สำหรับบทความนี้ ผมก็จะของสรุปเส้นทางเดินเที่ยวบนภูกระดึง ตามจำนวนวันที่นักท่องเที่ยวแต่ละคนมีเวลาไม่เท่ากันน๊ะครับ

เริ่มเลยเลยแล้วกัน
สำหรับแบบแรกนั้น ก็จะเป็นแบบสายไม่ได้ลางานที่ขะใช้เวลา "2 วัน 1 คืน" น๊ะครับ (ซึ่งผมก็เคยไปเดินแบบนี้มาแล้วครั้งนึง)
"2 วัน 1 คืน" สายชิลล์

- หลังจากที่เดินขึ้นมาถึง "หลังแป" แล้ว ก็เดินต่อไปยัง "ลานกางเต้นท์วังกวาง" ได้เลยครับ
- และเมื่อมาถึงวังกวางแล้ว ก็ขอให้พักผ่อนได้ตามอัธยาศัยเลยครับ
- และในเช้าวันรุ่งขึ้นประมาณตี 5 ก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ผานกแอ่น" เพื่อลุ้นทะเลหมอก ได้เลยครับ
- และหลังจากนั้น ก็เดินกลับ "ลานกางเต้นท์วังกวาง" เพื่อเก็บของเดินลงได้เลยครับ
"2 วัน 1 คืน" สายชิลล์ แต่อึด

- หลังจากที่เดินขึ้นมาถึง "หลังแป" แล้ว ก็เดินต่อไปยัง "ลานกางเต้นท์วังกวาง" ได้เลยครับ
- และเมื่อมาถึงวังกวางแล้ว ก็ขอให้พักผ่อนไปถึงช่วงเวลาประมาณ 4 โมงเย็นกว่าๆ ก็ออกเดินไปชมพระอาทิตย์ตกที่ "ผาหมากดูก" และเดินกลับทางเดิม
- และในเช้าวันรุ่งขึ้นประมาณตี 5 ก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ผานกแอ่น" เพื่อลุ้นทะเลหมอก ได้เลยครับ
- และหลังจากนั้น ก็เดินกลับ "ลานกางเต้นท์วังกวาง" เพื่อเก็บของเดินลงได้เลยครับ
"2 วัน 1 คืน" กลัวไม่คุ้ม

