเสียเที่ยว!!!! เลยนั่งพักขาสักพัก ก็ตัดสินใจว่ากลับที่พักดีกว่า เดินไปเรื่อยๆเห็นคนมุงอะไรกันไม่รู้เต็มเลย มีเสียงกรี๊ด มีเสียงปรบมือ มีเสียงดนตรี ก็เลยไปยืนดูอยู่แปบนึง เหมือนเป็นโชว์จากวงดุริยางค์ของนักเรียน High School ไม่รู้หรืออย่างไร แต่คนก็ดูแน่นมาก และเหมือนตรงนั้นก็จะมีวัยรุ่นมารวมตัวกัน นั่งคุย มี guards อยู่รอบๆบริเวณนั้น



  • หลังจากผิดหวังกับการดูการแสดงโชว์ Wonder Full-Light & Water แล้วก็เดินไปยังรถไฟฟ้าเพื่อกลับที่พัก แต่...จริงๆจากมาริน่าเบย์ รถไฟ้าที่ใกล้และสามารถขึ้นง่ายที่สุดคือสถานี Raffles Place แต่เพื่อนเราดู GPS แล้วแนะนำว่าให้ไป City Hall หรือ Esplanade จะใกล้กว่า โอเค...งั้นเราเดินไปสถานี Esplanade ดีกว่า เพราะมันอยู่บริเวณด้านข้างตึกทุเรียน ที่ไหนได้ พอเราเดินลงไปในสถานี ก็เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ไม่รู้อยู่ดีดีไปโผล่ในห้างสรรพสินค้าได้อย่างไร แต่รู้ว่าเดินไกลไปอีก เพราะเป็นการเดินแบบยังหาจุดหมายไม่เจอเลย ใช้คำว่าขาลากดีกว่าค่ะ ^_^



15 เมษายน 2560

  • ในส่วนของวันนี้นั้น ถือว่าเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่จะอยู่ในสิงคโปร์ เพราะจริงๆเช้านี้ก็แค่ทานข้าวเช้า ลากกระเป๋า check-out ออกจากโรงแรม



  • เราก็เดินกลับสนามบินโดยรถไฟฟ้าใต้ดินเช่นเคย แต่ครั้งนี้เราเลือกเดินทางโดยสายสีน้ำเงินและไปเปลี่ยนสถานีเป็นสายสีเขียวที่ Bugis มีความรู้สึกว่าใกล้กว่าที่มาตอนแรกเยอะเลย หรือมโนไปเองไม่รู้!!!!
  • เราเดินทางกลับโดยสายการบิน Thai Lion Air เช่นเคย flight SL101 อ่อ...ลืมบอกที่นี่เคาท์เตอร์ check-in อยู่ที่ Terminal 3 นะ ตอนไปไม่มีคนเลย ส่วน Gate ที่ขึ้นเครื่องคือ Gate A21 ซึ่งเราจะต้องนั่ง Train ที่เขียนว่า Gate A15-A21 ตอนไปถึงขึ้นตัวแดงว่า Gate Closed นี่วิ่งหน้าตั้งเลย กลัวตกเครื่อง!!!!



สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้

  • ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ Thai Lion Air ราคา 4,740 บาท
  • ค่าที่พักคนละ 3,330 บาท (จำนวน 3 คืน 2 ห้อง เราเอาราคาทุกห้องมารวมกันแล้วหาร 5 คน จะได้จ่ายในราคาเท่าๆกัน)
  • Pocket Money 10,000 บาทเหลือกลับมาประมาณ 1,300 บาท (รวมค่าบัตรรถไฟฟ้า , ค่ากิน , ค่าของฝาก , ค่าที่เข้าสถานที่ต่างๆ , ค่าจิปาถะต่างๆนาน อยู่ในวงเงินนี้หมด)
  • ประกันการเดินทางต่างประเทศ 280 บาท (Krungthai AXA)

--- ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านจดถึงบรรทัดสุดท้ายนะทุกคน แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า ---


ความคิดเห็น