สวัสดีเพื่อนๆ ชาว Readme ทุกคนนะคะ
นี่เป็นกระทู้รีวิวการเดินทางและท่องเที่ยว ครั้งแรกของเราเองค่ะ
อันที่จริง ก็เที่ยวมาหลายที่ แต่ทริปนี้คิดว่า มีสติรอบคอบจดจำทุกอย่างได้เกือบหมด
ก็เลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ เล่าสู่กันฟัง
เผื่อว่าเพื่อนๆ จะลองแบกเป้ไปเที่ยวปีนังกันดูบ้างนะคะ
เอาล่ะ เริ่มดีกว่าเนอะ
เรื่องมันก็มีอยู่ว่า ช่วงเดือนธันวาคม
เราไปเที่ยวปีนัง มาเลเซียมานั่นเอง
3 วัน 2 คืน
ปีนังอ่ะหรอ มันมีอะไรน่าเที่ยวหว่า
>>> ติ๊กต๊อก <<<
ถ้าถามตอนนี้ ยังไม่มีคำตอบน๊า
รอเราเล่าให้ฟังเรื่อยๆ ก่อนแล้วกัน
ก่อนไป เราทำการบ้านไปเพียงเล็กน้อย ย้ำว่าน้อยมาก 55
รู้แค่ว่าปีนังนั้น มีสตรีทอาร์ทเก๋ๆ รูปวาดชิคๆ แล้วยังไงต่อล่ะ
ตามอ่านรีวิวไปสิบตลบ นั่งลิสต์รายการที่อยากไป
อาหารที่อยากกิน แต่มันก็ยังรู้สึกไม่อินกับปีนัง
จนใกล้จะไปเราก็ยังมึนงงอยู่ เอ๊ะ !! ฉันจะไปทำอะไรนี่
แต่ก่อนที่จะคิดแบบนั้น เราก็จัดการจองทุกอย่างไปเรียบร้อยแล้ว
เพราะฉะนั้น ไม่ว่ายังไงก็ตาม ห้ามเปลี่ยนใจเด็ดขาด เก๊าเสียดายกะตังค์
>>> การเดินทาง <<<
เราเลือกเดินทางแบบโดยสารรถตู้จากหาดใหญ่-ปีนัง
ดังนั้น จองตั๋วเครื่องบินก่อนเลย ทั้งขาไปและกลับ กทม.-หาดใหญ่
ซึ่งราคาของแต่ละสายการบินก็จะแตกต่างกันออกไป
เราจองขาไปไฟล์ทเช้าสุด และขากลับดึกสุดเลยทีเดียว
สนนราคาที่ 1,580 บาท
เหตุผลที่ต้องเลือกไฟล์ทเช้าสุด 06.30-08.00 น. เพื่อที่เราจะต้องเดินทางจากสนามบินหาดใหญ่ไปยัง
บริษัทรถตู้ที่จะพาเราไปส่งที่ปีนังรอบ 09.30 น. เราต้องทำเวลาในส่วนนี้
สำหรับการจองตั๋วรถตู้
http://www.ksttravelthailand.com
ของบริษัท KST ไปกลับหาดใหญ่-ปีนัง
ในราคา 800 บาท
เดินทางประมาณ 4-6 ชม. ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร
และขั้นตอนที่ด่าน ซึ่งสามารถเข้าไปกดเลือกวัน แล้วกดจองในเว็บไซต์ได้เลยค่ะ
แล้วจะมีอีเมลแจ้งเตือนเลขบัญชีให้โอนเงินค่ะ
โอนเงินเรียบร้อย เราก็ส่งสลิปไปทางอีเมลเดิม
แจ้งชื่อ เบอร์โทร แจ้งรอบการเดินทางอีกครั้ง
และก่อนหน้าที่เราจะเดินทาง 1 วัน
ทางบริษัทจะโทรหาเราค่ะ แล้วถามว่าต้องการจะให้รถไปส่งตรงไหนของปีนัง
ที่พักชื่ออะไร ก็บอกไปได้เลย คนขับรถจะบริการส่งเราถึงที่ และมารับถึงที่เช่นกัน
>>> ที่พัก <<<
สำหรับทริปนี้เราเดินทางคนเดียว
เลยไม่ซีเรียสเรื่องที่พัก นอนยังไงก็ได้
ขอแค่สะอาด ปลอดภัย มีแอร์ก็โอเคแล้ว
เลยจัดการจองของ " Kimberley House "
ผ่านทางเว็บไซต์ของ Agoda จำนวน 2 คืน
เป็นห้องเตียงเดี่ยว ห้องน้ำรวม
ในราคารวมทุกสิ่ง 753 บาท
หลักๆ ที่เราจะต้องจัดการก่อนเดินทาง
ก็จะมีประมาณนี้ ที่เหลือก็เตรียมพาสปอร์ตและเงินริงกิตให้พร้อมนะคะ
แค่นี้ก็พร้อมไปลุยที่ปีนังแล้ว
มันจะเป็นยังไงต่อไปนะ ลุ้นๆ
อ่านรีวิวเป็นสิบ เป็นร้อย ก็ไม่เท่าไปตายเอาดาบหน้าจริงๆ 555
ปีนังแบบที่คิดไว้ คือ อากาศต้องร้อนมว๊ากกก ก.ล้านตัว
อาหารคงอร่อย แต่ถ้าไม่อร่อยมีเซเว่น รอดตายด้วยมาม่า
ที่เที่ยวต่างๆ คงเดินเล่นชิวๆ ได้ ไม่ไหวก็ปั่นจักรยาน โด่ว ไม่ยากหรอก
เป็นเมืองเล็กๆ คงไม่มีอะไรให้ตื่นตาตื่นใจ
ส่วนการช้อปปิ้ง เงินริงกิตอ่อนค่าช่วงนี้ นี่ล่ะ ที่หมายใจไว้
ส่วนเรื่องราวต่างๆ ที่เราพบเจอ ทั้งประทับใจและไม่ประทับใจในปีนัง
จะเป็นยังไงนั้น จะเป็นอย่างที่คิดไว้มั้ย ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
ขอเพิ่มเติมเพื่อความไม่งง จขกท.นี่ล่ะที่จะงง
>>>สกุลเงินของมาเลเซีย<<<
สกุลเงินมาเลเซีย เรียกว่า ริงกิตมาเลเซีย
ตัวย่อ RM
อัตราเปรียบเทียบต่อค่าเงินไทย
1 ริงกิต = 10 บาทไทย โดยประมาณ
ซึ่งปัจจุบันเงินริงกิตอ่อนค่ามาก
ก่อนเดินทางเราไปแลกไว้ก่อน
ได้มาในเรท 1 ริงกิต = 8.3
แต่บางวันก็ลดลงไปเยอะ เหลือ 7.9 , 7.8 ก็มี
การแลกเงินบาทเป็นริงกิต
แลกได้หลายที่
เช่น ซุปเปอร์ริชสีเขียว ที่การันตีเรทดีสุด
แต่ถ้าไม่มีสาขาที่สะดวกไปแลก มาแลกที่สนามบินวันเดินทางก็ได้เช่นกัน
>>>เรื่องของการใช้ไฟฟ้า<<<
มาเลเซียมีระบบไฟฟ้าเป็นแบบ 240 โวลต์
ความถี่ 50 เฮิร์ซ ใช้ปลั๊กไฟแบบสามขาแบน
ดังนั้นจำเป็นต้องพกปลั๊กแปลงไฟไปด้วยค่ะ
>>>การขับรถ ใช้ถนน<<<
ขับทางขวาเหมือนบ้านเรา
มีเลนสำหรับจักรยาน
บีบแตรถี่และเสียงดังเป็นเรื่องปกติ
>>>สภาพอากาศ<<<
อากาศร้อนชื้นและฝนตกชุก>>> เมื่อวันเดินทางมาถึง <<<
ไฟล์ทบินกทม-หาดใหญ่
สนามบินดอนเมือง
เวลา 06.30-08.00 น.
ยากกว่าไฟล์ทเช้า คือการตื่นนอน
อ๊ากกกก เช้าเกินไปปปปปป
รีบมาถึงสนามบินตอนตีห้านิดๆ
ผู้คนยังไม่เยอะเท่าไหร่
มาอยู่กันตรงนี่เอง ผู้โดยสารต่อแถวรอประมาณนึง
แต่เราข้ามขั้นตอนตรงนี้ไปได้เลย เนื่องจากเช็คอินล่วงหน้า
และปริ้นตั๋วมาเรียบร้อย ถึงแม้ว่าตั๋วของเราจะแผ่นใหญ่ในกระดาษ A4
แต่มันก็ช่วยให้ประหยัดเวลาในส่วนนี้ไปได้ เพราะถ้าเราช้า
อาจจะไม่ใช่แค่ " Final Call " เราอาจเจอบทโหด ตกเครื่องงงงงงง
ไม่รอช้า พุ่งตรงไปตรวจสัมภาระด้านในกันดีกว่า
คนจะเยอะก็ตอนนี้ เจ้าหน้าที่ตรวจเข้มแบตสำรองมากนะคะ
อย่าพกเกินที่ทางท่าอาศยานกำหนดไว้เด็ดขาด ไม่งั้นก็ต้องทิ้งไว้สถานเดียว
เดินหาเกสต์ ซึ่งเกสต์มุ่งหน้าหาดใหญ่อยู่ชั้นล่างสุด
ระหว่างนั่งรอเวลา Boarding time ก็เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย
รอไม่นาน เจ้าหน้าที่สายการบินก็เรียกให้ต่อแถวแล้วค่ะ
เดินๆ ขึ้นรถบัสไปเลย
ฟ้าตอนเช้าในหน้าหนาวก็สวยดีนะ
เมื่อทุกอย่างลงตัว เราก็นั่งเพลินๆ มองท้องฟ้า
มองก้อนเมฆ ปล่อยใจให้สบาย ลอยล่องไปจนถึงหาดใหญ่
เสียงกัปตันประกาศ ขณะนี้เราบินอยู่ที่ความสูงระดับ บลา บลา บลา
ฟ้าข้างนอกสวยจัง แชะ !! ชอบความพาสเทล
มองฟ้าวันนี้ก็รู้ว่าอากาศต้องดีแน่นอน พอกัปตันจะเอาเครื่องลงจอดเท่านั้นล่ะ
นี่มันเคลื่อนผ่านสายหมอกชัดๆ ฟินมากในตอนนี้
และเราก็มาถึงหาดใหญ่ครั้งแรก อย่างเป็นทางการ
ถึงหาดใหญ่แล้วยังไงต่อ
อย่าเพิ่งมองหาไก่ทอด ไม่มีขายนะจ๊ะ 55
เดินตามทางออกมาเรื่อยๆ
พอถึงประตูทางออก เราถามคุณยามค่ะ
พี่คะๆ พอดีจะไปตลาดกิมหยง ต้องขึ้นรถตรงไหนคะ
พี่ยามบอกว่า ถ้าไม่รีบก็ขึ้นรถสองแถวสีฟ้าด้านนอก ซึ่งเดินตรงไปอีก ราคา 30 บาท
แต่ช้าก่อนนนนน น๊านนานเลยนะ กว่ามันจะออก น้องอาจต้องรอเป็นชั่วโมง
แล้วมีทางเลือกอื่นมั้ยคะ
และพี่ยามก็ให้คำแนะนำมาดังนี้
ด้านซ้ายมือของประตูทางออก
มีวินรถตู้ จะมีคนขายตั๋วตั้งโต๊ะรออยู่
รถออกเร็วด้วย
เราก็ดิ่งไปเลย หาง่ายนะคะวินรถตู้ ออกจากประตูมาเจอเลยค่ะ
ซื้อตั๋วในราคา 100 บาท เราบอกเขาว่าจะไปลงตลาดกิมหยง
คนขับถามต่อค่ะ น้องจะต่อรถไปไหน ข้ามฝั่งรึเปล่า
ใช่ค่ะ จะไปปีนัง
งั้นลงตรงหน้าบริษัท KST เลยแล้วกันนะ พี่ส่งถึงที่
ประมาณ 08.15 รถตู้ก็ออกแล้วค่ะ ผู้โดยสารเต็มรถอย่างรวดเร็ว
รถในตัวเมืองหาดใหญ่เยอะพอควร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที
ก็มาถึงหน้าบริษัทรถ
พอถึงที่หมายแรกของเรา เข้าไปด้านใน
พนักงานรอต้อนรับอยู่ พร้อมขอพาสปอร์ต
เขาจะจัดการกรอกใบตม.ให้หมดเลยค่ะ
เหลือแค่ให้เราลงลายเซ็น
กระเป๋า สัมภาระต่างๆ ฝากไว้ก่อนได้
มีเวลาอีก 1 ชม. เราไปหาอะไรรองท้องก่อนดีกว่า
เดินมาตามทางขวามือของถนน
เจอตึกสไตล์ชิโนโปตุกรีส สีหวานเย็นสุดๆ
ฝั่งตรงข้ามจะมีร้านข้าวแกง
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง สำรองอาหารใส่กระเพราะก่อนล่ะกัน
อาหารรสชาติอร่อย หลากหลาย แต่ราคาแอบสูงนิดนึง
เอาเถอะเราไม่อยากเดินไกล ก็ฝากท้องไว้กับที่นี่แล้วกัน
พอกินอิ่มเรียบร้อย เดินกลับไปที่บริษัทรถ
ด้านในมีห้องน้ำ ก็ทำธุระส่วนตัวก่อนเลย
เพราะต้องเดินทางอีกยาวไกล
เวลา 9.30 น.
