สำหรับฤดูกาลแห่งใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น คนไทยส่วนใหญ่น่าจะเลือกเดินทางไปในเดือนพฤศจิกายนหรือต้นธันวาคม เพราะเป็นช่วงที่เมืองใหญ่อย่างโตเกียว, เกียวโต หรือโอซาก้ากำลังสวยพอดีและการเดินทางก็ไม่ยากนักเพราะรถสาธารณะสามารถเข้าถึงได้เป็นส่วนใหญ่ … แต่สำหรับผมชอบแนวธรรมชาติมากเป็นพิเศษ จึงมองหาแหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสีตามภูเขามากกว่าในวัดหรือศาลเจ้าที่ส่วนใหญ่จะมีคนเยอะมากในช่วงเทศกาลแบบนี้

ปลายเดือนตุลาคมระหว่งวันที่ 22-29 ถูกเลือกเป็นช่วงเวลาเดินทาง เพราะติดวันหยุดนขัตฤกษ์ช่วยประหยัดวันลาคนทำงานประจำอย่างผม … และเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสีสำหรับเทือกเขาหลายแห่งของญี่ปุ่น โดยหลักๆ คือภูมิภาคโทโฮคุซึ่งอยู่ตอนบนของเกาะฮอนชู แต่เนื่องจากผมเคยไปมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 2557 การเดินทางไปชมใบไม้เปลี่ยนสีครั้งนี้จึงเลือกบริเวณใกล้ๆ กับ Japan Alps แทน โดยช่วงแรกของทริปซึ่งจะเล่าให้ฟังในรีวิวนี้ ผมปักหลักพักอยู่ที่เมืองคารุอิซาว่า (Karuizawa) แล้วเช่ารถขับเที่ยวบริเวณข้างเคียง งานนี้มีทั้งหลงทาง,ผิดหวังและโคตรสมหวัง ติดตามกันได้เลยครับ

ก่อนออกเดินทางฝากช่องทางติดตามผลงานด้วยครับ

เหมือนหลายๆ ทริปต่างประเทศที่ผ่านมาครับ การเดินทางของผมเริ่มจากภูเก็ต ต้องมาต่อเครื่องที่สุวรรณภูมิ ความยากอย่างหนึ่งก็คือถ้าต้องเดินทางออกจากไทย flight เช้า ผมต้องเดินทางมาจากภูเก็ตล่วงหน้าหนึ่งวัน เพราะถ้าเลือกออกเดินทางจากภูเก็ตเช้าตรู่แล้วต่อเครื่องเลยมันสุ่มเสี่ยงต่อการตกเครื่องกรณีมี delay ของ flight แรก … ในเมื่อมาถึงก่อนก็มีโจทย์ต่อมาคือต้องหาที่พักครับ จะนั่งรถ taxi เข้าไปพักในเมืองแล้วกลับมานอนเช้าก็เสียเวลา ดีไม่ดีเหนื่อยพอกับมาจากภูเก็ต เคยลองใช้บริการห้องพักประเภทตู้นอนในสนามบินแต่นอนไม่ค่อยหลับเพราะได้ยินเสียงประกาศในสนามบินทั้งคืน เคยลองที่พักห่างสนามบินไปหน่อยก็เจอปัญหาคล้ายกันคือได้ยินเสียงรถตลอด … งานนี้เลยลองนอนที่โรงแรมในสนามบินซะเลย ซึ่งทีแรกก็หวั่นๆ ว่าจะได้ยินเสียงเครื่องบินขึ้นลงตลอดคืน … ที่ไหนได้ การเข้าพักที่ Novotel Suvarnabhumi Airport สะดวกสบายมากๆ ห้องพักกว้างขวางและเงียบดีพักผ่อนเต็มอิ่มเลย แม้ราคาจะสูงกว่าที่พักขนาดเล็กใกล้สนามบิน แต่ถ้าเทียบกับมาตรฐานและการบริการที่ได้รับแล้วถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับราคาครับ

เช้าวันเดินทาง หลังจากอิ่มจากอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว เราก็ใช้บริการรถ shuttle bus ไปลงที่ประตูทางเข้าใกล้กับเคาท์เตอร์สายการบิน Hong Kong airlines ที่เราใช้บริการสำหรับทริปนี้ โดยเราจะไปเปลี่ยนเครื่องที่ Hong Kong ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปยังสนามบินนาริตะของญี่ปุ่น


