สวัสดีเพื่อนๆ ชาว Readme ทุกๆ คนค๊า

เรากลับมาอีกแล้ว พร้อมกับทริปที่เพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน

เอาล่ะ ไม่อ้อมค้อม วันนี้เราจะมารีวิวบอกเล่าเรื่องราวการไปเที่ยวย่างกุ้ง ประเทศพม่า

ฉบับ 2 วัน 1 คืน ที่ชิวม๊ากมาก มาฝากกัน ซึ่งจะเล่าแบบละเอียดยิบ ชนิดที่เรียกว่า เหมือนจับมือคุณพาไปเที่ยวด้วยเลย 555

อ่านจบก็เตรียมหาวันว่าง ดูเวลาดีๆ กดซื้อตั๋ว จองที่พัก แล้วไปลุยกันโลดดดด

โดยเรื่องราวประทับใจ และไม่ประทับใจที่เจอในย่างกุ้ง เป็นเรื่องราวที่เกิดจากมุมมองและความคิดเห็นส่วนตัวของจขกท.ล้วนๆ

(เพราะมีบางเรื่องที่รู้สึกไม่โอเคเลย ยังไงอ่ะเหรอ ไว้เล่าแน่นอน) ยังไงก็ฝากติดตามอ่านกันด้วยน๊า



สำหรับใครที่กำลังมีแพลนจะไปเที่ยวย่างกุ้ง ก่อนอื่นเรามาทราบข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ของพม่าติดตัวไว้ดีกว่า

-เวลาท้องถิ่นที่พม่า ช้ากว่าไทย 30 นาที

-อากาศร้อน แดดแรง แต่ไม่เท่าไทย

-ซิมเน็ตเล่นไลน์ เฟซบุ๊ก เล่นโซเชียลได้ไวพอสมควร แต่บางจุดอาจจะไม่มีสัญญาณมือถือ

-สกุลเงิน "จ๊าต" 1000 จ๊าต = 25 บาท โดยประมาณ ตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนได้ที่ http://th.coinmill.com/MMK_THB.html

-การแลกเงิน จากไทยให้แลกเป็นดอลลาร์สหรัฐ แล้วค่อยมาแลกเงินจ๊าตที่พม่า โดยห้ามพับธนบัตร และห้ามทำยับ

-แท็กซี่จากสนามบินย่างกุ้งเข้าตัวเมืองเริ่มต้นที่ 8000 จ๊าต

-การเข้าวัดต้องถอดรองเท้า แต่งกายสุภาพ งดเสื้อกล้าม เสื้อแขนกุด กางเกงขาสั้น กระโปรงสั้น

-อาหารท้องถิ่น มีความมัน และรสชาติเค็มมาก

-การจราจรในพม่าขับรถชิดเลนขวา แต่รถยนต์ส่วนใหญ่เป็นพวงรถมาลัยขวา

-เสียงบีบแตรบนท้องถนน เสียงถี่ และดัง ถือเป็นเรื่องปกติ

-คนขับแท็กซี่ประมาณ 70% พูดไทยได้ บางคนพูดได้เยอะ ฟังออก ตอบโต้ได้ บางคนพูดได้นิดหน่อย

-น้ำดื่มราคาไม่แพง ทั้งน้ำอัดลมและน้ำเปล่า ถ้าซื้อในมินิมาร์ท



เอาล่ะ เราพอจะนึกออกเท่านี้ หากนึกอะไรได้เพิ่มเติม จะขอเล่าและเม้ามอยในรีวิวนี้เรื่อยๆ แล้วกันนะ

และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราจะขอบอกสถานที่ทั้งหมดที่เราได้ไปมา ในเวลา 2 วัน 1 คืนก่อน



Day 1

-เจดีย์กาบาเอ

-วัดบารมี (พระเกศาธาตุเคลื่อนที่)

-วัดเจาทัตจี (พระนอนตาหวาน)

-วัดโบตาทาวน์ เทพทันใจ และเทพกระซิบ

-เจดีย์ชเวดากอง



Day 2

-เจดีย์สุเล

-เจดีย์เยเลพญา (เจดีย์กลางน้ำเมืองสิเรียม)

-วัดไจก์กอว์ เมืองสิเรียม

-วัดโบตาทาวน์ (กลับมาอีกรอบ)



สำหรับทริปนี้ แพลนที่เราเขียนไว้ก่อนเดินทาง ก็ลงตัว สถานที่ที่ลิสต์มาก็ได้ไปเกือบครบ มีตกหล่นไปหนึ่งที่ ก็คือวัดงาทัตจี ที่มีพระองค์ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเฟล หรือขาดอะไรไป ไว้ค่อยกลับไปแก้มือทีหลังได้ และแล้วก็มาถึงวันเดินทาง เราเลือกเดินทางกับพี่หางแดง เพราะไฟล์ทบินลงตัว วันแรกเดินทางเที่ยวบินเช้าสุด ขากลับก็กลับเที่ยวบินดึกสุด เดินเที่ยววัดพม่าให้ขาหลุดไปเลย



ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองประมาณ 7.15 น. มีเลทนิดหน่อย จนไปถึงสนามบินย่างกุ้งประมาณ 8.30 น. ช้ากว่าเวลาที่กำหนดไป 30 นาที เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดี กัปตันเลยต้องบินวนรอเอาเครื่องลง และเมื่อทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เราก็เดินเข้ามาสนามบิน ตามป้ายที่บอก จนลงบันไดเลื่อนมาถึงชั้นล่าง ที่มีด่านตม.พม่ารอคุณอยู่ ในบริเวณตรงนี้มีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ แวะเข้าไปทำภารกิจให้เรียบร้อยก่อนได้เลย เพราะว่าวันที่เราไป คนแน่นล้านแปด ขนาดเลือกไปวันธรรมดาแล้วนะ รอจนท.นานมาก ทุกคนตั้งแถวรอแบบล้นทะลัก ผ่านไป 30 นาที แถวจึงเริ่มขยับไปอย่างช้าๆ รอขั้นตอนที่ด่านเกือบชั่วโมงได้ อันนี้บอกเผื่อไว้ ถ้ามาไฟล์ทเช้า ผู้คนอาจจะหนาแน่น และประกอบกับว่า จนท.ต้องรอเวลาบางอย่าง ถึงจะเรียกตรวจหนังสือเดินทางของคนที่จะเข้าประเทศได้ แต่ช้ามาก คิวนึงใช้เวลาประมาณ 5 นาที ยืนรอท้องร้องเลยทีเดียว



เมื่อผ่านด่านตม.ออกมาแล้ว เดินไปตามทางออกอีกเช่นกัน คุณจะเจอทางออก ที่มีพี่ๆ แท็กซี่ คนขับรถทั้งหลาย ยืนถือป้ายชื่อผู้โดยสาร ชื่อนักท่องเที่ยวรอเป็นแถว ตรงจุดนี้ล่ะค่ะ เราจะต้องการทำแลกเงินซะก่อน โดยที่คุณจะต้องแลกเงินดอลลาร์มาจากไทย แล้วก็ห้ามพับ ห้ามทำยับ ธนบัตรต้องใหม่ฟรุ้งฟริ้ง ตอนแลกเงิน พนักงานจะถามเราเองค่ะ ว่าเดินไปทางไปประเทศไหน พอรู้ว่ามาพม่า ก็จะให้แต่แบงก์ใหม่ๆ



และแบงก์ที่เราเลือกใช้บริการก็คือ AYA Bank สำหรับแลกเงินจ๊าต โดยที่นี่รับแลกสามสกุลเงิน ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ ดอลลาร์สิงคโปร์ และยูโรค่ะ ยื่นเงินได้เลย แล้วบอกจำนวนที่ต้องการแลก ไม่ต้องใช้พาสปอร์ต และแล้วแบงก์สกุลเงินจ๊าตที่เราได้กลับมา ก็มีหน้าตาเช่นนี้แล ได้เงินเป็นฟ่อน มีเงินแสน เงินล้านเที่ยวแล้วเรา



ซึ่งแบงก์พม่าบางใบ เก่าและบอบช้ำมาก สภาพเกินจะรับได้ ซึ่งการจะผลิตแบงก์ใหม่นั้น เผลอๆ ต้นทุนสูงกว่ามูลค่าเงินของเขาซะอีก เราก็จำใจใช้ไปตลอดการเดินทาง โดยแบงก์ไหนเก่ามาก เราเลือกเอาไปหยอดทำบุญ เพราะบางที่ บางร้านข้างทาง เขาไม่รับแบงก์เก่าซะด้วย มายก๊อต อิชั้นคิดในใจ บ้านพี่ท่านเล่นเอาแต่แบงก์ใหม่ๆ จะมาแลกเงินชั้น ห้ามยับมาเชียวนะ แต่สิ่งที่ได้ตอบแทน เฮือก !! แบงก์จ๋าอย่าสิ่งกลิ่นเลย บอบช้ำก็ว่าจำใจใช้แล้ว



