เนื่องจากว่าตามกลุ่มต่างๆที่ผมอยู่นั้น มักจะพบคำถามตามหัวข้อนี้อยู่แย่ะมากๆ ผมก็เลยขอทำเป็นบทความ ที่พยายามจะทำให้สั้น และได้ใจความที่สุดน๊ะครับ
ปล. ผมมีประสบการณ์เดินขึ้นแค่ 3 ครั้ง ในช่วงเดือนธันวาคม และมกราคมเท่านั้นน๊ะครับ
เริ่มเลยแล้วกัน
1. การเดินทาง
1.1 รถทัวร์ หรือรถสาธารณะ
โดยส่วนใหญ่แล้ว การเดินทางด้วยวิธีนี้ ทุกคนควรจะลงรถกันที่ผานกเค้า ซึ่งตรงจุดนี้นั้น จะเดินทางมาลงตอนกี่โมงก็ได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว คนที่เดินทางมาจาก กทม. นั้น ก็จะถึงที่นี่ตอนประมาณ ตี 3 - ตี 5 ซึ่งนั่นมันก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะว่า มันจะมีที่พักและร้านอาหารเอาไว้บริการที่ชื่อร้านว่า "ร้านเจ๊กิม"
ซึ่งถ้าใครมาถึงตอนประมาณตี 5 ก็จะสามารถเข้าไปล้างหน้าแปรงฟัน และก็รับประทานอาหารเช้า พร้อมทั้งต่อรถสองแถวเพื่อเข้าไปในอุทยานได้เลย
โดยถ้าคุณมาในช่วงที่เค้าฮิตๆกันในช่วง ตุลาคม - มกราคม ก็น่าที่จะรอคนเต็มได้ไม่นานนัก
1.2 รถส่วนตัว
ไม่ว่าคุณจะเดินทางมาถึงอุทยานกี่โมง คุณก็สามารถเข้าไปที่ด้านในอุทยานได้ และถ้าคุณมีอุปกรณ์เต้นท์อยู่แล้ว คุณก็จะสามารถเข้าไปกางเต้นท์ ในบริเวณลานหญ้า ที่อยู่ติดกับลานจอดรถได้เลย
และบริเวณใกล้ๆนั้น ก้จะมีห้องน้ำ ที่สามารถอาบน้ำได้แบบสะดวกสบายอีกด้วย และในส่วนของร้านอาหารนั้น จะปิดประมาณ 2 ทุ่ม
แต่ถ้าไม่มีเต้นท์มา ข้างหน้าอุทยาน ก็มีรีสอร์ทที่พักให้เลือกอยู่หลายที่
2. ลูกหาบ
ลูกหาบของที่นี่นั้น จองไม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ ถ้าคุณไม่ได้ได้เดินทางมาคนเดียว คุณก็จะต้องแบ่งกองกำลังออกเป็น 2 ส่วน ในการไปต่อแถวซื้อตั๋ว จองเต้นท์ หรือจองบ้านพัก (ซึ่งในส่วนนี้นั้น มันมักจะไม่เต็มหรอก แถมเต้นท์เอกชนของร้านค้า ก็ยังมีให้เช่าอยู่อีกแย่ะ) แต่สิ่งที่ถ้าคุณประมาท มันก็อาจที่จะเต็มได้ง่ายๆก็คือ "ลูกหาบ"
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คุณจะต้องแบ่งกองกำลัง ที่คิดว่าแข็งแกร่งที่สุดไปในภารกิจ "จองลูกหาบ" ก่อนที่คุณจะเจอป้ายสุดสยองขวัญว่า "ลูกหาบหมด"
ต่อไปผมก็จะขออธิบายขั้นตอนการจ้างลูกหาบของที่นี่ให้ฟังคร่าวๆก็แล้วกันน๊ะครับ (ขออภัยที่ผมไม่ได้ถ่ายรูปขั้นตอนเอาไว้น๊ะครับ)
2.1 กระเป๋า และสำภาระต่างๆที่จะให้ลูกหาบแบกขึ้นไปนั้น คุณจะต้องทำการแพ็คและใส่กระเป๋า เอาไว้แบบเรียบร้อยแล้ว เพราะอย่างที่บอกในตอนแรกว่า ลูกหาบของที่นี่นั้น จองไม่ได้ นั่นจึงทำให้เมื่อคุณไปต่อแถวเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระเป๋า และสัมภาระเหล่านั้น มันก็จะไปอยู่ที่ลูกหาบเลย นั่นจึงทำให้กระเป๋าและสัมภาระพวกนี้นั้น มันควรที่จะเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
2.2 เมื่อเดินไปที่ลานจองลูกหาบ คุณก็จะเจอซุ้มเล็กๆ ที่มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ ซึ่งคุณก็อาจจะไม่ได้สังเกตุซุ้มนี้ และก็เผลอเดินไปต่อแถว ที่เห็นอยู่ข้างหน้าเลย ซึ่งมันเป็นขั้นตอนที่ไม่ถูกต้อง คุณจะต้องซื้อแผ่นกระดาษเล็กๆ ที่ผูกด้วยยางวง เอาไว้ก่อน โดยแผ่นกระดาษนี้ มันจะมีราคาแผ่นละ 5 บาท และหลังจากที่คุณนั้นได้แผ่นกระดาษนี้แล้ว คุณก็จะต้องเขียนพวกชื่อและเบอร์โทรตามปกตินั่นเหลอะ และก็เอายางวงนั้น ไปรัดที่กระเป๋าหรือสัมภาระของคุณ
2.3 และนั่นจึงเป็นที่มาของสิ่งที่คุณนั้นควรจะต้องรู้อีก 1 อย่าง นั่นก็คือ กระเป๋าหรือสัมภาระ ที่คุณจะเอามาให้ลูกหาบ แบกขึ้นไปให้นั้น มันควรที่จะต้องเป็นขนาดใหญ่ ที่ใส่ของได้แย่ะๆ เพราะว่าถ้าคุณยิ่งมีจำนวนกระเป๋ามากเท่าไหร่ คุณก็จะต้องซื้อไอ้แผ่นกระดาษแผ่นละ 5 บาทนั่น ให้ครบทุกกระเป๋า และเมื่อตอนที่กระเป๋าเหล่านั้น ถูดเอาไปขึ้นชั่ง และมันมีน้ำหนักที่เป็นเศษของกิโล แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่เขียนน้ำหนักกระเป๋านั้น เขาก็จะเขียนน้ำหนักกระเป๋าแบบปัดขึ้นอยู่แล้ว นั่นจึงเป็นที่มา ที่คุณอาจจะเห็นใครบางคนนั้น ชอบเอาสายรัดเอามารัดกระเป๋าของเพื่อนๆในกลุ่ม เพื่อให้กระเป๋า 2-3 ใบนั้น มันกลายเป็นกระเป๋า 1 ใบ เพื่อความประหยัด ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นการผิดกติกาแต่อย่างใด
2.4 และถ้ายิ่งกระเป๋าของกลุ่มของคุณนั้นมีหลายชิ้น มันก็อาจมีความเป็นไปได้สูง ที่กระเป๋าของกลุ่มของคุณนั้น จะถูกพลัดพราก ให้ไปอยู่กับลูกหาบคนละคน และคุณนั้น ก็สามารถที่จะแก้ปัญหานี้ได้โดยการยืนรอตรงนั้นซักแป๊บ เพื่อดูว่า สัมภาระของพวกคุณนั้น จะไปอยู่กับลูกหาบคนไหน ซึ่งคุณนั้น ก็พอที่จะพูดคุยให้พวกเขานั้นสลับสับเปลี่ยนกันได้ เพราะว่าพวกคุณนั้น ก็จะสามารถขึ้นไปรอรับกระเป๋าได้แบบพร้อมกัน เพราะว่าลูกหาบแต่ละคนนั้น พวกเขาจะเดินได้เร็วไม่เท่ากัน