เนื่องจากเราพักในสนามบิน ทำให้การมาถึงเคาน์เตอร์ check in เร็วกลายเป็นเรื่องที่ไม่เหนื่อยเกินไป งานนี้เลยถูกอกถูกใจสาวๆ ที่ได้เวลาช็อปปิ้งของใน duty free เพิ่มขึ้น (แอบเอาใจก่อน เพราะเดี๋ยวจะพาไปเข้าป่า อิอิ) … ช็อปเสร็จก็มารอขึ้นเครื่องครับ


การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังฮ่องกงนั้นใกล้มากครับ แค่สองชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว ใน flight นี้มีผู้โดยสารแน่นเครื่องเลย … สำหรับผมนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสใช้บริการสายการบิน Hong Kong airlines



ขั้นตอนการสาธิตเรื่องความปลอดภัยของ Hong Kong airlines ใช้เป็นภาพยนต์การ์ตูนนะครับน่ารักดี เหมือนจะไม่เคยเห็นเจ้าไหนทำนะ ดูได้จาก LCD ประจำที่นั่งเลย


โชคดีมากครับที่วันนี้อากาศแจ่มใส (หลังจากที่พายุไต้ฝุ่นเพิ่งผ่านไปไม่กี่ชม.) ผมก็เลยได้ enjoy กับวิวริมหน้าต่างไปพร้อมๆ กับอาหารมื้อเช้า (อีกรอบบนเครื่อง 555) ซึ่งของผมเป็นข้าวแกงเขียวหวานไก่ อันที่จริงผมรู้สึกรสชาติออกไปทางพะแนง อร่อยถูกปากดีครับ


สนามบินฮ่องกงเป็นอีกตัวอย่างที่ผมชอบในเรื่องการบริหารพื้นที่ เพราะนำระบบการขนส่งลงไปไว้ใต้ดิน ทำให้พื้นที่ผิวดินสามารถใช้เป็นถนนสำหรับวิ่งของเครื่องบินได้ นอกจากนี้ยังทำให้ทัศนวิสัยดีด้วย ส่วนบริเวณ hall ตรงเกตเข้าเครื่องก็โปร่งดีครับ


Flight จากฮ่องกงไปยังนาริตะของผมเป็นช่วงบ่ายๆ ครับ ระยะเวลาการบินราว 4 ชั่วโมง นานกว่าจากเมืองไทยไปฮ่องกงเล็กน้อย ซึ่งตอนเครื่องขึ้นได้เห็นภาพสะพานใหม่ที่เชื่อมฮ่องกงกับมาเก๊าด้วย ต้องบอกว่ามันยิ่งใหญ่จนตะลึงเลย ตัวสะพานทอดยาวสุดลูกหูลูกตากว่า 50 กม. ดูจากสายตาแล้วน่าจะเสร็จเร็วๆ นี้แน่นอน ไม่รู้ว่านี่จะเป็นอีกสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคใหม่หรือเปล่า


บินได้สักครู่ก็ได้ชมแสงสุดท้ายของวันจากบนฟ้า เป็นอะไรที่ชอบมากๆ เลย

เครื่องของเราลงที่สนามบินนาริตะตามกำหนดเวลา … หลังจากผ่านขั้นตอนรับกระเป๋าและตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็ออกไปรอรถ Shuttle bus ของโรงแรม Narita Gateway Hotel ที่เราจองไว้ … โดยตามแผนแล้วพรุ่งนี้เช้าเราจะกลับมาที่สนามบินอีกครั้งเพื่อแลกตั๋ว JR ที่ซื้อจากเมืองไทยเป็น JR East Pass โซน Nagano, Niigata ซึ่งสามารถใช้ได้ 5 วันแบบไม่ต้องต่อเนื่องภายในกรอบเวลา 15 วัน

เรารอรถที่ป้ายหมายเลข 26 โดยรถจะมาทุกๆ 30 นาทีโดยประมาณ มีบริการตั้งแต่เช้าจนถึงราว 5 ทุ่ม (แล้วแต่ว่าเป็น terminal ไหน) ซึ่งจากสนามบินไปยังโรงแรม Narita Gateway ก็ใช้เวลาราว 15 นาทีเท่านั้น นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีเลยครับสำหรับคนที่มองหาที่พักใกล้สนามบินเพื่อเดินทางใน flight เช้าหรือมาถึงตอนดึกไม่สามารถแลก JR Pass ได้ทัน ที่สำคัญราคาห้องพักของ Narita Gateway ก็ถือว่าไม่แพงนะครับ

