แค่พูดว่าไปเที่ยว หลายคนคงเป็นเหมือนเรา หัวใจมักจะพองโตทุกครั้ง ยิ่งได้เห็นรูปจากที่ต่างๆ สวย งดงามแตกต่างกันไป มันยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้อยากออกเดินทาง และเราก็ทำแบบนั้นมาหลายปี ออกเดินทางท่องเที่ยว เก็บความทรงจำผ่านภาพถ่ายเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็มีหลายต่อหลายครั้ง ที่เราเลือกไปกับกลุ่มคนที่ทำประโยชน์ต่อธรรมชาติ ในหลายๆ ด้าน ทำให้ทริปหลังๆ ของพวกเรามักจะมีกิจกรรมเข้ามาในระหว่างทริปด้วย ได้เที่ยวแถมได้ทำดี สนุกไปอีกแบบ
“เรา คิด ว่า เรา ค้น พบ แนว ทาง ของ เราแล้ว"
“อา สา เที่ยว แค่ อยาก ให้ คน ไป เที่ยว ได้ อะไร มาก กว่า แค่ ไป เที่ยว"
เพราะคำสัญญาในการไปครั้งแรกว่าจะกลับมาอีกครั้ง และจะพาเพื่อนๆ มาช่วยเกี่ยวข้าว ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันแค่เดือนเดียว หลายคนเคยทำและมีประสบการณ์ แต่หลายคนก็ไม่เคยทำเลย แต่ก็อยากไป เพราะอย่างน้อยจะได้รู้ว่า ข้าวที่เรากินทุกวัน มันต้องลำบากขนาดไหนกว่าจะได้มาให้เราได้กิน ในแต่ละมื้อ
ทุกคนไปด้วยใจ ทุกคนไปแบบตั้งใจ และเต็มใจ เตรียมพร้อมที่จะลุยกับทุกสถานการณ์ที่จะเจอข้างหน้าอยู่แล้ว
ข้าวที่เขียวชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝนก่อนหน้านี้ได้ออกรวงเหลืองอร่าม ส่งกลิ่นหอมไปตามแรงลมที่พัดไปมาในฤดูหนาว ยั่วยวนและบอกให้เรารู้ว่า ได้เวลาในการเดินทางของเราแล้ว
เย็นวันศุกร์ต้นเดือน วันที่ใครๆ ก็รู้ว่ารถมักจะติด พวกเราก็เลยต้องคำนวนเวลาให้ดี เพราะครั้งนี้เราอาสาเที่ยว ออกเดินทางไปด้วยรถทัวร์ ทุกคนมาถึงและรวมตัวกันก่อนเวลาออกเล็กน้อย พอถึงเวลาก็ขึ้นรถ และจัดการของกินที่พนักงานแจกก่อนที่รถจะออก ทั้งข้าวกล่อง ขนม นมและน้ำ แบบไม่มีใครคุยกับใครเลย
เรามาถึงเชียงใหม่ก็เช้าแล้วและพี่ซัน (เจ้าของที่พัก) ก็มารอรับแล้วเช่นกัน หลังจาก ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางด้วยรถกระบะ และครั้งนี้เราก็ไม่ลืมที่จะแวะทักทาย อุดหนุนที่ร้านนี้อีกครั้ง ร้านฮักเน้อ ที่เจ้าของร้านน่ารักและอัธยาศัยดี ครั้งนี้เสียดายที่ครั้งนี้ไม่เจอกัน แต่ก็ยังฝากชาให้พวกเราได้ชิมกันด้วย
พอไปถึงที่พักเราเก็บของแล้วก็ออกมาหาข้าวเที่ยงกิน ก่อนที่จะไปน้ำตกผาดอกเสี้ยว หรือที่หลายคนเรียกน้ำตกรักจัง เป็นการเปลี่ยนแผนเล็กน้อยเพราะช่วงเวลาที่เรามาถึงข้าวที่เราจะมาเกี่ยว ได้ถูกเกี่ยวไปเรียบร้อยแล้ว ก็เลยมาสำรวจน้ำตกแทน
หลังจากที่รถมาส่งเราณ จุดที่เริ่มเดินบนทางหลวง 1009 โดยมีระยะทางปะมาณ 2.5 กิโลเมตร เพราะเรามีเวลาจำกัดจึงเลือกเส้นทางนี้ พอลงรถเราก็ทยอยเดินตามไกด์ไป มีทั้งทางลาดและชั้นในบางช่วง ซึ่งก็มีการทำเป็นบันได้ไม้มีราวให้จับเพื่อความปลอดภัย เราเดินคู่ขนานไปกับน้ำตกเรื่อยๆ วิวสองข้างทางก็สวยทั้งต้นไม้ ดอกไม้ที่มีให้ชมตลอดทางก็ทำให้เราเพลินและเดินช้าลงไปบ้าง