2.5 เฝ้ารอ "ชะเง้อ ชะแง้" สำหรับอาการที่เหมือนกับคนนั่งรอใครซักคนนั้น จะเกิดขึ้นเหล่านักปีนเขา ที่สามารถเดินไปถึงวังกวางได้ก่อนลูกหาบ นั่นจึงทำให้พวกเขานั้น จะเกิดอาการเหมือนกับนั่งรอแฟน ที่เมื่อไหร่เธอนั้น จะมาถึงน๊าๆๆๆ
โดยเหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาวนั้น พวกเขาก็มักที่จะชะเง้อมองทุกครั้ง ที่มีลูกหาบนั้น เนรถเข็น ที่ขนกระเป๋าจำนวนมากนั้นเข้ามาในลานรับของลูกหาบ พร้อมทั้งบ่นออกมาเบาๆว่า "มีของเราหรือเปล่าน๊าๆๆๆ"
เพราะอย่างที่บอกในตอนแรกแล้วว่า ลูกหาบแต่ละคนนั้น พวกเขาเดินเร็วช้า ไม่เท่ากัน และนั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญบางอย่าง ที่เกี่ยวกับการเลือกกระเป๋าในข้อต่อไป
3. กระเป๋าสัมภาระ
สำหรับหัวข้อนี้นั้น ค่อนข้างสำคัญมากที่คุณนั้น จะต้องทำความเข้าใจว่าคุณนั้น คือกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มใด โดยผมจะขอแบ่งนักท่องเที่ยวออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน คือ
3.1 ไม่แบกเองเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างงัย ชั้นก็จะไม่แบกเอง เพราะว่าชั้นแบกไม่ไหว หรือเหตุผลอะไรก็ตาม
นั่นจึงทำให้นักท่องเที่ยวในกลุ่มนี้นั้น ผมก็จะขอแนะนำว่า ให้เลือกใช้กระเป๋าสัมภาระแบบราคาถูก หรือไม่ก็เอากระเป๋าธรรมดา ที่กันน้ำได้ ที่มีอยู่แล้วนั่นเหลอะมาใช้ แต่มันก็จะต้องเป็นกระเป๋าที่ทนทานอยู่พอสมควรน๊ะ เพราะว่า เมื่อมันไปอยู่กับลูกหาบ พวกเขาก็จะต้องเอาสายรัด รัดกระเป๋าพวกคุณแบบแน่นหนามากๆ และของที่ใส่อยู่ในกระเป๋า มันจะต้องเป็นของที่ไม่แตกหักง่าย
ภาพของกระเป๋า เมื่ออยู่ที่ลูกหาบ
3.2 สำหรับกลุ่มนี้คือกลุ่มที่ เป็นกลุ่มที่ชื่นชอบในการเดินป่าอยู่แล้ว และพวกเขานั้น ก็มีไอเท็มราคาแพง ที่เรียกว่า "กระเป๋าเดินป่า" อยู่แล้ว ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้นั้น เมื่อพวกเขาพบกับป้าย ที่มีข้อความสุดสยองขวัญที่บอกว่า "ลูกหาบหมด" นั้น พวกเขาก็จะมีทางเลือกสุดยิ่งใหญ่ ที่เขาจะพูดออกมาว่า "กรูแบกเองก็ได้ว๊ะ"
และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ นักท่องเที่ยวมือใหม่นั้น ควรจะต้องรู้จักกับไอเท็ม "กระเป๋าเดินป่า ป่า ป่า"
และผมก็จะขออธิบายแบบสั้นๆว่า "กระเป๋าเดินป่า" กับ "กระเป๋าเป้นักเรียน" นั้น มันไม่เหมือนกัน โดยถ้าคุณนั้น มีทริปเดินป่า ที่มันเป็ทริปใกล้ๆนั้น การใช้กระเป๋าเป้นักเรียนธรรมดานั้น มันก็ไม่น่าที่จะมีปัญหาอะไร แต่สำหรับทริปการเดินป่าของภูกระดึงนั้น มันไม่ใช่ เพราะถึงแม้ว่าทุกคนนั้น จะได้ยินหลายๆคนนั้นบอกว่า การเดินป่าที่ภูกระดึงนั้น มันเป็นการเดินป่าในระดับชั้นเด็กอนุบาล ผมก็จะขอบอกกับทุกคนว่า มันเป็นข้อมูลที่ออกจะคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย เพราะคำว่าระดับอนุบาลนั้น มันหมายถึงสภาพสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบ ที่มันจะมีร้านค้าขายอาหารอย่างสะดวกสบายไปตลอดทางขึ้นเขา ที่มีระยะทางประมาณ 5.5 กิโลเมตร และเดินบนทางเรียบอีก 3.5 กิโลเมตร ซึ่งผมบอกเลยว่า โครตไกลเลยๆๆๆ
ก่อนอื่นผมขออนุญาติเอารูปมาจาก Decathlon น๊ะครับ
และก็ขอแนะนำว่า นักเดินป่ามือใหม่ ที่ยังไม่ได้มีกระเป๋าเดินป่า ก็ขอแนะนำว่า ให้ไปซื้อที่ Decathlon นั่นเหลอะครับ เพราะว่ามันมีหลายเรตราคาและขนาดให้เลือกมาก และมันก็เป็นอุปกรณ์ที่ค่อนข้างมีราคาแพง ไม่เหมาะกับการสั่งซื้อออนไลน์ครับ เพราะว่ามันจะต้องไปลองว่า มันเหมาะกับตัวเองหรือเปล่า
โดยจริงๆแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดของกระเป๋าเดินป่านั้นก็คือที่คาดเอวตามรูปเลยครับ ดังนั้นเมื่อคุณได้ไปทดลองที่ร้านแล้ว คุณก็จะต้องลองให้พนักงานนั้น เอาของหนักๆมาใส่ในกระเป๋า และเมื่อคุณนั้นรู้สึกถึงน้ำหนัก ที่กดลงบนไหล่ของคุณแล้ว ก็ขอให้คุณทดลองทำการล็อคที่คาดเอว และเมื่อคุณทำการล็อคที่คาดเอวเรียบร้อยแล้ว คุณจะต้องรู้สึกว่าน้ำหนักของกระเป๋านั้น มันหายไปครึ่งหนึ่งเลยน๊ะ และที่สำคัญ คุณจะต้องรู้สึกว่า น้ำหนักของกระเป๋านั้น มันไม่กดทับลงบนไหล่ของคุณแล้ว ก็เป็นอันจบพิธีศักดิ์สิทธิ์ในการเลือกกระเป๋า ที่อาจจะต้องอยู่บนหลังของคุณไปในอีกหลายทริปครับ
และสำหรับข้อสังเกตุในการเลือกซื้อกระเป๋าเดินป่าก็คือ มันจะมีข้อความประมาณว่า "ขนาด 50+10 ลิตร" ซึ่งไอ้ตรงคำว่า "+10" ด้านหลังก็คือ กระป๋าเดินป่าทุกใบนั้น มันมักจะมีพื้นที่เพิ่มเติมสำรองเอาไว้ ที่มันจะสามารถเอาของอะไรมาใส่เพิ่มก็ได้ และมันก็จะมีที่ปิดเป็นแบบหูรูดให้ ซึ่งข้อเสียของการใช้พื้นที่ตรงนี้ มันก็แค่จะทำให้รูปทรงกระเป๋า มันไม่ดูเท่ห์เท่านั้นเหลอะ และพื้นที่เพิ่มเติมตรงนี้นั้น มันก็เป็นพื้นที่ ที่ควรจะเอาไว้ใส่กระเป๋าน้อย ที่ผมจะพูดถึงในหัวข้อต่อไป
