ครบรอบหนึ่งปีในการครองสถานภาพมนุษย์ออฟฟิศ บันเทิงตัวเองด้วยการออกท่องโลกกว้างด้วยการเปิด Google เก็บสตางค์เพื่อวางแผนออกไปเหยียบพื้นโลกจริงๆ แต่สุดท้ายก็เอาไปฝากไว้กับคุณหมอเพราะร่างกายอ่อนแอ นั่งอยู่แต่ในห้องปรับอากาศ ไม่เจอฝน ลม แดด ภูมิคุ้มกันก็เลยขี้เกียจจะทำงาน ไม่รออะไรแล้วต่อไปนี้ออกไปมองโลกกว้างบ้างดีกว่า



จากการได้ดูภาพยนตร์เรื่อง yes man ตัวเดินเรื่องที่มีนิสัยเก็บตัวได้ออกไปเปิดโลกด้วยการ Say Yes กับทุกอย่าง สร้างอิทธิพลกับความรู้สึกส่วนตัวจึงตอบตกลงรับคำชวนท่องโลกแทบจะทันที แต่ก็ดันลืมพิจารณาสังขารตัวเอง ครั้งแรกของการหัด Say yes นั้น คือการไปพิชิตยอดดอยหลวงเชียงดาว เป็นภูเขาสูงอันดับสามในประเทศเชียวนะ มนุษย์ออฟฟิตอย่างเราจะไหวเหรอ? ยิ่งคนชวนแทบจะมีอาชีพเป็นนักเดินดงอยู่แล้ว กลัวจะไปเป็นภาระเขาจริงๆ เที่ยวป่าเขาบ่อยแต่ยังไม่เคยเดินป่าไกลเป็นวันแถมยังแบกของเอง แต่ครั้งหนึ่งในชีวิตเราได้เป็นผู้พิชิตยอดดอยที่สูงอันดับสามของประเทศคงดูเท่ห์ไม่หยอก ออกกำลังกายเตรียมตัวให้ชินกับความเหนื่อยหอบเอาไว้จะได้ไม่เป็นภาระเพื่อนพ้อง




ถึงวันเดินทางแบกเป้ไปรวมตัวกับชาวคณะอีก 16 ชีวิตตามเวลานัดหมาย กระจายของส่วนกลางแบ่งกันยัดลงกระเป๋าเพราะทริปนี้ต้องรับผิดชอบของส่วนตัว ให้ลูกหาบแบกแต่น้ำดื่มเท่านั้น ออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ด้วยการเหมารถสี่ล้อแดงมุ่งหน้าสู่อำเภอเชียงดาว แวะถ้ำเชียงดาวสักการะ เจ้าหลวงคำแดง ก่อนเข้าที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว ลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่รับทราบข้อระเบียบบังคับ เตรียมใจก่อนขึ้นยอดเขาในวันรุ่งขึ้น ส่วนคืนนี้เราจะปักหลักตั้งแคมป์กันก่อนที่สถานีเกษตรที่สูงสันป่าเกี๊ยะ ก่อกองไฟทำอาหารโดยมีวิวดอยหลวงสูงตระหง่านเป็นฉากหลัง หลังวันยี่เป็งพระจันทร์ดวงโตโผล่มาทักทายกันตอนสองทุ่มกว่า ดอยหลวงเวลานี้มีเพื่อนเป็นท้องฟ้าแต้มดาวและพระจันทร์ ยืนมองตรงนี้เหมือนกับมองจากดาวอีกดวงที่ไม่ใช่โลกที่เราอยู่


ก่อนออกเดินทางดอกบ๊วยสีชมพูติดปลายกิ่งแย้มบานแทนการโบกมือส่ง น้ำหนักกระเป๋าทำเอาหวั่นใจไม่น้อย ลำพังแบกเดินในป่าปูนก็ยังบ่นอิดออดในใจ นี่เราจะไปเดินป่าจริงสภาพคงดูไม่จืด แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว เอาไงเอากัน เส้นทางการเดินสู่ยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 2,225 เมตร มีสองเส้นทางให้เลือกเดิน คือเส้นปางวัว ระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ที่ชันมากๆ และเส้นทางเด่นหญ้าขัด ระยะทาง 8.5 กิโลเมตร เป็นเส้นที่เราเลือกใช้ ช่วงแรกเดินสบาย ใต้ร่มเงาป่าสนชื่นชมดอกไม้ป่าตามไหล่ทาง แวะพักบ้างพอให้หายใจช้าลง ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ ไป จุดหมายยังอีกยาวไกล