น้ำตกผาดอกเสี้ยว เป็นหนึ่งในฉากภาพยนต์ไทยเรื่องรักจัง โดยมีจุดเด่นคือสะพานไม้ที่สร้างข้ามช่วงน้ำตกข้างหน้า ซึ่งที่นี่มีความสูงถึง 10 ชั้น แต่เราสามารถเที่ยวได้แค่ 3 ชั้น เท่านั้น คือชั้นที่ 7,8 และ9 เท่านั้น
ส่วนชั้นที่มีสะพานไม้ ไฮไลท์ของที่นี่คือชั้นที่ 7 หลายคนเพลินกับการถ่ายรูปที่สะพานไม้ แต่หลายคนก็เข้าไปถ่ายใกล้ๆ น้ำตก โดนละอองเปียกกันไปคนละนิด คนละหน่อย ซึ่งเราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานพอสมควร
จากน้ำตก เราเดินตามเส้นทางชาวบ้านมาเรื่อยๆ ขนานกับทางน้ำที่ทำเพื่อให้น้ำไหลเข้าสู่หมู่บ้าน น้ำใสมาก หลังจากนั้นเราก็มาทะลุ มองเห็นไร่สตรอเบอรี่ นาขั้นบันไดบ้านแม่กลางหลวงที่กำลังจะเก็บเกี่ยว เหลืองอร่ามเต็มไปหมด ผ่านไร่กาแฟอราบิก้า พร้อมกับมีให้ชิม ซึ่งมีลักษณะการชงแบบพื้นเมืองมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เพราะที่นี่ทำการคั่วและบดเอง แต่เราไม่ทันได้ลิ้มลองเพราะต้องทำเวลาในการไปที่อื่นต่อ
ป่าปงเปียงคือจุดหมายต่อไป ที่ตอนแรกก็กลัวว่าจะมาไม่ทันพระอาทิตย์ตก เพราะระยะทางจากแม่กลางหลวงมาก็ไกลพอสมควร ยิ่งพอถึงถนนทางเข้า 4 กิโล สุดท้าย รถก็ยิ่งต้องวิ่งช้าลง เพราะถนนทางเข้าเป็นถนนดินแดง ขรุขระ บางช่วงก็ยังคงแฉะและมีน้ำขัง เป็นที่ร่ำลือมากเรื่องทางเข้ามาที่นี่
เรานั่งโยกเยกไปมาตามรถและลุ้นในบางช่วงที่รถดูเหมือนจะติดหล่ม หายใจไม่ทั่วท้องกันเลย และแล้วเราก็มาถึงที่ที่ครั้งก่อนอยากมาแต่ไม่สามารถเข้ามาได้จริงๆ เพราะสภาพถนน ภาพแรกที่เห็นกลับทำให้รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เพราะข้าวบางแปลงได้ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว
แต่ก็ยังดียังที่ยังมีอีกหลายแปลงยังไม่ได้เก็บเกี่ยว กับบางแปลงที่เหมือนเพิ่งปลูก ยังเเขียวๆ สลับกันไป ทำให้นึกภาพได้ว่าก่อนหน้านี้ที่มันเต็มๆ มันคงสวยและเจ๋งกับที่เราเห็นรูปคนที่ได้มานั่นแหละ ป่าปงเปียงอยู่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านที่รายล้อมไปด้วยนาขั้นบันไดที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
เราพยายามหามุมถ่ายภาพในแบบของตัวเองไปเรื่อยๆ เก็บภาพมุมกว้าง มุมแคบเจาะบางมุมก็ทำให้เพลินกันไป เดินไปตามคันนาเรื่อยๆ จนจะลื่นล้มหลายต่อหลายรอบ
ส่วนแปลงไหนที่ข้าวสุกแล้วก็มีการเก็บเกี่ยว แบบชาวบ้านๆ หรือที่เรารู้จักกันดีในแบบลงแขกเกี่ยวข้าวนั่นแหละ เราเห็นผู้คนเดินเข้าออกจากกระต๊อบหลังไม่ใหญ่ตลอดเวลา คนหนึ่งไปคนหนึ่งกลับ สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปพักและกลับมาทำใหม่ เพราะที่นี่นอกจากเกี่ยวแล้ว เขายังช่วยกันลงแขกตีข้าว ฟาดข้าวหรือนวดข้าวแล้วแต่จะเรียกกัน ซึ่งเป็นการทำที่ต้องใช้แรงเยอะมากเพื่อให้ข้าวหลุดแล้วบรรจุเก็บใส่กระสอบ
