สวัสดีเพื่อนๆ ชาว Read Me
จั่วหัวกระทู้มาแบบนี้ไม่ต้องตกใจนะครับ
ไอ้เจ้ามนุษย์ต่างดาวที่ผมว่าเนี่ยก็คือเจ้าตัวเขียวในภาพนี่แหละครับ
ถ้าจำกันได้จะพบเจอมันในทริป ผาหินกูบ ของผมที่ผ่านมา
ผมได้มีโอกาสอ่านรีวิวและเห็นภาพวิวของดอยหลวงเชียงดาวจากกระทู้ต่างๆมาพอสมควร
และได้ยินจากแฟนผมที่เธอไปมาปีที่แล้วว่าที่นี่สวยมาก สวยเหมือนสวรรค์เลยทีเดียว
ผมเลยได้ตัดสินใจชวนเพื่อนๆรวมกลุ่มกันโดยแพลนทริปนี้ไว้ล่วงหน้าไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
ซึ่งแน่นอนผมชวนแฟนไปด้วยเป็นรอบที่ 2 ของเธอ ฮ่าๆ
ทริปนี้ผมไปมาเมื่อกลางเดือน พ.ย. 2559 ที่ผ่านมาหมาดๆ
เป้าหมายหลักและสิ่งที่ผมอยากไปพบเจอมากที่สุดในทริปนี้ก็คือ ...
“ ดอกเทียนนกแก้ว “
ดอกเทียนนกแก้ว เป็นพรรณไม้ที่พบได้เพียงที่เดียว คือที่ดอยหลวงเชียงดาว
ซึ่งดอกจะบานราวเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน ของทุกปี ผมเลยเลือกที่จะไปช่วงนี้นั่นเอง
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เจอเจ้าเทียนนกแก้วตัวเป็นๆ
เพราะมันจะเติบโตตามสภาพอากาศ และ สิ่งที่ลำบากที่สุดก็คือ มันเกิดบนเขาสูงๆเท่านั้น
นั่นหมายความว่าต้องเดินเท้าขึ้นไปนั่นเอง ถึงจะได้พบเจอมันได้
การเดินขึ้นดอยหลวงเชียงดาวนั้น สามารถเดินขึ้นได้ 2 ทาง ก็คือ
1. ทางเด่นหญ้าขัด – ระยะทาง 8.5 กิโลเมตร เดินเรื่อยๆไม่ชันมาก ดอกไม้เยอะกว่า
2. ทางปางวัว – ระยะทาง 6.5 กิโลเมตร แต่ ชันโคตรๆ โคตรๆชัน แถมดอกไม้น้อยกว่า
การไปเดินแบกเป้ขึ้นดอยหลวงเชียงดาวนั้นสามารถขึ้นไปเองได้
แต่ผมเลือกที่จะไปกับทัวร์
เพราะคงไม่สะดวกที่จะจัดเตรียมเต็นท์หรืออาหารการกินเอง
เพราะแค่ลำพังสัมภาระส่วนตัว กล้องและเลนส์ต่างๆแล้ว ตัดสินใจได้ไม่ยากเลยครับ ฮ่า ๆ
ไปกับทัวร์แน่นอน ไม่ต้องเตรียมอะไรมากมาย
ผมเดินขึ้นทางเด่นหญ้าขัดเพราะทางหัวหน้าทัวร์แจ้งมาว่า
พบเจอเจ้าดอกเทียนนกแก้วจำนวนมาก มากที่สุดในรอบหลายๆปีเลยทีเดียว
ซึ่งนั่นทำให้พวกผมตื่นเต้นกันไม่น้อย เพราะถือว่าโชคดีมากที่มาแล้วจะได้เจอ
แต่ทางเด่นหญ้าขัดนั้นถึงจะเดินสบายก็จริง .... แต่ก่อนจะถึงจุดเดินนี่สิ
โอ้โห นั่งรถจากแคมป์ที่จุดปล่อยตัวอีกตั้ง 2 ชั่วโมง
และทางที่รถพาขึ้นไปนั้นต้องบอกได้คำเดียวว่า ..... นี่โลกหรือดวงจันทร์
ผมนั่งหลังรถกระบะขึ้นไปไม่ต้องพูดถึง ... ก้นระบมครับ
พอถึงจุดปล่อยตัว สมาชิกท้ายกระบะทุกคน ก้นระบมกันเป็นแถว ฮ่าๆ
2 คันนี้แหละที่พาพวกเราขึ้นมา
หลังจากที่ลงจากรถทุกคนจัดแจงกินข้าวที่เตรียมมา
และเริ่มเดินขึ้นจากจุดปล่อยตัวประมาณ 13.20 น.