ปล. และสำหรับเหตุผลที่ผมบอกว่า การเลือกกระเป๋านั้น มันสำคัญที่สุดนั้น ก็เป็นเพราะว่า ในช่วงต้นปี ที่ผมไปเดินมานั้น ผมใช้กระเป๋าใส่กล้อง ที่จริงๆแล้ว มันก็ไม่ได้หนักมากเท่ากับกระเป๋าเดินป่าหรอกรับ มันน่าจะหนักแค่ 4-5 โลเองมั้ง แต่ว่ากระเป๋ามันไม่มีสายคาดเอวเหมือนกับกระเป๋าเดินป่าน่ะครับ มันก็เลยทำให้ผมปวดใหล่ไปเป็นเดือนเลยครับ ทั้งๆที่มันควรจะมีอาการปวดขาแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
4. กระเป๋าน้อย
ไอเท็มสำคัญอีก 1 อย่าง โดยสำหรับกระเป๋าน้อยนั้น จริงๆแล้วมันก็คือกระเป๋าเล็กๆ ที่เอาไว้ใส่ของกระจุกกระจิกนั่นเหลอะ เพราะถ้าคุณได้ทำการจ้างลูกหาบให้แบกสัมภาระทั้งหมดของคุณไปแล้ว คุณก็อาจที่จะมีปัญหาบางอย่าง เช่น คุณเดินขึ้นไปถึงศูนย์บริการวังกวางแล้ว แต่ลูกหาบของคุณยังเดินไปไม่ถึง ดังนั้น คุณก็จะไม่สามารถอาบน้ำได้ และการได้อาบน้ำบนภูกระดึง ในช่วงบ่ายๆ หลังจากที่คุณนั้น พึ่งเดินมาถึง มันก็น่าที่จะเป็นอะไรที่มีความสุขที่สุด เพราะว่าอย่างที่รู้ๆกันว่าการอาบน้ำบนภูกระดึง ในช่วงค่ำนั้น มันเป็นอะไรที่สุดโหด พอๆกับการเดินขึ้นภูกระดึงเลยทีเดียว
ดังนั้น สิ่งที่อยู่ในกระเป๋าน้อยนั้น นอกจากพวกยารักษาโรคต่างๆแล้ว มันก็ควรที่จะมีอุปกรณ์อาบน้ำ พร้อมทั้ง ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆเอาไว้ด้วย
และถ้าบางคนบอกว่าผ้าเซ็ดตัว มันเป็นของชิ้นใหญ่นั้น ผมก็แนะนำว่า ที่ Decathlon นั้น มันมีผ้าเช็ดตัวสำหรับนักเดินป่าผืนใหญ่ ที่เมื่อเวลาพับแล้ว มันเล็กมากๆขายอยู่
ขอขึ้นภาพเลยแล้วกัน
และสำหรับกระเป๋าน้อยนี้นั้น มีนเป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะต้องมีสำหรับนักท่องเที่ยวทั้ง 2 กลุ่มจากหัวข้อที่ผ่านมาน๊ะ และมันก็จะต้องถูกใส่เอาไว้ที่ส่วนบนสุดของกระเป๋าเดินป่า เพราะว่ามันเป็นบริเวณที่สามารถเอาออกมาจากกระเป๋าได้ง่ายที่สุด นั่นก็หมายความว่า ถ้าวันนั้น คุณสามารถไปจองลูกหาบได้ทัน คุณก็จะสามารถเอามันออกมาจากกระเป๋าเดินป่าได้โดยง่าย ก่อนที่จะเอามันขึ้นชั่งกิโลนั่นเอง
5. สบู่
ไหนๆก็พูดเรื่องอาบน้ำแล้ว ก็ขอพูดเรื่องนี้ต่อเลยก็แล้วกัน แต่ผมขอบอกเอาไว้ก่อนน๊ะว่า ข้อมูลนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ผมก็พึ่งได้ยินมาน๊ะ
โดยข้อมูลนี้นั้น มันเป็นข้อมูลที่ผมได้ฟังจากเพื่อร่วมทาง ที่เดินกลับจากผาหล่มสักตอนกลางคืนน๊ะ และมันก็ทำให้ผมถึงกับอึ้ง เพราะว่ามันเป็นข้อมูลที่ผมนั้น กำลังประสบปัญหาอยู่พอดี
เค้าว่ากันว่า น้ำที่ใช้อาบบนภูกระดึงนั้น มันมีความเป็นด่างค่อนข้างมาก และนั่นจึงเป็นส่งผลให้การล้างสบู่นั้น มันเป็นเรื่องยากมากๆ และเขาก็บอกว่า มันมีการทดลองจากคนกลุ่มหนึ่ง ที่ทำการทดลองแบบจริงจังมาก โดยพวกเขานั้น ก็ทำการทดลองโดยการใช้สบู่ต่างๆ ในการอาบน้ำบนภูกระดึง และพบว่า สบู่เหลวที่คนนิยมใช้กันมาก เพราะว่ามันทั้งหอม และพกพาได้ง่ายในการเดินทางมากๆนั้น มันล้างออกยากที่สุด และผมที่เมื่อได้ฟังแล้ว ก็ถึงกับอึ้งในทันที เพราะว่า มันจริงมากๆ เพราะว่าเมื่อคืนก่อน ผมก็ยังใช้เจ้าสบู่เหลวชนิดนี้ และพบว่า กว่าที่ผมจะล้างมันออกได้นั้น ผมต้องใช้เวลาที่นานมากๆ และที่สำคัญที่สุด ทุกคนนั้น ก็น่าที่จะรู้อยู่แล้วว่า ปัญหาใหญ่จริงๆ มันไม่ได้อยู่ที่เวลานานเพียงอย่างเดียว เพราะว่าการอาบน้ำบนภูกระดึงนั้น มันเป็นสิ่งที่ ทรมานที่สุด จนผมคิดว่า ทางเจ้าหน้าที่ของอุทยานนั้น ควรที่จะออกใบประกาศรับรองให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อบอกให้โลกนั้นรู้ว่า "ข้าเคยอาบน้ำบนภูกระดึงมาแล้วโว๊ยๆๆๆ"
ใช่แล้ว บนภูกระดึงในช่วงธันวาคม หรือแม้กระทั่งมกราคม ที่ผมเคยไปนั้น มันหนาว แบบหนาวมากๆๆๆ จริงๆ
และจากผลจากสุดยอดการทดลองนั้น ผมก็ได้รับข้อมูลที่สำคัญมาว่า สบู่ที่ได้รับการทดสอบแล้วว่า มันล้างออกง่ายที่สุด ก็คือ สบู่ยาอะไรซักอย่างเนี่ยเหลอะ ซึ่งคนที่เล่าให้ผมฟัง เขาก็จำชื่อไม่ได้ แต่เขาก็พอจำได้ว่า จริงๆแล้วสบู่ที่แนะนำให้นำไปใช้บนภูกระดึง มันก็คือพวกสบู่ก้อน จำพวก นกแก้ว นั่นเหลอะ ที่ล้างออกได้ง่ายมากๆ
ปล. สำหรับใครที่รู้เรื่องการทดลองนี้ ก็อยากที่จะให้ช่วยเอามาแชร์ให้หน่อยน๊ะครับ เพราะว่าผมก็ได้ลองค้นหามาซักพักแล้ว ผมก็ยังหาไม่เจอเลย
และถ้าใครไม่สะดวกที่จะอาบน้ำเย็นๆบนภูกระดึง เพื่อสร้างตำนาน ตามร้านค้าบางร้าน เค้าก็จะมีบริการน้ำอุ่น ที่เป็นแบบต้มน้ำมาผสมให้อาบในราคาประมาณ 80 บาทครับ