หาข้อมูลก่อนวันเดินทางมาบ้าง มีสิ่งที่ดึงดูดความสนใจส่วนตัวเป็นพิเศษคือพืชพรรณจำเพาะถิ่นของดอยหลวงเชียงดาว หาชมจากที่ไหนก็ไม่ได้ บางนิดเป็นพืชหายากและง่ายต่อการสูญพันธุ์ จึงตั้งความหวังว่าจะได้มาเห็นกับตาตัวเองซักครั้ง ต้นเทียนนกแก้วคือไฮไลต์ของพืชพรรณเชียงดาว ความพิเศษของมันไม่ใช่แค่เป็นพืชจำเพาะถิ่นเท่านั้น แต่รูปทรงของดอกนั้นราวกับศิลปินแห่งธรรมชาติปั้นแต่งมาอย่างตั้งใจ มองจากด้านข้างของดอกมีรูปร่างคล้ายนกแก้วกำลังเชิดปีกบิน ดอกเป็นสีขาวอมชมพูติดปีกหางด้วยสีม่วงแดงทำให้นึกถึงมักรีผลในวรรณคดี ไม่น่าเชื่อว่า พืชในป่าหิมพานต์จะจำแลงมาเป็นนกในป่าเชียงดาว สมคำเลื่องลือของขุนเขาแห่งตำนานจริงๆ


ถึงจุดพักกินข้าว กำลังกายทำหล่นหายไประหว่างทางไปบ้างแล้ว ปลดสัมภาระออกจากบ่าเหยียดแข้งขาสลัดความเมื่อล้าออก ล้อมวงยัดข้าวลงกระเพาะกลางป่ากันลมจับเอาระหว่างทางข้างหน้า จากจุดนี้ถึง อ่างสลุง เป็นทางชันขึ้นตลอดทาง สองข้างคือผาหินปูนสูงตระหง่านแทบจะตั้งฉากกับพื้น ก้มมองเท้าก้าวไปทีละก้าว มองยอดเขาสูงใหญ่ข้างหน้า คิดในใจว่าสองเท้าเราจะพาเราไปถึงได้อย่างไร หนักเหลือเกินสัมภาระบนบ่าอยากสลัดทิ้งลงข้างทางเสียให้หมด ปวดเหลือเกินทั้งสองขา ยิ่งสูงขึ้นอากาศยิ่งบางลงเรื่อยๆ หายใจแรงขึ้นจนหอบ "ธรรมชาติจ๋า...เรายอมแล้ว รู้แล้วว่าเราตัวจ้อยขนาดไหน" กัดฟันย่ำเท้าเดินต่อไปสวนทางกับพี่ลูกหาบ บอกว่าอีกนิดเดียว เดินได้ซักพักสวนกับอีกคนหนึ่งก็บอกเหมือนกันว่า "อีกนิดเดียว" อืมมม นี่หลายนิดแล้วนะ ...

ในที่สุดก็มาถึง อ่างสลุง จุดกางเต็นท์ของดอยหลวงเชียงดาว ไม่ทันจะพักให้หายหอบก็ต้องรีบกางเต็นท์ทำอาหาร เพราะเดี๋ยวเราจะต้องปีนไปชมพระอาทิตย์ตกบนยอดดอยหลวงต่อ "นี่ฟังไม่ผิดใช่ไหม เดินมาเหนื่อยขนาดนี้ยอดดอยสูงขนาดนั้น จะเอาแรงจากไหนอีกเนี่ย" ถามตัวเองว่าจะไปกับเขาหรือจะรอที่แคมป์ แล้วค่อยขึ้นไปตอนเช้า ก็ได้คำตอบว่าว่า "ก็ไปสิ่ มาถึงขนาดนี้แล้ว อยู่รอให้น้ำค้างเกาะทำไม" เดินจาก อ่างสลุง ถึงยอดใช้เวลาประมาณ 30 นาที เส้นทางสูงชันไต่ตามไหล่สันเขา กุหลาบป่าเชียงดาวกำลังรอผลิบานประดับทางเป็นระยะ หันหลังกลับไปมองทางที่เดินมายิ่งทำให้มือเกาะผาหินแน่นขึ้นกว่าเดิม หวาบหวิวเพราะลมไล้บนความสูงชัน มองเห็นทิวทัศน์กว้างไกลสุดสายตา ถึงยอดเขาก็จับจองที่นั่งชมแสงตะวันหล่นจากฟ้าเอาตามโขดหิน


พระอาทิตย์อ่อนแสงแต่ไม่เอียงอายต่อสายตาหลายคู่ที่กำลังจับจ้อง สีส้มอุ่นดึงม่านฟ้าสีน้ำเงินเข้มค่อยๆ เลื่อนลงปิดฉากท้องฟ้ากลางวัน ดวงอาทิตย์ที่นี่ยามหมดวันดูอ่อนโยนน่ารักเหมือนพระจันทร์เมื่อคืน ลงจากเขาก่อนแสงจะหมดเพราะหลายคนบอกว่าอันตรายนักในความมืด แต่เราว่ามันลงง่ายกว่าตอนขาขึ้น ขามันไม่สั่นเพราะมองไม่เห็นความสูงชันน่ะสิ ก่อกองไฟจากถ่านที่แบกขึ้นมาเพราะดอยหลวงมีกฎข้อบังคับว่าห้ามตัดไม้ก่อกองฟืน เสียบมาชเมลโลย่างไฟแกล้มปลาหมึกตากแห้ง ทั้งสองดูสนิทกันในกองไฟดีถึงแม้จะคนละสัญชาติ ดาวชุกชุมล้นฟ้าหล่นมาเป็นดาวตกให้คนทักไปเข้าท้องหมากี่ดวงแล้วไม่รู้ ก่อนจะแหงนหน้ามองฟ้าจนปวดคอก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะรีบเข้านอนเพราะอีกไม่กี่ชั่วโมงเรายังมีอีกหนึ่งยอดให้เราป่ายปีน