พระอาทิตย์เริ่มเลื่อนต่ำลงๆ แสงสีทองยามเย็นเริ่มปรากฎให้เห็น ตูมมมม ทุ่งข้าวกลายเป็นสีทองเหลืองอร่ามมากกว่าเดิม แสงที่สะท้อนต้นข้าวและผู้คนงดงามเกินคำบรรยาย และมันเป็นช่วงเวลาที่อยู่ไม่นาน เพราะพระอาทิตย์จะตกไวมาก เราต้องรีบเก็บภาพช่วงนี้ให้ไว อีกอย่างคือเราไม่อยากขับรถออกจากที่นี่ตอนที่มันมืดแล้ว
ที่ป่าบงเปียงมีโฮมสเตย์ให้บริการริมนาข้าวหลายหลังอยู่ ราคาไม่แพงมาก มีทั้งอาหารเช้าและเย็น บ้านพักที่ป่าบงเปียงทุกหลังไม่มีไฟฟ้าใช้ มีแต่เทียนนะจ๊ะ ใครจะไปนอนก็เตรียมพร้อมหน่อยเนอะ จริงๆ แล้วก็ยังไม่เคยไปนอนที่นี่เหมือนกัน ได้แต่สอบถาม หากมีโอกาสคงได้มานอนสักครั้ง เพราะที่นี่สามารถมาเที่ยวได้แบ่งเป็น 3 ช่วงคือ
1.ช่วงการดำนา เดือน ก.ค.-ส.ค. 2. ช่วงข้าวกำลังเขียว เดือน ก.ย. – ต้น ต.ค. 3.ช่วงรวงข้าวสีทอง ปลายเดือนต.ค.
กิ่วแม่ปาน เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะสั้น 3.2 กิโลเมตร สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,200 เมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2- 3 ชั่วโมง เปิดตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน ถึง 31 พฤษภาคมของทุกปี มีเส้นทางศึกษาทั้งหมด 21 จุด ทางเดินไม่ได้ลำบากมากนัก บางช่วงจะมีบันไดให้เดิน ระยะแรกจะเดินเข้าป่า มีทั้งต้นไม้เล็ก-ใหญ่ มีน้ำตก และเฟินอีกหลากหลายชนิด เราเดินมาเรื่อยๆ พอเริ่มเหนื่อยกันแล้วก็จะเจอกับทางออก ป่าโปร่ง มองเห็นสันเขา
เรารีบเดินเพื่อไปยังจุดชมวิว มุมฮิตที่ใครหลายคนอยากมาสักครั้ง แม้ว่าคนจะเยอะไปสักหน่อย แบบวิวที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ทำให้เราเพลินกับจุดนี้นานพอสมควร
ถัดจากจุดชมวิวไปจะเป็นทางเดินเลียบไปตามสันเขาเลียบหน้าผา มีความกว้างประมาณ 1 เมตร ซึ่งจะสามารถเดินได้เพียงคนเดียว จึงเป็นที่มาของชื่อว่า “กิ่วแม่ปาน"
ระยะทางช่วงนี้ เราได้เจอทั้งลม ทั้งหมอก และแสงแดดไปพร้อมๆ กัน เดินกันสบายๆ ตามกันไปเรื่อยๆ หยุดถ่ายรูปทีแถวก็หยุดยาวเลย แต่ผู้คนน่ารัก ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครรีบ ไม่มีใครแซง ค่อยๆ เดิน
ตลอดทางที่เราเดิน แม้ว่าจะสายมากแล้ว แต่หมอกก็ยังคงไม่จางหายไป แม้ว่าแสงจะเริ่มแรง และฟ้าก็ยังคงใส เราได้แต่ยืนมองหมอกไหลไปตามแรงลม ผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่าจนทั่วบริเวณ
เราเดินไปจนถึงจุดชมวิวอีกหนึ่งจุดที่สามารถมองเห็นพระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดล-พระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ ซึ่งจุดนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยหมอก และเป็นจุดสุดท้ายก่อนที่เราจะเดินเข้าป่ากลับทางเดิมเพื่อเดินออก