หมายเหตุ: เนื้อหาตรงนี้ไม่ต้องอ่านก็ได้น๊ะ มันไร้สาระ ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ามไปอ่านข้อต่อไปได้เลย
และเมื่อพูดถึงเรื่องการอาบน้ำบนภูกระดึง ผมก็มีความมั่นใจอย่างหนึ่ง ที่จะประกาศให้ทุกคนนั้นรู้ว่า "พวกเราชาวภูกระดึงนั้น เป็นนักท่องเที่ยวที่รักสะอาดมากที่สุดในประเทศไทยแล้ว"
และถ้าถามว่า ทำไมผมถึงมั่นใจขนาดนั้น ผมก็ขอบอกว่า จากประสบการณ์ของผมโดยตรงนั้น ทุกครั้งที่ผมนั้นไปอาบน้ำ ผมก็จะต้องพบกับประชาชนชาวภูกระดึง ที่รักสะอาดอย่างมากนั้น ยืนเข้าแถวเพื่อที่จะอาบน้ำอยู่เสมอ โดยไม่ว่าเวลานั้นจะเป็นเวลาเพียงแค่ช่วงหัวค่ำ หรือแม้กระทั่ง 3 - 4 ทุ่ม ที่หลายๆคนนั้น ทยอยเดินกลับมาจากผาหล่มสักแล้ว ทุกๆคนนั้น ต่างก็รอเข้าแถวเข้าห้องอาบน้ำ ที่มีน้ำที่เย็นสบาย เหมือกับถูกแช่เอาไว้ในตู้เย็น โดยจากสถิติที่ผมเคยไปมาทั้ง 3 ครั้งนั้น มันก็ยังเป็นแบบนี้ 100% อยู่
และเมื่อเทียบกับที่อื่นแล้ว จากการที่ผมนั้น เคยได้ไปท่องเที่ยวตามลานกางเต้นท์หลากหลายสถานที่ ทั้งเอกชน และอุทยานแห่งชาติอื่นๆ ผม ที่เป็นคนที่จะต้องอาบน้ำทุกวันนั้น จะพบว่า ผมไม่เคยเจอปัญหาว่า ผมจะต้องรอคิวในการอาบน้ำตามลานกางเต้นท์อื่นๆเลย
เช่น (จริงๆแล้ว มันก็เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้งนั่นเหลอะ)
ผมก็ได้เดินทางไปยังลานกางเต้นท์เอกชนแห่งหนึ่ง และด้วยความที่ผมนั้น ไปถึงช้า และพบว่า พื้นที่กางเต้นท์ทุกที่นั้น มันเต็มไปหมดแล้ว จนผมต้องไปกางเต้นท์อยู่ที่มุกแคบๆมุมหนึ่ง และหลังจากที่ผมกางเต้นท์เสร็จแล้ว ผมก็กลัวว่าห้องอาบน้ำจะเต็ม เพราะว่าจากการคำนวณคร่าวๆ มันก็น่าที่จะมีนักท่องเที่ยวมากางเต้นเท์หลายสิบคนแน่ๆ ผมจึงรีบชิงที่จะไปอาบน้ำก่อนทันที เพราะว่าห้องอาบน้ำนั้น มันมีอยู่ไม่กี่ห้อง
"เอ๊ะ!!! ว่าง"
และหลังจากที่ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว ผมก้กลับไปที่เต้นท์ และเนื่องจากที่เต้นท์ของผม มันอยู่ใกล้ห้องน้ำมากๆ ผมจึงสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
"อืมมม ทำไมมันไม่มีใครเดินมาอาบน้ำเลยว๊ะ" ผมนั้นคิดอยู่ในใจ
และทันใดนั้น ผมก็นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เคยได้ยินมา
"นี่ซิน๊ะ วิถีแห่งชาวเต้นท์ที่แท้ทรู หึหึ"
"This is the way."
6. ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ครีมนวดขา
แน่นอนว่า การไปเดินภูกระดึง แล้วตึงทุกส่วน นั้น มันเป็นเรื่องจริง ดังนั้นนอกจากยาโรคประจำตัวของทุกคนแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ครีมนวดขา
แต่สำหรับ ยาคลายกล้ามเนื้อ นั้น ก่อนกิน ก็ขอให้เข้าใจไว้ก่อนว่า ยานี้นั้น มันเป็นยาที่เอาไว้ใช้บรรเทาอาการปวดตึงกล้ามเนื้อ และก็ต้องกินหลังจากมีอาการ และที่สำคัญที่สุดนั้น ก็ต้องเข้าใจให้ถูกว่า ยานี้นั้น มันเป็นยาที่ซ่อนความรู้สึกปวดตึงเอาไว้ และมันไม่ใช่ยารักษา ซึ่งนั่นก็หมายความว่า จริงๆแล้วอาการปวดตึงเหล่านั้น มันก็จะยังอยู่ ดังนั้น ถ้าคุณกินยานี้ไปแล้ว และรู้สึกว่าอาการมันหายไป ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะสามารถออกไปเดินทางแบบโลดโผนได้เหมือนเดิมแล้วน๊ะ
ยังงัยก็ขอให้ใช้ขาของคุณแบบทะนุถนอม เผื่อเอาไว้ในตอนเดินลงด้วย
7. อาหาร และน้ำดื่ม
จากที่ผมเคยอ่านตามโพสท์ต่างๆในกลุ่มของ Facebook ผมก็มักที่จะอ่านเจอข้อความในทำนองว่า อาหารบนภูกระดึงนั้น แพงมากๆ ต้องใช้เงินหลายพันในการเที่ยว
ผมก็จะขอบอกว่า มันเป็นความจริงแค่เพียงครึ่งเดียวครับ เพราะว่าจริงๆแล้วอาหาร ที่เป็นอาหารตามสั่งแบบจานเดียวนั้น มันเป็นอาหารที่ถูกตรึงราคาเอาไว้ที่ 60 บาทครับ และในราคา 60 บาทนี้นั้น มันเป็นอาหารที่อยู่ในปริมาณที่กินอิ่มพอดีสำหรับคนปกติครับ
และมันเป็นปริมาณที่แย่ะกว่าร้านอาหารตามอุทยานอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่าง ขับรถไปถึงหลายๆที่ในราคา 60 บาทเท่ากันซ๊ะอีกครับ
อันนี้เป็นภาพตัวอย่างน๊ะครับ
แต่ทว่า ถ้าคุณนั้น อยากกินอาหารอร่อยๆเมนูอื่นๆ อย่างเช่น "หมูกะทะ" อันนี้ก็ขอยืนยันว่า ราคาแพงกว่าด้านล่างมากพอสมควร และในปริมาณต่อ 1 ชุดที่มีราคาประมาณ 500 บาท แบบกิน 2 คนนั้น สำหรับผมประมาณว่า มันเหมือนจะต้องสั่งมา 2 ชุด ถึงจะอิ่มครับ
และสำหรับราคาของน้ำดื่มนั้น จะแบ่งเป็นแบบ ขวดเล็ก และขวดใหญ่ โดยขวดเล็กนั้น จะมีราคา 30 บาท และถ้าคุณเดินไปเจอน้ำดื่มขวดใหญ่ราคา 50 บาทนั้น ก็ขอให้รีบตกลงซื้อในทันที เพราะว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว น้ำดื่มขวดใหญ่นั้น มันจะมีราคา 60 บาท