- หลังจากที่เดินขึ้นมาถึง "หลังแป" แล้ว ก็ให้เดินไปเช่ารถจักรยาน เพื่อปั่นไปชมพระอาทิตย์ตกที่ "ผาหล่มสัก" ได้เลย หรือไม่ก็ปั่นมาที่ "ลานกางเต้นท์วังกวาง" เพื่อจัดการเรื่องเต้นท์ที่พักให้เรียบร้อยก่อนครับ
- และถ้าคุณมีจักรยานเสือภูเขาสุดซิ่งแล้ว ก่อนที่คุณจะปั่นไปที่ "ผาหล่มสัก" นั้น คุณก็อาจที่จะแว่ะ "น้ำตกถ้ำใหญ่" ที่เดินไปจากจุดจอดรถไม่ไกลนัก และปั่นไปที่ "สระอโนดาต" และ "น้ำตกถ้ำสอเหนือ" ก่อนก็ได้
- และเมื่อชมพระอาทิตย์ตกเรียบร้อยแล้ว ก็ปั่นกลับมาที่ "ลานกางเต้นท์วังกวาง" ได้เลย
- และในเช้าวันรุ่งขึ้นประมาณตี 5 ก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ผานกแอ่น" เพื่อลุ้นทะเลหมอก ได้เลยครับ
- และหลังจากนั้น ก็เดินกลับ "ลานกางเต้นท์วังกวาง" เพื่อเก็บของเดินลงได้เลยครับ
หมายเหตุ 1: แต่สำหรับคนที่เลือกเที่ยวแบบนี้ คุณก็จะต้องวางแผนในเรื่องเต้นท์ที่พักให้รัดกุมเล็กน้อยน๊ะครับ เพราะว่าหลังจากที่คุณปั่นรถจักรยานกลับมาจาก "ผาหล่มสัก" แล้วนั้น มันก็จะเป็นเวลาที่มืดแล้ว
นั่นก็หมายความว่า คุณก็จะต้องจัดการเรื่องเต้นท์ที่พักให้เรียบร้อยก่อนแล้ว และผมก็จะไม่แนะนำให้คนที่เลือกเที่ยวแบบนี้ นำเต้นท์มาเองและฝากลูกหาบน๊ะครับ เพราะลูกหาบแต่ละคนนั้น เขาเดินช้าเร็วไม่เท่ากัน และนั่นก็หมายความว่า เต้นท์ มันอาจจะมาถึงที่หลังคุณแบบนานมากๆ
นั่นจึงทำให้ผมนั้นแนะนำว่า ให้เช่าเต้นท์ของอุทยาน และปั่นจักรยานมาจัดการเรื่องเต้นท์ และเครื่องนอนให้เรียบร้อยก่อน
หรือไม่คุณก็อาจที่จะเลือกเช่าเต้นท์จากร้านค้าเอกชน เพื่อให้ร้านค้านั้น จัดการเรื่องเต้นท์ และเครื่องนอนเอาไว้ให้เรียบร้อย โดยที่คุณนั้น ไม่จำเป็นต้องปั่นมาที่ "ลานกางเต้นท์วังกวาง" ก่อน
หมายเหตุ 2: และสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเลือกเที่ยวแบบ "2 วัน 1 คืน" นั้น ผมขอแนะนำว่า ให้เลือกเที่ยวในช่วงเดือน ตุลาคม และพฤศจิกายน เท่านั้นน๊ะครับ เพราะว่ามันเป็นช่วงหน้าฝน ที่มีโอกาศได้ชมทะเลหมอกที่สวยงามที่ "ผานกแอ่น" ได้มากที่สุดครับ
ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่า หลายๆคนที่เคยมาเที่ยวแล้วและพลาดการชมวิวสวยๆนี้ และก็อยากจะแก้ตัวเฉยๆครับ โดยผมแนะนำว่า ให้เลือกเที่ยวแบบที่ 1 สายชิลล์ ก็พอ (โดยถึงแม้ว่า ที่บริเวณใกล้ๆกับลานกางเต้นท์วังกวางนั้น จะมีจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่อ่างเก็บน้ำ ที่วิวก็สวยพอประมาณ แต่การที่คุณขึ้นมาบนภูกระดึงแล้ว ยังงัยก็ต้องไปลุ้นทะเลหมอกที่ผานกแอ่นครับ)
หมายเหตุ 3: และสำหรับคนที่ไม่ได้ลางานวันจันทร์เอาไว้ และก็ยังมีความมุ่งมั่น ในการทำงานอย่างเต็มเปี่ยม ผมขอแนะนำว่า อย่าใช้วิธีเดินทางกลับ กทม. ด้วยรถทัวร์น๊ะครับ เพราะจากการที่ผมเลือกใช้วิธีนี้ มันทำให้กว่าที่คุณจะได้ออกเดินทางมันก็ตอนหัวค่ำแล้วครับ มันก็เลยทำให้กว่าที่คุณจะถึง กทม. มันก็ตี 3 - ตี 4 แล้วครับ
และแน่นอนว่า มันก็มีโอกาศสูงที่คุณนั้น จะต้องทำเรื่อง "ลาป่วย" ครับ (แต่ตอนนั้น ผมกลับบ้าน อาบน้ำ แล้วมาทำงานต่อน๊ะครับ หึหึ)
นั่นจึงทำให้ผมแนะนำว่า ให้ลองหาคนหารค่ารถตู้ขากลับดูครับ เพราะผมเคยเห็นมีคนโพสท์อยู่ตามกลุ่ม facebook อยู่บ่อยๆครับ
ปล. แต่ตอนนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าพวกรถทัวร์ เค้ามีการปรับรอบรถ ให้นักท่องเที่ยวจากภูกระดึงเดินทางสะดวกมากกว่าเมื่อก่อนแล้วหรือยังน๊ะครับ
และสำหรับการท่องเที่ยวแบบต่อไปที่เป็นแบบ "3 วัน 2 คืน" นั้น มันเป็นการเดินทางที่นิยมมากที่สุดของที่นี่น๊ะครับ
"3 วัน 2 คืน" สายเดินชิลล์ริมผา