ตีสี่กว่า หัวหน้าแกงค์ทำเสียงกุกกักปลุกสมาชิกแบบอ้อมๆ อีกเช่นเคย อากาศหนาวจนเกือบถอดใจไม่อยากออกจากถุงนอน มุดออกจากเต็นท์กระชับเสื้อกันหนาวผูกเชือกรองเท้าให้แน่นมุ่งหน้าสู่ยอดดอยกิ่วลม ทางเดินสูงชันไม่แพ้ยอดดอยหลวงแต่เดินใต้ป่าชื้นไต่สูงขึ้นไปจนพ้นเรือนยอดไม้ โลกหมุนให้แสงอาทิตย์เขียนเส้นขอบฟ้าบ้างแล้วเมื่อถึงยอด ควันฉุยจากชาร้อนในมือถูกส่งมาให้คลายความหนาวระหว่างรอดวงอาทิตย์ตื่น กิ่วลมสมบูรณ์ด้วยพรรณไม้หายากนานา พรรณ อาจเพราะว่ามันได้รับแสงแรกของวันก่อนใคร หย่อนตัวลงบนโขดหินใกล้ต้น เหยื่อเลียงผา รอสวัสดีดวงอาทิตย์ไปพร้อมๆ กัน


คลื่นทะเลหมอกห่มเมืองเชียงดาวด้านล่างใต้ดวงตะวันสดใหม่ อีกฟากหนึ่งหมอกขาวลอยลมมาค่อยๆ คลุมไหล่เขาตรงหน้า พี่โอ๊ต หัวหน้าแกงค์พูดติดตลกว่า ลืมหยิบน้ำพริกขึ้นมาไม่อย่างนั้นคงเด็ดยอดเมฆจิ้มน้ำพริกกันเป็นอาหารเช้า เรายืนหยอกล้อสายหมอก เล่นกับสายรุ้งสะท้อนก้อนเมฆกันเหมือนเด็กๆ ยืนยิ้มให้ตะวันสูดหายใจให้เต็มปอด เพราะสายวันนี้เราจะลงจากยอดดอยกลับสู่วิถีที่เราจากมากันแล้ว ตอนแรกคิดว่าทางลงคงเดินสบายกว่าทางขึ้นเพราะไม่ต้องต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงโลก แต่มารู้ว่าคิดผิดเมื่อลงทาง ปางวัว ความดิ่งชันตลอดเส้นทางเป็นภาระอย่างหนักของหัวเข่าและหลายเท้า ด้วยน้ำหนักของสัมภาระบนบ่า รองเท้าที่ไม่ได้เซฟปลายเท้าไม่ให้กระแทก ร่างกายทรมานกว่าตอนขึ้นมาก ขาสองข้างประท้วงกำลังใจตลอดทางกว่าจะถึงจุดนัดรับเพื่อเข้าอุทยานก็ถอดใจหลายที อยากจะหยิบกาบต้นไผ่มารองตูดแล้วไถลลงเขาไปให้สนุกเมินความเหนื่อยอ่อน

แต่สุดท้ายสองเท้าก็พามาถึง ความปวดระบมเอ่ยบอกตนเองภายในใจว่าไม่มีทางใดที่เราจะยิ่งใหญ่เกินไปกว่าธรรมชาติ ไม่บังอาจอ้างว่าเป็นผู้พิชิตยอดเขาใด เราเพียงแต่มามองเห็นความความงดงามและสมบูรณ์ของของที่นี่และความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติระหว่างทางเดิน ต้นไม้ใหญ่ยังล้มเอนในป่า ก็เพื่อให้เมล็ดพันธุ์ใต้ร่มได้ต้องแสงแล้วเติบโต มนุษย์ตัวเล็กๆ อย่างเราควรจะนอบน้อมต่อธรรมชาติซึ่งเป็นบ่อเกิดของทุกสรรพสิ่ง กลับเข้าเมืองมาใช้ชีวิตต่อด้วยความเหนื่อยล้า แต่ก็แปลกดีที่พลังชีวิตกลับมาเต็มเปี่ยม

Saowarat Pontajak

 วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 11.20 น.

ความคิดเห็น