และโดยปกติแล้ว เมื่อผมดื่มน้ำขวดเล็กเสร็จแล้ว ผมก็จะทำการรินน้ำจากขวดใหญ่มาใส่ชวดเล็กอีกที ดังนั้นอย่าทิ้งขวดเล็กไปน๊ะครับ
และสำหรับราคาอาหารอื่นๆที่เป็นที่นิยมอย่างเช่น กาแฟซอง โอวัลติน หรือน้ำเต้าหู้ + ปลาท่องโก๋นั้น มันจะมีราคาอย่างละ 30 บาทครับ เช่นถ้าคุณเดินไปชมพรอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น แล้วอยากดื่มกาแฟซองซักแก้วนึง ก็จะมีเจ้าหน้าที่ขายให้โดยใส่ในแก้วกระดาษในราคา 30 บาทครับ
8. รองเท้า
อุปกรณ์สุดสำคัญ ที่คุณนั้น จะต้องเลือกให้ดีๆ และกรุณาอย่าไปถามตามกลุ่มต่างๆบน Facebook ว่า รองเท้าแตะอย่างนั้นอย่างนี้ ใช้เดินได้มั๊ย
เพราะคุณนั้น จะได้คำตอบเชิงขิงๆว่า "สบายๆๆๆ" "ผมเคยใส่มาแล้ว" "ชิลล์ๆ"
ดังนั้น ผมก็จะขอแนะนำไปเลยว่า ให้เลือกรองเท้าผ้าใบ ที่ใส่สบายๆครับ และผมขอแนะนำว่าให้ใช้รองเท้าวิ่งที่ราคาไม่กี่ร้อยก็ได้แล้วครับ ไม่ต้องซื้อของแพงหรอก แต่ขอให้ดูที่พื้นนิดนึงว่า ให้มันมีพื้นเกาะดีๆหน่อย เพราะว่าการเดินขึ้นภูกระดึงนั้น มันมีหลายจุดที่ค่อนข้างลื่นครับ
และในการเลือกรองเท้านั้น ผมขอแนะนำให้เลือกรุ่นที่เป็นแบบหัวนุ่มๆ ที่ถนอมปลายเท้า แบบในรูปนี้น๊ะครับ (ถ้าคุณต้องซื้อใหม่อยู่แล้ว)
แต่ถ้าคุณมีอยู่แล้ว ที่เป็นหน้าตาประมาณนี้ มันก็พอใช้ได้น๊ะครับ
เพราะว่าจริงๆแล้วปัญหาในการเดินภูกระดึงที่เกี่ยวกับรองเท้านั้น มันคือตอนเดินลงครับ คือว่ามันเป็นการเดินลงในระยะทางที่ไกลมาก ดังนั้นเล็บเท้าที่บริเวณหัวนิ้วโป้งของคุณ มันก็จะต้องชนกับปลายเท้าอยู่ตลอดเวลา มันก็เลยจะทำให้นิวมันเจ็บขึ้นมาได้ครับ
ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาที่ผมแนะนำก็คือ ก่อนมาเดินนั้น ก็ขอให้คุณตัดเล็บเท้าให้เรียบร้อย และเลือกถุงเท้านุ่มๆดีๆซักหน่อย และแน่นอนว่า รองเท้าที่คุณใส่นั้น มันจะต้องพอดีกับเท้าของคุณครับ
ปล. สำหรับรองเท้าเดินป่า แบบเดินป่าโดยเฉพาะนั้น ถ้าคุณมีอยู่แล้ว มันก็ใช้ได้น๊ะ แต่ผมคิดว่า มันไม่ค่อยเหมาะกับภูกระดึงน่ะ เพราะว่าเวลาที่ผมลองจับแล้ว ผมรู้สึกว่ามันหนักเกินไปน่ะครับ และการเดินที่ภูกระดึง ทางมันก็ไม่ได้โหดขนาดนั้น แต่ติดตรงที่ว่า มันเป็นการเดินระยะไกลที่ไกลมากๆ และหลังจากที่เดินขึ้นไปบนที่ราบด้านบนแล้ว มันก็จะเป็นทางเดินที่ค่อนข้างเรียบโดยตลอดน่ะครับ ดังนั้น ผมก็เลยเลือกรองเท้าที่มันเบาๆอย่างรองเท้าวิ่งดีกว่าครับ
9. ไม่เคยออกกำลังกาย แล้วจะเดินไหวมั๊ย
เป็น 1 ในคำถามยอดฮิตอีก 1 คำถามครับ
งั้นผมขอตอบแบบตรงประเด็นเลยน๊ะครับว่า "ได้"
แต่สิ่งที่ต้องระวังจริงๆก็คือ ต้องถามว่า คุณมีอาการเกี่ยวกับโรคหัวใจหรือเปล่า เพราะว่าถ้าคุณมีกลุ่มอาการทางด้านนี้นั้น ก็ต้องบอกแบบตรงๆเลยว่า "อย่ามาเดิน" ครับ
และนั่นจึงเป็นคำถามต่อมาว่า "อ่าวๆๆๆ แล้วเราจะรู้ได้ยังงัยว่า เราเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า" ผมก็ขอแนะนำแบบง่ายๆครับ โดยให้ถามตัวเองว่า เคยไปวิ่ง หรือเดินขึ้นอาคารหลายชั้นมากๆ จนเกิดอาการเหนื่อย แบบเหนื่อยมากแบบแทบตายหรือเปล่า และถ้าเคย ก็ต้องถามว่า เมื่อคุณได้นั่งพักเหนื่อยแล้วอาการเหนื่อย มันค่อยๆหายไปตามปกติหรือเปล่า ซึ่งถ้าอาการเนื่อยนั้น มันหายไปตามปกติ นั่นก็หมายความว่า คุณก็สามารถมาเดินภูกระดึงได้ครับ
แต่!!! ผมไม่ได้แนะนำให้คุณลองไปวิ่งแบบเหนื่อยๆ หรือไปลองเดินขึ้นตึกสูงๆเพื่อทดสอบน๊ะครับ คือถ้าไม่แน่ใจแล้วอยากลองจริงๆ ผมแนะนำว่าให้ลองไปที่โรงพยาบาล แล้วไปเดินบนสายพาน แบบมีพยาบาลคอยดูแลใกล้ๆดีกว่าครับ ถ้าผมจำราคาไม่ผิด มันก็น่าที่จะมีราคาค่าบริการอยู่ที่ 200 - 500 บาทมั้งครับ ปลอดภัยกว่ากันแย่ะครับ
ดังนั้น ผมคิดว่ามันน่าจะดีมากถ้าจะมีซุ้มเจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลอยู่ในจุดหลังจากเดินขึ้นไปแล้วประมาณ 200 เมตร เพราะถ้านักท่องเที่ยว ที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีภาวะของโรคหัวใจ ถ้าเค้าจะมีปัญหา ก็น่าที่จะออกอาการอยู่ตรงบริเวณนั้น นั่นเหลอะ
กลับมาคุยกันต่อในเรื่องประเด็นที่ว่า ไม่เคยออกกำลังกาย ซึ่งถ้าใครพอมีเวลา ผมก็แนะนำว่า ก็ควรไปหาเวลาวิ่งตอนเย็นๆ เพื่อเตรียมร่างกายล่วงหน้าอย่างน้อยซัก 1 สัปดาห์น๊ะครับ แต่ถ้าใครเปรี้ยวจี๊ด ก็มาเดินได้เลยแบบไม่ต้องไปซ้อมก็ได้ครับ
ก่อนอื่นก็มาดูแผนที่กันคร่าวๆครับ จากรูปนี้จะเห็นว่า ในช่วงการเดินช่วงแรกนั้น มันจะเป็นทางเดินที่เป็นทางชันแบบชั้นมากครับ ซึ่งทางเดินช่วงแรก ที่เป็นการเดินไปสู่ "ซำแฮก" นั้น มันจะชันเป็นอันดับ 2 รองจากทางเดินเพื่อขึ้นไปสู่ "หลังแป" ที่เป็นทางที่ชันมากที่สุด