หลังจากมื้อเช้าแล้ว เราก็ขึ้นรถ shuttle bus ตามรอบที่จองไว้ตั้งแต่ตอน check in เพื่อเดินทางกลับไปยังสนามบินนาริตะ … เมื่อมาถึงอาคารผู้โดยสาร เห็นคิวยาวๆ ก็รู้เลยว่านี่แหละคือแถวที่เราต้องไปต่อเพื่อแลก JR Pass

หลังจากแลกบัตรเบ่ง JR Pass เรียบร้อย เราก็เดินทางด้วย Narita Express (NEX) เข้าสู่โตเกียว จากนั้นจึงต่อ Shinkansen ไปยังเมืองที่พักของเราสำหรับ 3 คืนแรกที่คารุอิซาว่า (Karuizawa) วันนี้สรุปว่าได้ใช้ JR Pass คุ้มแล้ว อิอิ

ที่ผมเลือก Karuizawa เป็นเมืองที่พัก และเป็น hub สำหรับเดินทางเพราะอยู่ไม่ไกลจากโตเกียว สามารถใช้ JR pass เดินทางด้วย Shinkansen มาถึงที่นี่โดยใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น ที่นี่มี Outlet ขนาดใหญ่ที่ใครมาก็ต้องชอบเพราะมีของให้เลือกซื้อเยอะ ทั้ง Inter และ Local brand ที่สำคัญ Outlet ที่ชื่อ Karuizawa Prince Shopping Plaza แห่งนี้อยู่ติดสถานีรถไฟ JR เลย … เรียกได้ว่าลงรถไฟปุ๊บก็เริ่มช็อปกันได้เลยไม่ต้องเสียเวลา … สำหรับแหล่งท่องเที่ยวภายในเมืองนอกจาก Outlet และถนนสวยๆ แล้วก็ยังมี Kumoba pond ซึ่งเป็นบึงสาธารณะที่จะตระการตาไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายนของทุกปี นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางไปชมแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและออนเซ็นตามเมืองใกล้เคียงอย่าง Gunma, Nagano ได้อย่างสะดวกอีกด้วย

บรรยากาศที่สถานี JR Karuizawa … ด้านซ้ายมือคือ Outlet ที่ชื่อ Karuizawa Prince Shopping Plaza

อีกอย่างที่สำคัญมากคือ โรงแรม Karuizawa Prince Hotel West ที่เราเลือกพักนั้นบรรยากาศดีมาก ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนสนและเมเปิ้ล แถมห้องกว้างขวางราคาประหยัดกว่าที่พักระดับเดียวกันในโตเกียว บรรยากาศนี่บอกได้เลยว่าเป็นโรงแรมในฝันจริงๆ ที่สำคัญอยู่ติดกับ Outlet นี่แหละเพราะเป็นเจ้าของเดียวกัน งานนี้เลยพักยาว 3 คืนเลย


ที่สุดแห่งความสะดวกคือทาง Prince Hotel มีห้องรรับรองลูกค้าอยู่บริเวณทางเข้า outlet เลย สามารถฝากกระเป๋าระหว่างเดิน shopping ใน outlet ได้ นอกจากนี้รถ shuttle ที่วิ่งบริการระหว่างโรงแรมกับ outlet ก็อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรเอง งานนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของนักช็อปจริงๆ

ห้องรับรองลูกค้า อยู่ตรงทางเข้า outlet เลยจ้า … สุดแสนจะสะดวกสบาย

ท่าขึ้น Shuttle bus อยู่ห่างจากห้องรับรองของ Prince Hotel นิดเดียว


แต่ภาระกิจเราครั้งนี้ต้องมาตามล่าใบไม้แดงนี่นา … ว่าแล้วก็ฝากกระเป๋าไว้แล้วเดินไปฝั่งตรงข้ามเพื่อหาเช่าจักรยานปั่นชมเมืองคารุอิซาว่าสักหน่อย โดยจุดหมายอยู่ที่ Kumoba pond ซึ่งเป็นบึงสาธารณะชื่อดังของคารุอิซาว่า