พอแลกเงินเสร็จแล้ว ร้านข้างๆ แบงก์มะกี้ เราก็ซื้อซิมพม่าเลย ได้ยี่ห้อนี้มาค่ะ



ราคา 6000 จ๊าต เฉพาะแพ็กเกจเน็ตและค่าโทร ส่วนอีก 1500 จ๊าต จะเป็นค่าเปิดซิม รวมเบ็ดเสร็จที่ต้องจ่ายคือ 7500 จ๊าต ซึ่งราคาก็แล้วแต่เราจะเลือกแพ็กเกจด้วยนะคะ ซึ่งหลังจากที่เราลองใช้ตลอดการเดินทาง ความแรงเน็ตก็โอเคนะ แต่เล่นไลน์ข้อความอาจจะดีเลย์บ้าง บางจุดในย่างกุ้ง อยู่ๆ สัญญาณมือถือก็หาย โดยรวมคิดว่ารับได้ทั้งราคาและคุณภาพ จะแชร์เน็ตไปมือถืออีกเครื่อง ก็ยังไหวนะ ทางร้านจะจัดการใส่ซิม กดลงทะเบียนให้หมดเลย สะดวก สบาย ง่ายมาก สามารถเลือกแพ็กเกจการใช้งานได้ตามรูปด้านบนเลย เราถ่ายรูปมาฝากแล้ว



จัดการเรื่องเงินและเรื่องอินเตอร์เน็ตเรียบร้อย กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราก็ไปฝากท้องมื้อแรกในพม่า ที่ KFC ในสนามบิน

อยู่ไม่ไกลจากร้านแลกเงินค่ะ หาง่ายมาก



หน้าตาไก่ทอดก็เหมือนบ้านเรา แต่ขั้นตอนในการกินนี่สิ 555 ใช้มือจ้า ไม่มีส้อมและมีดหั่นแต่อย่างใด สองชุดนี้สนนราคาเกือบ 200 บาทไทย ถือว่าไม่แพง เพราะขายในสนามบินด้วย รสชาติผ่าน แต่มีความอมน้ำมันเล็กน้อย ซอลรสชาติแปลกกว่าบ้านเรานิดหน่อย แต่ตอนหิว อะไรก็กินได้หมด และที่เราบอกว่าใช้มือฉีกไก่กินนั้น คือทุกคนก็ต้องกินแบบเดียวกันทั้งหมด นี่ไม่รู้ว่ามันคือเรื่องปกติ หรือบังเอิญมีดกับส้อมหมดก็ไม่รู้ แต่อย่ากังวลไป เขามีมุมอ่างล้างมือไว้บริการเรา กินเสร็จก็ล้างมือให้สะอาด ก็เรียบร้อยแล้ว แล้วเดี๋ยวเราจะออกไปติตด่อแท็กซี่ สอบถามและต่อรองราคาที่จะเข้าตัวเมืองกัน ยังไงจะมาอัพเดทในคอมเม้นถัดไปนะคะหลังจากฝากท้องมื้อแรกอิ่มแล้ว เราก็เดินออกมาสอบถามค่าโดยสารแท็กซี่ เพื่อจะเข้าตัวเมือง

ตั้งใจจะไปเจดีย์กาบาเอเป็นที่แรก ในระหว่างที่กำลังเดินหา ก็จะมีบรรดาคนขับแท็กซี่มากมาย เข้ามาเสนอราคา

พูดคุยกันว่าจะไปที่ไหนบ้าง เราก็ยื่นรายละเอียดที่เตรียมมาให้คนขับดู ได้ราคาตกลงกันที่ ประมาณ 1500 บาท

ก็ต่อรองราคา ลดลงมาได้ 1400 บาท เป็นรถเก๋ง 4 ที่นั่ง เปิดแอร์ตลอดการเดินทาง ซึ่งเราขอให้เขาไปพาเที่ยวแบบครึ่งวัน

แล้วประมาณบ่ายสามโมงให้ไปส่งที่โรงแรมในย่างกุ้งด้วยเลย ซึ่งลองถามประมาณ 2-3 เจ้า ก็ได้ราคาไม่เกินนี้

ถูกหรือแพงอันนี้ไม่แน่ใจนะคะ เพราะระยะทางเข้าตัวเมืองก็ไกลพอสมควร บวกกับแต่ละที่ที่เราแวะ เราใช้เวลานานมาก

ถ่ายรูป เดินเล่น ไหว้พระ ส่วนคนขับก็เทคแคร์ดีมาก นั่งสวยๆ ประหนึ่งเป็นคุณนาย



ถ้าเดินทางกันหลายคน หารค่าโดยสารกันจะคุ้มกว่านี้ค่ะ แต่จขกท.เดินทางมากัน 2 คน ก็อาจจะถือว่าแพง

แต่ก้พร้อมจ่าย ไม่คิดมาก ก่อนขึ้นรถให้ถามชื่อคนขับ ขอเบอร์โทรศัพท์ ขอไลน์ และถ่ายป้ายทะเบียนรถไว้ได้ค่ะ

ยังไม่ต้องจ่ายเงินใดๆ จนกว่าคนขับรถจะส่งคุณถึงที่หมาย



ไม่นานก็ออกจากสนามบินย่างกุ้ง เลาะลัดเข้าตัวเมือง รถในย่างกุ้งเยอะมาก

และการจราจรติดขัด การขับรถก็อาจจะมีหวาดเสียวบ้าง รถบนท้องถนนบีบแตรใส่กันเป็นเรื่องปกติ

ประมาณ 40 นาที จากสนามบิน เราก็มาถึงเจดีย์กาบาเอ คนขับจอดรถแล้วลงมาเปิดประตูให้

เราก็นัดแนะกัน ว่าจะเข้าไปประมาณกี่นาที แล้วจะไปเจอกันที่ลานจอดรถก็ว่าไป



เดินเข้ามาภายในวัด จะผ่านร้านค้าขายของสองข้างทาง

ที่มีทั้งดอกไม้ เครื่องราง พระพุทธรูป และมีการแกะสลักพระด้วย

การมาพม่า แน่นอนว่า เราเจอแต่พระ และก็พระ ทั้งพระจริง พระพุทธรูป และพระรูปปั้น



เมื่อเข้าเขตวัดให้ถอดรองเท้า แล้วนำไปยื่นให้พนักงานในวัดจัดเก็บไว้ก่อน


เขาจะยื่นบัตรรับรองเท้ามาให้เรา พอมารับรองเท้าคืนก็เสียค่าฝากรองเท้านิดหน่อยค่ะ ประมาณ 200-300 จ๊าต

สำหรับค่าเข้าเจดีย์กาบาเอ คือ 3000 จ๊าต จนท.ของวัดจะเดินเอาสติ๊กเกอร์มาติดที่เสื้อให้

เราก็เข้าไปด้านใน กราบไหว้พระกันได้เลย ทั้งนี้เราไม่ทราบประวัติของวัด และไม่ได้ศึกษามาก่อนล่วงหน้า

ตรงนี้จึงขอข้ามไปนะคะ แต่จะบอกความพิเศษของแต่ละวัด แต่ละสถานที่ เท่าที่ได้สัมผัสแล้วกัน



บริเวณด้านนอกและองค์เจดีย์ของวัด



เดินเข้ามาตามทาง ด้านในจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่



และด้านในสุด เดินเยื้องมาทางด้านหลังขององค์พระ จะเป็นห้องโถงสี่เหลี่ยม



ซึ่งภายในจะเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุของพุทธสาวก เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และอีกท่านเราจำชื่อไม่ได้


โดยจะมีคุณลุงเจ้าหน้าที่ นำแว่นขยายมาส่องให้เราดูค่ะ แล้วบอกว่า อันนี้เป็นพระธาตุของใคร



จากนั้นก็เดินเล่นสำรวจรอบๆ วัด แล้วก็ไปที่ลานจอดรถ


เตรียมมุ่งหน้าไปสถานที่ต่อไป นั่นก็คือ วัดบารมี ที่มีพระเกศาธาตุเคลื่อนที่ได้สถานที่ต่อมา เราจะไปดูพระเกศาธาตุเคลื่อนที่ ที่วัดบารมีกันค่ะ

ระยะทางก็ไม่ไกลจากเจดีย์กาบาเอมากนัก



พอเข้ามาถึงเขตวัด ก็ดูเหมือนวัดทั่วๆ ไปนะคะ

คนเงียบมาก เราก็กลัว หวั่นนิดๆ มาผิดวัดรึเปล่านะ

ถามคนขับ คนขับก็เลยพาเดินขึ้นไปชั้นบนสุดของวัดเลย

ซึ่งจะคล้ายๆ กุฏิพระ แต่วันที่เราไปพระอาจารย์ไม่อยู่

เลยอดดูพระเกศาธาตุเคลื่อนที่ ซึ่งถ้าใครอยากชม

ลองเสิร์ชวัดบารมีใน Youtube นะคะ



ภายในกุฏิวัดก็จะมีพระธาตุเยอะแยะมากมาย

และก็มีรูปคนดังของไทยหลายคนเลยค่ะ ที่แวะไปกราบพระอาจารย์วัดนี้

จากที่เราได้ดูวีดิโอพระเกศาธาตุเคลื่อนที่ พระอาจารย์จะทำพิธีสวดมนต์

แล้วเทเส้นผมลงมาในภาชนะ จากนั้นจะเห็นเส้นผมขยับตัวได้



ต่อมาก็ไปไหว้พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี ที่วัดเจาทัตจี ค่าเข้าฟรีค่ะ