ดังนั้นในทางช่วงแรกนี้ มันจะทำให้คนที่ไม่เคยออกกำลังกายมานานมากๆนั้น จะเหนื่อยแบบแทบตายของจริงครับ ดังนั้นคุณควรที่จะต้องเริ่มเดินตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อให้มีเวลาเหลือเฟือในการเดินขึ้นครับ และวิธีการเดินที่ผมแนะนำก็คือ เดินไปนิดหน่อย แล้วนั่งพักแบบยาวๆเลยครับ พอหายเหนื่อยแล้ว ก็เริ่มเดินต่อ เพราะอย่างที่ผมบอกในตอนแรกว่า ถ้าคุณไม่มีอาการของโรคหัวใจ ที่จะไม่หายเหนื่อยซักทีนั้น คุณก็จะไม่มีปัญหาอะไร แค่เดินนานหน่อยก็เท่านั้นเองครับ
และเมื่อคุณเดินไปถึง "ซำแฮก" แล้ว ก็ขอให้คุณเดินไปรับรางวัลตามร้านค้าต่างๆได้เลยครับ และรางวัลเหล่านั้นก็คือ
นี่ครับ แตงโมเย็นๆ ให้เลือกแบบไม่ค่อยมีเม็ดน๊ะครับ
และนี่ๆๆๆ น้ำแข็งใส เย็นชื่นใจครับ
และหลังจากที่คุณนั้น สามารถเดินมาถึง "ซำแฮก" ได้แล้ว ในทางเดินต่อๆไปนั้น มันก็จะเริ่มง่ายขึ้น เพราะว่าแรงของคุณนั้น มันจะเริ่มอยู่ตัวแล้ว และทางเดินนั้น มันก็จะไม่ได้ชันเท่ากับทางเดินในช่วง "ซำแฮก" แล้ว (ยกเว้นทางเดินในช่วงสุดท้ายก่อนถึงหลังแปน๊ะครับ ที่มันจะชันมากกว่า)
และก็อย่างที่ทุกคนรู้ครับว่า ตลอดการเดินที่ต้องผ่านซำต่างๆนั้น มันก็จะมีร้านค้า ที่คอยขายอาหาร และขนมอร่อยๆให้เราได้เพลิดเพลินกับการเดิน และทักทายกับผู้คนมากมายไปตลอดทาง ที่ไม่ว่าเราจะถามเขาอย่างงัย พวกเขาก็จะตอบกลับมาด้วยถ้อยคำเหมือนเดิมว่า "ใกล้ถึงแล้ว" "อีกนิดเดียว" อยู่เสมอ
ไอ้ติมใส่หน๋มปังเย็นๆ ก็อร่อยชื่นใจ สามารถเติมพลังได้อย่างดีเลยครับ
10. ควรเช่ารถจักรยานไหม
ข้อนี้ผมขออธิบายสั้นๆเลยน๊ะครับว่า "ควร" (ถ้าคุณเป็นคนขี่จักรยานเก่งอยู่แล้ว)
เพราะว่าระยะทางในการเดินที่เป็นพื้นราบด้านบนนั้น มันไกลมากๆ
"แต่" ถ้าคุณมาเที่ยวกับเพื่อนแบบกรุ๊ปใหญ่ ที่อยากเดินไปคุยกันไปแบบเฮฮานั้น มันก็เป็นทางเลือกในท่องเที่ยวที่ดีอีกอย่างหนึ่ง
โดยจริงๆแล้ว ถ้าคุณเคยอ่านความเห็นต่างๆจากในกรุ๊ปต่างๆที่บอกว่า ทางบนภูนั้นส่วนใหญ่มันเป็นทางฝุ่นที่ขี่ไม่ได้หรอก ผมก็จะอธิบายว่า มันขึ้นอยู่กับว่า คุณเป็นคนขี่จักรยานเก่งหรือเปล่า เพราะถ้าคุณขี่เก่ง คุณก็จะสามารถขี่ผ่านเส้นทางตรงนั้นไปได้แบบง่ายๆ เพราะว่ามันมีทางเลี่ยง เช่นบริเวณขอบทางที่มีต้นหญ้าขึ้นอยู่ (มันจะมีจุดที่ต้องลงมาเดินเข็นจริงๆอยู่ไม่กี่จุดหรอก)
และถ้าคุณเป็นคนขี่จักรยานไม่เก่ง ผมก็จะขอเตือนว่า ให้ระวังรถล้มให้ดี และไม่ควรใช้เบรคหน้า ในขณะที่รถกำลังวิ่งลงเนิน เพราะว่าถ้าล้อหน้าของรถมันตกหลุม แล้วคุณเบรคพอดี รถจักรยานของคุณ ก็จะตีลังกากลับหัวทันที (อันนี้ผมเคยโดนมาแล้ว 555+++)
11. จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก
สำหรับหัวข้อนี้ ผมขอสรุปแบบสั้นๆ และจะขอไปเรียบเรียงเขียนใหม่ในบทความต่อไป ที่เกี่ยวกับการวางแผนท่องเที่ยวบนภูกระดึงแบบ "2 วัน 1 คืน" "3 วัน 2 คืน" และ "4 วัน 3 คืน" น๊ะครับ และมันจะมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับการเลือกเช่า หรือไม่เช่าจักรยาน จากหัวข้อเมื่อกี้ด้วย
ดังนั้น ในหัวข้อนี้ ผมจะขอเขียนแบบแนะนำสำหรับคนที่มาเดินในรูปแบบ "3 วัน 2 คืน" ที่เป็นที่นิยมมากที่สุดน๊ะครับ
โดยปกติแล้ว ในวันแรกที่ทุกคนนั้น เดินขึ้นมาจนถึงหลังแป และเดินมาจนถึงลานกางเต้นท์วังกวางแล้ว มันก็จะมีนักท่องเที่ยวบางส่วน ที่ยังมีพลังกายอันล้นเหลือ พวกเขาก็มักที่จะเดินมาชมพระอาทิตย์ตกกันที่ "ผาหมากดูก" ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร (แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นั้น ก็มักที่จะพักผ่อน และเดินไปหากินหมูกะทะ กันมากกว่าน๊ะครับ)
บรรยากาศการนั่งชมวิวแบบสบายๆ ที่ "ผาหมากดูก"
และในวันต่อมา ทุกคนนั้น ก็จะต้องลุกออกมาจากเต้นท์และผ้าห่มอันอบอุ่นในช่วงเวลาประมาณตี 4 ครึ่ง ถึงตี 5 (ซึ่งคุณอาจจะไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกก็ได้ เพราะว่าในช่วงนี้นั้น ผู้คนมากมาย ก็จะลุกออกมาเดินไปเดินส่งเสียงพูดคุยกันแล้ว) โดยพวกเขานั้น ก็จะเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ผานกแอ่น" (อันนี้เป็นจุดท่องเที่ยวภาคบังคับ ที่คุณนั้น จะต้องลุกไปชมน๊ะครับ)
ซึ่งการเดินไปที่ "ผานกแอ่น" นั้น พวกเราจะเริ่มเดินกันตั้งแต่ช่วงที่ยังมืดอยู่ ซึ่งคุณก็อาจที่จะใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือ หรือไม่ก็อาศัยเดินตามกลุ่มคนที่มีไฟฉายก็ได้ เพราะคนจะเดินไปกันแบบแย่ะมากๆอยู่แล้ว (ระยะเวลาเดินก็น่าจะประมาณ 30-40 นาทีมั้ง)
บรรยากาศคร่าวๆของที่ "ผานกแอ่น" ครับ
ปกติแล้วคนจะแย่ะกว่านี้น๊ะครับ อันนี้ผมไปมาเมื่อประมาณกลางเดือนมกราคมครับ
และกิจกรรมหลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ผานกแอ่น" แล้วห้ามพลาดก็คือ การเดินถ่ายรูปพืชพรรณต่างๆ ที่อยู่ตามทางเดินกลับน๊ะครับ