เส้นทางปั่นจักรยานสู่บึง Kumoba ร่มรื่นสวยงาม

เราปั่นจักรยานกันไปเรื่อยๆ โดยใช้ Navigator ของมือถือ ซึ่งทริปครั้งนี้เลือกบริการ Pocket WIFI จากทาง WIFI Bank ซึ่งสัญญาณก็ไม่แตกต่างจากยี่ห้ออื่นเพราะใช้ network เดียวกัน ตัวเครื่องหรือการใช้งานต่างๆ ก็คล้ายกัน แต่ยอมรับว่าเจ้านี้ติดต่อสะดวกและให้ความช่วยเหลือเวลามีคำถามรวดเร็วมากครับ

วกกลับมาที่การปั่นจักรยานชมเมืองของเรา … เมืองคารุอิซาว่าถือเป็นเมืองใหม่ บ้านเรือนสวยเรียบร้อยสะอาดตาและค่อนข้างแตกต่างจากบ้านทั่วไปของชาวญี่ปุ่น จะว่าไปอารมณ์เหมือนบ้านทางยุโรปด้วยซ้ำ ทั้งนี้เพราะที่นี่เป็นเมืองตากอากาศนั่นเอง การตกแต่งประดับประดาของบ้านเรือนและร้านรวงจึงดูน่ารักเป็นพิเศษ

ยิ่งปั่นจักรยานเข้าไปใกล้ Kumoba pond เราก็เริ่มเห็นบ้านตากอากาศหลังใหญ่ของเศรษฐีญี่ปุ่นมากขึ้น บ้านเหล่านี้จะอยู่ท่ามกลางสวนสนและเมเปิ้ล ซึ่งหากใบไม้เปลี่ยนสีพร้อมกันหมดเป็นภาพที่สวยงามมากจริงๆ … แต่ปีนี้ดูเหมือนการเปลี่ยนสีของใบไม้ที่คารุอิซาว่าจะมาช้ากว่าปกติมาก ปลายเดือนตุลาที่ปกติแล้วใบไม้จะเปลี่ยนสีเต็มเมือง ปีนี้กลับมีเพียงบางต้นเท่านั้นที่อวดสีสันสวยงาม

เราเดินทางกันไปจนถึงบึง Kumoba ซึ่งมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย และก็เป็นไปตามที่คาด ใบเมเปิ้ลรอบๆ บึงยังเปลี่ยนสีไม่มากนักเหมือนๆ กับในเขตเมืองนั่นเอง แต่บรรยากาศที่นี่ก็ยังถือว่าสวยงามน่าประทับใจอยู่ดี … ผมใช้เวลาพักใหญ่เดินเก็บภาพใบไม้เปลี่ยนสีรอบบึง

จากนั้นจึงปั่นจักรยานกลับไปคืน โดยแวะถ่ายภาพบรรยากาศของเมือง Karuizawa เป็นระยะ

ช่วงเย็นผม check in เข้าห้องพักซึ่งเป็นแบบ Cottage ที่ Karuizawa Prince Hotel West … ลักษณะห้องเป็นเรือนไม้ (ไม่อยากใช้คำว่ากระท่อม เพราะขนาดไม่ได้เล็กเหมือนกระท่อมปลายนาบ้านเรา) ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนสนและเมเปิ้ลบรรยากาศดี ภายในประดับด้วยไม้สนทำให้ดูอบอุ่นน่าพักผ่อน นอกจากสองห้องนอน แล้วยังมีห้องนั่งเล่นพร้อมโต๊ะสำหรับสังสรรค์ด้วย เหมาะกับครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนที่เดินทางร่วมกันจริงๆ … เห็นหลังใหญ่ครบเครื่องแบบนี้ ราคาเมื่อหารออกมาต่อห้องแล้วประหยัดกว่าห้องพักเดี่ยวแคบๆ ในโตเกียวอีก ผมคิดว่าการใช้เมือง Karuizawa เป็นศูนย์กลางในการท่องเที่ยว แล้วพักที่ Karuizawa Prince Hotel West เป็นตัวเลือกที่ดีและคุ้มค่ามากเลย