คนขับเรียกขึ้นรถแล้ว
เลือกที่นั่งตามใจชอบ ขึ้นก่อนมีสิทธิ์ก่อน
รอบนี้มีผู้โดยสารทั้งหมด 8 คน
นั่งสบายมาก
จากนั้นรถตู้ก็มุ่งหน้า เอ่อ มุ่งหน้าไปไหนไม่รู้
มีแวะรับผู้โดยสารเพิ่มบ้างระหว่างทาง
จอดส่งบ้างก็มี สักพักฝนตกจ้า
แหม่ะ อากาศดีที่เราคิดไว้เมื่อเช้า หมดกัน
คนขับพาเราลัดเลาะมาเรื่อยๆ
ผ่านเส้นทางธรรมชาติ ทุ่งนา
ป่าเขา สวนยาง สวนปาล์ม
จนเวลาประมาณ 11.30 น.
เรามาถึงด่านบ้านประกอบ จ.สงขลา
คนขับรถก็จะเรียกให้ลงมา ไปยื่นเอกสารกับเจ้าหน้าที่ตม.
โดยขอเก็บเงินสมาชิกบนรถคนละ 10 บาท
ซึ่งเราเดาว่าเป็นค่าที่ต้องจ่ายตอนเอารถข้ามแดน
เสร็จแล้วก็ขึ้นมารอบนรถตู้ที่เดิม
แต่บนรถของเรามีผู้โดยสารหลายสัญชาติ
อาจจะช้าบ้างเล็กน้อย เพราะว่าต้องตรวจเอกสารนานกว่าคนไทยค่ะ
ระหว่างที่รอเราก็พูดคุยกับคนขับรถ
ถามโน้นนี่ ซึ่งจะถึงปีนังตอนประมาณ 15.00 น. เวลาของมาเลเซียนะคะ
(เวลามาเลเซียเร็วกว่าไทย 1 ชม.)
และจากที่อ่านรีวิวมาหลายตลบ
หลายๆ ท่าน มักจะบอกว่ารถตู้จะพาไปด่านสะเดา
แต่วันนี้เรามาอีกด่าน ซึ่งด่านบ้านประกอบคนน้อยกว่า
สะดวก รวดเร็ว ทันใจมาก
ทีนี้เราจำได้ว่า บางรีวิวรถตู้จะแวะพักให้กินข้าว และแลกเงินริงกิต
แต่สรุปคือ ตอนนี้ไม่มีแล้วนะคะ รถวิ่งยาวๆ ไม่แวะพักใดๆ
อาจมีแวะเติมน้ำมันบ้าง ดีนะที่เราตุนเสบียง ขนม นม เนยมาเพียบ
เงินก็แลกมาแล้ว รอดตัวไป
เมื่อสมาชิกบนรถครบแล้ว ออกเดินทางกันต่อเลยค่ะ
พ้นรั้วชายแดนไทยนี้ไป ก็จะเข้าเขตของมาเลเซียแล้วนะ
ลาบ้านเกิดเมืองนอนก่อน แล้วจะกลับมาในอีกไม่ช้า
ไม่กี่อึดใจ ก็มาถึงด่านมาเลเซีย
ลงรถอีกรอบจ้า หอบหิ้วสัมภาระไปทุกชิ้นเลย
เพราะว่าจะต้องสแกนกระเป๋าด้วย
--- ด่านไทยลงไปแต่ตัว ใบตม. และพาสปอร์ต---
---ด่านมาเลเซีย มีกี่อย่างเอาลงมาให้หมด แม้แต่ขวดน้ำ---
ใจมันตุ้มๆ ต่อมๆ เจ้าหน้าที่ตม.มาเลเซียหน้าเข้มมาก
จากที่เคยอ่านรีวิวไว้ก่อนหน้านี้ ด่านมาเลฯจะสแกนแค่ลายนิ้วมือ
พอเรามาถึง เจ้าหน้าที่ขอแค่สแกนพาสปอร์ตอย่างเดียว
แค่นั้นจบเลย เดินออกมาก็สำแดงสัมภาระกับเจ้าหน้าที่
แค่นั้นอีกเหมือนกัน จบทุกขั้นตอน
เดินออกมาขึ้นรถตู้ได้ คุณลุงรออยู่
เหมือนมีคนมาคุมเด็กขึ้นรถโรงเรียน
บรรยากาศแบบนี้ 55 ไปค่ะ ไปคอนแวนต์ปีนัง
และนี่ก็คือ โฉมหน้าด่านของมาเลเซีย
นี่เราได้เหยียบแผ่นดินมาเลฯ อย่างเป็นทางการแล้วหรอเนี่ย
จากนั้น กลับเข้าโหมดเดิม
เพิ่มเติมคือไม่มีอินเตอร์เน็ตอีกแล้วววววว
รอจนกว่าจะไปถึงปีนัง จัดการเรื่องซิมในมือถือให้เรียบร้อย
เราทำการกดเปิด Airplane Mode ไว้
นั่งฟังเพลง ชมนก ชมไม้
ชมสวนยาง ทุ่งนาของมาเลฯไปเรื่อยๆ
ระหว่างทางที่ผ่าน มันเป็นเส้นทางอันซีนสุดๆ เราชอบบรรยากาศสวนยาง
มันสวยจนอยากบอกให้คนขับจอดรถ แล้วขอลงไปถ่ายรูป
ตลอดเส้นทาง มีทั้งทุ่งนา สวนปาล์มเยอะมาก
ไม่เคยรู้มาก่อน ว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลฯ
จะอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมายขนาดนี้
มองวิวภูเขาไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานก็เคลิ้มหลับ
หลับไปนานมาก ก็ยังไม่ถึง
พอเริ่มเข้าเขตถนนใหญ่ ไม่เจอทุ่งนา
ใจงี้ชื้น สงสัยใกล้แล้วๆ
แต่ก็ยังไม่ถึงอยู่ดี หลับไปอีกตื่น
รอบนี้สะดุ้งเลยจ้า มีเด็กแขกนอนหลับหลังเบาะที่เรานั่ง
เด็กน้อยคงละเมอ ถีบมาอย่างแรง
เหมือนจงใจปลุกถูกจังหวะ
เพราะเราเข้าเขตสะพานที่ยาวๆ ในปีนังแล้ว
มองวิวทะเลสองข้างทางมันสวยมาก
สะพานก็ยาวมากเช่นกัน
ถ่ายรูปมาได้แค่นี้
รถตู้แล่นเข้ามายังตัวเมืองจอร์ททาวน์ ปีนัง
เรามาช่วงใกล้เทศกาสคริสมาสต์ รถติดหนักมาก
ผ่านตึกแฟลตแบบนี้ อีกนิดก็จะถึงแล้ว
ทางซิ่งของสายแว้น 555 แยกเลนออกไปต่างหากเลย
สบายดี...ปีนัง
อ้าว !! เล่นผิดประเทศซะแล้ว
เรามาถึงหน้าที่พักในเวลา 15.30 น.
เลทไป 30 นาที เพราะรถติด
ถามย้ำคุณลุงก่อนลงรถ วันกลับรถมารับหน้าที่พักเลยใช่มั้ยคะ
ลุงตอบว่า ใช่จ้า
มันก็ต้องมีไม่มั่นใจกันบ้าง กลัวโดนทิ้ง ตกรถนี่นา
ที่พักของเรา Kimberley House
เกสต์เฮ้าส์ที่หลายๆ ท่าน ลงความเห็นไว้ว่า มันดี สะอาด ปลอดภัย
และที่สำคัญ ใกล้แหล่งอาหาร ห้าง ตึกคอมตาร์ Komtar ศูนย์กลางคมนาคมของปีนัง
ไปเช็คอินก่อนดีกว่า บริเวณล็อบบี้กว้างขวาง
มีโซฟาให้นั่งด้วย แต่อยู่อีกมุมนึง
สำหรับการเข้าพัก เราชำระเงินมาแล้ว
แต่มีการเก็บเงินเพิ่ม ดังนี้
- ค่า VAT 4 RM (ริงกิต)
-ค่ามัดจำกุญแจ 10 RM (ริงกิต) ได้คืนตอนเช็คเอาท์
จัดการตรงนี้เสร็จ พนักงานจะนำทางไปส่งที่ห้องพัก
เราได้พักชั้นบนสุด
ห้องโถงด้านใน
เดินตรงไป จนสุดทาง
ต้องถอดรองเท้าไว้ด้านล่าง
มีตู้ให้เก็บ
มีมุมนั่งเล่น
มาสำรวจในห้องกัน
เอามุมข้างๆ ก่อน
มุมจากด้านบนหน่อย ต้องปีนเก้าอี้ถ่าย
ไม่กว้างไม่แคบ อยู่คนเดียวสบายมาก
แล้วก็จะมีมุมโต๊ะเครื่องแป้งให้ด้วย
มุมปลั๊ก ซึ่งมีอันเดียว
อย่าลืมพกปลั๊กแปลงไฟ และปลั๊กพ่วงไปด้วย
จะสะดวกมากค่ะ ชาร์ตอุปกรณ์หลายๆ อย่างได้พร้อมกัน
มีพัดลมและแอร์ ถ้าแอร์เย็นไม่ทันใจก็เปิดพัดลมด้วยเลย
ที่พักก็ประมาณนี้ ส่วนห้องน้ำรวมนั้น
มี 4 ห้อง สำหรับชั้นบน
เราซอรี่จริงๆ ลืมถ่ายรูปมาด้วย
ห้องน้ำสะอาดค่ะ กว้าง น้ำไหลแรง มีอ่างล้างหน้าแยกให้ด้านนอก
มีมุมรีดผ้า แต่เราไม่เจอเตารีด 555
มีไดร์เป่าผม แต่ข้อเสียที่เราพบคือ อาจไม่สะดวกเวลาที่เร่งรีบ
เพราะมีคนเข้าออกตลอด ยิ่งช่วงเช้าคือวุ่นมาก
เราแก้ปัญหาโดย ยอมอาบน้ำตอนดึก และอาบน้ำช่วงสายๆ ค่ะ
>>>เรื่องราวอื่นๆ เกี่ยวกับที่พัก<<<
เรื่องถอดรองเท้า เราห่วงความปลอดภัยรองเท้ามาก
เพราะรองเท้าต้องอยู่ด้านล่าง ห้องพักชั้นนั้นเด็กเยอะค่ะ
กลัวหายด้วย กลัวโดนสับเปลี่ยน เลยห่อถุงพลาสติกหิ้วขึ้นห้องดีกว่า
อุ่นใจ คนอะไรห่วงยันรองเท้า
ขนม อาหาร ห้ามเอาไปรับประทานในห้อง
แต่นั่งทานที่ล็อบบี้ได้ มีน้ำขายด้วย ทั้งน้ำเปล่าและน้ำอัดลม
ราคาถูกกว่าร้านข้างนอก
พนักงานทางโรงแรมอยู่ตรงเคาท์เตอร์ดึกมากค่ะ
ไม่ต้องกังวลหากเกิดปัญหาใดๆ เทคแคร์ดีมาก
มีกาแฟ ขนมต่างๆ ที่ล็อบบี้กินฟรีค่ะ
ทานได้ตลอดเลย ของหมดพนักงานก็จะรีบเอามาเติมทันที
สรุปว่าที่พักนี้โอเค ทั้งสภาพและราคา อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
เดินทางสะดวก ปลอดภัย ผู้หญิงเดินทางคนเดียวก็ไม่ต้องกังวลค่ะสิ่งที่ต้องทำต่อไป คือ หาซื้อซิมมือถือ
ไว้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต จะไปหาซื้อแถวๆ ตึกคอมตาร์
พอก้าวเท้าออกจากที่พัก ซู่ !! ฝนเทสิคะ
มะกี้ยังแดดเปรี๊ยงอยู่เลย ร่มไม่ได้พกมา
เสื้อกันฝนก็ไม่พกมา เยี่ยมเลย
เอาล่ะ วิ่งดุ๊กๆ ไปตึกคอมตาร์
ถ้าไม่อยากเปียก
ตึกที่สูงเด่นสง่าในย่านนี้ อยู่มุมไหนก็เจอ
จากที่พัก เลี้ยวซ้าย ซอยแรก
วิ่งตรงอย่างเดียว จนเจอแยกไฟแดงหน้าห้าง แบบนี้
เล็งพิกัดไว้เลยนะคะ ฝั่งขวาใต้ห้างนั้นเลย
มีร้านมือถือ ขายซิมเพียบ
ฝนไม่ได้ตกหนักมาก แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ลงเม็ดปรอยๆ ต่อเนื่อง
เมื่อมาถึงในห้างแล้ว
ด้วยความรีบร้อน
ร้านมือถือร้านแรก เขาเชิญชวนเราซะเหลือเกิน
เสนอประเภทของซิมแต่ละยี่ห้อ
เราก็คิดอยู่แปปนึง จึงตกลงซื้อ ยี่ห้อ Tune
เล่นเน็ตได้ไม่จำกัด ความเร็ว 1 GB โทรกลับไทยได้ด้วย
ราคา 20 RM ทางร้านจัดการให้ทุกอย่าง
ความเร็วปานกลาง วีดีโอคอลในไลน์ได้
อาจมีกระตุกบ้างในมุมที่อับสัญญาณ
ไปไหนไม่ได้ ฝนยังตกอยู่ เดินเล่นวนในห้าง