และต่อมาก็คือ จุดไฮไลท์ ที่ต้องห้ามพลาดก็คือ การชมพระอาทิตย์ตก และถ่ายรูปที่ "ผาหล่มสัก" ครับ
สำหรับวิธีการเดินมาที่จุดนี้ ผมของแยกบทความน๊ะครับ
และสำหรับนักท่องเที่ยวคนไหน ที่อยากจะทำภารกิจให้ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น ในช้าวันต่อมา ที่เป็นวันเดินทางกลับนั้น ก็ขอแนะนำว่า ห้ามพลาดมาชมพระอาทิตย์ขึ้นในจุดที่อยู่ไม่ไกลจากลานกางเต้นท์เลย
สำหรับตรงนี้มันเรียกว่า "อ่างเก็บน้ำไพรัตน์ ธารไชย" เดินออกมาแค่นิดเดียวครับ
และสิ่งผิดปกติในรูปของผมก็คือ ในวันนั้น มันดันเป็นวันเดียวที่ไม่มีหมอกซ๊ะอย่างงั้นครับ 555+++ เพราะว่าโดยปกติแล้ว ที่นี่ในตอนประอาทิตย์ขึ้น มันจะมีหมอกที่สวยอยู่พอสมควรเลยครับ
ดังนั้น จริงแล้ว ผมก็ขอสรุปว่า ถ้าคุณมีกำลังกายท่ค่อนข้างจำกัดนั้น ก็ให้ไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ผานกแอ่น" และชมพระอาทิตย์ตกที่ "ผาหล่มสัก" ก็พอครับ
12. น้องทาก งาก งาก
คำถามยอดฮิต อีก 1 คำถามเลยครับ "น้องทากหมดยัง" 555+++
ตอบแบบสั้นๆเลยน๊ะครับ เดือนตุลา - พฤศจิกา น้องทากยังมีครับ
ต้นธันวา น้องทากนั้นเริ่มหมดแล้ว (แต่ผมที่เคยไปในช่วงนี้ 2 ครั้ง ผมก็ไม่เคยเจอเลยน๊ะครับ)
ดังนั้น ผมขอสรุปสั้นๆง่ายๆ เกี่ยวกับประเด็นน้องทากให้นักท่องเที่ยวที่ไม่เคยไปเที่ยวภูกระดึงฟังเลยแล้วกันน๊ะครับ
ซึ่งถ้าถามว่า จริงๆแล้วช่วงไหนของภูกระดึงนั้น สวยที่สุด ผมก็จะบอกว่า ตามความคิดผมแล้ว ผมคิดว่าช่วง เดือนตุลา - พฤศจิกา นั่นเหลอะครับ เพราะน้ำตกนั้น ก็ยังจะพอมีน้ำอยู่ และจุดไฮไลท์ที่สำคัญที่สุด ก็คือการชมทะเลหมอก ที่ผานกแอ่น ที่มีโอกาศพบได้ง่ายที่สุดในช่วงนี้ แต่ทว่าปัญหาที่สำคัญที่สุด ของการท่องเที่ยวช่วงนี้ก็คือ "น้องทาก" นี่เหลอะครับ
ผมก็เลยไม่เคยมาเดินที่นี่ในช่วงนี้เลย เพราะว่า การที่จะต้องมากางเต้นท์นอนบนหญ้าสีเขียวๆ ท่ามกลางน้องทาก ที่ก็อาจจะไต่ไปมาตามด้านในของเต้นท์ แบบกระดึ๊บกระดึ๊บ ในขณะที่เรากำลังนอนอยู่นั้น มันเป็นภาพสยองขวัญเกินไปครับ 555+++
13. ใบเมเปิ้ล
เป็นคำถามที่ทุกคนจะได้เห็นบ่อยมากๆ "ใบเมเปิ้ลแดงหรือยัง" "ใบเมเปิ้ลร่วงหรือยัง"
ก่อนอื่นก็ต้องขออธิบายก่อนว่า จริงๆแล้วบนภูกระดึง มันมีต้นเมเปิ้ลอยู่เป็นสิบๆต้นเลย และมันก้กระจายตัวกันอยู่ตามที่ต่างๆ แต่สำหรับคำถามข้างต้นนั้น มันหมายถึง ต้นเมเปิ้ล ที่อยู่ตรง "น้ำตกเพ็ญพบใหม่" ซึ่งมันจะเป็นมุมถ่ายรูป ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะว่ามันมีมุมที่จะสามารถถ่ายได้แบบมุมกดลงไปเพื่อเห็นตัวเรานั่งอยู่ท่ามกลางใบเมเปิ้ลสีแดง (ผมไม่มีรูปน๊ะ เพราะว่าไม่เคยไปในช่วงที่มันร่วงพอดี)
นั่นก็หมายความว่า ถ้าคุณอยากจะไปให้พบกับมุมถ่ายรูปนี้ คุณก็จะต้องพยายามเข้าไปตรวจสอบภายในกลุ่มต่างๆ เพื่อดูว่า ใบเมเปิ้ลมันร่วงลงมาบนโขดหิน แบบพร้อมที่จะให้ถ่ายรูปหรือยัง และถ้าคนในกลุ่มเขาคอนเฟิร์มว่าร่วงแล้ว แดงแล้ว คุณก็จะต้องรีบเดินทางมา เพราะว่ามันจะมีช่วงเวลาที่สวยที่สุดอยู่แค่ประมาณสัปดาห์เดียวเท่านั้น
มุมถ่ายรูปมันจะประมาณนี้น่ะ ให้คนถ่ายไปยืนอยู่ข้างบน แล้วก็ถ่ายกดลงมา
แล้วบนพื้นมันก็จะมีใบเมเปิ้ลอยู่บนพื้นเต็มไปหมด แต่ในรูปนี้มันค่อนข้างเหี่ยวไปหมดแล้ว
"แต่ !!!" แล้วถ้าคุณเดินทางมาเที่ยวไม่ถูกช่วงล่ะ จะยังสามารถถ่ายรูปกับใบเมเปิ้ลได้หรือเปล่า ผมก็ตอบว่า "ได้"
หมายเหตุ: ข้อมูลเส้นทางเดินตรงนี้ ขอให้ย้อนกลับไปดูรูปแผนที่ด้วยน๊ะครับ
เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า จริงๆแล้วบนภูกระดึงมันมีต้นเมเปิ้ลอยู่หลายต้นมากๆ ตามเส้นทางเดินของน้ำตก และถ้าคุณอยากถ่ายรูปกับใบเมเปิ้ลมากๆ ผมก็ขอแนะนำว่า ให้ไปเดินเส้นน้ำตกในเส้นทางเดินที่เริ่มจาก "น้ำตกถ้ำใหญ่" ไปยัง "น้ำตกโผนพบ" และก็ไปสิ้นสุดที่ "น้ำตกเพ็ญพบใหม่" โดยเหตุผลที่ผมบอกให้เลือกเดินเส้นนี้ ก็เป็นเพราะว่า เส้นทางนี้ มันมีต้นเมเปิ้ลอยู่หลายต้น และถ้าคุณไปกับเพื่อนหลายๆคน ก็น่าที่จะช่วยกันเก็บใบเมเปิ้ลไปวางเรียงเป็นรูปหัวใจ เพื่อถ่ายรูปเล่นแบบ ชิคๆ คูลๆ ได้
และเส้นทางเดินตรงนี้ มันมีลำธารเล็กๆ ที่ถ่ายรูปกับใบเมเปิ้ลได้สวยกว่า กับทางเดินอีกฝั่งหนึ่ง ที่เป็น "น้ำตกวังกวาง"
14. เต้นท์ เอาไปเอง หรือเช่าดี
เรื่องนี้ก็แล้วแต่ความชอบครับ ถ้าคุณเป็นสายเดินป่าอยู่แล้ว และมีเต้นท์อยู่แล้ว การเอาเต้นท์ไปเอง อย่างงัยก็คุ้มกว่าครับ ซึ่งมันก็สามารถคำนวณได้ง่ายๆเพราะว่าค่าลูกหาบนั้น เขาจะคิดค่าแบกอยู่ที่ กิโลละ 30 บาท