จุดปล่อยตัวที่ทำการหน่วยฯขุนห้วยแม่กอก
แชะภาพรวมก่อนออกเดินสักรูป
การเดินขึ้นทางเด่นหญ้าขัดนั้นวิวสวยมากๆ
ระหว่างทางก็จะมีมีดอกไม้สวยๆให้ถ่ายตลอดทาง
ดอกหงอนนาคที่นี่ก็มี ดอกบัวตองก็มี แถมยังมีดอกไม้แปลกๆอีกมากมายเลย
เรียกได้ว่าเดินขึ้นทางนี้คนรักดอกไม้เพลิดเพลินเลยทีเดียว
เดินมาได้สักประมาณชั่วโมงนึงได้ ก็มาเจอกับเจ้าเทียนนกแก้วจนได้
ผมไม่รอช้าเข้าไปรัวชัตเตอร์ทันที ของจริงมันน่ารักน่าชังมากๆ
เดินต่อมาอีกหน่อย ก็มาเจอกับดงเทียนนกแก้วดงใหญ่มากๆ
ซึ่งดงนี้เยอะมากๆ บางดอกกำลังโต บางดอกร่วงหล่นอยู่ที่พื้นก็มี
เรียกได้ว่าเราใช้เวลาถ่ายรูปเจ้าเทียนนกแก้วดงนี้อยู่นานมาก
หลังจากดงนี้ไปก็มีเทียนนกแก้วอยู่ประปรายตามริมทาง
พวกเราเลยเดินต่อไปเรื่อยๆ จนไปถึงทางแยกที่ตัดกับปางวัว ก็แสดงว่ามาถึงเกินครึ่งทางเเล้ว
การเดินขึ้นทางเด่นหญ้าขัดนั้นทางไม่ได้ชันมากนัก
แถมยังมีอะไรให้ได้ดูได้ชมเยอะแยะเลยทีเดียว
เหมาะสำหรับสายชิล Slow life แบบพวกเราจริงๆ
หันไปเจอแสงสวยๆ ก็ไม่พลาดที่เก็บภาพทันที
เดินต่อมาอีกสักพักก็เจอป้ายนี้ก็ใกล้ถึงที่พักแล้ว
แต่หลายคนจะงงกับการหาเต็นท์ของตัวเองว่ากางอยู่ตรงไหน
แนะนำให้ถามเจ้าหน้าที่เลยครับ แจ้งเค้าว่าเรามากับใคร
เดี๋ยวเค้าจะบอกทางเราไปเอง ไม่งั้นเดินหากันนานแน่ๆ
เราใช้ระยะเวลาเดินประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆ เกือบ 5 ชั่วโมง ก็มาถึงแคมป์ที่พัก
ซึ่งตอนมาถึงพระอาทิตย์ก็กำลังจะตกแล้ว กะว่าถ้ามาทันจะเดินขึ้นยอดดอยเก็บแสงเย็นสักหน่อย
แต่คงไม่ทันเพราะต้องใช้เวลาเดินขึ้นไปบนยอดอีก ซึ่งวันนั้นฟ้าสวยมากๆ แอบเสียดายนิดๆ
แต่ยังอยู่อีกสองวันไม่เป็นไร พวกเราเลยนั่งพักและจัดแจงเก็บสัมภาระเข้าเต็นท์และพักผ่อน
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็เข้าเต็นท์นอนเพราะพรุ่งนี้พวกเราจะไปเก็บแสงเช้ากัน
ก่อนนอน ผมออกมานั่งเล่นถ่ายดาว แล้วเปิด App ดูทางช้างเผือก
โชคดีเจอแนวทางช้างเผือกแถวเต็นท์พอดี
เลยรีบจัดแจงตั้งกล้องถ่ายทันที
ได้ภาพมานิดหน่อย เพราะทนความหนาวไม่ไหว
กลางคืนที่นี่หนาวมากกกก ประมาณ 7-8 องศา
ทางช้างเผือกช่วงหน้าหนาวนี่ดีจริงๆ มาตั้งแต่หัวค่ำไม่ต้องนอนดึก
เช้าวันที่สอง เราตื่นกันตั้งแต่ตี 4 เตรียมพร้อมที่จะเดินขึ้นไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดกิ่วลม
แต่ทว่าคนนำทางของเรากว่าจะเตรียมของขึ้นไปกินข้างบนเสร็จก็ปาไปเกือบตี 5
ซึ่งแน่นอนเกือบไม่ทันแสงเช้าและแทบไม่มีมุมถ่ายรูปเพราะคนไปออกันอยู่ตรงทางขึ้นกันหมด