- หลังจากที่เดินขึ้นมาถึง "หลังแป" แล้ว ก็เดินต่อไปยัง "ลานกางเต้นท์วังกวาง" ได้เลยครับ
- และเมื่อมาถึงวังกวางแล้ว ก็ขอให้พักผ่อนได้ตามอัธยาศัยเลยครับ
- และในเช้าวันรุ่งขึ้นประมาณตี 5 ก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ผานกแอ่น" เพื่อลุ้นทะเลหมอก ได้เลยครับ
- และหลังจากนั้น ก็เดินกลับ "ลานกางเต้นท์วังกวาง" และหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว ก็เริ่มเดินได้เลยครับ
- โดยจุดแว่ะต่างๆนั้น ก็จะตามนี้เลยน๊ะครับ
* "ผาหมากดูก" ผานี้มันจะเป็นผาที่คนนิยมมาชมพระอาทิตย์ตกกันน๊ะครับ เพราะว่ามันอยู่ใกล้กับ "ลานกางเต้นท์วังกวาง"
* "ผานาน้อย" สำหรับผานี้ก็จะไม่ค่อยมีอะไรครับ รู้สึกว่าจะมีร้านอาหารอยู่ร้านเดียวครับ
* "ผาเหยียบเมฆ" สำหรับผานี้ แนะนำว่าให้หยุดพักถ่ายรูปนานนิดนึงก็ได้ครับ มันเป็นผาที่ค่อนข้างสวย และมีร้านอาหารให้เลือกหลายร้านเลยครับ
* "ผาแดง" ผานี้มีมุมถ่ายรูปที่ค่อนข้างเงียบสงบครับ
* "หินหัวเต่า" สำหรับจุดนี้ มันจะไม่มีป้ายบอกน๊ะครับ ก็ให้คอยสังเกตที่ทางซ้ายมือน๊ะครับ เพราะว่ามันจะมีหินหัวเต่า ที่เป็นที่นิยมถ่ายรูปอยู่ครับ
* "ผาหล่มสัก" และที่นี่ก็คือจุดไฮไลท์แนะนำที่จะต้องรอชมพระอาทิตย์ตกกันครับ
- และหลังจากพระอาทิตย์ตกไปแล้ว ก็เดินกลับในเส้นริมผาเหมือนเดิมครับ
- และในวันรุ่งขึ้น คุณก็สามารถเดินมาชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนเดินทางกลับได้ที่ "อ่างเก็บน้ำไพรัตน์ ธารไชย"
"3 วัน 2 คืน" สายเดินชิลล์น้ำตกริมผา

- หลังจากที่เดินขึ้นมาถึง "หลังแป" แล้ว ก็เดินต่อไปยัง "ลานกางเต้นท์วังกวาง" ได้เลยครับ
- และเมื่อมาถึงวังกวางแล้ว ก็ขอให้พักผ่อนได้ตามอัธยาศัยเลยครับ
- และในเช้าวันรุ่งขึ้นประมาณตี 5 ก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ผานกแอ่น" เพื่อลุ้นทะเลหมอก ได้เลยครับ
- และหลังจากนั้น ก็เดินกลับ "ลานกางเต้นท์วังกวาง" และหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว ก็เริ่มเดินได้เลยครับ
- โดยจุดแว่ะต่างๆนั้น ก็จะตามนี้เลยน๊ะครับ
* "น้ำตกวังกวาง"
* "น้ำตกเพ็ญพบใหม่" น้ำตกนี้คือจุดไฮไลท์ถ่ายรูปกับใบเมเปิ้ลน๊ะครับ
* "น้ำตกโผนพบ"
* "น้ำตกถ้ำใหญ่"
* "ผานาน้อย"
* "ผาเหยียบเมฆ"
* "ผาแดง"
* "หินหัวเต่า"
* "ผาหล่มสัก"
- และหลังจากพระอาทิตย์ตกไปแล้ว ก็เดินกลับในเส้นริมผาเหมือนเดิมครับ
- และในวันรุ่งขึ้น คุณก็สามารถเดินมาชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนเดินทางกลับได้ที่ "อ่างเก็บน้ำไพรัตน์ ธารไชย"
"3 วัน 2 คืน" สายเดินชิลล์น้ำตก