ของเซลล์เยอะมาก เสื้อผ้า ขนม อุปกรณ์มือถือต่างๆ
สักพักท้องร้องหิวข้าว เลยคิดว่ารีบไป Gurney Drive ดีกว่า
"Gurney Drive" เกอร์นี่ไดร์ฟ มันคือตลาดโต้รุ่ง ขายอาหารริมทะเล
บรรยากาศเหมือนหัวหินบ้านเราทำนองนั้น ของกินเยอะมาก ราคาไม่แพง
>>>วิธีเดินทางไป Gurney Drive<<<
รสเมล์สาย 10 103 และ 104
มารอรถเมล์ใต้ตึกนี้
เดินไปช่องแรกขวามือสุด
ป้ายขวาอันที่ 1 เป็นเลนของรถสายที่ขึ้นต้นด้วยเลข 1
ซึ่งถ้านั่งสาย 103 รถจะไปส่งตรงป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ หน้าห้าง Plaza Gurney
แล้วต้องเดินข้ามฝั่งไปในห้าง เดินทะลุออกด้านหลังห้าง ถึงจะเจอโซนร้านอาหาร
แต่เราค้นพบการเดินทางที่ไม่ซับซ้อน
ต้องกราบสาย 10 ที่มาก่อน เราเลยตัดสินใจไปแบบไม่ลังเล
เพราะคิดว่า คงไปทางเดียวกัน
ขึ้นรถประตูหน้า บอกว่าไป Gurney Drive พร้อมกับหยอดเหรียญในราคา 1.4 RM
จะได้ตั๋วมาแบบนี้
บรรยากาศบนรถเมล์
แต่อย่างที่บอก ว่าใกล้เทศกาลคริสมาสต์ รถติดหนักมาก
และสายฝนยังคงโปรยปรายต่อไป
จากนั้นรถก็จะวนรับผู้โดยสารรอบๆ ตึกคอมตาร์
เหมือนเราก็ได้นั่งชมเมืองไปด้วย
สองข้างทางตึกสวยงาม เรามองข้างทางเป็นระยะ
จดจ่อมองหาห้างนั้น แต่เราก็ไม่เจอซักที
เริ่มระแวง จะหลงมั้ยเนี่ย ที่ไหนได้ มันเป็นอีกเส้นทางจ้า
เรามองข้ามไปคิดว่ามันต้องใช่ Gurney Drive ที่ตามหาแน่ๆ
ภาพมันคุ้นๆ จนรถขับวนรอบวงเวียนนี้
เตรียมตัวกดกริ่งได้เลย ป้ายแรกหลังรถเมล์วนวงเวียนคือถึงที่หมาย
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ข้างๆ ฝั่งขวามือเรา
เดินตรงไปไม่ไกล จะมีร้านอาหารตั้งเรียงราย
บางร้านยังไม่เปิด แต่ตลาดก็เริ่มคึกคักแล้ว
ของกินเยอะแยะ ผู้คนก็เยอะแยะ เหมือนมาเดินงานอาหารนานาชาติ
งานกาชาด โอทอปเมืองทอง มีให้เลือกหลากหลายเมนู น่ากินทั้งนั้น
ร้านขนมหวานก็มีเหมือนกันนะ
ที่เห็นขายดีสุดๆ ก็ต้องร้าน Laksa ก๋วยเตี๋ยวแบบมาเลเซีย
แต่น้ำซุป จะเป็นแบบกระทิต้มยำ มองเผินๆ คล้ายข้าวซอยบ้านเราเลย
เราไปยืนดูเขาทำ แต่ไม่สั่งนะ กินไม่เป็นจริงๆ
มีหลายร้านมาก
แต่เรามีเป้าหมายในใจ คือ แพะสเต๊ะ ต้องกินให้ได้
เดินวนๆ ยังหาไม่เจอ ก่อนอื่นเราต้องจับจองที่นั่ง
ด้วยการซื้อน้ำมาจองที่ แสดงความเป็นเจ้าของ ว่านี่โต๊ะฉันนะย่ะ
ซึ่งเราข้องใจเหมือนกัน ว่านั่งก่อนได้มั้ย เดี๋ยวค่อยสั่งน้ำ
หรือซื้ออาหารก่อนได้มั้ย สรุปเราลองแล้ว นั่งเฉยๆ อยู่แปปเดียว
คนขายน้ำเดินมาถาม รับน้ำอะไรมั้ย โค้ก สไปร์ท น้ำผลไม้ สั่งมาโลด
เราสั่งโค้กไป ราคาประมาณ 2.25 RM
น้ำแข็งเปล่าฟรี เอาน้ำจองโต๊ะไว้ แล้วจะเดินไปสั่งอาหารกี่สิบอย่าง
โต๊ะก็ไม่โดนแย่งด้วย เข้าเมืองตาลิ่ว ต้องลิ่วตาตาม อืม เข้าใจล่ะ
และทันใดนั้น โชคเข้าข้าง
เดินหานานมาก ร้านแพะสเต๊ะเราอยู่ตรงนี้เอง
ลีลาการปิ้งไม่ธรรมดา ชอบมาก ในขณะที่พี่ท่านปิ้งสเต๊ะอยู่
เพลงแขก สไตล์มลายูก็คลอมาเป็นระยะ บรรยากาศมันใช่
จังหวะที่ไฟลุกท่วม มายก๊อตตตต !!! อลังการจัง
จัดเสิร์ฟหน้าตาแบบนี้ มีร่องรอยความไหม้ ต้องเลือกกินนิดนึง
มีน้ำจิ้มคล้ายๆ บ้านเรา อาจาดน้ำไม่มี มีอาจาดแห้งนั่นไง เก๋มาก
แต่ละเนื้อมีหลายราคา ตั้งแต่ 0.80-1.20 RM
ขอบรรยายความฟินในการกินเนื้อแพะครั้งแรก
คือไม่คาว เนื้อหวานอร่อย หวานแบบละมุนลิ้นมาก
แต่เหนียวกว่าเนื้อวัว สำหรับการลิ้มลองถือว่าใช้ได้
ส่วนน้ำจิ้มนั้น บ้านเราอาจจะถูกปากมากกว่า ถ้ามีอาจาดด้วย
จะเวิคมาก แพะสเต๊ะ เอาไป 4 ผ่านนนน
ยังไม่อิ่ม ยังกินได้อีก แก้วน้ำวางไว้ที่เดิม
ไปเดินหาซื้ออย่างอื่นมากินต่อ
หมึกแห้งปิ้งแล้วบดเป็นแผ่น ระหว่างรอคิวซื้อ
กลิ่นมันหอม ยั่วยวนมาก ราคาประมาณ 6-8 RM
และก็ได้มาเจอ Rojak โรจัก
ผลไม้หลากชนิด คลุกเคล้าด้วยน้ำซอสรสชาติแปลกๆ
คล้ายมะม่วงน้ำปลาหวาน แต่มันเด็ดกว่านั้น
เพราะมีผลไม้หลายอย่าง หลักๆ ที่ใช้ ฝรั่ง มันแกว สัปปะรด มะม่วงเปรี้ยว
แตงกวา ชมพู่ ถ้าเราไม่อยากกินอะไรก็บอกเขาได้ ว่าไม่ใส่อันนี้นะคะ
คิดว่าชมพู่ไม่น่าจะเข้ากับเมนูนี้ เราเลยขอว่าไม่ใส่จะดีกว่า
หากชอบรสเผ็ดมาก เผ็ดน้อย ก็ออเดอร์ไปได้เลยค่ะ
ราคาจะอยู่ที่ 5-8 RM ราคาน้อยปริมาณน้อย
แต่แค่ 5 RM ก็กินอิ่มเลยนะ
และเมื่อคลุกเคล้ากับน้ำซอสที่ว่าเสร็จแล้ว
จะโรยหน้าด้วยปาท๋องโก๋กรอบ ถั่วลิสงป่น
จุดๆ นี้ ฟินมากเลยค่ะ ขออวยโรจักแบบสุดๆ
ถ้าผ่านไป ลองกินดูนะ แล้วจะติดใจ
ความประทับใจตรงโซน Gurney Drive
คืออาหารเยอะมาก เยอะมากจริงๆ เราไม่สามารถถ่ายรูปได้หมด
เพราะมัวแต่สอดส่องหาของกิน อาหารพวกเส้นผัดๆ หรือก๋วยเตี๋ยวแบบมาเลเซีย
จะได้รับความนิยมมาก ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะ โต้รุ่งกันไป ราคาย่อมเยาว์อีกด้วย
ด้านข้างโซอาหารของ Gurney Drive จะมีตลาดขายของแบบถนนคนเดินเล็กๆ
เดินชมเพลินดี ใกล้กันก็เป็นริมทะเล บรรยากาศดีมาก
แต่ถ้าอาหารไม่ถูกปาก หรืออยากซื้ออะไรเพิ่มเติม
ขนม น้ำอัดลม ลูกอม หมากฝรั่ง ทางเข้าที่เราเดินมาตรงร้านอาหาร
ด้านหลังมี 7-11 อยู่นะคะ บอกพิกัดมาม่าคัพ 555
กินอิ่มจุใจที่ Gurney Drive ไปแล้ว เราเข้าไปเดินเล่นในห้างบ้างดีกว่า
ห้าง Plaza Gurney ถือเป็นห้างหรูประมาณนึงเลยทีเดียว
ใหญ่โต กว้างขวาง สินค้าเพียบ และช่วงนี้ของลดราคาเยอะมาก
จากจุดร้านอาหารด้านนอก เดินเลาะริมทางขึ้นมาทางริมทะเลเรื่อยๆ
ไม่นานจะเจอทางเข้าด้านหลังห้าง
ในห้างเราเดินไม่ทั่ว แต่ก็แวะไปโฉบๆ ในซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นล่าง
ราคาของหลายอย่างถูกกว่าบ้านเรา ผ่านร้านวัตสัน สาวๆ ช้อปปิ้งล้นร้านเลย
ก็คสอ.มันลดราคานี่นา หรือแม้กระทั่งคสอ.แบรนด์หรูชั้นนำ
คิดราคาอยู่ในใจ ถูกกว่าบ้านเราซะงั้น ถ้าสาวๆ ขาช้อปมาเที่ยวคงถูกใจ
แหล่งละลายทรัพย์ชั้นดีเลยห้างนี้
สายตาเรายังคงทำงาน สอดส่องหาของกินอีกแล้ว
โอ๊ะ !! เจอไอติมของโปรด
สั่งไซส์กลาง เลือกได้ 3 ท็อปปิ้ง สนนราคา 15 RM
อร่อยอีกแล้ว มีเก้าอี้ให้นั่งทานที่ร้านด้วย
กินไปหลายอย่างเหลือเกิน เห็นสมควรนั่งรถกลับไปยังตึกคอมตาร์
เอาล่ะ วิธีการเดินทางกลับ ง่ายมาก เราจะได้นั่งสาย 103 แล้ว
เดินออกประตูด้านหลังห้าง เลี้ยวซ้ายกลับไปทางร้านอาหารเหมือนเดิม
เดินตรงไปเรื่อยๆ จนเจอวงเวียนเมื่อสักครู่ แล้วข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม
เดินเลยโค้งไปนิดนึง จะมีป้ายรถเมล์ นั่งรอสาย 103
หรือสายไหนก็ได้ที่ผ่านมาทางนี้ ต้องขึ้นตัววิ่งไว้ว่า ไปคอมตาร์เท่านั้น
ราคา 1.4 RM ไม่นานรถเมล์สาย 103 ก็มา เดินทาง 30 นาทีเช่นเดิม
แล้วรถเมล์จะมาจอดส่งเราที่ข้างๆ ห้างใกล้ตึกคอมตาร์
แถวนี้ห้างปิดเร็วมาก 2 ทุ่มก็เริ่มเงียบแล้ว แต่เราไม่รู้จะไปไหน
เห็นถนนอีกฟากฝั่งมีคนต่อคิวยาวรอซื้ออะไรบางอย่าง
ต่อมหิวทำงานอีกแล้วอ่ะ
นี่ไง ชื่อร้าน Bee Hong ข้ามไปต่อแถว ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้เลย ว่าขายอะไร
ระหว่างที่ยืนรอ ก็มีลูกค้ามาอุดหนุนเพียบ รถติดริมถนนก็เพราะร้านนี้เลย
รถหลายคัน ปล่อยสมาชิกลง แล้วเอารถไปจอดที่อื่น
แต่ละคนพอลงมา ก็ตรงมาสั่งใส่กล่องกลับบ้าน
เดี๋ยวๆ ที่ยืนอยู่ก็ยังไม่เห็นนะ คืออะไร ขายอะไรหรอ
ภาษาจีนก็อ่านไม่ออกซะด้วย จนใกล้ถึงคิวเรา เราก็กระจ่างว่า
มันคล้ายบัวลอยน้ำขิงบ้านเราไง
ถึงคิวเราแล้ว สั่งไม่ถูก ก็เลยบอกเขาว่าเอาแบบนี้ถ้วยนึงค่ะ
แม่ค้าจะถามว่า เอาแบบไหน white sugar or black sugar ?