ค่ำวันนั้นเราเดินช็อปปิ้งกันเต็มที่แบบไม่ต้องห่วงเรื่องเวลา เพราะที่พักอยู่ติด outlet และรถ shuttle ก็มีบริการไปจนถึงช่วงเวลาปิดทำการของ outlet เลย

พูดจริงๆ Outlet ที่นี่เดินได้ทั้งวันไม่มีเบื่อครับ

เช้าวันรุ่งขึ้น เราตื่นมาเก็บภาพบรรยากาศรอบๆ ที่พักอีกครั้งด้วยความสดชื่น … อากาศวันนี้เย็นกำลังสบาย ท้องฟ้าปลอดโปร่งชวนให้ถ่ายภาพกันจนเพลิน โปรแกรมวันนี้จึงเริ่ม late กว่าที่กำหนดไว้พอสมควร


ตื่นมาเจอบรรยากาศแบบนี้ใครจะอดใจไหว ถ่ายภาพสิคร้าบ

นี่เลยที่พักเรา

มื้อเช้าวันแรกที่ Karuizawa Prince Hotel West เป็นที่ถูกอกถูกใจของทุกคนเพราะอาหารหลากหลายและวัตถุดิบดีมาก เล่นเอาเช้าวันนั้นท้องตึงกันเลยทีเดียว ... ไม่เคยเจอเบคอนกับแฮมชิ้นหนาๆ แบบที่นี่มาก่อน มันเต็มคำมาาาก

จากโรงแรมเราเดินไปหน้าสถานีรถไฟเพื่อรับรถที่ศูนย์รถเช่าของ Nissan ซึ่งก็หาไม่ยากครับ อยู่ห่างจากสถานีรถไฟแค่ 1-2 นาทีเท่านั้น … รถที่เช่ารอบนี้เป็นแบบ Nissan Wing Road ภายในกว้างขวาง นั่งกัน 5 คนสบายๆ และมีที่วางสัมภาระด้านหลังกว้างทีเดียว คะเนคร่าวๆ คงจะวางกระเป๋าเดินทาง 24 นิ้วได้ราว 4-5 ใบ ดังนั้นถ้าใครหารถเช่าที่ราคากลางๆ และมีพื้นที่เก็บกระเป๋า รถรุ่นนี้น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีเลย สำหรับค่าเช่าตกวันละ 7722 เยน หรือราว 2625 บาทโดยจองผ่าน toocoo ครับ … อ้อ จองผ่านเวปนี้จะมีค่าบริการอีกวันละ 810 เยนนะครับ แต่รวมๆ แล้วก็ยังถูกกว่าจองตรงกับทางเวปบริษัทรถเอง

แผนการเดินทางของเราเริ่มช้ากว่าที่ตั้งไว้ราวชั่วโมงเศษๆ โดยจุดหมายแรกของวันนี้คือสะพาน Megane-bashi (พิกัด 36.35805, 138.69827) ที่อยู่ห่างออกไปจากเมือง Karuizawa ไม่มากนัก ใช้เวลาขับรถวนเวียนไปตามไหล่เขาสักพักก็ถึงที่จอดรถของสะพาน Megane ตั้งอยู่ริมทางเห็นได้ชัดเจน จากที่นี่เดินเลียบถนนไปอีกราว 5 นาทีจะเห็นสะพานอิฐตั้งตระหง่านอยู่ริมทาง …

น่าเสียดายที่ใบไม้ ณ จุดนี้เพิ่งเริ่มจะเปลี่ยนสี เราจึงได้เพียงเก็บภาพสะพานพาดผ่านระหว่างภูเขาสีเขียวสดใสแทน ถ้าเรามาหลังจากนี้สัก 2-3 สัปดาห์คงอยู่ท่ามกลางภูเขาสีเหลืองทองเป็นแน่


เดินขึ้นไปชมด้านบนสะพาน วิวสวยใช่เล่น

ใช้เวลาอยู่ที่นี่พักใหญ่ก็เดินกลับครับ ... จุดหมายถัดไปของเราคือ Fukiwar Falls ในจังหวัด Gunma (พิกัด 36.70191, 139.20687) ซึ่งเราใช้ทางด่วนเพื่อให้เดินทางรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นจนได้เพราะเมื่อ GPS บอกให้ลงจากทางด่วนปรากฎว่าทางออกนั้นอนุญาตให้เฉพาะรถที่มี ETC card (บัตรตัดเงินค่าทางด่วน) เท่านั้นที่สามารถใช้ได้ เราจึงต้องขับต่อไปอีกไกลกว่าจะลงจากทางด่วนได้ ทำให้เสียเวลาไปอย่างมาก