และเหมือนเดิม ต้องถอดรองเท้าฝากกับจนท.ด้านหน้าไว้

จะมีตู้บริจาคอยู่ด้านหน้า หยอดตามกำลังศรัทธาได้ค่ะ



สถานที่ต่อไป คือ วัดโบตาทาวน์ ซึ่งภายในวัดเป็นที่ตั้งของ นัตโบโบจี หรือเทพทันใจ


กับเทพกระซิบค่ะ ซึ่งชื่อเหล่านี้ สามารถบอกคนขับรถได้เลย ส่วนใหญ่จะเข้าใจค่ะ

แต่บางคนจะไม่เข้าใจคำที่คนไทยเรียก สำหรับค่าเข้าวัดโบตาทาวน์ อยู่ที่ราคา 6000 จ๊าต

ก่อนเข้าจะต้องไปลงทะเบียน จนท.ทางวัดจะจดรายชื่อของเรา พร้อมกับถ่ายรูปแนบติดมากับใบที่ใช้เข้าวัดด้วย

แล้วก็ต้องติดสติ๊กเกอร์ไว้ตลอด ระหว่างที่เดินชมอยู่ในวัด



เมื่อเข้ามาวัด อันดับแรก จะเข้าไปภายในเจดีย์ ซึ่งด้านในจะมีสถาปัตยกรรมเต็มไปด้วยสีทองสวยงาม

ส่วนมากนักท่องเที่ยว และคนท้องถิ่นจะมามุงกราบไหว้ ตรงบริเวณที่ประดิษฐานเส้นพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า



อากาศด้านในเย็นสบายมาก เพราะว่าติดแอร์


แล้วก็จะมีคนมานั่งเข้ามุมสวดมนต์กัน

บริเวณตรงนี้คนจะไม่เยอะเท่าตรงเทพทันใจค่ะ



สำหรับการมาไหว้เทพทันใจ หรือ นัตโบโบจี นั้น

ในพม่าเขาว่ามีเทพทันใจอยู่ด้วยกัน 5 องค์

1. เทพทันใจ วัดโบตาทาวน์

2. เทพทันใจ เจดีย์ชเวดากอง

3. เทพทันใจ เจดีย์สุเล

4. เทพทันใจ เจดีย์เยเลพญา

5. เทพทันใจ พระธาตุอินแขวน



และในทริปนี้เราได้ไหว้ทั้งหมด 4 ที่ค่ะ เนื่องจากไม่ได้ไปพระธาตุอินแขวน

ส่วนประวัติความเป็นมาของเทพทันใจ จะเป็นอย่างไรนั้น

ขออนุญาตแปะลิ้งให้อ่านนะคะ http://www.komchadluek.net/news/detail/217998



ตามมุมด้านในต่างๆ ของเจดีย์เราก็จะเจอพระพุทธรูปลักษณะนี้เต็มไปหมดเลยค่ะ



เมื่อเดินชมความงามด้านในเจดีย์จนเต็มอิ่มแล้ว เดินออกมาตามทางออกเรื่อยๆ


ฝั่งตรงข้ามจะมีสะพานทอดยาวออกไป เป็นทางเดินแคบๆ ให้เดินตรงไปเลยค่ะ

บริเวณนั้นเป็นสถานที่ไหว้เทพทันใจ และเทพอีกองค์ที่อยู่ข้างๆ กัน รู้สึกจะเป็นเทพผู้หญิง

ให้ขอพรเรื่องเกี่ยวกับการเรียน และสติปัญญาค่ะ อยู่ข้างๆ กันเลยนะคะ อันนี้เราลืมถ่ายรูปมา



ส่วนการไหว้ขอพรเทพทันใจนั้น เราศึกษามาเป็นอย่างดี เพื่องานนี้โดยเฉพาะ 55

จากที่ดูมาหลายๆ รายการ เขาบอกว่า ให้ซื้อชุดผลไม้เพื่อไหว้ โดยจะเป็นผลไม้พวกกล้วยหอม

มะพร้าว และผ้าแพร ชุดละ 3000 จ๊าต จากนั้นให้เตรียมธนบัตร 2 ใบ ซึ่งเด็กๆ ที่ขายชุดไหว้ให้เรา

จะม้วนให้เอง ตอนจะไหว้จะตั้งจิตขอพร สบตากับท่าน แล้วขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ เอาธนบัตรสองใบใส่มือ

ให้เอาหน้าผากขยับเข้าไปใกล้นิ้วท่าน จากนั้นจึงค่อยดึงธนบัตรออกมาเก็บไว้ 1 ใบ

แล้วนำผ้าแพร คล้องคอท่าน โดยขั้นตอนเหล่านี้ จะมีมัคทายกจัดการให้ คอยบอก

คอยดูว่าหน้าผากเราชนกับนิ้วท่านหรือยัง ไม่ต้องกังวลค่ะ



เมื่อไหว้เทพทันใจเสร็จแล้ว ให้ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้าม มาไหว้เทพกระซิบต่อ


โดยชุดไหว้ก็จะมีทั้งดอกไม้ ชุดผลไม้ เครื่องประดับสวยงาม นมและข้าวตอก

ซึ่งเราซื้อนมและข้าวตอกชุดละ 1000 จ๊าต



เมื่อก่อนจะสามารถเข้าไปกราบขอพร และกระซิบข้างหูท่านได้

แต่ตอนนี้คงมีการปรับเปลี่ยนบ้างแล้ว เนื่องจากบริเวณรอบๆ มีรั้วล้อมไว้หมดเลย

พอซื้อชุดไหว้ ก็ให้เดินไปหามัคทายก เดี๋ยวเขาจะจัดการสวดมนต์ และวางเครื่องไหว้ให้เองค่ะ



ไหว้ครบ ถือเป็นอันเสร็จภารกิจที่วัดโบตาทาวน์ หลังจากนี้เราให้คนขับรถไปส่งที่โรงแรม


ใกล้เจดีย์ชเวดากอง พอเขาส่งถึงที่พักก็จ่ายค่าโดยสารตามที่ตกลงกันไว้

เดี๋ยวจะมาแนะนำที่พักนะคะ สำหรับใครที่อยากนอนโรงแรมใกล้ๆ แล้วสามารถเดินไปชเวดากองตอนเย็น

ได้ ถือว่าสะดวกมากค่ะสำหรับทริปนี้เราเลือกพักกันที่ Merchant Art Boutique hotel

ตั้งอยู่ใกล้ชเวดากอง สามารถเดินไปยังเจดีย์ชเวดากองได้ในเวลา 7-8 นาที

อยู่ในย่านตลาด และร้านค้า ผู้คนพลุกพล่าน มีมินิมาร์ท ร้านอาหารเพียบ



เราจองที่พักผ่านทาง www.agoda.com

ในราคา 1571 ไม่รวมอาหารเช้า

สามารถจ่ายค่าที่พักกับทางโรงแรมในวันเข้าพักได้

ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หรือเงินจ๊าตค่ะ



ก่อนอื่นต้องบอกว่า ประทับใจกับการดูแลของพนักงานที่นี่มากๆ

ดูแลเอาใจใส่ดีมาก ให้คำแนะนำต่างๆ คอยเรียกแท็กซี่ให้โดยไม่มีการชาร์จ

บอกให้เราฝากกระเป๋าเดินทางไว้ก่อน หรือแม้กระทั่งวันจะเดินทางกลับเราเหลือเวลาหลายชั่วโมงมาก

ยังไม่อยากรีบไปสนามบิน เขาก็บอกให้เรานั่งเล่นรอเวลาที่ล็อบบี้ก่อนได้เลย

จะเดินเข้าออกโรงแรมทุกครั้ง ไม่เคยต้องเปิดประตูเองเลยค่ะ

บางทีเดินเข้ามา กำลังจะเอามือผลักประตู จนท.นี่รีบวิ่งมาเปิดให้ทุกครั้ง 55 ประทับใจ



แต่คำบอกเล่าของนักท่องเที่ยวหลายๆ ท่าน ลงความเห็นว่า ค่าที่พัก โรงแรมต่างๆ ในพม่านั้น

ราคาค่อนข้างแพง โดยเฉพาะที่พักที่อยู่ใกล้ชเวดากอง ซึ่งก็จริงอย่างเขาว่า โรงแรมแถวนี้มีราคาตั้งแต่ 1500-5000

ซึ่งก็มีตั้งแต่โรงแรมธรรมดาๆ ไปจนถึงโรงแรมหรูประมาณนึง แต่เนื่องจากเรามาค้างเพียงคืนเดียว