แต่สุดท้ายพวกเราก็รีบเดินไป ลุ้นไปว่าจะทันไหม แต่ก็ไปทันพระอาทิตย์ขึ้นและหามุมถ่ายจนได้
วิวที่ได้เห็นในตอนนั้นมันเหมือนสวรรค์จริงๆ สวยเหมือนที่หลายๆคนเคยบอกไว้
พระอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่ตรงหน้ามันสวยมาก สวยจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้
แสงจากพระอาทิตย์สาดส่องลงมาที่ทะเลหมอกด้านล่างเป็นภาพที่เห็นแล้วฟินสุดๆ
เรานั่งเล่นเดินเล่นกันบนยอดกิ่วลมอีก 2-3 ชั่วโมงนั่งฟินชมบรรยากาศไปเรื่อย
เพราะวันนี้ไม่มีโปรแกรมอะไรที่ต้องรีบ เหลือแค่เก็บแสงเย็นแค่นั้นเอง
ผมเลยมีเวลาเอาเพื่อนรักของผม เจ้ามนุษย์ต่างดาวตัวเขียวออกมานั่งเป่าลม
กว่าจะเต็มตัวเล่นเอาเหนื่อยอยู่เหมือนกัน เพราะดันไม่ได้เอาที่สูบลมมา
เจ้าเพื่อนตัวเขียวของผมนี่ทำผู้คนแตกตื่นเหมือนกันนะ ก็สีเด่นซะขนาดนี้
หลังจากนั่งดื่มด่ำบรรยากาศชมวิวด้านบนกิ่วลม พวกเราก็ลงมานอนพักกันที่แคมป์
เพื่อทานอาหารกลางวันและพักผ่อนเอาแรงเพราะ เดี๋ยว 4 โมงก็จะต้องเดินขึ้นไปยอดดอย
เพื่อรอถ่ายภาพแสงเย็นกันอีกแล้ววว ซึ่งวันนี้พวกเราตั้งใจว่าจะอยู่รอถ่ายทางช้างเผือกเลย
แล้วค่อยเดินลงมาทีเดียวตอนมืดๆ ซึ่งถ้าไปกันหลายคนก็น่าจะปลอดภัยอยู่แหละ
พอได้เวลานัดหมายเราเริ่มเดินขึ้นจากแคมป์ที่พัก ไปจนถึงยอดดอยใช้เวลาประมาณ 40-50 นาที
เดินไปพักไป แวะถ่ายรูปดอกไม้ไป แดดก็ค่อนข้างร้อน แต่เพื่อวิวด้านบนก็ต้องฮึด ฮ่าๆ
และก็ไม่ลืมหิ้วเจ้าตัวเขียวขึ้นไปเที่ยวข้างบนด้วย
ถึงยอดดอยผมจัดแจงเดินหามุมตั้งกล้องรอและนั่งชมวิวบนยอดดอยไปเรื่อย
เสนอหน้าจริง ๆ
จนมาถึงช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า มันสวยมากกกกกกก
พระอาทิตย์ที่กำลังตกหลังยอดดอยสามพี่น้องมันสวยงามสมคำร่ำลืมจริงๆ
วินาทีนั้นผมตั้งกล้องให้ถ่าย Time lapse ไว้และนั่งมองวิวข้างหน้าจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป
ท้องฟ้าเริ่มมืด พระอาทิตย์ลับฟ้าไปหลงเหลือแต่แสงสีแดงส้มที่เส้นขอบฟ้า
ดวงดาวบนท้องฟ้าเริ่มสว่างและจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆมาทดแทน
ผมเล็งไปยังจุดที่เคยถ่ายทางช้างเผือกเมื่อวานและก็นั่งถ่ายอยู่สักพัก
มันเป็นอะไรที่ฟินสุดๆจริงๆ ถึงแม้อากาศจะค่อนข้างหนาวก็ตาม
แต่ก็ได้ภาพทางช้างเผือกมาสมใจ
ก่อนเดินลงก็ขอภาพหมู่สักรูป
เช้าวันที่สาม เรานัดกันตอนตี 5 และเริ่มเดินขึ้นสู่ยอดดอยเหมือนเดิม