แวะพักระหว่างทาง

กว่าจะเดินทางถึงน้ำตกก็บ่ายแก่ๆ แล้ว พระอาทิตย์เริ่มลับลงหลังเขา แม้จะเวลาเพิ่งจะ 4 โมงเศษแต่บรรยากาศดูเหมือน 5-6 โมงเย็นบ้านเรา

ที่น้ำตก Fukiware ใบไม้ก็ยังไม่เปลี่ยนสีสักเท่าไหร่ แถมแดดไม่มีเลยไม่ค่อยได้ภาพสวยอย่างใจนัก

อันที่จริงวันนี้มีโปรแกรมต้องขึ้นกระเช้าและแวะ Onsen ชื่อดังสองแห่งในจังหวัดกุนมะ สำหรับการถ่ายภาพลืมไปได้เลยเพราะต้องขับรถไปอีกราวหนึ่งชั่วโมงซึ่งแสงคงไม่เหลือแล้ว แต่เพื่อนอยากแช่น้ำพุร้อน ก็เลยขับต่อไปยัง Takaragawa Onsen (พิกัด 36.84788, 139.04776) ท่ามกลางความมืดของเส้นทาง เพราะ Onsen แห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาของเมืองกุนมะ … แต่แล้วก็ต้องผิดหวังซ้ำเมื่อพบว่า Onsen หมดเวลาให้บริการแล้ว ทำให้เราต้องขับรถกลับ Karuizawa แบบเสียมิได้เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศหนาวกว่าเมื่อวานมากจนเกิดน้ำค้างแข็งบนยอดหญ้าใกล้ๆ ที่พักของเรา ฟ้าช่วงเช้าใส แต่พยากรณ์บอกว่าช่วงบ่ายฝนจะตก … ผมก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้พยากรณ์แม่นยำเลย เพราะวันนี้เราจะเดินทางไปยัง Kamikochi (คามิโกจิ) หนึ่งในไฮไลต์ของทริปนี้สำหรับผม

วันนี้เรายังคงใช้รถเช่าเช่นเดิม ผมป้อนชื่อของจุดขึ้นรถบัสเพื่อเข้าชม Kamikochi ที่ชื่อ Sawando เข้าไปใน GPS … ปรากฎชื่อ Sawando Station ขึ้นมา ไม่รอช้าตั้งเป็นจุดหมายของการเดินทาง ซึ่งใช้เวลาราว 3 ชั่วโมงเศษ โดยเดินทางผ่านภูเขาและเมือง Matsumoto ไปทางฝั่งที่เป็น Japan Alps (คามิโกจิไม่อนุญาตให้นำรถส่วนตัวขึ้นไป ต้องใช้รถบัสหรือแท็กซี่ท้องถิ่นเท่านั้น โดยรถยนต์ส่วนบุคคลสามารถจอดรถแล้วเปลี่ยนขึ้นรถบัสได้ที่ Sawando bus stop )

เส้นทางที่เราเลือกนั้นเป็นทางสายปกติไม่ใช่ทางด่วน ระยะทางนั้นใกล้กว่าไปด้วยทางด่วนมาก แต่เสียเวลากับการต้องติดไฟแดงตามหมู่บ้านเล็กๆ พอสมควร อย่างไรก็ตามวิวสองข้างทางนั้นสวยกว่าวิ่งบนทางด่วนแน่นอน …

ยิ่งใกล้จุดหมายฟ้ายิ่งครึ้ม แต่ก็เริ่มเห็นใบไม้เปลี่ยนสีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความหวังที่ผมจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีแบบพีคที่คามิโกจิแจ่มชัดขึ้นมา

ผ่านเมือง Matsumoto มาได้สักพัก GPS บอกระยะทางที่เหลืออีกไม่กี่กิโลเมตร ผมเริ่มเอะใจว่าทำไมเรากำลังวิ่งผ่านเมืองใหญ่ ทั้งๆ ที่เส้นทางซึ่งผมศึกษามานั้นอยู่ในหุบเขา แทบไม่มีเมืองใหญ่เลย ผมรีบเปิดมือถือเพื่อดูเส้นทางอีกครั้ง … แทบจะเป็นลม เรามากันผิดทาง จุดหมายที่ผมป้อน Sawando station กับ Sawando bus stop นั้นเป็นคนละที่กัน ที่ถูกต้องห่างไปราว 60 กม. แต่ต้องใช้เวลาเดินทางข้ามภูเขาจากจุดนี้ไปกว่า 2 ชั่วโมง!