จึงเลือกที่พักในเรทราคาสบายกระเป๋านิดนึง



เอาล่ะ ที่พักที่เราเลือกนั้น บรรยากาศดี สะอาด ดูเป็นโรงแรมใหม่

พนักงานน่ารักทุกคน พูดจาดี ให้ความช่วยเหลือดี

โดยที่พักมีทั้งหมด 7 ชั้น ชั้นบนสุดมีดาดฟ้าให้ขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ได้

และมองเห็นยอดเจดีย์ชเวดากองด้วย ถ้าขึ้นไปตอนค่ำๆ จะสวยมาก

มีโต๊ะรับประทานอาหารจัดเตรียมไว้ให้ จะขึ้นไปสั่งอาหารของทางโรงแรม

เลยซื้อขนม นมเนย เครื่องดื่มขึ้นไปทานก็ได้เช่นกัน



ห้องพักขนาดกำลังดี สะอาด มีมุมให้นั่งอ่านหนังสือ


มีปลั๊กไฟเยอะดี แล้วก็ ไม่ต้องใช้ปลั๊กแปลงไฟด้วย

เราสามารถชาร์ตไฟมือถือ หรือแบตเตอรี่กล้องได้เลย

แต่ว่า ให้เตรียมปลั๊ก 3 ตา ไปด้วย จะดีมาก ได้ชาร์ตหลายๆ อุปกรณ์พร้อมกัน



มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ WiFi สัญญาณค่อนข้างดี

มีกาต้มน้ำร้อน ดึกๆ หิว ชงมาม่าได้

แต่หมอนหนุน สูงไปนิด 55 ก็ไม่นิดนะคะ ถ้าไปจะรู้เอง

เราเลยต้องเอาหมอนออก แล้วนอนราบกับเตียงไปเลย

ไม่งั้นมีหวังเช้าตื่นมาคอเคล็ด



ห้องน้ำสะอาด แต่เวลาอาบน้ำ น้ำจะไหลลงท่อช้า

ต้องทิ้งช่วงให้น้ำมันลงไปก่อน ไม่งั้นอีกคนเข้ามาอาบต่อ

น้ำท่วมห้องแน่นอน อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นทุกห้องมั้ยนะคะ

แต่โดยรวมแล้ว นอน 1 คืน ในราคานี้ เดินไปชเวดากองได้

มีของกินเยอะ เราก็โอเคค่ะ



ลองขึ้นมาชมวิวตอนค่ำๆ กันดูนะ สวยงามมากจากที่พักเราก็จะเดินไปชเวดากองกัน เดินชมบรรยากาศสองข้างทางไปเรื่อยๆ


ดูชาวบ้านขายของ คล้ายตลาดนัด มีอาหารท้องถิ่นเยอะดีค่ะ

แต่ก็ไม่ค่อยได้กินเท่าไหร่ ขอชมๆ ก็พอ เพราะยังกังวลในเรื่องความสะอาดอยู่บ้าง



ถ้าไม่อยากเดิน ก็มีบริการรถจักรยานรับจ้าง

ในราคา 1000 จ๊าต มาทั้งทีก็ต้องลองนั่งหน่อย

นายแบบเรา ดูเท่และเฟี้ยวฟ้าวมากจริงๆ



เจอเด็กปะทานาคา น่ารัก


นั่งรถชิวๆ มาไม่นาน ก็ถึงทางที่จะเดินเข้าไปยังบันไดชเวดากอง


อยากเล่าประสบการณ์ตรงนี้ ไว้เตือนเพื่อนๆ หรือใครก็ตามที่จะเดินทางไปเที่ยวย่างกุ้งเล็กน้อยค่ะ

ทุกคนอาจจะไม่เคยเจอแบบเรา และนี่ถือเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เฟลไปเลย



เรื่องมีอยู่ว่า เราทราบดี ถึงการเข้าวัดของคนพม่า

ที่จะต้องให้ถอดรองเท้า แต่การมาชเวดากอง ต้องเอารองเท้าใส่ถุงพลาสติกแล้วหิ้วติดตัวขึ้นไปด้วย

เราก็กำลังเดินมาอยู่ดีๆ มีเด็กๆ หลายคน วิ่งมารุมล้อม ยื่นถุงพลาสติกให้

ใจเรานั้นก็คิดแล้วว่า โดนแล้วล่ะ บอกปฏิเสธ No No ไป

เด็กเดินตามมาอีกบอกว่า Free นะ ถุงเนี่ยฟรี



เรา : ถามย้ำอีกครั้ง ฟรีใช่มั้ย

เด็ก : พยักหน้า



งั้นเอาก็ได้ หยิบมาปุ๊บ

เสียงเด็ก Money Money



เรานี่แป่ว อะไรหว่ะ มะกี้บอกฟรี

เงินก็ไม่ใช่ไม่อยากให้ แต่รู้ว่า ถ้าให้ไป มันให้แค่คนเดียวไม่ได้

แล้วเด็กบอกด้วยว่า ต้อง 1000 จ๊าต เท่านั้น น้อยกว่านี้ไม่เอา

เด็กสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษบ้าง พม่าบ้าง และภาษากายบ้าง

โดยการเดินตามประกบเรา เราบอกว่า งั้นเอาถุงคืนไปมั้ย

เราคืนของให้ เด็กก็ไม่เอา จะเอาแต่เงินแล้วล่ะ



เด็กผู้หญิงคนเดิม เดินตามเรามาถึงตีนบันไดทางขึ้นเลยคราวนี้ รุกเราหนักขึ้น

ด้วยการรีบคว้า มาจับข้อมือเราทั้งสองข้าง บีบแรง และพูดข่มด้วยเสียงอันดังว่า เอาเงินมา อีกครั้ง

แทบจะปล้นกันเลยทีเดียว ใจก็นึกสงสารเด็ก แต่จุดที่เขาบีบข้อมือเรา เราทนไม่ไหวแล้ว



เราก็ส่งภาษากายด้วยสายตาที่ดุ จิกกัด และพูดออกไปดังๆ เช่นกัน ว่าไม่ให้เงิน

ในเมื่อบอกฟรี จะมาเก็บเงินได้ไง



นี่ชั้นไม่ใช่สายเปย์นะเว้ย ไม่มีเงิน ก็คือไม่มีเงิน ไม่ให้ได้มั้ยยยยยย

เด็กไม่เข้าใจ พูดอีก จะเอาเงิน ชี้ที่กระเป๋าเงินเรา

เราเลยตัดสินใจ เอามือที่ยังโดนจับไว้นั่นล่ะค่ะ ฉีกถุงที่ใส่รองเท้าออก

แหม อย่างกะในละคร เด็กทำหน้าเซ็ง พร้อมเดินจากไปแต่โดยดี



ผู้คนแถวนั้นมองจับจ้อง 555 อายมั้ย ไม่อายค่ะ

เพราะว่านี่เราโดนคุกคามอย่างแรงมาก เราก็จำเป็นต้องร้าย

ถ้าเขาหยิบกระเป๋าเราไปได้ คงทำไปแล้ว



และหลังจากนั้น อีเรื่องรองเท้านี่ล่ะ ที่เป็นประเด็นอีก เราไม่เอารองเท้าใส่ถุงแล้ว

แต่กำลังจะก้มหยิบรองเท้าตัวเองที่อยู่ด้านล่าง ขึ้นมาถือ

มีเด็กมือไวมาอีกคน คว้าหยิบรองเท้าเราขึ้นมาอีก เอาไปถือ

แล้วถามเราว่า เอาถุงมั้ย ประมาณว่า จะไปหยิบมาใส่ให้ แต่ขอเงินด้วยนะ



ฮึ่มมม!! เราเลยส่งรังสีอำมหิตไปอีก ทางสายตา มะกี้ไม่เห็นหรอ ช็อตฉีกถุงกระจายน่ะ

อยากโดนแบบนั้นใช่มั้ย เด็กก็ยอมวางรองเท้าลงแต่โดยดี



ซึ่งถุงที่ใส่รองเท้า เราก็ไปหาเอาดาบหน้า ไม่ซีเรียส

แต่ที่เราอยากเตือนคือ อย่ารับของจากเด็ก หรือใครก็ตาม

เก็บกระเป๋าสตางค์ให้มิดชิด กล้อง หรือของมีค่า แอบๆ ไว้ก่อนดีกว่า

เครื่องประดับ เพชรนิลจินดา อย่าใส่ไปเลย ไม่ปลอดภัยอย่างแรง



เนื่องจากเราคิดเองว่า เราสะพายกล้องไว้ด้านนอก

แล้วถือกระเป๋าสตางค์มา คือเดินจากที่พักมา ก็ไม่อยากพกอะไรเยอะ

กะว่ามาถ่ายรูป ทำบุญ สวดมนต์เสร็จก็เดินกลับที่พัก

มีแค่กระเป๋าคล้องมือไว้ กับกล้องที่อยู่ที่คอ คงไม่น่าหาย

แต่มันดันเป็นจุดที่เรียกให้เด็กพุ่งมาหาเรา



อย่าให้เงินเด็ดขาด ถ้าคุณไม่ใช่สายเปย์

ถ้าให้ 1 คน อีก 10 คนจะตามมา

ต้องเข้าใจว่าคุณภาพประชากรบ้านเขายังไม่ได้เจริญมากนัก

เด็กๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้ไปโรงเรียน ต้องออกมาทำมาหากิน