เสี่ยงดวงแล้วกันเลือก black
ยืนปั้นกันสดๆ ร้อนๆ
แล้วก็ถึงเวลาได้ชิมแล้ว
ในร้านมีเก้าอี้ให้นั่งทาน บริการตัวเอง
น้ำดื่มฟรีหลังร้าน
มีแป้งก้อนใหญ่ 2 ก้อน สอดไส้ถั่วกับงา
แล้วก็มีแป้งลูกเล็กๆ แบบบัวลอย สีชมพูฟรุ้งฟริ้ง
น้ำเชื่อมหวาน หอม รสชาติดีมาก
แป้งนุ่มมาก นุ่มนิ่มเกินคำบรรยาย
ความนุ่มของแป้ง ตัดกับรสหวานของน้ำเชื่อม
ไม่ต้องพูดอะไรมาก หันไปหาคนปั้น ขอแบบนี้อีกถ้วยค่ะ
เรื่องราวของกิน ยังไม่จบแค่นี้
ขอกลับที่พักไปเก็บของที่เกะกะก่อน
เดินกลับที่พัก ก็ข้ามไปทางฝั่งห้างที่รถเมล์ให้เราลง
แล้วเดินเข้าไปในห้างที่เราซื้อซิมมือถือ ออกประตูห้างเลี้ยวซ้าย
เจอแยกไฟแดงเหมือนเดิม ข้ามถนนอีกรอบ รอนานมากกว่าจะได้ข้าม
เพราะรถเยอะมาก ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนกลางคืน
เดินกลับซอยเดิมที่วิ่งดุ๊กๆ หนีฝนมา ที่พักอยู่ทางขวามือ
สำหรับสาวๆ เดินในปีนังตอนกลางคืนก็ต้องระมัดระวัง
ถึงทางเดินจะไม่เปลี่ยว แต่ไฟมันในซอยไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่
ขึ้นห้องไปเก็บของที่ไม่จำเป็น พกลงไปแค่มือถือแล้วก็เงินเล็กน้อยพอ
เราจะไปไหนต่ออีกน๊า ไปหา Lok Lok ดีกว่า
ลกลก มันคือพวกผัก ลูกชิ้นต่างๆ เสียบไม้ แล้วมีหม้อให้ยืนลวก
น้ำจิ้มประมาณ 7 ชนิดรายล้อม พิกัดร้าน จากที่พักเดินตรงขึ้นมาทางซ้ายมือ
ไม่เกิน 500 เมตร เหมือนเป็นจตุรัสของกินยามค่ำคืนในย่านถนน Lebuh Kimberley
ราคาจะคิดตามสีที่ทาไว้บนปลายไม้
มาถึงมาเลเซียทั้งที ต้องกินซะหน่อย
ไม่งั้นจะหาว่ามาไม่ถึง และเหมือนเดิม ด้านหลังร้านมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่ง
ก่อนนั่ง สั่งน้ำก่อนนะคะ แล้วจะนั่งไปจนร้านปิดก็ได้
ตอนนั้นเราลงมาก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว บรรยากาศก็ยังครึกครื้น
มาถึงปีนังวันแรก กินไปกี่อย่างแล้วไม่รู้
แต่ประมวลผลแล้วว่าวันนี้มีแต่ของอร่อย
กินเสร็จก็รีบกลับที่พัก อาบน้ำ เข้านอน
เพราะพรุ่งนี้เช้า เราจะไปตามล่ารูปวาดชิคๆ กัน
วันแรกผ่านไปด้วยดี ฝนตกทำเรานอยด์
แต่ของกินอร่อยจะเยียวยาเราเองหลับคืนแรกที่ปีนัง สบายดี
สลบเป็นตาย ไม่ได้เดินเหนื่อยนะ
แต่กินจนเหนื่อย
ตื่นนอน เตรียมจะไปอาบน้ำ
โอ้ว !! เต็มทุกห้อง กลับไปนอนต่อก่อน
เดี๋ยวลุกมาใหม่ พอทำภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาออกไปเดินเล่น
สำรวจรอบๆ ที่พัก หาร้านเช่าจักรยาน อันที่จริงข้างที่พัก ตรงมินิมาร์ทมีจักรยานให้เช่า
ราคาไม่แพงด้วย แต่ดันปิด 1 วัน ก็เดินเล่นชมตลาดตอนเช้าไปก่อน
จากสี่แยกฝั่งซ้ายมือของที่พัก เราเดินตรงไปแบบไร้จุดหมาย
อากาศตอนเช้ากำลังเย็นสบาย ครึ้มๆ เหมือนฝนจะตกอีกแล้ว
เจอร้านขายข้าวห่อน้ำพริก ที่ใครมากินก็บอกว่าอร่อย
แต่ยังไม่ซื้อ เดินต่อไปตามทางเรื่อยๆ
เริ่มเข้าสู่ถนนใหญ่ รถเยอะแต่เช้า
แล้วเราก็เจอตลาดเล็กๆ สองข้างทาง
ขายผลไม้บ้าง ขนมบ้าง แล้วก็มีหนังสือพิมพ์ด้วย
บรรยากาศก็จะประมาณนี้ค่ะ
มีร้านขายแพนเค้ก
แป้งบัวลอยนุ่มๆ เมื่อคืนที่กิน ก็มีมาขายด้วย
มันต้องเป็นขนมขึ้นชื่อของที่นี่รึเปล่า แต่ไม่รู้จักนี่สิ
หนังสือพิมพ์หลากหลายฉบับ
แล้วก็จะมีขนมปังขายด้วย
นายจ๋า อย่าเพิ่งคุยกัน โรตีฉันจะไหม้นะจ๊ะนาย หันมาทำก่อน
และฝั่งตรงข้ามร้านโรตี จะมีร้านขายหมี่ผัด
เหมือนผัดซีอิ๊วไม่ใส่ผัก มีซอสเผ็ดๆ ราดหน้าอีกที
ราคา 1.50 RM ทานที่ร้าน
ราคา 2 RM ใส่ห่อ
ซึ่งตอนนี้ฝนลงเม็ดปรอยๆ เราอยากนั่งกินที่ร้าน
แต่ไม่มีเก้าอี้ว่าง เลยซื้อใส่ห่อมาก่อน แล้วค่อยไปที่นั่งกิน
ตลาดเช้าคนขายเริ่มเก็บข้าวของแล้ว
เราก็มองหาทำเล จะไปนั่งกินหมี่ผัดที่ไหนดี
น่าจะมีสวนสาธารณะให้นั่ง ได้หาที่หลบฝนด้วย
จากถนนบริเวณตลาด เราเลี้ยวขวาเดินไปตรงถนนใหญ่อีกเส้นนึง
ฝั่งตรงข้ามคือ ตัวตึกสีขาว George Town
ข้ามถนนไปโลด ไปถ่ายรูปตึกกัน
เป็นคนบ้าที่ชอบถ่ายรูปตึก
มีสาวสวยเดินผ่านหน้ากล้องด้วย
ข้างตึก George Town จะมีตึกสีขาวนี้เคียงคู่
ด้านหลังของตึกมีสวนสาธารณะเล็กๆ มีเก้าอี้ให้นั่ง
เหมาะเลย ที่กินอาหารเช้าของเรา
ได้เวลาเปิดห่อผัดหมี่ มีตะเกียบคู่ใจที่ทางร้านให้มา
ก็จัดการกินซะเลย รสชาติอร่อยกว่าที่คิด
ให้เยอะ กินอิ่มจริงจัง
รอบๆ สวนสาธารณะก็มีนักท่องเที่ยวมาปั่นจักรยานแบบนี้
ใครอยากซื้อหรือส่งโปสการ์ด ก็มีร้านอยู่ใกล้ๆ
หลังจากนี้เราจะไปเช่าจักรยานกัน ปั่นตามหารูปวาดตามจุดต่างๆ
เดินกลับไปทางร้านผัดหมี่ หน้าปากซอยจะมีร้านให้เช่าจักรยาน
อยู่ใกล้กับ 7-11 เข้าไปซื้อน้ำ ขนม ตุนไว้ก่อน
แล้วก็เข้ามาติดต่อเรื่องเช่าจักรยาน
ราคา 1 วัน 15 RM
มีค่ามัดจำ 10 RM จะคืนให้ตอนเอาจักรยานมาส่ง
และตรงนี้เอง เป็นจุดเริ่มต้นความดราม่า ที่ไม่คิดว่าจะมาเจอในปีนัง
อันที่จริง ละแวกนี้มีร้านให้เช่าจักรยานอยู่ 2-3 ร้าน
แต่เราเห็นพนักงานที่นี่ดูเทคแคร์นักท่องเที่ยวดี
เลยตัดสินใจเลือกร้านนี้
เข้าไปด้านใน พนักงานจะขอพาสปอร์ตเราไปถ่ายรูปเก็บไว้
ไม่เก็บพาสปอร์ต ถามชื่อที่พัก จากนั้นจะอธิบายเรื่องค่าเช่า ค่ามัดจำ
และเวลาส่งคืน ขณะที่อยู่ในร้านเวลา 10.30 น.
ซึ่งวันพรุ่งนี้ เราต้องเอาจักรยานมาคืนก่อน 10.30 น.
เราก็ได้ถามเวลาส่งคืน ทวนอีกครั้งว่า ต้องมาคืนก่อนสิบโมงครึ่งถูกมั้ย
พนักงานตอบใช่ เราก็ยื่นเงินให้ ทุกอย่างก็เรียบร้อย
ใบเสร็จเก็บไว้ให้ดีนะคะ ต้องเอามายื่นอีกรอบ
แต่เอ๊ะ !! ในใบเสร็จระบุว่า เราต้องมาคืนจักรยาน
ตอน 10.00 น. ตรง อ้าวเห้ย !! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา
เราเลยท้วง พนักงานผู้ชายบอกใจเย็นๆ แค่เขียนไว้ว่าเวลาเท่านั้น
แต่ยูจะมาคืนเรทไปสักห้านาที สิบนาทีก็ไม่เป็นไร ไม่มีการปรับ
เราเลยไม่โต้เถียงต่อ เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรตามมา
แต่ในใจก็ไม่เชื่อหรอก ไม่เป็นไร เดี๋ยวรีบเอามาคืนก่อน 10.00 น.