ไม่มีทางเลือก เรามุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ Google map แนะนำเพราะใกล้ที่สุดแล้ว … เส้นทางนี้ตัดผ่านภูเขาสลับซับซ้อนที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีอย่างสวยงามมากๆ แต่เราหยุดรถถ่ายภาพได้แค่จุดสองจุดเท่านั้นเนื่องจากเสียเวลาไปมากแล้ว …

มาถึงจุดที่ขึ้นรถบัสก็ราวบ่ายโมงเศษ ช้ากว่าแผนการราว 2 ชม. เราหาร้านอาหารอยู่พักนึงก็เจอร้านหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ร้านที่เปิดทำการในวันนี้ … หลังจากสั่งอาหารเที่ยงแล้วก็ปรึกษากันว่าหากนั่งรถบัสคงเสียเวลาแน่เพราะต้องรอรอบรถอีก .. ผมเห็นว่าเจ้าของร้านบะหมี่ที่เราทานสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีเลยให้เธอช่วยคุยกับคนขับแท็กซี่ว่าเราต้องการเหมารถทั้งขาไปและขากลับ แต่อยากให้จอดเพื่อถ่ายภาพตามจุดที่สำคัญด้วย … อาจเป็นเพราะวันนี้ไม่ใช่วันหยุด คนเที่ยวน้อย คนขับแท็กซี่ก็เลยตกลง โดยคิดราคาเท่ากับการเดินทางไป–กลับโดยไม่ชาร์จค่าที่ต้องหยุดรถและรอเรา … จะว่าไปการเดินทางแบบนี้นอกจากจะสะดวกรวดเร็วกว่าบัสแล้ว ยังประหยัดกว่าด้วย เพราะถ้านั่งรถบัสจะต้องเสียค่ารถเที่ยวละ 1000 Yen ต่อคน พวกเราไปกัน 5 คนต้องจ่ายค่าตั๋วรถบัส 5000 Yen ต่อเที่ยวในขณะที่นั่งรถแท็กซี่จ่ายราคาเหมาเที่ยวละ 4200 Yen เท่านั้น

บรรยากาศที่ Sawando ใกล้ทางขึ้นคามิโกจิสวยงามจับใจ … นักท่องเที่ยวสามารถฝากรถเพื่อเปลี่ยนขึ้นบัสหรือแท็กซี่ได้ที่บริเวณนี้

เราทานอาหารเที่ยงเสร็จก็จัดแจงฝากรถไว้กับร้านที่เราทานอาหาร โดยค่าจอดรถจะอยู่ที่ 600 Yen เท่ากับร้านอื่นๆ แถบนั้น


รถแท็กซี่ค่อยๆ นำเราผ่านเส้นทางที่โอบล้อมด้วยภูเขา สองข้างทางใบไม้กำลังเปลี่ยนสีเต็มที่ เส้นทางนี้เลียบลำธารและมีน้ำตกไหลลงสู่ธารน้ำเป็นระยะสวยงามมาก ๆ เสียดายที่ฝนตกและการถ่ายภาพจาก taxi ไม่ค่อยสะดวกนัก … คนขับก็เหมือนจะรู้ใจหยุดให้เราถ่ายภาพตรงจุดที่มีไหล่ทางให้พอจอดได้ แต่เนื่องจากฝนหนาเม็ดเราจึงทำได้เพียงเก็บภาพไว้เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

ขับมาไม่นานก็ถึงจุดที่เป็นทางขึ้นคามิโกจิ ซึ่งจากจุดนี้ไปจะอนุญาตให้เฉพาะรถบัส, taxi และรถในพื้นที่เท่านั้นที่สามารถขึ้นไปได้ … รถค่อยๆ ขับผ่านถนนสายแคบๆ สลับอุโมงค์ มีสองข้างทางเป็นธรรมชาติที่สวยสุดบรรยาย และแน่นอนใบไม้กำลังเปลี่ยนสีได้ที่พอดี