เงินจึงสำคัญกับเขามากๆ เรามาเที่ยว ในฐานะ นักท่องเที่ยว

ไม่ได้มาแสวงบุญ เราเลยต้องยอมใจร้ายบ้าง



และมันก็จะเป็นแบบนี้เกือบทุกสถานที่ค่ะ ไม่มีอะไรฟรี จำไว้ว่าไม่ฟรีจริงๆ ค่ะ

และจะเจอเด็ก ชาวบ้าน เข้ามาตื้อให้ซื้อโน้นนี่ดื้อๆ

อาศัยลักไก่บ้าง เพราะฉะนั้นใจแข็งเข้าไว้นะคะ

ท่องไว้ เรามาเที่ยว เรามาเที่ยววววววววว เรามีงบจำกัด 555



สำหรับเรื่องราวนี้ พอเราได้เจอ ก็เลยทำให้เรารู้สึกระแวง

กับคนท้องถิ่นที่เข้ามาหา แบบช่วยซื้อนี้หน่อยได้มั้ย

หรือขอซื้อดอกไม้ 1 กำ จะยัดเยียดให้เราซื้อ 5 กำ โอ้ว บ้าไปแล้ว



คนพม่าน่ารักๆ ก็มีเยอะค่ะ ก็เลือกเก็บแต่ความทรงจำที่ดีแล้วกันเนอะ

แต่เราอยากเตือน ให้ทุกคนได้ระวังตัว และเตรียมพร้อมก่อน

ว่าถ้าคุณมาแล้วจะเจออะไรบ้าง เซฟตัวเองไว้คือดีที่สุดค่ะ



ส่วนเด็กๆ อีกหลายคน จะเข้ามาช่วยงานในวัด ทั้งกวาดถูวัด

จัดดอกไม้ จัดชุดไหว้ เด็กกลุ่มนี้จะมีไมตรีกับนักท่องเที่ยวค่ะ

แต่เราไม่ได้อคติกับเด็กที่เจอในเหตุการณ์นะคะ

ค่อนข้างเข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้น แต่เราไม่มีเงินมาก

ขนาดที่จะเปย์ให้ทุกคนที่มารุมล้อม ก็ต้องยอมใจร้ายไปบ้าง



หมดเรื่องราวดราม่า เราไปทำบุญกันดีกว่า

พยายามเรียกสติกลับมา เดินขึ้นไปยังทางเข้าชเวดากอง

บันไดสูงชันมาก เดินเมื่อย เล่นเอาหอบ ต้องนั่งพักเลยล่ะ



บริเวณด้านหน้าทางเข้าชเวดากอง ต้องเดินขึ้นมาไกลพอสมควร

มีทางให้ขึ้นลิฟท์ แต่อยากเดินขึ้นเองมากกว่า สิงห์คู่ประดับอู่ด้านหน้าสวยงาม



เมื่อมาถึงก็ส่งของเข้าไปสแกน ตรวจความปลอดภัย จ่ายค่าเข้า 8000 จ๊าต


จนท.วัดก็จะติดสติ๊กเกอร์ให้ และขอบอกว่า กล้องถ่ายรูป ขาตั้งกล้อง อุปกรณ์ถ่ายภาพทุกชนิด

ไม่เสียค่าธรรมเนียมนะคะ ที่บอกว่าไม่เสีย คืออะไร คืองี้ค่ะ เคยมีบางรีวิวบอกว่า เวลาเข้าวัดหรือสถานที่ต่างๆ

ในพม่า คนที่พกกล้องถ่ายรูปมา จะต้องเสียค่าธรรมเนียมแบบ 10-20 บาท เราก็ไม่รู้ว่าจริงมั้ย อะไรยังไง

แต่ตรงป้ายทางเข้า เขียนไว้ชัดเจนมาก ว่า Camera Free ก็สบายใจกันได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะเส๊ยซ้ำซ้อน



ซึ่งครั้งแรกที่เราก้าวเข้ามาภายในบริเวณเจดีย์ชเวดากอง รู้สึกตื่นเต้นดีค่ะ

สีทองขององค์เจดีย์นี่งามอร่าม กระทบกับแสงแดดแล้วด้วย มีแสบตาแน่นอน

รู้สึกคุ้มแล้ว ที่ได้มา คือยิ่งใหญ่ คู่ควรคำว่า มหาเจดีย์ชเวดากองจริงๆ

เดินวนไปเรื่อยๆ เมื่อยก็นั่งพักตามมุมได้ เพราะว่าที่นี่กว้างมาก

เดินเป็นชั่วโมงก็ไม่เบื่อนะคะ เพราะมีจุดให้เราถ่ายรูป ทำบุญ

ตามมุมเล็ก มุมน้อย ก็จะมีพระสำคัญๆ ที่ผู้คนมากราบไหว้กันเยอะมาก



หากใครอยากไหว้ให้ครบ แบบถูกหลัก และทราบประวัติของพระแต่องค์

ไปพร้อมๆ กัน เปิดดูรายการบอกเล่าเก้าสิบ ที่คุณมดดำพามาไหว้พระที่ย่างกุ้ง

ได้เลยค่ะ ข้อมูลและวิธีการไหว้ครบมาก แถมทราบรายละเอียด และเรื่องราว

ของพระ ของเทพชัดเจนมาก และถือได้ว่าบริเวณเจดีย์ชเวดากองเป็นแหล่งรวม

พลัง ความศรัทธา และสิ่งศักดิ์เลยก็ว่าได้ ถ้าได้มาสัมผัสจะรู้สึกแบบนั้นเองค่ะ



ยิ่งช่วงใกล้ค่ำ คนยิ่งเยอะค่ะ



และสิ่งศักดิ์ต่างๆ จะอยู่ตามมุมแคบๆ ต้องสังเกตดี เดินช้าๆ พยายามหาจนเจอค่ะ


เรามาไหว้แม่ยักษ์ ที่ตามประวัติบอกว่า คนมักมาขอพรให้พันทุกข์ ให้พ้นจากกรรม

หรือเรียกว่า แม่ยักษ์ตัดกรรม ทำนองนั้น



ต่อมาก็ไหว้พระราหู เดินออกมาไม่ไกลจากตรงแม่ยักษ์ค่ะ ขอพรให่ปัดเป่าเรื่องร้าย


ให้พ้นเคราะห์ภัยต่างๆ



เดินชมบรรยากาศรอบๆ เจดีย์ ผู้คนเริ่มเยอะขึ้น


เสียงสวดมนต์จะดังเป็นระยะๆ ตลอดที่อยู่ด้านใน

และสิ่งที่ต้องทำ เมื่อมาถึงชเวดากอง ก็คือ การสรงน้ำพระประจำวันเกิด

รวมไปถึงเทพประจำวันเกิด และสัตว์ประจำวันเกิดด้วย



จะมีป้ายบอกชื่อวันเกิดอยู่ด้านบน วิธีการสรงน้ำพระ ให้ตักน้ำจากขันใบใหญ่ รดไปบนตัวพระ

ตัวเทพ และสัตว์เลี้ยง ตามอายุตัวเอง แล้วบวกอีก 1 ขัน เป็นการต่ออายุ



บรรยากาศตอนเย็นที่ชเวดากองค่ะ ชาวบ้านมารวมตัวกันที่วัด เพื่อสวดมนต์


และทำความสะอาดวัดด้วย ถ้าใครอยากสวดมนต์ นั่งสมาธิ ให้เดินไปยังลานอธิษฐาน

ทุกคนจะมุ่งหน้าไปตรงนั้นกันเยอะมากค่ะ



ช่วงเวลาที่เหมาะจะมาชเวดากอง ก็ประมาณตั้งแต่ 4 โมงเย็นเป็นต้นไป


เพราะแดดจะไม่ร้อนมาก ภายในวัดลมเย็น มีลมพัดโชยมาตลอด

เดินชมความงาม ไหว้พระ จนช่วงประมาณ 1 ทุ่ม

ก็จะได้ชมบรรยากาศชเวดากองตอนค่ำที่สวยงามค่ะพอรุ่งเช้าอีกวัน เราเตรียมจัดเก็บกระเป๋า แล้วเช็คเอ้าต์ที่โรงแรม

พร้อมกับขอฝากกระเป๋าเดินทางไว้ก่อน



เตรียมไปที่เจดีย์สุเล แล้วเดินทางต่อไปยังเจดีย์เยเลพญา ที่เมืองสิเรียม

ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางจากย่างกุ้งไปสิเรียมก็ประมาณ 45-50 นาที