เดินออกมาเลือกจักรยาน ถ้ายางแบนเขาจะเติมลมให้ก่อน
พร้อมกับได้แผนที่มาเรียบร้อย
ทักษะการดูแผนที่ของเราติดลบมาก อ่อนด๋อยมาก
แต่ทำซ่า อยากปั่นจักรยาน 555
ซึ่งหลังจากนี้ เราก็สุ่มทางไปเรื่อยๆ
เปิด google map นำทางไป
กว่าจะถึงสะบักสะบอมมาก
ฝนก็ตก กางแผนที่ก็จะเปียกอีก
เลยปั่นจักรยานไปแบบไร้จุดหมาย
หลงไปลิตเติ้ลอินเดียบ้าง ย่านไชน่าทาวน์บ้าง
จนในที่สุด ก็เจอป้ายถนน lebuh armenian
ถึงที่หมายแล้ว สตรีทอาร์ท รูปวาดอยู่ในโซนนี้เกือบหมด
ทั้งรูปมหาชน รูปวาดใหม่ๆ กระจายออกไปตามซอกตึกต่างๆ
ฝนลงเม็ดหนักขึ้น แต่เราจะหยุดไม่ได้ ไม่งั้นเสียเวลาเที่ยวหมด
ก็เดินตากฝน ตามล่าไปเรื่อยๆ สนุก โหด และสะบักสะบอม
เดี๋ยวมาดูกัน ว่ารูปแรกที่เราเจอ คือรูปอะไรตะลุยย่านสตรีทอาร์ท หารูปวาด
ตามตรอกซอกซอย ก็จะมีสไตล์ฮิปๆ
มีรูปวาด พ่นสีกำแพง ร้านอาหาร ร้านกาแฟก็ดูอาร์ทตามไปด้วย
เรามาถึงก็เจอพี่บ็อบก่อนเลย
มีเหล็กดัดเป็นรูปตัวการ์ตูนต่างๆ ได้รับเกียรติจาก 4 นายแบบ
และก็เดินมาถึงมุมมหาชน ป๊อบปูล่ามากมาย
คนต่อแถวยาวมาก เพื่อรอถ่ายภาพกับรูปนี้
บางคนถึงกับถอดใจ ยอมเดินออกมาก่อน
รอจังหวะนานมาก กว่าจะไม่มีคน
แล้วก็เจอแมวตัวใหญ่ นี่คือรูปวาด
ส่วนตัวจริงอยู่ตรงนี้
ใกล้กันก็จะมีรูปแมวหน้าตาแบบนี้อีก
ถ้าดูตามแผนที่ รูปวาด S จะอยู่ใกล้ร้านขนมเปี๊ยะ ทาร์ตไข่ที่อร่อยสุดๆ ในปีนัง
พอเราเจอรูปนี้ เราก็จะเจอทางเข้าด้านข้างของร้าน Min Xiang Tai Pastry Shop
ภาพหน้าด้านร้าน ป้ายใหญ่โตอลังการ
เข้ามาซื้อทาร์ตไข่ก่อน พักเติมพลัง
ราคาชิ้นละ 2.20 RM
ชิ้นใหญ่เต็มคำ ตัวแป้งทาร์ตนุ่มอร่อย
เนื้อไข่ละมุน รสชาติหอมกรุ่น
กินอิ่มก็ออกเดินทางต่อ เดินวนๆ ไป ปั่นจักรยานซอกแซกบ้าง
ฝนก็ตกไปเรื่อยๆ เริ่มหนาวสั่น
กำแพงอิฐมอญกับต่างหน้า ดูวินเทจลงตัว
ฝั่งตรงข้าม จะเจอเด็กขี่มอเตอร์ไซต์ เป็นอีกมุมที่คนรอถ่ายภาพด้วยเยอะมาก รูปฮิตก็งี้
มินเนี่ยนก็มา
ใกล้ๆ กันก็จะมีรูปวาดสไตล์ต่างๆ และเหล็กดัดอีกเพียบ
นี่ล่ะ ที่มาของสำนวน รักดีหามจั่ว รักชั่วหามกระจาด 55 ใช่หรอ
เดินเข้าไปในโซนที่กำลังก่อสร้างบางอย่าง
ก็เจอคุณ บรูซ ลี
เดินลัดเลาะไปตามซอกซอย ไม่ต้องกลัวเหงา เราจะมีเพื่อนมาล่ารูปวาดเพียบเลย
บางคนหารูปไหนไม่เจอ ก็จะแวะแชร์ข้อมูลกัน ดูจริงจังมาก
ซึ่งสามรูปนี้จะอยู่ใกล้กัน หาไม่ยาก
ระหว่างที่เดินนั้น ฝนก็ไม่หยุดซะที
จนเราคิดว่า เดี๋ยวได้รูปอีกนิดหน่อยก็พอแล้ว
ปั่นจักรยานกลับไปเปลี่ยนชุดที่ที่พัก ก่อนไข้จะกิน
เลยรีบเดินหารูปเด็กเอื้อมหยิบของ
และเจอเหมียวที่ต่างหน้า พร้อมเหล็กดัดรอบๆ
ยังไม่ได้รูปเด็กเล่นชิงช้าเลย
รีบเดินหาจนขาขวิด ทำเวลาแข่งกับสายฝน
ได้มาอีก 2 รูป
และก็บังเอิญเจอน้องแมวอีก ซึ่งรูปวาดจะมีตามกำแพง
ต้องสังเกตนิดนึง อย่างกะมาเล่นซ่อนแอบนะเนี่ย
พอแค่นี้ดีกว่า ใครใคร่หา หาไป เราไม่ไหวแล้ว
หนาวสั่นมาก รีบปั่นจักรยานกลับที่พักด่วนๆ
ระหว่างทางขากลับ พบเจอสิ่งสวยงาม
เจอตึกสีเขียวพาสเทล มุมเก๋ๆ นั้น มีทั่วปีนัง
ปั่นจักรยานเพลินมาก
พอใกล้จะถึงที่พัก อ้าว !! ตรงนี้ฝนไม่ตก
แต่ฟ้าก็อึมครึม พร้อมจะตกได้ทุกเมื่อ
ขอเวลาพักร่างก่อนจะออกไปซิ่งต่อ
ภารกิจต่อไป เราจะไปปีนังฮิลล์กัน
ตอนนี้ภาวนาว่า อย่าให้ฝนตกอีกเลย
อยากชมวิวภูเขาแบบแจ่มๆ
แต่ไม่รู้ฟ้าฝนจะเข้าข้างรึเปล่าน่ะสิมาอัพเดทต่อแล้วค่ะ หลังจากที่รอให้ฝนหยุดตก
เราก็ออกจากที่พัก เตรียมจะไปปีนังฮิลล์ Penang Hill
หรือ Bukit Bendara ของคนปีนัง
>>>การเดินทาง<<<
ตั้งหลักตึกคอมตาร์ที่เดิม
เดินไปรอรถเมล์สาย 204
ลงสุดสาย ป้ายสุดท้าย ยังไงก็ไม่หลง
ราคา 2 RM เดินทางประมาณ 40 นาที
ซึ่งรถเมล์สาย 204 จะผ่านทางเข้าวัด Kek Lok Si
วัดแบบสถาปัตยกรรมจีน มีความสวยงาม บนเขาสูงเป็นที่ประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิม
ตอนดูในรูปว่าสวยแล้ว พอรถเมล์แล่นผ่านเท่านั้นล่ะ
สวยงามกว่าที่จินตนาการไว้ เมฆหมอกค่อยๆ เคลื่อนคล้อยรอบองค์เจ้าแม่กวนอิม
น่าเสียดายมาก ที่เราไม่ได้แวะ เพราะกลัวจะไปปีนังฮิลล์ไม่ทัน
เลยถ่ายรูปมาได้เพียงเท่านี้ ตอนอยู่บนรถ
หากจะแวะไหว้พระ ทำบุญ ก็ลงก่อน 1 ป้ายรถเมล์ ที่จะถึงปีนังฮิลล์
มีนักท่องเที่ยวขึ้น-ลงรถ ตรงวัดเยอะค่ะ เพราะเป็นจุดที่เดินทางต่อไปชมวิวภูเขาปีนัง
ถ้าเจอมุมนี้ อีกนิดก็จะถึงที่หมายแล้ว
และเราก็มาถึงทางเข้าปีนังฮิลล์
เดินตรงมาซื้อตั๋วรถรางไฟฟ้าก่อน ในราคา 30 RM
จะได้บัตรหน้าตาแบบนี้
เดินตามป้ายทางเข้า เสียบบัตรเหมือนขึ้นรถไฟฟ้าทุกประการ
รอรถรางมารับ เวลาช่วงเย็นจะมีนักท่องเที่ยวเยอะมาก
ไปๆ เลือกที่นั่งหน้าสุดเลย จะได้มองวิวชัดๆ
รถรางเลื่อนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ทางสูงชัน
แต่ไม่หวาดเสียว ฝนลงเม็ดมาอีกแล้วค่ะ
จนรถรางจอด เราได้เห็นวิวภูเขาในสายหมอกแบบนี้
ความรู้สึกขณะนั้นคือ #ปีนังหนาวมาก
อากาศข้างบนนี้ดีมาก สดชื่น
ทั้งฝน ไอหมอก ลมพัดโชยมา
บรรยากาศโรแมนติกที่สุดเลย
แล้วก็มาถ่ายรูปตรงจุดชมวิวค่ะ
หมอกลงหนักมาก แต่มันก็สวยไปอีกแบบล่ะ
มองบวกเข้าไว้ นี่มันปีนังในสายหมอกชัดๆ
#ปีนังเมืองโรแมนติก
สะพานยาวๆ นั่นไง ที่พาเราเดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาที่นี่
มีป้ายบอกสถานที่แต่ละจุดด้วย
มองวิวลอดระเบียง ดูสดชื่น
มีกล้องให้ส่องดูวิวระยะใกล้ ราคา 1 RM
หยอดเป็นแบงก์เท่านั้น เหรียญไม่รับ
พอคนเริ่มเซลฟี่ตรงจุดชมวิวเยอะขึ้น เราก็ปลีกตัวออกมา
เพราะจะเดินทางไปดูบรรยากาศคล้องกุญแจคู่รักที่โซล 555
ที่ปีนังฮิลล์นี่ล่ะ ข้างบนสุดเลย จะมีจุดให้คล้องกุญแจ
นี่มันโซลเกาหลีใช่มั้ยยยย หมอกลงหนักมาก
เก้าอี้ มุมมหาชน
เลือกมุมคล้องกุญแจตามใจชอบ แต่มาถึงเย็นเกินไป
จุดที่ขายกุญแจปิดหมดแล้ว พกจากบ้านมาคล้องได้มั้ยเนี่ย 555
เราอยู่บนปีนังฮิลล์ประมาณ 2 ชม. เดินชมบรรยากาศรอบๆ ไปเรื่อย
มีร้านอาหาร มีร้านขายของที่ระลึก 2-3 ร้าน
ใจจริงก็อยากรอจนมืด จนได้ชมวิวยามค่ำคืน
แต่เวลา 1 ทุ่มกว่าแล้ว ฟ้ายังไม่มืดเลย
หมอกลงพร้อมกับสายฝนโปรยปราย หนาวสุดขั้ว
หนาวเข้าไปยันปอดเลย แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวขึ้นมาชมวิวอย่างต่อเนื่อง
ท้องร้องแล้ว หิวข้าวววว ลงจากเขาไปหาอะไรกินดีกว่า ขากลับต่อแถวยาวกว่าตอนขึ้นมา
ช่วงที่รอคิวรถรางยืนหนาวสั่นกันแทบทุกคน
ไม่นานก็ลงมาถึงด้านล่าง
มองขึ้นไปข้างบนตอนเปิดไฟแล้ว
วิวกลางคืนคงสวยงามไปอีกแบบ
ไว้คราวหน้าเราจะมาสัมผัสใหม่
บ๊ายบายก่อนนะ ปีนังฮิลล์
การเดินทางกลับ
เราก็รอรถเมล์สาย 204 เหมือนเดิม
แต่ต้องเดินออกมาจากหน้าปีนังฮิลล์ประมาณ 200 เมตร
จะมีป้ายรถเมล์ค่ะ ระหว่างทางกลับหนาวมากไปอีก
รถเมล์เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ฝนก็ตกหนัก รถติดด้วย
มาถึงตึกคอมตาร์ ใช้เวลาเดินทางไปร่วม 50 นาที
รถเมล์จะจอดส่งเราข้างๆ ห้าง แถวคอมตาร์นะคะ
เขาจะบอกเราเองว่าให้ลงตรงนี้ เราก็เข้าไปตั้งหลักหลบฝนในห้างก่อน