อย่างเต้นท์ตัวนี้ของผม น้ำหนักมันประมาณ 2 กิโลกว่า เวลาเอาไปชั่งแยกเขาก็จะตีเป็น 3 กิโล ดังนั้นค่าแบกต่อรอบ มันก็จะอยู่ที่ 90 บาท เมื่อรวมกับค่าแบกลงก็ 180 บาท (ในขณะที่ค่าเช่าเต้นท์ปกติมันจะอยู่ที่คืนละประมาณ 200 กว่าบาท) นั่นก้หมายความว่า ยิ่งถ้าคุณนอนมากกว่า 1 คืน มันก็คุ้มกว่าอยู่แล้ว
ดังนั้น ก็บวกลบคูณหารกันได้เลยครับ แต่เหตุผลที่ผมชอบเอาเต้นท์ไปเองก็คือ ผมชอบในนอนในเต้นท์ตัวเองครับ
แต่ถ้าคุณต้องการที่จะเช่าเต้นท์ มันก็จะมีให้เลือกอยู่ 2 แบบก็คือ เช่าของอุทยาน หรือไม่ก็เช่ากับร้านค้า
โดยในส่วนของการเช่าเต้นท์อุทยานนั้น ตอนนี้ผมรู้สึกว่าระบบการจองของที่นี่เขาค่อนข้างมีปัญหาแย่ะมากครับ แต่ก็ไม่ต้องห่วงอะไร เพราะคุณสามารถมาจองที่หน้างานได้เลย เพราะปกติแล้วมันไม่เต็มหรอก แถมเต้นท์ให้เช่าของเอกชนมันก็จะยังมีให้เลือกอยู่หลายเจ้ามากๆ และเต้นท์ของเขาเท่าที่ผมเดินดู มันก็จะค่อนข้างดีกว่าของอุทยานด้วยซ้ำ
ปล. สำหรับเต้นท์ของเอกชนนั้น ต้องขึ้นมาเดินหาเช่า หรือไม่ก็หาเบอร์โทรเพื่อจองเอาไว้ล่วงหน้าก็ได้น๊ะครับ
15. มาเที่ยวภูกระดึง ต้องจองก่อนมั๊ย
ผมก็ขออธิบายแบบคร่าวๆน๊ะครับว่า ถ้าคุณไม่ได้มาเที่ยวที่นี่ในช่วงวันหยุด 5 ธันวาคม หรือช่วงปีใหม่ ไม่ต้องจองอะไรเลยก็ได้ครับ มันไม่เต็มหรอก
แต่ถ้าคุณมาเที่ยวใน 2 ช่วงนี้ คุณจะต้องจองทุกอย่างเอาไว้อย่างรัดกุมน๊ะครับ เพราะ 2 ช่วงนี้ คือช่วงที่คนมาเที่ยวภูกระดึงแย่ะมากๆ
16. Gadget ที่ควรมี
16.1 หมวก, ปอกแขนกันแดด
ถึงแม้ว่าคุณจะมาเดินภูกระดึงช่วงหน้าหนาว แต่ก็ต้องบอกว่า ข้างบนในเวลากลางวัน ไม่่ว่าคุณจะเดินไปในเส้นน้ำตก หรือริมผา ยังงัย แดดก็จะร้อนมากๆอยู่ดี ยังงัยก็อย่าลืมเอาติดกระเป๋ามาด้วยน๊ะครับ
16.2 เทอร์โมมิเตอร์
การมาท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวบนภูกระดึงนั้น แน่นอนว่า การถ่ายรูปต่างๆลงโซเชี่ยว เพื่ออวดเพื่อนนั้น การถ่ายรูปคู่กับ เทอร์โมมิเตอร์ ที่แสดงตัวเลขตัวเดียวอยู่นั้น มันก็เป็นคอนเท้นท์ ที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว
16.3 ธงชาติ
แน่นอนว่า การเดินทางขึ้นภูกระดึงนั้น มันเป็นการเดินทางเพื่อพิชิต และการได้ถ่ายรูปเท่ห์ๆ คู่กับธงชาติตามผาต่างๆในช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกนั้น มันก็เป็นสิ่งที่โครตเท่ห์เลย
แถมธงชาติไทย ที่มีแถบสี แดง ขาว น้ำเงิน ที่เป็นแม่สีนั้น เมื่อถ่ายรูปออกมาแล้ว พวกกล้องต่างๆมันก็จะปรับสีของโทนรูปแบบอัตโนมัติได้ง่ายขึ้น จนทำให้รูปของคุณนั้น ดูสวยสะดุดตาขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
17. เพลงสุดฮิต
เนื่องจากว่า กิจกรรมการเดินป่าปีนเขา ที่มีระยะเวลาการเดินที่นานมากๆนั้น มันจะส่งผลอย่างหนึ่งต่อจิตใจของทุกคน และผมก็มั่นใจว่าทุกคนนั้น ก็น่าที่จะมีประสบการณ์เหมือนกับผม ที่ในขณะที่นั่งพักอยู่กลางทาง ด้วยความรู้สึกที่เหนื่อยล้าแบบสุดกำลัง
คุณทุกคน ก็จะรำพึงขึ้นมาในใจว่า "ฉันมาทำอะไรที่นี่" "นั่งๆ นอนๆ อยู่ที่ห้องก็สบายไปแล้วๆๆๆ"
และมันก็จะเป็นจังหวะโบ๊ะบ๊ะอย่างมาก ถ้าในจังหวะนั้น คุณพี่ลูกหาบที่เดินผ่านมา ได้เปิดเพลงนี้พอดี
ปล. แต่ส่วนใหญ่พวกคุณพี่ลูกหาบเค้าจะเปิดเพลงมันส์ในยุคของพวกพี่หนุ่ม อำพล อะไรพวกนี้น๊ะ
18. มาเดินภูกระดึง แล้วจะเลิอกกับแฟนมั๊ย?
และนี่ก็คือ คำถามที่พบได้อยู่เรื่อยๆ ตามกลุ่มต่างๆ
ซึ่งผมก็จะขออธิบายให้คนที่สงสัยได้เข้าใจว่า
"ภูกระดึงนั้น เป็นสถานที่พบรัก ไม่ใช่สถานที่พิสูจน์รักแท้"
เพราะว่าภูกระดึงนั้น มันเป็นสถานที่ ที่ผู้คนที่ชื่นชอบในไลฟ์สไตล์แบบเดียวกัน ได้มาพบรักกัน
และคำตอบของคำถามนี้ ผมก็ขอตอบว่า ถ้าคุณกับแฟน ที่เป็นคนชื่นชอบในการท่องเที่ยว และไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนกัน ได้มาเดินขึ้นภูกระดึงพร้อมกัน และการเดินทางนั้น ก็ได้มาถึงจุดตามข้อ 17. ที่ตัวแฟนของคุณนั้น ได้นั่งพักและรำพึงกับตนเองอยู่ในใจว่า "ฉันมาทำอะไรที่นี่" "นั่งๆ นอนๆ อยู่ที่ห้องก็สบายไปแล้วๆๆๆ"
แล้วทันใดนั้น หน้าของคุณก็มาโผล่อยู่ที่ด้านหน้าของเขาหรือเธอ "อ่อๆๆๆ ไอ้นี่มันพากรูมานี่เองๆๆๆ"
แน่นอนว่า เพลงฮิตเพลงต่อไปนั้น มันจะต้องไม่ใช่เพลงรักหวานโรแมนติกอย่างแน่นอน
ดังนั้น ถ้าแฟนของคุณเขาไม่ได้ชอบการท่องเที่ยวแบบเดินเขาแล้วนั้น ก็อย่าฝืนพาเขามาเดินด้วย นู่นๆๆๆ ให้พากันไปเที่ยวแบบขับรถไปถึง แล้วกางเต้นท์ตามวิวสวยๆ แล้วตกเย็นมานั่งกินหมูกะทะแบบสบายๆดีกว่าครับ
หรือไม่ถ้าหัวใจของคุณนั้น รักในการผจญภัยยิ่งนัก มันก็มีจุดเดินป่าปีนเขา ที่ใช้ระยะเวลาเดินแค่ 1 - 2 ชั่วโมงอยู่หลายจุด ผมแนะนำว่าให้ไปเดินพวกนั้นดีกว่า
แบกกล้อง
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เวลา 23.29 น.