เราเดินออกมารอแท็กซี่ใกล้ๆ ถนน หน้าทางเข้าเจดีย์ชเวดากอง

สอบถามราคาไป เจดีย์สุเล ได้มาในราคา 2000 จ๊าต

ขึ้นรถเรียบร้อย คนขับก็พามาส่งถึงจุดหมายอย่างดี

ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีค่ะ ตอนเช้าผู้คนเยอะมาก เนื่องจากตรงจุดสี่แยกเจดีย์สุเล เป็นเหมือนสถานที่รอรถเมล์

จากหลายๆ สาย ที่จะวิ่งไปในตัวเมือง และเมืองใกล้เคียงต่างๆ



ด้านหน้าของเจดีย์สุเลค่ะ



ค่าเข้า 3000 จ๊าต จนท.จะให้เป็นบัตรผ่านเข้าวัด เราก็เดินตรงเข้าไปด้านในได้เลย



อันนี้จะเป็นการทำบุญด้วยแผ่นอะไรสักอย่าง ราคา 1000 จ๊าต


เสร็จแล้วก็เอามาใส่กระเช้า แล้วจนท.วัด จะให้เราหมุนรอก

ส่งของขึ้นไปยังองค์พระพุทธรูปด้านบนค่ะ



และอีกสิ่งสำคัญของทริปเราก็คือ ไหว้เทพทันใจในย่างกุ้งให้ครบ 4 ที่


ที่จริงมี 5 ที่ แต่เราไม่ได้ไปพระธาตุอินแขวน ก็เลยอดอีกที่นึงไป

ซึ่งที่เจดีย์สุเล ก็ถือเป็นการไหว้เทพทันใจองค์ที่ 3



บริเวณซุ้มเทพทันใจในเจดีย์สุเล จะมีผู้คนเดินเข้าออก หนาแน่นตลอดค่ะ



และก่อนที่จะไปสิเรียม เราศึกษาข้อมูลเรื่องรถเมล์ที่จะสามารถนั่งไปได้

แต่ปรากฎว่า พอเอาแผนการเดินทางไปสอบถามเรื่องสายรถเมล์ กับคนแถวนั้น

ค่อนข้างปวดหัวเอาเรื่องเลยทีเดียว เพราะสายเดิมที่เคยพาไปได้

และสามารถขึ้นตรงสี่แยกสุเลได้นั้น ได้ย้ายที่ไปแล้ว



เหมือนว่าเราต้องนั่งรถเมล์สายใดก็ได้ เพื่อไปขึ้นรถเมล์สายนั้นที่จะพาไปยังสิเรียม ที่สถานีขนส่งอีกที่

ซึ่งคนท้องถิ่นบอกว่า นานมาก กว่ารถเมล์จะออก รอนาน เราก็เลยถอยมาตั้งหลัก กะว่าจะเปลี่ยนแผนด้วยการนั่งแท็กซี่

และก็คิดได้ว่า เงินที่ตัว ที่เป็นเงินจ๊าตกำลังจะหมด เงินดอลลาร์ก็ไม่ได้แลกมาเผื่อไว้ มีแต่เงินบาทไทยล้วนๆ



เราเลยข้ามไปยังธนาคาร AYA เป็นสำนักงานใหญ่ ที่อยู่ใกล้เจดีย์สุเล

ปรากฎว่า ยังไม่ได้เวลาที่จะเปิดให้แลกเงินได้ และไม่รับเงินไทยด้วย 55

เวรกรรมแล้ว ทำไงดี



เราก็เดินหาร้านแลกเปลี่ยนเงินร้านอื่นๆ จนเจอร้านที่อยู่ตรงข้ามกับธนาคาร AYA

ในซอยเล็กๆ หาง่ายค่ะ เดินข้ามมาจะอยู่ริมถนนเลย ที่นี่รับแลกเงินไทยเป็นเงินจ๊าตได้

แต่ค่าแลกเปลี่ยนเงิน เราอาจจะขาดทุนเล็กน้อย ประมาณ 50-70 บาท

ในสถานการณ์ที่กลัวเงินจะไม่พอ บวกกับยังไม่ได้ซื้อของฝากต่างๆ

เราก็ว่าหยวนๆ โอเค ยอมแลกไป



จากนั้นก็โบกแท็กซี่ สอบถามราคาไปเมืองสิเรียม

ต่อรองมาได้ราคา 34000 จ๊าต ก็เกือบ 900 บาทไทย เราขอเปิดแอร์ตลอดทาง

แอร์เย็นฉ่ำมาก แต่ถ้าถามว่าราคานี้แพงมั้ย แพงค่ะ เพราะระยะทาง

เหมือนเราเดินทางจากกทม.ไปอยุธยาแค่นั้นเอง



ถ้าเดินทางมากันหลายคน ก็จะมีตัวหารค่าโดยสาร ก็จะประหยัดลงไปอีก

แต่เราก็ขอลดราคาอีก คนขับก็ใจดีลดให้นะคะ ลองต่อรองดูก่อน และถ้าพอขึ้นไปบนรถ พูดคุยกันถูกคอล่ะก็

เขาลดให้อีกค่ะ เราใช้วิธีนี้แล้วได้ผล 55 ชวนเขาคุยไปเรื่อย ซึ่งอย่างที่บอก คนขับแท็กซี่ในพม่าพูดไทยได้บ้าง

ภาษาอังกฤษเขาก็ไม่ได้ใช้คำศัพท์ยากมาก และอาจจะเจอสำเนียงแปลกๆ ด้วย 55



เดี๋ยวจะมาอัพเดทการเดินทางจากย่างกุ้งไป เจดีย์เยเลพญา ที่เมืองสิเรียมต่อในเม้นถัดไปนะคะการเดินทางไปเมืองสิเรียมใช้เวลาประมาณ 45-50 นาที อย่างที่ได้บอกไป

ทั้งนี้แล้วแต่สภาพการจราจรด้วยเช่นกัน เพราะรถค่อนข้างติด



ระหว่างทาง เราจะผ่านสะพานยาวๆ 2 ที่ด้วยกัน

ชมวิวสองข้างทางที่เป็นแม่น้ำย่างกุ้ง มีความกว้างใหญ่

และเป็นเส้นทางเดินเรือในการขนส่งสินค้าด้วย

พอตอนผ่านแม่น้ำย่างกุ้ง คนขับรถรีบบอกให้เราดูความยิ่งใหญ่ของแม่น้ำบ้านเขา



"ย่างกุ้งริเวอร์ ย่างกุ้งริเวอร์"



กว้างใหญ่มากจริงๆ ถ้าได้มาเมืองสิเรียมอย่าละสายตาเลยนะคะ

ชมวิวสองข้างทางเพลินมาก



พอมาถึงบริเวณตลาดตรงท่าเรือ ที่จะต้องข้ามฝั่งไปยังตัวเจดีย์กลางน้ำ


คนขับรถก็ลงไปซื้อตั๋วเรือให้เราค่ะ ในราคา 5000 จ๊าต จะเป็นเรือแบบมีเก้าอี้นั่ง

ราคานี้คือราคาเหมาลำ ทั้งไปและกลับ ถ้ามากันหลายคนก็หารราคากัน

แต่ไม่ค่อยเจอคนไทยมาที่นี่เท่าไหร่ ถ้าเจอก็ลองชวนกันแชร์ค่าเรือดูนะคะ



พนักงานจะออกตั๋วเรือให้ ก็เก็บไว้ให้ดี

จากนั้นไปยืนรอเรือที่ริมน้ำ เราขอเบอร์คนขับรถไว้เรียบร้อยแล้ว

บอกเขาว่า ถ้าไหว้พระ กินข้าวเสร็จแล้ว จะเดินทางกลับ จะโทรหาให้มารับ



ตรงบริเวณที่รอขึ้นเรือ จะมีแม่ค้ามากหน้าหลายตา มายืนรอขายดอกไม้สำหรับเอาไปไหว้พระ