- หลังจากที่เดินขึ้นมาถึง "หลังแป" แล้ว ก็เดินต่อไปยัง "ลานกางเต้นท์วังกวาง" ได้เลยครับ
- และเมื่อมาถึงวังกวางแล้ว ก็ขอให้พักผ่อนได้ตามอัธยาศัยเลยครับ
- และในเช้าวันรุ่งขึ้นประมาณตี 5 ก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ผานกแอ่น" เพื่อลุ้นทะเลหมอก ได้เลยครับ
- และหลังจากนั้น ก็เดินกลับ "ลานกางเต้นท์วังกวาง" และหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว ก็เริ่มเดินได้เลยครับ
* แต่สำหรับคนที่จะเลือกเดินเส้นทางนี้ ก่อนออกเดิน ก็ขอให้ซื้อน้ำและอาหารกลางวันพกไปด้วยน๊ะครับ เพราะเส้นทางเดินนี้ จะไม่มีร้านอาหารระหว่างทางครับ
- โดยจุดแว่ะต่างๆนั้น ก็จะตามนี้เลยน๊ะครับ
* "น้ำตกวังกวาง"
* "น้ำตกเพ็ญพบใหม่" น้ำตกนี้คือจุดไฮไลท์ถ่ายรูปกับใบเมเปิ้ลน๊ะครับ
* "น้ำตกโผนพบ"
* "น้ำตกถ้ำใหญ่"
* "สระอโนดาต"
* "น้ำตกถ้ำสอเหนือ"
* "ผาหล่มสัก"
- และหลังจากพระอาทิตย์ตกไปแล้ว ก็เดินกลับในเส้นริมผาเหมือนเดิมครับ
- และในวันรุ่งขึ้น คุณก็สามารถเดินมาชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนเดินทางกลับได้ที่ "อ่างเก็บน้ำไพรัตน์ ธารไชย"
"4 วัน 3 คืน"
สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาท่องเที่ยวมากกว่า 3 วันแบบนี้ จริงๆแล้วผมก็แนะนำให้เดินเที่ยวแบบ "3 วัน 2 คืน" นั่นเหลอะ
แต่เนื่องจากว่าคุณมีเวลาค่อนข้างเหลือเฟือ ผมก็แนะนำว่า ให้ใช้เวลาที่เหลือเป็นการเดินเที่ยวแบบเก็บตกดีกว่าครับ เพราะว่าจริงๆแล้ววิวพระอาทิตย์ตกนอกจากที่ "ผาหล่มสัก" แล้ว หลายๆผานั้น มันก็สวยเหมือนกัน (ถ้าคุณมีแรงเหลือเฟือ)
แต่ถ้า 2 วันแรกนั้นคุณเดินมาแย่ะแล้ว ก็ขอให้พักผ่อนแบบสบายๆก็ได้ และใช้แรงที่เหลือในการเดินไปลุ้นชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ "ผานกแอ่น" ในกรณีที่คุณมาเดินในช่วง ตุลาคม-พฤศจิกายน และยังไม่ได้เจอทะเลหมอกแบบแน่นๆดีกว่าครับ
ปล. และสำหรับการเช่าจักรยานปั่นบนภูกระดึงนั้น มันก็จะช่วยประหยัดแรงและเวลาในการเดินได้อย่างมากเลยครับ และมันก็มีแค่บางจุดเท่านั้น ที่ใช้จักรยานปั่นไปไม่ได้ เช่น "น้ำตกวังกวาง" "น้ำตกเพ็ญพบใหม่" "น้ำตกโผนพบ"
และสำหรับ "น้ำตกถ้ำใหญ่" นั้น มันมีจุดจอดรถจักรยานใกล้ๆ และเดินไปแค่นิดเดียวน๊ะครับ
และนั่นจึงจะทำให้คุณนั้น มีเวลาเหลือเฟือในการปั่นจักรยานไปตามจุดต่าง และถ้าคุณมีพวกอุปกรณ์นาฬิกา GPS ที่บันทึกเส้นทางการปั่นได้ คุณก็น่าที่จะสร้างตำนาน ในการปั่นในเส้นทางสาย "LOVE" บนภูกระดึงได้แบบสบายๆ

แบกกล้อง
วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เวลา 16.28 น.

 Readme before you journey
Readme before you journey