อากาศหนาวมากจริงๆ เดี๋ยวเรื่องอาหารการกินค่อยว่ากันอีกทีใกล้แล้วๆ เรื่องราวที่ปีนังกำลังเข้มข้น
สะบักสะบอมและหนาวเหน็บจากสายฝน
รีบเดินกลับไปยังถนนแถวที่พัก ย่าน Lebuh Kimberley
ตรงถนนเส้นเดิมที่เราไปกิน lok lok
ตอนกลางคืนเราต้องเดินหลบรถในซอยหน่อย
เดินริมถนนไม่ค่อยสะดวก ต้องเข้ามาเดินใต้ตึกแถวแบบนี้
แล้วเราก็มาถึงย่านจตุรัสของกิน ร้านรวงเปิดเต็มไปหมด
คืนนี้มาเร็ว ยังเป็นช่วงหัวค่ำ บรรยากาศคึกคัก
ตรงจุดนี้ คุณจะเหมือนเซเลป เพราะโดนเรียกเชื้อเชิญให้เข้าร้าน
คนขายส่งเสียงเกรียวกราว รู้สึกเหมือนอยู่บนถนนเยาวราชบ้านเรา
บางมุมของร้านอาหารย่านนี้
ด้วยความที่ติดใจ lok lok อย่างมาก มากแบบถอนตัวไม่ขึ้น
ก็ตั้งใจกลับไปร้านเดิมที่มากินเมื่อคืน แต่ข้างๆ ร้านมีโรจักขาย
มีหรือจะพลาด สั่งโรจักกินก่อนเลย ฟาดของหวาน ก่อนอาหารคาว
ปฏิบัติการบุกหลังร้าน ยืนดูตอนแม่ค้าทำ เพลินมาก สับๆ ผลไม้
คลุกๆ โรยท็อปปิ้ง
ก็จะออกมาหน้าตาแบบนี้ ดูน่ากินกว่าวันแรกที่เราซื้อตรง Gurney Drive
ท็อปปิ้งจุใจ มีการใส่ปลาหมึกกรอบเด้งดึ๋งมาด้วย แล้วก็มีหมึกแห้งกรอบๆ อีกเหมือนกัน
ฟินมากกกกกกก อยากให้บ้านเรามีขายมั่งจังเลย
กินของหวานอิ่มแล้ว เราก็ไปเลือกลูกชิ้น lok lok กินต่อทันที
ก็มันหิวจริงๆ เดินเหนื่อยมาทั้งวัน
น้ำจิ้มรายล้อม 7 ชนิดที่เราบอกไปไง ข้างๆ ก็มีอีก
แต่ที่อร่อยสุดๆ ยกให้น้ำจิ้มซีฟู้ดเลย พระเอกของร้านนี้
เราขออวยเจ้าลูกชิ้นปลา เต้าหู้ชีส และพวกเต้าหู้ปลาหน่อยเถอะ
มันอร่อยมากจริงๆ บ้านเราชิดซ้ายไปเลย ด้วยความที่ปีนังเป็นเกาะติดทะเล
ของทะเลจะเยอะ สด และอร่อยมาก ลูกชิ้นก็นุ่ม เต้าหู้ชีสก็ฟิน
สามารถกินซ้ำไปมาแบบมีความสุขมาก
นี่ไงงงงง เต้าหู้ชีส อย่านับจำนวนไม้นะ
เพราะนี่แค่ส่วนน้อยที่กิน กินจนตัวแตกเลยทริปนี้
ก่อนที่วันพรุ่งนี้จะกลับ เราอยากใช้เวลากับ lok lok ให้นานที่สุด
กินหมด ก็เดินไปเลือก แล้วลวกใหม่ เจ้าของร้านก็น่ารักมากเลย เทคแคร์ดีมาก
กินจนลูกชิ้นปลาที่เขาเสียบไว้หมด เขาก็เสียบใหม่ให้เดี๋ยวนั้นเลย
ก่อนกลับเข้าที่พัก ยังซื้อใส่ถุงกลับไปกินอีก 5555 มันอร่อยขนาดนั้นจริงๆ
เป็นอาหารกินเล่น ที่อิ่มจริงจัง
ส่วนร้านอื่นๆ คนเยอะทุกร้าน ของน่ากินทุกอย่างเลย
มีก๋วยจั๊บ ก๋วยเตี๋ยว ปอเปี๊ยะสด ของหวานต่างๆ
หลากหลายมาก เหมือนงานอาหารนานาชาติ
ลั้ลล้ากับของกินพอแล้ว ก็เดินกลับที่พักได้
ผ่านมินิมาร์ทแวะเข้าไปเดินเล่น
และก็ต้องลิ้มลองเบียร์ของมาเลเซีย พอเป็นพิธี
ปีนังเป็นเมืองที่ค่อนข้างสงบ เคร่งศาสนา
เลยไม่ค่อยเห็นร้านเหล้า หรือบาร์ต่างๆ เยอะมากนัก
ถ้าจะดื่มเบียร์ก็ควรอยู่เป็นที่ทาง
และเนื่องจากที่พักไม่ให้เอาขึ้นไปบนห้อง
เราก็นั่งจิบมันตรงล็อบบี้โรงแรมเลย
นั่งฟังเพลงเพลิน มีเพื่อนมากมาย
มุมนั่งเล่นต่างๆ ของโรงแรมดึกๆ จะมีคนลงมาดูทีวี
เล่นคอม พูดคุยกัน พนักงานก็นั่งอยู่เป็นเพื่อนเราตลอด
พรุ่งนี้เที่ยงๆ เราก็ต้องเดินทางกลับแล้ว เวลาเดินไปไวจัง
เมื่อตอนกลางวันที่ฝนตก ยังงอแงอยากกลับบ้าน รู้สึกไม่โอเค
พอปรับตัวได้แปปๆ ก็เหลือเวลาเที่ยวไม่มากแล้ว
พรุ่งนี้เราจะปั่นจักรยานไปคาเฟ่ Coffee on the table
ร้านกาแฟน่ารักๆ ในปีนัง มีลาเต้อาร์ท 3 มิติด้วย
และเรื่องราวดราม่าที่ร้านจักรยานจะเป็นยังไงต้องติดตาม
เดี๋ยวมาอัพเดทต่อนะคะ อีกไม่นานเกินรอ ^^Last day in Penang เมื่อวันสุดท้ายมาถึง ฮือๆ ยังไม่อยากกลับ
เมื่อคืนนอนหลับสบายมาก ฝนเทลงมาห่าใหญ่ทั้งคืน
ถึงแม้ว่าปีนังจะไม่มีฤดูหนาว แต่สองวันที่ผ่านมา
เราได้รับความหนาวสั่นแบบไม่คิดว่าจะเจอ แทบไม่เจอแสงแดด
ไม่ร้อน ไม่มีเหงื่อสักหยด ขอบคุณความปีนังหนาวมากไว้ ณ ที่นี่
เช้านี้ท้องฟ้าดูสดใส มีแสงแดดร่ำไรในช่วงแปดโมงกว่าๆ
ได้เวลาพาจักรยานคู่ใจ ไปร้านกาแฟ เปิด Google Maps
ให้มันนำทางเราไปยัง Coffee on the table ห่างจากที่พักประมาณ 7 นาที
แต่เราทำเวลาได้ดีกว่านั้น ใน 5 นาที 555 สายซิ่ง
ระหว่างทางก็จะผ่านสถานที่ต่างๆ
ความสนุกในการปั่นจักรยานบนถนนใหญ่ คือ ต้องคอยระวัง
และพยายามก้มหัวงึกๆ ตลอด ขอทางหน่อยนะคะ อย่าเพิ่งด่าพ่อเราในใจนะ
รถบีบแตรใส่นิดหน่อย อย่าสะดุ้ง รีบๆ ปั่นไป
ไฟเขียวเราก็รีบออกตัว ไม่ใช่อะไร เราโดนมอเตอร์ไซต์ไล่กวดหลัง
555 สนุกเป็นบ้า
จอดจักรยานหน้าร้านก่อน ตอนเช้าคนยังไม่เยอะ ร้านเปิดตั้งแต่ตอน 8.30 น.
เดิมร้านชื่อว่า Cafe 55 แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นชื่อนี้
น่ารักมั้ยๆ ลาเต้อาร์ท 3 มิติ เข้าร้านกันดีกว่า
เมนูก็มีประมาณนี้ แต่จะลองสั่งเป็นรูปสัตว์หรือการ์ตูนอื่นๆ ก็ลองถามพนักงานดูนะคะ
เราเลือกเช็ตแมวเหมียว ราคา 22 RM มีไอติมให้ด้วย
ใช้เวลาทำประมาณ 15 นาที ของจริงมาแล้ว น่าร๊ากกกกก
อันนี้เป็นโรสลาเต้ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของกุหลาบ
รสชาติกลมกล่อม
สักพักเราเริ่มสำรวจร้าน แล้วก็เดินไปจ่ายเงินด้วย
มีค่าเซอร์วิสชาร์จอีก 2 RM รวมเป็น 24 RM
ได้เวลาไปคืนจักรยานแล้วสินะ ด้วยความที่เมื่อวานปั่นจักรยานหลงมาลิตเติ้ลอินเดีย
วันนี้เลยจำทางได้ ไม่ต้องง้อแมพอีกต่อไป
มาเที่ยวพาหุรัดจ้า แถวนี้เปิดเพลงแขกเพราะมาก มันส์มากด้วย
ขี่จักรยานอยู่ก็แอบโยกหัวตาม อีนี่ฮัชช่า นายจ๋า
เจอร้านข้าวห่อน้ำพริก ซื้อซะหน่อย เพื่อพิสูจน์ว่าอร่อยจริงมั้ย
ราคา 1 RM ถูกมากๆ
อวดรูปโฉมนิดนึง สีดูเผ็ด แต่ไม่เผ็ดเลย น้ำพริกอร่อย มีเนื้อปลาซ่อนไว้ข้างใน
เก็บไว้ไปกินตอนรอรถตู้มารับ
ซิ่งๆ ไปคืนจักรยาน รถติดอีกแล้วเช้านี้
เรามาถึงฝั่งตรงข้ามหน้าร้านจักรยานก่อน 10 โมง เอิ่ม หายใจทั่วท้องล่ะ
ยังไงก็ทัน แค่ปั่นข้ามถนนไปแค่นี้เอง เราก็โบกไม้โบกมือให้พนักงานหญิงหน้าร้าน
ข้ามฟากถนน แสดงตัวก่อน ว่ามาแล้วนะ แต่จะเลทเลยเวลา 10 โมงไปก็ตอนรอข้ามถนนนี่ล่ะ
ไม่มีจังหวะข้ามได้เลย จนพอข้ามมาได้ ก็ส่งจักรยานคืนให้คุณลุงหน้าร้านค่ะ
เขาก็เช็คๆ ว่าสภาพจักรยานไม่เป็นไร ไม่ล้ม ไม่ชำรุด โอเค เข้าไปในร้านกัน
ต้องยื่นใบเสร็จ เพื่อขอเงินมัดจำคืน
แท่น แท๊นนนนนนน
เริ่มโต้วาทีกันตรงนี้แล้ว
เมื่อพนักงานหญิงบอกว่า เราซอรี่จริงๆ คืนให้ไม่ได้ คุณมาเลท
เรามองนาฬิกา 10.03 น. 3 นาที โอเค ยอมรับผิดก่อน เราผิดเองที่มาช้า
ไม่ว่าจะกี่นาทีก็ตาม ไม่ใช่ความผิดของร้าน ที่จะไม่หยวนให้
คุณลุงข้างนอกเห็นท่าไม่ดี เดินเข้ามาช่วยพูด ว่าเห็นเรารอข้ามถนนนานมาก
จริงๆ ก็ถึงก่อนสิบโมงนั่นล่ะ คืนให้ไปเถอะ นิดหน่อย ไม่เป็นไร
พนง.หญิง มองค้อนแรงเลยค่ะ บอกว่าไม่ได้ ทันที
ตรงนี้เราเข้าใจเขานะ ว่าต้องรักษาผลประโยชน์ของร้าน
ทำตามกฎก็ถูกแล้ว แต่วิธีการ คำพูด ท่าทางที่เขาแสดงต่อเรานี่ล่ะ
ที่ทำให้ไม่โอเคเลย
เราเลยขอเท้าความถึงเหตุการณ์ตอนเช่าจักรยานให้พนง.หญิงฟัง
เพราะเมื่อวานเรามาก็เจอเขา แต่จะมีเจ้าของร้านผู้ชายอีกคน เป็นคนรับเรื่องตอนเราติดต่อเช่า
ซึ่งพี่คนนั้นเขียนเวลาคืนจักรยาน เร่งเวลาให้ไวขึ้น 30 นาที