แน่นอนต้องไปให้ทันแสงเช้า แต่เวลาก็เหลือๆ เราเดินกันชิลๆไปถึงก็มีคนอยู่ประปราย
จัดแจงตั้งกล้องรอ วิวฝั่งนี้เป็นวิวอำเภอเชียงดาว ซึ่งเช้านี้มีทะเลหมอกสวยงามมากๆ
ผมถ่ายเพลิน จนเมมเต็มเลยทีเดียว แต่ก็ได้ภาพที่ตั้งใจไว้
เป็นอันจบทริปที่ตั้งใจมาถ่ายภาพที่อยากได้ทุกมุม สุดฟินจริงๆ
ได้เจอทั้งแสงเช้า แสงเย็น ทางช้างเผือก ทะเลหมอก ดอกเทียนนกแก้ว ฯลฯ
เรียกได้ว่าเป็น Trip ที่ Perfect สุดๆ จริงๆ คุ้มค่าแก่การเดินขึ้นมามากๆ
ก่อนลงผมก็ไม่พลาดที่จะถ่ายกับป้าย ที่เพิ่งเปลี่ยนป้ายใหม่ปีนี้เอง
ลงจากยอดดอยมาที่แคมป์เราทานอาหารเช้ากันสักพัก
และเริ่มเดินลงประมาณ 9 โมงนิดๆ ซึ่งขากลับเราจะกลับลงทางปางวัว
ที่ขึ้นชื่อว่าชันและลื่นมากๆ
แต่ก็สนุกดี มีวิ่งลงเป็นบางช่วง ระหว่างทางก็เจอนักท่องเที่ยวเดินสวนขึ้นมาพอสมควร
ซึ่งไม่ต้องบอกนะว่าหน้าตาแต่ละคนจะเหนื่อยแค่ไหน ขนาดเดินลงยังลำบากเลย
เรามาถึงจุดขึ้นรถตรงปางวัวประมาณ 11.40 ใช้เวลาเดินลงประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ
มีรถมารอรับอยู่เป็นสิบๆคันเลย
ถึงแคมป์ที่อาบน้ำด้านล่างพวกเรารีบอาบน้ำแต่งตัว กินข้าว
หัวหน้าทริปใจดีพาไปแช่ออนเซ็นแถวนั้นก่อนกลับ เสร็จแล้วนั่งรถกลับ กทม.
เป็นอันจบทริป ดอยหลวงเชียงดาว ที่สมบูรณ์แบบและฟินสุดๆจริงๆ
แนะนำเลยครับใครที่ยังมีแรงกาย แรงใจ ลองไปสักครั้งในชีวิต
.
.
.
" ดอยหลวงเชียงดาว ... ดินแดนสวรรค์ที่มนุษย์ต่างดาวยังต้องไป "
.
.
ใครชอบท่องเที่ยวติดตามพูดคุยกันได้ที่เพจนะครับ
>
https://www.facebook.com/yaktieowtamma/ <
ค่าใช้จ่ายทั้งทริป
- ค่าทัวร์คนละ 4100 รวมทุกอย่าง (ยกเว้นค่าลูกหาบส่วนตัว)
- ค่าลูกหาบ 450 บาท/1 วัน / สัมภาระ 20 กิโล ( 3 วันก็ 1,350/สัมภาระ 20 โล )
- ผมกับแฟนแบกของเองเลยไม่เสียค่าลูกหาบ
อุปกรณ์ถ่ายภาพ
Fujifim XT10
Lens Samyang 12 mm
Lens Fujinon 50-230 mm
Lens Fujinon 23 f 2
Lens Fujinon 60 f2.4 macro
ปล. รูปบางรูปขอจากเพื่อนร่วมทริป
รีวิวอื่นๆ
>ผาหินกูบ< |.. บุกป่า ฝ่าดงทาก ลากสังขารไปนอนบนหินใหญ่ ..|
ทิ้งความวุ่นวาย . . . ไป Slow Life ใกล้เมืองกรุงที่ . . > อ่างเก็บน้ำหุบเขาวง <
> บ้านสวนจันทิตา < . . . สัมผัสธรรมชาติง่ายๆที่อุทัยฯ ทริปสบายๆไม่ต้องการวันลา
| เวียงจันทร์-วังเวียง | 5 วัน 4 คืน เที่ยวสุดฟิน กินสุดเพลิน จนไม่มีตังค์เหลือ
| > ๑ วันที่บางกะเจ้า <| ปั่นไปกินจนพุงยื่น อากาศสดชื่นจนเต็มปอด
ม่อนจุก
วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 10.12 น.