เข้ามารุมล้อมเต็มไปหมด ตอนแรกว่าจะไม่ซื้อ แต่เพื่อนร่วมทางอยากซื้อสักกำไปไหว้พระ

พอบอกว่าเอา 1 กำ คุณแม่ค้าถามเราว่า เอา 5 กำหรอ บ้าไปแล้ว บอกเอาแค่กำเดียว



พอซื้อดอกไม้อยู่ ก็มีคนขายอาหารปลา เข้ามาหยิบยื่นอาหารให้อีก

บอกว่าช่วยซื้อหน่อยๆ และบางคนก็พุ่งเข้ามาสะกิดซะดื้อๆ พร้อมทำท่าทางขอเงิน

จนเราต้องทำหน้ายักษ์ หน้ามารใส่ แล้วตอบไปดังๆ ว่า No

ได้ยินมั้ยว่า No จากนั้นพวกเขาก็สลายทัพกันไป 55



โดยเรือแบบมีเก้าอี้นั่งมีจะมีลำเดียวนะคะ ต้องต่อคิวรอนิดนึง

แต่บริเวณข้างๆ จะมีเรือลำเล็กไว้บริการรับส่งคนพม่าไปยังเจดีย์เหมือนกัน

บริการฟรี หน้าตาเรือก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ



แต่เรือที่เรานั่งมา จะเจอพี่คนนี้ เป็นคนคุมเรือ



พอถึงฝั่งเจดีย์ ระหว่างที่เรือกำลังเทียบท่า คนคุมเรือจะเอาเก้าอี้มาวางบนหัวเรือ


ให้เรายืนได้ถนัดและก้าวลงไป แต่ว่า มีเด็กพม่ามาอีกแล้ว ยื่นมือมาช่วยเหลือเรา

กลัวเราจะลงจากเรือไม่สะดวก 55 ยื่นมือเข้ามาคว้าข้อมือเราอีกแล้ว

เราก็เดินลงจากเรือไปปกติ และแน่นอนว่า พอเด็กปล่อยมือเราออก

ขอเงินหน่อย 555 อีกแล้วหรอเนี่ย เราก็ทำใจแข็ง ไม่สนใจ รีบวิ่งเข้าวัดไปเลย



เข้าวัดมา ขวามือจะมีจนท.วัด รอเราอยู่

ต้องไปจ่ายค่าเข้าวัด 2000 จ๊าตก่อน และลงชื่อในสมุดบันทึกด้วย



เอาล่ะ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เราก็เดินชมวัดไหว้พระ


โดยเจดีย์เยเลพญาแห่งนี้ มีตำนานเล่าไว้ว่า เจดีย์นี้สร้างขึ้นในสมัยมอญยังมีความรุ่งเรืองทางอำนาจ เมื่อประมาณพันกว่าปีก่อน

และมีคหบดีชาวมอญเป็นผู้สร้าง ซึ่งเขาได้อธิษฐานว่า ถ้าน้ำจะท่วม ก็ขออย่าให้ท่วมองค์พระเจดีย์ และถ้าหากมีผู้คนมากราบไหว้

จำนวนมากเท่าไหร่ ก็ขอให้ไม่มีวันเต็มล้นพื้นที่ เพราะเจดีย์นี้สร้างบนเกาะเล็กๆ กลางแม่น้ำกว้างใหญ่เท่านั้น

โดยสถานที่แห่งนี้ผู้คนนิยมมาไหว้พระขอพรเกี่ยวกับการทำธุรกิจ การค้า และเรื่องเงินทอง



และถ้าจะมาขอพรเรื่องเงินทองต่างๆ ต้องมาไหว้พระอุปคุตค่ะ



และเทพทันใจองค์ที่ 4 ที่ตั้งอยู่ในเจดีย์เยเลพญา



และตรงบริเวณทางเข้าวัดที่เราเดินเข้ามา


จะมีรูปปั้นยักษ์ 2 ตัว ซ้ายขวา

ว่ากันว่า ถ้าเราเอามือไปลูบตามส่วนร่างกายของยักษ์

เช่น ลูบหลัง แล้วก็เอามือที่ลูบยักษ์ มาลูบหลังตัวเอง

อาการเจ็บปวด ก็จะบรรเทาและค่อยๆ หายไป

หากเจ็บปวดจุดอื่น ก็ให้ลูบที่บริเวณนั้นบนตัวยักษ์

แล้วก็ค่อยลูบบริเวณเดียวกันบนร่างกายตัวเอง



ทั้งนี้ก็เป็นเพียงความเชื่อและคำบอกเล่าต่อกันมานะคะ ได้ผล หรือไม่ได้ผลอย่างไร

ก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล



ซึงเจดีย์เยเลพญามีพื้นที่ไม่กว้างนัก เดินแปปเดียวก็ทั่วแล้ว


แต่โชคดีว่าเป็นเจดีย์กลางน้ำ ลมจึงพัดโชยมาตลอดเวลา

ไม่ร้อนเลยค่ะ



หลังจากนี้เราก็จะไปรอเรือเพื่อข้ามฝั่งกลับไปที่เดิม

และหาอาหารท้องถิ่นรับประทานกันสักมื้อ

เพราะตั้งแต่มา กินแต่มาม่าคัพที่พกจากบ้านเรามา

และก็กินผลไม้บ้าง น้ำบ้าง คราวนี้ล่ะ จะไปลองรสชาติอาหารพม่าดูสิ

ว่าจะเป็นยังไงพอขึ้นจากเรือมา ก็เล็งร้านอาหารเพื่อจะหาข้าวกิน

ส่วนมากในเมืองสิเรียม ก็จะมีร้านอาหารตามสั่ง

ร้านข้าวแกง และแผงขายผลไม้เต็มสองข้างทาง



แตงโมที่นี่ชิ้นใหญ่มาก แต่วางขายกันแบบนี้เลยล่ะคะ ไม่มีภาชนะใส่


ไม่มีอะไรปิดให้มิดชิด แต่เราลองกินจากร้านตรงชเวดากองเมื่อวานแล้ว อร่อยมาก

เนื้อหวานฉ่ำ ตรงนั้นจะดูสะอาดกว่า ส่วนในสิเรียมทางเข้าออก ยังมีถนนลูกรังอยู่บ้าง

มีฝุ่นเต็มไปหมด อาจจะทำให้ผลไม้ตามร้านแบบนี้ดูไม่น่ารับประทาน



และเราก็เจอพิกัดร้านข้าวแกงตรงข้ามฝั่งท่าเรือ มีร้านนึงดูน่ากิน


ลืมถ่ายรูปร้านมาค่ะ แต่หาง่าย เป็นร้านข้าวแกงร้านใหญ่

อาหารต่างๆ ก็ใส่ภาชนะดี ปิดฝามิดชิด



ก่อนกิน เราขอเจ้าของร้านเปิดดูทุกหม้อเลย 55 ย้ำว่าทุกหม้อ

ไม่ได้กินยากอะไรนะคะ แต่กำลังดูว่าจะกินอะไรได้บ้าง

เพราะอาหารบ้านเขา หน้าตาแตกต่างจากบ้านเรามาก



ใช้น้ำมันในอาหารค่อนข้างเยอะ แต่ก็มีอาหารเยอะเหมือนกัน

เช่น กุ้งทอด หมูพะโล้ ไก่ผัดเผ็ด ประมาณนี้ล่ะค่ะ

อันนี้ถ่ายกุ้งทอดมาให้ดูว่า มันน่ากิน แต่น้ำมันเยอะมาก

เลี่ยนมากค่ะ



พอสั่งข้าวไป เขาจะไม่ตักแกงราดมาให้


จะจัดใส่จานเล็กๆ มาเสิร์ฟ เราสั่งมาแค่ 2 อย่างเท่านั้น



ส่วนน้ำพริก ผักแกล้ม และแกงผักบุ้งนั้น เขาบอกว่าแถมฟรีค่ะ

ฟรีจริงป่าวก็ไม่รู้ เพราะตอนเขียนบิล เขาเขียนเป็นภาษาพม่านะคะ

อาหารประมาณนี้ ทานกันสองคน ในราคา 8000 จ๊าต ก็ประมาณ 200 บาทได้ค่ะ

555 ไม่อยากจะเชื่อเลย แต่ข้างๆ ร้านอาหารมีมะพร้าวน้ำหอมขายด้วยนะคะ

ลูกละ 1000 จ๊าต น้ำหวานหอม อร่อยดีค่ะ



โดยรวมพอทานได้ค่ะ แต่น้ำมันในอาหารเยอะ เนื้อกุ้งก็แน่นดี


ส่วนน้ำพริก มันคล้ายๆ น้ำพริกปลาร้า รสชาติแปลกมาก ชิมนิดหน่อยพอให้รู้รส

และแกงผักบุ้ง ก็เป็นน้ำแกงแบบเค็มๆ ชิมพอรู้รส 55 กินต่อไม่ไหว เค็มมาก

ถ้ามาเที่ยวแล้วอยากลองชิมอาหารท้องถิ่นก็ลองดูนะคะ แต่ถ้าใครกลัวจะทานไม่ได้

มีมาม่าขายในมินิมาร์ทค่ะ แต่ขอบอกเลยว่า รสชาติไม่ใช่แบบเดียวกับบ้านเราเลย

ดีนะที่เราพกมาม่าจากบ้านเราไป สรุปว่าในทริปนี้ เรารอดตายมาด้วยมาม่าคัพจากไทย

แตงโมพม่า ไอติมในมินิมาร์ท และข้าวโพดต้มพม่าค่ะ



พอทานข้าวเสร็จแล้ว ก็ได้เวลากลับไปยังตัวเมืองย่างกุ้ง

แต่ระหว่างทางที่เรามา มีวัดหนึ่งน่าสนใจ จะลองเข้าไปเดินชมดูค่ะ

ชื่อว่าวัดไจก์กอว์ จากนั้นจะให้คนขับรถพาไปที่วัดโบตาทาวน์อีกครั้ง

เพราะมีภารกิจต้องไปเช่าวัตถุมงคล และจะไปยังโรงแรมที่เราฝากกระเป๋าเดินทางไว้กลับมาอัพเดทกันต่อค่ะ ซอกแซกย่างกุ้งฉบับ 2 วัน 1 คืน ใกล้จะจบลงแล้ว