แล้วบอกว่า ไม่เป็นไร เลท 10-15 นาที เราก็ไม่ปรับ ไม่เก็บค่ามัดจำ
คำตอบที่ได้กลับมาคือ วันนี้พี่คนนั้นไม่มา ถ้าจะเคลียร์ ให้รอพี่คนนั้น เอิ่มมมมม
ตอนแรกเราก็สื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษอยู่ดีๆ สักพักพนง.หญิง โต้ตอบเราด้วยภาษามลายู
เราฟังไม่ออก น้ำตาจิไหล ไม่รู้โดนว่าไรมั่งนะ 555 ได้โปรดอย่าทำร้ายกันเลย ตอนแรกอารมณ์เดือดเรื่องจักรยาน
สักพักเจอแบบนี้ เหมือนจงใจแกล้ง เราพยายามพูดคุยด้วยเหตุและผล
ชี้ที่มาที่ไป แล้วพนง.ก็หันหลัง บ๊ายบายใส่เราเลย เรื่องเงินมัดจำไม่เสียดายเท่าไหร่
ถึงลึกๆ จะเสียดายนิดนึงก็ตาม เพราะซื้อขนมกินได้หลายบาทนะ ฮือ T^T
เรานอยด์เรื่องที่เขาไม่แฟร์เวลากับเรา โกงแม้กระทั่งเวลาเช่าจักรยาน
แต่ถ้าวันนี้เราเจอพี่คนเมื่อวาน มันอาจจะไม่ดราม่าแบบนี้ก็ได้
ซึ่งเราก็ยอมเดินจากไปแบบเศร้าๆ หัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่รู้จะสู้ยังไง
คุยภาษานึง ตอบอีกภาษานึง เห้อ !! แล้วเขาก็พูดแค่ซอรี่ๆ น้ำเสียงกะสีหน้าไปคนละทาง
ไม่ไหว เพลียใจสุดๆ ถือเป็นอีกเรื่อง ที่เราอยากแชร์ให้ฟัง อย่าผิดพลาดตรงนี้เหมือนเรานะ
ดูให้รอบคอบ ถ้าลงเวลาไม่ตรง ก็ย้ายไปเช่าร้านอื่นดีกว่า
เมื่อก่อนราคาเช่าจักรยานจะประมาณ 10 RM ต่อวัน
ตอนนี้ก็ปรับราคาขึ้นเกือบทุกร้านแล้ว เป็น 15 RM ต่อวัน
เราระบายเรื่องนี้ให้เพื่อนที่ทำงานในมาเลฯ ฟัง เพื่อนบอกไม่ต้องคิดมาก
มันก็มักจะเป็นแบบนี้ คนที่นี่ไม่ได้ใจดีทุกคน บางทีเห็นมาคนเดียวก็ฉวยโอกาสขึ้นราคาบ้าง
โกงนิดๆ หน่อยๆ ถือซะว่ารับน้องแล้วกันเนอะ 555 มองบวกแล้วก้าวเดินหาของกินดีกว่า
สบายใจกว่าเยอะ คิดซะว่าซื้อประสบการณ์ เจอเรื่องไม่ดีแค่อย่างเดียวก็ช่างมัน
เพราะที่ปีนังก็ยังมีคนใจดีอีกเยอะแยะ มีคนน่ารักอีกมากมาย อย่างพ่อค้าที่ดูหน้าตาแขกๆ หล่อเข้ม
เหมือนหน้าเขาโหด แต่หลายๆ คน ใจดีมากเลย
เวลาซื้อของ พูดจาดี ยิ้มแย้ม ดูเป็นมิตร
เมื่อไม่มีจักรยานเจ้ากรรมนั่นแล้ว
เราก็เดินสวยๆ ต่อไปค่ะ
กลับมาเจอตลาดเช้าที่มาเมื่อวาน
ก็เจอบัวลอยเพื่อนยาก ถ่ายรูปมาได้เน่ามาก เบลอระดับสิบ 55
ฟันธงเลยว่า มันคือขนมอร่อยขึ้นชื่อของปีนังแน่ๆ เจอบ่อยมาก
รอบหน้าถ้ามาอีก จะกินให้หนำใจเลย
เราเดินกลับไปที่พักก่อน ขึ้นไปเก็บของบนห้อง
คว้าสัมภาระต่างๆ ลงมารอที่ล็อบบี้ ทำการเช็คเอาท์
แล้วจะได้เงินคืนค่ามัดจำกุญแจห้อง 10 RM
เย้ๆ มีตังค์กินหนมแล้ว รอดตาย
ไปหาลอดช่องกินกันดีกว่า ก่อนจะกลับ
ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อน
ลอดช่องปีนังเจ้าดัง จะอยู่ตรงถนนที่ชื่อว่า Penang Road Famous
เพื่อความชัวร์เปิดแมพก่อน หาพิกัดไปร้าน Chendul เดินประมาณ 10 นาทีจากที่พัก
มองเห็นตึกคอมตาร์ สูงเด่น
เดินมาเรื่อยๆ จะผ่านข้างๆ ห้าง Komtra walk
เดินเรียบทางไปตามถนน จะเจอสะพานลอย มาถูกทางแล้ว
บริเวณโค้งหัวมุม เจอร้านทาร์ตไข่ Min Xiang Tai อีกสาขา ดีเลย
เข้าไปซื้ออีก อร่อย กินแล้วติดใจ ซื้อเป็นของฝากกลับบ้านก็เริ่ดนะ
ซื้อน้อยเขาก็ใส่กล่องพลาสติกใสให้
ถัดจากร้านทาร์ตไข่ไปนิดเดียว ซอยแรกก็ถึงร้านลอดช่อง Chendul
คล้ายๆ ลอดช่องบ้านเรา แต่จะใส่ถั่วแดงด้วย
ไปสิงคโปร์ไม่จอดลอดช่อง เพราะคนขายย้ายมาปีนัง อิอิ ขำหน่อยสิ
ราคาประมาณ 2-2.10 RM ร้านดังเจ้านี้ต้องยืนกินเท่านั้น
แต่ละแวกใกล้เคียงก็มีอีกร้านนึง มีเก้าอี้ให้นั่ง
ข้างๆ ร้านลอดช่องมีของทอดขาย เขาเรียกว่า Lor Bak
ซื้อเสบียงตุนไว้กินบนรถ เพราะขากลับ รถไม่จอดแวะอีกแน่นอน
กลัวหิวกลางทาง ตุนๆ ไว้ก่อน
ขณะที่เดินตามหาลอดช่อง แสงแดดได้สาดส่องลงมา
เราเชื่อในพลังของมันแล้ว ว่าปีนังร้อนมากกกกกกก
แสบจั๊กกุแร้เป็นยังไงเข้าใจแล้ว ดีนะ เราอยู่อีกแปปเดียว ไม่งั้นไหม้เกรียมแน่นอน
ทุกอย่างต้องทำเวลา จะเดิน จะกิน แต่ก็สนุกไปอีกแบบ
รถตู้จะมารับหน้าที่พักตอนเที่ยง เรามีเวลาเหลืออีก 40 นาที
ยังไม่หมดๆ ยังมีเวลาเดินหาของกินอีก เดี๋ยวจะพาไปตลาดสดละแวกที่พักนะคะ
มันอยู่ใกล้ๆ ร้าน lok lok เป็นซอยเล็กๆ ตอนกลางคืนขายอาหาร
กลางวันก็ขายผัก ผลไม้ และอาหารทะเล อยากไปสัมผัสบรรยากาศสักครั้ง
ว่าเหมือนตลาดบ้านเรารึเปล่ายังมีเวลาเหลือก่อนที่รถตู้จะมารับเรากลับไปส่งหาดใหญ่
กินลอดช่องอันขึ้นชื่อลือชาไปแล้ว ก็เดินกลับมาถนนเส้นเดิม
จะมีทางสี่แยกข้างหน้า เป็นถนนที่ตอนกลางคืนเรามาทานอาหาร
แต่ในซอกเล็กๆ ข้างหน้านั้น จะมีตลาดสด
แต่ก่อนจะข้ามไป แวะซื้อขนมก่อน
มันเป็นแป้งแผ่นบางๆ กรอบๆ แบบนี้
5 ชิ้น ราคา 2 RM
เขาจะตักแป้งหยอดลงไปในกระทะ แล้วก็หมุมให้มันกระจายรอบๆ
เหลือแป้งนูนๆ ตรงกลางไว้ แป้งกรอบ เหมือนกินโตเกียว
แอบคิดว่ามันคล้ายขนมดอกบัวบ้านเรา ที่ต้องทอดในกระทะแบบนี้
ซื้อขนมเสร็จแล้วก็ข้ามถนนไปเดินตลาดกันเลย
ยังมีของสดขายอยู่ ปลาทะเลราคาไม่แพง
มีขนมวางขายแบบนี้
เดินไปเรื่อยๆ ก็เพลินค่ะ มีร้านขายของชำ ขายผัก
ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ
ยังเหลือเวลาอีกนิดนึง ฝั่งตรงข้ามตลาดนี้ จะมีร้าน Happy มินิมาร์ท
ข้ามไปซื้อขนม หรือลูกอมติดไว้ก็ดีนะ เพราะไม่รู้ว่าขากลับจะใช้เวลาเดินทางนานมั้ย
จะได้ไม่หิว แล้วเราก็กลับไปนั่งรอรถที่ล็อบบี้ของที่พัก
เรากลับรอบ 12.00 น. ระหว่างนั้นก็ตรวจเช็คสัมภาระอีกรอบ ว่าไม่ลืมอะไร
ก็นั่งกินข้าว ขนมที่ซื้อมา ไม่นานคนขับก็จะเดินมาถามตรงหน้าต่างด้านนอก
ว่าจะกลับหาดใหญ่หรือเปล่าครับ รถมาถึงตอน 12.10 น. เพราะรถในปีนังคงติดอีกแล้ว
แล้วก็ต้องแวะรับผู้โดยสารจากที่พักอื่นด้วย
ใจหายเลย ต้องจากปีนังจริงๆ แล้วหรอ
ยังตระเวนกินไม่ทั่วเลย แต่ไม่เป็นไรต้องกลับมาอีกแน่นอน
ขากลับก็เลือกที่นั่งตามสะดวก ว่างตรงไหน นั่งตรงนั้น
และรถตู้ก็จะวนไปรับผู้โดยสารตามจุดต่างๆ ของปีนัง
โดยรอบเดินทางกลับ มีสมาชิกทั้งหมด 9 คน นั่งสบายๆ รถสะอาด
สภาพดี ขับรถสุภาพ ระยะเวลาในการเดินทางกลับ 5.30 ชั่วโมง
รถตู้ค่อยๆ แล่นออกจากตัวเมืองปีนังไปอย่างช้าๆ
จนไม่นานก็ผ่านสะพานยาวๆ เช่นเคย วิวทะเลสวยมาก
และวันนี้แดดก็ร้อนมากด้วย ประมาณ 1 ชม. ที่ออกมาจากปีนัง
รถตู้จะแวะเติมน้ำมัน และให้เราเข้าห้องน้ำ
ออกเดินทางต่ออีกไม่นานก็จะถึงด่านของมาเลเซีย
เราก็ลงไปยื่นเอกสาร ไม่ต้องเอาสัมภาระลงไปนะคะ
ช่วงบ่ายที่ด่านยังคนไม่เยอะ ทุกอย่างรวดเร็ว ผ่านไปด้วยดี
ประมาณ 15.30 น. เราเริ่มเข้าเขตชายแดนไทย เย้ๆ
มาถึงด่านสะเดา จ.สงขลาแล้ว ผู้คนเยอะมาก ตาลาย
ต่อแถวยาว เราก็ลงไปยื่นเอกสารอีกเช่นเคย รถตู้จะจอดรอด้านหลังด่าน
ผ่านขั้นตอนต่างๆ เรียบร้อยก็กลับมาที่รถ
เรื่องๆ วุ่นเกิดขึ้นอีกรอบ
ผู้โดยสารท่านนึงหายไปจากรถ ทุกคนมาพร้อมแล้ว
แต่ขาดไป 1 คน คนขับก็รออยู่ประมาณ 15 นาที
จนคนในรถที่นั่งใกล้ผู้โดยสารคนนั้นเพิ่งจะบอกว่า พี่เขาจะขอลงที่ด่าน
นั่นๆ ทำไมเพิ่งมาบอก 555 คนขับหัวเสียนิดหน่อย
เอาเป็นว่า ขึ้นรถตู้มาแล้ว เราก็เสมือนเพื่อนร่วมทางกัน