รถ taxi จอดให้เราได้ลงถ่ายภาพอีกครั้งที่ Taisho Pond ซึ่งเป็นบึงขนาดใหญ่ รายล้อมด้วยต้นสนสีเหลืองทอง มีฉากหลังเป็นภูเขาสูงที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีเช่นกัน

ถ่ายภาพสักพักรถก็นำเราเดินทางต่อ ซึ่งผมกับเพื่อนคนหนึ่งเลือกลงที่ Teikoku bus stop เพื่อเดินถ่ายภาพเลียบแม่น้ำ Azusa ไปจนถึงสะพาน Kappa (Kappabashi) ส่วนผู้หญิงกับเด็กให้รถ taxi ไปส่งที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เนื่องจากฝนตกตลอดเกรงว่าจะไม่สบายกัน


เราเดินเท้าจาก bus stop ไปยังสะพาน Tashiro ที่ทอดข้ามแม่น้ำ Azusa … ตั้งแต่จุดนี้เราเดินเลียบแม่น้ำถ่ายภาพไปเรื่อยๆ … ใจจริงอยากใช้เวลากับที่นี่นานๆ เพราะทิวทัศน์ยิ่งใหญ่สวยงามเกินบรรยาย แม้ฝนจะตกจนเป็นอุปสรรคใหญ่กับการถ่ายภาพ แต่นาทีนั้นอดใจไม่ไหวจริงๆ ที่จะต้องเอากล้องออกมาถ่ายภาพพร้อมๆ กับบันทึกความรู้สึก ณ ตอนนั้นไว้ในความทรงจำ

เราเดินกันแบบเร็วๆ ลัดเลาะตามทางริมแม่น้ำไปเรื่อยๆ จนถึงสะพาน Kappa ซึ่งเป็นหนึ่งใน landmark ของ Kamikochi เนื่องจากฝนตกหมอกหนา ทำให้ไม่สามารถมองเห็นยอดเขาที่เป็นไฮไลต์ได้ชัดเจนนัก อย่างไรก็ตาม Kamikochi ก็สวยงามจนผมสัญญากับตัวเองเลยว่าต้องกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้งให้ได้

เรากลับมาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวใกล้ๆ กับสะพาน Kappa ตามเวลาที่นัดกับ taxi ไว้ … จากนั้นก็เดินทางลงไปที่จอดรถแล้วเดินทางกลับไปยัง Karuizawa

อันที่จริงวันนี้เรามีแผนจะเดินทางไปยัง Hirayu onsen ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก แต่เนื่องจากเสียเวลาไปมากจากการหลงทาง เราจึงจำใจต้องตัดออกจากโปรแกรม แล้วมุ่งหน้ากลับที่พักในเมือง Karuizawa …. สำหรับเส้นทางขากลับผมเลือกใช้ทางด่วนเพราะค่ำแล้ว หากใช้เส้นทางเดิมมีหวังต้องขับท่ามกลางความมืดกัน 4-5 ชั่วโมงแน่ๆ ทั้งช้าและอันตราย … ส่วนการใช้ทางด่วนทำให้เราทำเวลาได้ดี และสามารถนำรถไปคืนได้ทัน 2 ทุ่มตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้

ทริปวันนี้แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ผิดหวังเลยกับสิ่งที่ได้เจอ ทำให้คืนนี้เป็นอีกคืนที่นอนหลับฝันดีตลอดคืน

วันรุ่งขึ้นหลังจาก check out แล้วผมกับครอบครัวของเพื่อนจะแยกกันเที่ยว โดยผมจะไปนิกโก้ (Nikko) ส่วนเพื่อนไปโตเกียว (Tokyo) โดยมีนัดเจอกันอีกครั้งที่โตเกียวในอีกสองวันถัดไป … สำหรับตอนแรกของรีวิวใบไม้เปลี่ยนสีมันดีต่อใจขอจบเพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้ากับใบไม้เปลี่ยนสีแบบพีคๆ ที่นิกโก้ครับ

ก่อนจบรีวิวของฝากช่องทางติดตามผลงานอีกครั้งครับ

นายมด

 วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 12.37 น.

ความคิดเห็น