ซึ่งเมื่อเราออกเดินทางจากสิเรียม เตรียมจะกลับเข้ามายังโรงแรมที่ย่างกุ้ง

ก็ขอแวะเข้าไปไหว้พระที่วัดไจก์กอว์ โดยเป็นวัดที่อยู่ระหว่างทางกลับพอดี



แต่ลงไปได้แปปเดียวเองค่ะ ไม่ค่อยมีผู้คน เดินสำรวจในวัดนิดหน่อย

พอขึ้นบันไดมาจนสุดทาง จะพบพระองค์ใหญ่ ตั้งสง่า บริเวณทางเข้า

ซึ่งมีค่าเข้าวัดด้วย ประมาณ 2000-3000 จ๊าต ตอนที่เราไปแดดกำลังแรงพอสมควร

บวกกับไม่มีรองเท้า เพราะถอดไว้ในรถ และห้ามใส่รองเท้าในวัด

เลยไม่ได้เข้าไปชมด้านในค่ะ



พอเดินลงมาด้านล่างของวัด จะมีสินค้าขายเต็มไปหมดเลย


มีแตงโมด้วย ชิ้นใหญ่น่ากิน



และบริเวณด้านนอกของวัด ริมถนนจะมีร้านรวงมากมาย


วางขายทานาคา มีตั้งแต่ท่อนเล็กๆ เท่าแขน ยันท่อนใหญ่เท่าขา

ถ้าจะซื้อเป็นของฝาก ก็แนะนำอันเล็กๆ นะคะ ในวัดก็มีขาย ประมาณ 2000 จ๊าต



หลังจากแวะเที่ยวตามที่ต้องการครบหมดแล้ว

จากสิเรียม ก็นั่งรถมาเรื่อยๆ จนถึงตัวเมืองย่างกุ้ง

เราขอให้คนขับรถพาไปวัดโบตาทาวน์อีกรอบ

เพราะจะไปเช่าวัตถุมงคลกลับมาฝากญาติๆ ค่ะ



โดยร้านเช่าวัตถุมงคลต่างๆ จะตั้งอยู่ฝั่งซ้ายมือของทางเข้าวัดค่ะ


มาเที่ยวทั้งที ก็ต้องมีของติดไม้ ติดมือไปฝากญาติ พี่น้องกันบ้าง

แต่มาพม่า จะให้ซื้ออะไรล่ะ ก็คงไม่พ้นเช่าองค์เทพทันใจ หรือเครื่องรางของขลังต่างๆ

มีหลากหลายแบบมากเลยค่ะ ลองมาเลือกดูได้เลย



เราลงมาแวะที่วัดโบตาทาวน์ได้แปปเดียว ประมาณ 10 นาที

แล้วก็ให้คนขับรถไปส่งที่โรงแรม พร้อมจ่ายค่าโดยสารตามที่ตกลงกันไว้

ก็ถือว่าจบทริปของวันนี้แล้วล่ะคะ แค่รอเวลาไปสนามบินย่างกุ้ง



แต่ระหว่างที่รอเวลา เราก็ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ออกไปซอกแซก

ดูวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ มีรูปมาฝากเพียบเลย ติดตามได้ในคอมเม้นถัดไปนะคะออกเดินซอกแซกถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ตรงตลาดใกล้เจดีย์ชเวดากอง

ผู้คนที่นี่ใช้ชีวิตเรียบง่าย สองข้างทางก็ขายผัก ขายเนื้อสัตว์

มีอาหารการกินหลายอย่าง โดยตลาดตรงนี้จะคึกคักตลอดทั้งวัน

เวลาเดินต้องคอยระวังรถยนต์ด้วย เพราะเยอะมาก และบีบแตรกันดังสนั่น



อุดหนุนเครปสไตล์พม่า รสชาติก็พอใช้ได้นะคะ หวานๆ


ราคา 200 จ๊าต จะใส่น้ำตาลเคี่ยวหอมๆ และโรยหน้าด้วยมะพร้าวขูด



ไม่ได้เห็นร้านตัดผมแบบนี้นานมากแล้ว วินเทจเข้ากับบรรยากาศดี



แตงโมลูกโตมาก



เดินลัดเลาะเข้าไปในตลาดสด บรรยากาศแบบตลาดสมัยก่อน


โลเคชั่นลึกลับสุดๆ



มีร้านขายโรตี ดูน่ากิน



ร้านขายน้ำแข็งใสก็มา



และระหว่างทางที่จะไปสนามบินย่างกุ้ง รถติดไฟแดงอยู่ เราก็พบเด็กน้อยกำลังกลับจากโรงเรียน


ปะทานาคาน่ารัก มีทักทายกันเล็กน้อย และการเดินทางไปสนามบิน เราต่อรองราคาได้ที่ 8000 จ๊าต

ประมาณ 30 นาที ก็มาถึง



พอมาถึงสนามบิน ก็ตรวจสัมภาระ ผ่านกระบวนการทุกสิ่งอย่าง


จนเข้ามานั่งเล่นรอที่ด้านใน รอเวลาเอาตั๋วเครื่องบิน ก็เข้าไปเดินเล่นในมินิมาร์ท

ซื้อแป๊บซี่พม่ากิน นอกจากนี้ในมินิมาร์ทยังมีขนม ของฝากต่างๆ แต่ส่วนใหญ่ก็นำเข้าจากไทย



มีร้านกาแฟ ขนมเค้ก และเบเกอรี่ต่างๆ ให้ทานรองท้อง



เราเดินทางกลับตอนไฟล์ท 21.35 สายการบินแอร์เอเชีย โดยเคาท์เตอร์จะออกตั๋วให้ตอน 19.30


เลยมานั่งรอที่ตรงใกล้ๆ เคาท์เตอร์



และเมื่อถึงเวลาก็เดินทางกลับบ้าน โบกมือลาย่างกุ้ง


ที่เที่ยวมาหลากหลายรสชาติ มีทั้งเรื่องราวประทับใจ และไม่ประทับใจ

ก็ถือเป็นอีกประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ในแบบฉบับซอกแซกย่างกุ้ง 2 วัน 1 คืน

ถ้าใครมีเวลาน้อย เที่ยววันเดียวก็ครบนะคะ แต่อาจจะต้องเร่งทำเวลาหน่อย

ถ้าใครพอมีเวลาขึ้นมาอีกนิด มาแบบ 2 วัน 1 คืน กำลังดีเลย

ได้มาชมบรรยากาศตอนค่ำที่ชเวดากองก็ถือว่าคุ้มค่ามากๆ



ก่อนกลับบ้าน อย่าลืมไปแลกเงินจ๊าตที่เหลือคืนนะคะ

แลกกลับมาเป็นดอลลาร์สหรัฐ หรือดอลลาร์สิงคโปร์ก็ได้ค่ะ

แล้วค่อยเอามาแลกเป็นเงินไทยที่สนามบินบ้านเรา



โดยงบประมาณสำหรับทริปนี้ ขอจำแนกดังนี้นะคะ

1. ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ

2. ค่าที่พัก

3. ค่าโดยสารทั้งหมด

4. ค่าอาหาร-ค่าของฝาก

5. ค่าเข้าแต่ละสถานที่



ซึ่งตั๋วเครื่องบินขึ้นอยู่กับว่าเราเดินทางช่วงไหน

ถ้าช่วงที่ถูก จะประมาณ 990 ต่อเที่ยว

เราได้ตั๋วราคา 2500 บาท

ค่าที่พักถ้านอนแบบ 1 คืน อย่างเรา ได้มาในราคา 1571 บาท

ค่าโดยสารในย่างกุ้ง ประมาณ 2000 กว่าบาท

โดยค่าโดยสารและค่าที่พักสามารถหารกับเพื่อนร่วมทางได้



และค่าอาหารการกิน ของฝาก ก็ประมาณไม่เกิน 600 บาทค่ะ

ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ รวมทั้งค่าทำบุญ ไม่เกิน 800 บาท

เฉลี่ยแล้วค่าใช้จ่ายจะไม่เกิน 6000 บาท/คน



ถ้าอยากเซฟงบ ก็รอช่วงเวลาที่ราคาตั๋วถูก หรือจะเลือกเดินทางกันหลายๆ คน

เพื่อจะได้มีตัวหารค่าโดยสารในย่างกุ้ง ส่วนมากรถแท็กซี่จะเป็นรถเก๋งแบบ 4 ที่นั่ง

ถ้ามากัน 3-4 คน ต่อทริป กำลังเหมาะเลยค่ะ

ยังไงก็ลองปรับเปลี่ยนแผน เลือกจังหวะดีๆ มาเที่ยวย่างกุ้งกันดูนะ



ก็ถือเป็นอันจบทริปนี้แล้วนะคะ หากมีข้อผิดพลาดในการเขียนตรงไหน

ต้องขออภัยด้วยนะคะ หากใครมีข้อสงสัย หรืออยากสอบถามอะไรเพิ่มเติม

ก็ทักมาได้เลยนะคะ ยินดีให้คำแนะนำค่ะ ^^

C.marie

 วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 19.12 น.

ความคิดเห็น