ดูแลกันนะคะ ถ้าคนไทยเหมือนกัน พูดคุย ถามไถ่กันได้
จดจำสมาชิกบนรถด้วย ไปทางเดียวกัน ดูแลกันเนอะ
จะได้ไม่พลัดหลง ถึงที่หมายครบทุกคน
พอออกจากด่านสะเดา ฝนก็ตก
แต่อีกนานกว่าจะถึงตลาดกิมหยงหาดใหญ่คงหยุดตกพอดี
จะไปลงตรงไหนในตัวเมืองหาดใหญ่ก็บอกคนขับรถไว้ก่อนนะคะ
ถ้าไม่บอก เขาจะไปส่งที่บริษัท KST ถ้าจะไปสนามบินต่อ ก็เพิ่มเงินอีก 300 บาท
แต่เราขอไปลงหน้าร้านโชคดีแต่เตี๊ยม ร้านติ่มซำ
ไม่นานนัก รถตู้ก็มาส่งเราตามที่ขอไว้ แต่ร้านปิด ฮือ ร้องไห้หนักมาก
แต่ร้านติ่มซำ โชคดีแต่เตี๊ยมมี 2 สาขานะคะ เราก็อยากกินเหลือเกิน
เดินถามเด็กนักเรียนแถวนั้นค่ะ ว่าอีกสาขานึงอยู่ไกลมั้ย
เด็กๆ บอกว่าถ้าเดินไกลนะ ให้นั่งวิน เราก็เรียกวินเลย บอกพิกัดว่าจะไปไหน
วินเสนอราคา 40 บาท ก็ตกลงไป
พอไปถึง โชคดีแต่เตี๊ยม อีกสาขาซึ่งอยู่ใกล้ๆ ธนาคารไทยพาณิชย์
ต้องรอถึง 17.30 น. ร้านจะเปิดรอบเย็น อุปสรรคเยอะจัง ไม่กินมันล่ะ
พี่วินถามว่าไปไหนต่อดี เข้าไปหาข้าวกินตลาดกิมหยงมั้ย
เราก็โอเค ตกลงไป เพราะหิวแล้ว ไปไหนก็ไป
วินก็พาแว้นซิ่ง ไม่เกิน 2 นาที มาถึงตลาดกิมหยงค่า
ทายสิค่าวินเท่าไหร่เอ่ย ตอนแรก 40 บาท
ย้อนกลับมาตลาดกิมหยง รวมทั้งหมด 120 บาท
ความรู้สึกเหมือนระยะทางจาก BTS สนามเป้าไปอนุสาวรีย์ชัยฯ
ตายๆ ค่าวินโหดมาก แต่โชคดีที่พี่แกบอกทางกลับไปสนามบินให้เรา
อ่ะ 120 บาทมหาโหด หายกัน เดี๋ยวเราต้องรอรถสองแถวสีฟ้า กลับไปสนามบินหาดใหญ่
แต่ตอนนี้มาถึงตลาดกิมหยงแล้วก็เดินหาข้าวกินก่อนกลับ
ตลาดใหญ่ กว้างขวาง ร้านค้าเยอะมาก เราก็หาอะไรง่ายๆ ทานรองท้อง
ก่อนที่จะแวะซื้อมะม่วงเบาแช่อิ่มติดไม้ติดมือกลับบ้าน
>>>จากตลาดกิมหยงไปสนามบินหาดใหญ่<<<
เป็นการเดินทางที่ประหยัดค่ารถไปได้เยอะเลย เพราะเสียค่ารถเพียง 30 บาทเท่านั้น
ถ้าหาจุดขึ้นรถไม่เจอ ถามแม่ค้าในตลาดได้เลยนะ เรามาขึ้นตรงมุมโค้งธนาคารกสิกร
ซึ่งหาไม่ยากเลย เดินเลยธนาคารขึ้นไปนิดนึง จะเจอสะพานลอย ไม่ต้องข้าม ยืนรอแถวนั้น
มองหารถสองแถวสีฟ้า ป้ายตัวโตๆ สนามบิน ขึ้นโลดเลยค่ะ
รถจะหมดช่วงประมาณ 18.30-19.00น . 30 นาที จะมาสักคัน
ถ้าเดินทางด้วยวิธีอื่น
เช่น แท็กซี่ราคาเหมา 300 บาท
ขึ้นหลัง 20.00น. ราคา 500 บาท
ปล.ตรงนี้คนในพื้นที่ และคนขับรถสองแถวบอกให้ฟังนะคะ
ระยะทางจากตลาดกิมหยงไปสนามบิน 12 กม.
แต่ช่วงเย็นรถติดมาก ยิ่งกว่าในเมืองกรุง
ระยะเวลาในการเดินทาง 30-60 นาที ตามสภาพการจราจร
ตอนนั้นเราฟลุ๊คมาก เดินมาตรงโค้งธนาคารกสิกรได้นิดเดียว รถมาพอดี
แต่ก็ต้องวิ่งๆ ไปขึ้นบนเลนถนน โบกมือเรียกรถไว้ก่อน
คนขับบีบแตร ส่งสัญญาณรู้กัน วิ่งดุ๊กๆ กระเตงเป้ กล้อง และข้าวของ
เปิดประตูหน้ารถ นั่งข้างคนขับซะเลย แอร์เย็นฉ่ำ
รถก็ขับไปอย่างช้าๆ แวะรับส่งผู้โดยสารตามทาง
ซึ่งมีเด็กนักเรียนค่อนข้างเยอะ และด้วยความที่เป็นพื้นที่ภาคใต้
ก็มีเจ้าหน้าที่ทหารตั้งด่านตรวจรถ ตรวจสัมภาระเข้มงวดนะคะ
อะไรที่สุ่มเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยไม่ต้องพกไปนะ
จากตลาดกิมหยง 17.30น.
มาถึงสนามบินหาดใหญ่ 18.20น.
เดินทาง 50 นาที ราคา 30 บาท
คุยกับคุณลุงคนขับรถใจดีมาก
ชวนให้กลับมาเที่ยวหาดใหญ่เมืองน่าอยู่ 555
จะน่าอยู่มาก ถ้าไม่เจอค่าวิน 120 บาท
ฉะนั้นอย่านั่งวินจยย. โดยไม่จำเป็น
บอกรถตู้ให้มาส่งตลาดกิมหยงเลย
ไม่ต้องไปแวะไหนแล้ว
มาถึงสนามบินหาดใหญ่ ที่ชั้น 2 ผู้โดยสารขาออก
มีห้องอาหารบริการด้วย อยากชิมแกงใต้ก็มีนะคะ
และที่สำคัญก่อนกลับบ้าน ไม่ลืมที่จะซื้อมะม่วงเบาแช่อิ่มอีกรอบ
มีขายที่ร้านทั้งชั้น 1 และชั้น 2 รวมไปถึงในเกสต์สนามบินด้วย
ราคาถุงละ 130 บาท
ไฟล์ทบินกลับกทม.ของเราประมาณ 22.30น. รอบสุดท้าย
นั่งรอไปเรื่อยๆ แบตโทรศัพท์หมดก็มีที่ชาร์ตให้ นั่งเล่น นอนเล่นรอไปยาวๆ
และทั้งหมดนี้ก็คือทริปเที่ยวปีนัง 3 วัน 2 คืน ที่เราสนุกสนานมาก
เกินกว่าที่คิดไว้ ปีนังที่เราได้เจอมันลงตัวมาก ตกหลุมรัก หลงเสน่ห์ปีนังเข้าให้แล้ว
ถ้าใครมาถามเราว่า ไปปีนังมาเป็นไงบ้าง เราก็เชียร์สุดใจเลยว่าให้มากันนะ
มันดี ดีต่อใจจริงๆ ปีนังอาจจะไม่มีแสงสีเสียง หรือความหวือหวาอะไรให้ตื่นเต้น
ไม่มีห้างมากมายให้เดินช้อปปิ้งจนขาขวิด แต่มันเป็นเมืองที่ทำให้เราได้สัมผัสชีวิตสโลว์ไลฟ์จริงๆ
คือเที่ยวไปอย่างช้าๆ ไม่ต้องกดดันตัวเอง อยากกินอะไรกิน อยากเดินตรงไหนเดิน อยากกินอาหารในสวนเราก็ทำ
มีศิลปะและความอาร์ทรายล้อม ผู้คนใจดี อากาศที่เจอ มันยิ่งฟิน เพราะปีนังหนาวมากกกก
และการปั่นจักรยานในปีนังเป็นอะไรที่สนุกมาก เป็นเมืองฮิปสเตอร์อย่างแท้จริง
ผู้คนหลายเชื้อชาติ หลายศาสนาอยู่ด้วยกันอย่างลงตัว
หลากหลายวัฒนธรรม ทั้งแขก จีน อินเดีย และไทย
ยิ่งอาหารไม่ต้องพูดถึง อร่อยมากๆ ของไม่อร่อยก็คงมี แต่ดีนะ
เราเลือกกินแต่ของอร่อย ทั้งนี้ ทั้งนั้น เราเองก็จำไม่ได้ว่า คำว่า "ปีนัง"
มันผุดเข้ามาในความคิดตอนไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปีนังมีอะไรให้เที่ยว มันเหมือนเคยมีใครเล่าให้ฟัง แล้วเราก็ซึมซับมา
ว่าสักครั้งต้องหาโอกาสมาที่นี่ จัดการหาข้อมูลอันน้อยนิด แล้วก็พาตัวเอง
ข้ามน้ำข้ามทะเลมาจนได้ ซึ่งก็รู้สึกว่า เห้ย !! ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้นะ มาตั้งนานแล้ว 55
เอาล่ะ เราก็เวิ่นมาเยอะมากมาย หากเขียนอะไรผิดพลาด ตกหล่น
พิมพ์คำผิด สะกดไม่ถูก จะอ่านทวนอีกรอบแล้วเข้ามาแก้ไขน๊า
หรือใครอยากสอบถามอะไรเพิ่มเติม ทักมาถามหลังไมค์ได้เลย ^^
และต้องขอขอบคุณทุกคนๆ ที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ด้วยนะคะ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์และก็เป็นแรงบันดาลใจให้ใครๆ อยากมาเยือนปีนังกันสักครั้งน๊า
มีอีกหลายที่ ที่เราตั้งใจจะไปเที่ยวในปีนัง
สำหรับครั้งแรก ถือว่าประทับใจมาก กลับมาแล้วก็ยังคิดถึงอยู่
คงต้องกลับไปอีกแน่นอน ส่วนค่าใช้จ่ายในการซื้อความสุขสำหรับทริปนี้
อย่างที่ได้แจกแจงไปข้างต้น
1.ตั๋วเครื่องบินกทม.-หาดใหญ่ ไปกลับ ราคา 1,580 บาท
2.ค่าที่พัก 2 คืน 753 บาท
3.ค่ารถตู้หาดใหญ่-ปีนัง ไปกลับ 800 บาท
4.การเดินทางสนามบินกิมหยงขามา 100 บาท
5.ตลาดกิมหยงไปสนามบินขากลับ 30 บาท
6.รถรางขึ้นปีนังฮิลล์ คิดเป็นตัวเลขกลมๆ 300 บาท
7.ค่าซิมมือถือ 200 บาท
8.ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในปีนัง (ตามสไตล์แต่ละบุคคล)
เราแลกเงินไปอีกประมาณ 2,000 บาท
แต่เหลือกลับมาอีกเยอะด้วย
ขนาดกินไปหลายอย่าง
รวมค่าใช้จ่ายหลักๆ ไม่รวมอาหารการกินตามสไตล์แต่ละคน
จะอยู่ในงบ 4,000 พันบาทค่ะ
ตั๋วเครื่องบินถ้ามีช่วงโปรโมทชั่นก็จะได้ราคาที่เซฟงบไปอีก
เพราะราคาตั๋วเครื่องบิน บินตรงมาปีนังสูงไปหน่อย เราเลยเลือกเดินทางโดยรถตู้
ซึ่งสะดวกสบายและประทับใจมากกับทริปนี้
บ๊ายบายปีนัง แล้วเราจะเจอกันใหม่น๊า เราจะได้พบกันอีกแน่นอน
C.marie
วันพฤหัสที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.08 น.