หลังจากนั้นเราก็กลับมาที่พัก และเตรียมตัว เปลี่ยนชุดให้พร้อมที่จะไปช่วยเกี่ยวข้าว ตอนนี้อากาศหนาวเย็นในยามเช้าได้จางหายไปหมดแล้ว แดดแรงขึ้น หลายคนจึงต้องเตรียมตัวอย่างดี หลังจากพร้อมกันแล้ว เราก็เดินตามกันไปที่นาข้างๆ ที่เขากำลังข้าวกันอยู่ หลังจากพูดคุยทักทายกันเสร็จ พี่ซันก็พาเราไปที่แปลงนาและสาธิตให้เราเห็นถึงวิธีการเกี่ยวข้าว
พวกเราก็ดูเก้ๆ กังๆ กันอยู่พักใหญ่ แต่ก็ค่อยๆ เรียนรู้ทำไป จนเริ่มชิน และจับทางได้พอสมควร แต่ก็ยังคงเกี่ยวไปเรื่อยๆ
เรายังคงเกี่ยวไปเรื่อยๆ อยู่ใกล้ๆ กัน ช่วยกันดูว่าเกี่ยวเป็นไง เรียบร้อยไหม ยังคงตะโกนถามพี่ซันเป็นระยะๆ ว่าถูกไหม ใช้ได้รึเปล่า
นาบางช่วงแห้งก็ดีไป บางช่วงที่แฉะก็ดูจะทุลักทุเลพอสมควร แต่เราก็ยังคงเกี่ยวไปเรื่อยๆ เข้าใจคำว่าหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินก็วันนี้เอง ก้มๆ เงยๆ ปวดหลังไปตามๆ กัน แดดก็แรงจะหน้ามืดหลายรอบ
เราเริ่มเดินหน้ากันไปเรื่อยๆ หลายคนเริ่มชำนาญขึ้น ก็ไปเร็วหน่อย หลายคนเริ่มแยกตัว แบ่งโซนกันไป ช่วยกันไปทีละนิด กำ เกี่ยว วาง เหมือนจะง่าย แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด ดีนะที่เป็นนาดำ ข้าวขึ้นเป็นกอๆ ง่ายต่อการจับหน่อย แต่คนที่ไม่เคยบอกเลย แบบนี้ก็ยากละ
เราช่วยเกี่ยวกันไปไม่แน่ใจว่ามากน้อยแค่ไหน แต่บอกเลยว่าเหนื่อยสุดๆ ท่ามกลางแดดที่แรง ร้อนขนาดนั้น ยิ่งเพิ่มความล้าเข้าไปอีก พอพี่ซันบอกว่าพอแค่นี้ก่อนเท่านั้นแหละ ทุกคนค่อยๆ เก็บส่วนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเดินเข้าร่มไปนั่งพักกัน
ทุกคนหน้าแดงกล่ำจากแดด แต่เราก็ยังยิ้มได้ และภูมิใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแม้ว่าจะช่วยได้ไม่ทั้งหมดก็ตาม เราถือว่าภาระกิจของเราสำเร็จ เราเดินกลับไปยังที่พัก เจอรถมาขายไอติมพอดี เรียกว่าไม่ต้องถามว่ากินไหม ทุกคนเดินตรงไปหาเลย
มิใช่แค่ปลายทาง
ก็เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นมิตรภาพที่งดงาม ทั้งจากมิตรเก่า มิตรใหม่ ที่ยังคงความน่ารักให้กัน เป็นห่วงเป็นใยดูแลกันดี ตลอดการเดินทาง มีความสุข สนุกสนานกันเต็มที่
ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่งดงาม กับบรรยากาศที่เย็นสบายแตกต่างจากกรุงเทพฯ โดยสิ้นเชิง ซึ่งถ้าเราไม่มาก็คงไม่ได้เจอ
เก็บตก
เป็นกลุ่มที่เหมือนถูกคัดเลือกมาอย่างดี เพราะหลายสิ่งดูไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องกิน รถจอดร้านไหน ก็ซื้อร้านนั้น ซื้อแบบจริงจัง กินกันแบบเหมือนหิวกันมานาน แต่กลุ่มนี้มีความเป็นแม่บ้านนะ ทำเองกินเองก็ได้ ส้มตำที่ตำมากี่ครกก็หมด นี่หิวหรืออร่อย ปากบอกว่าอิ่มพอมี ไข่เจียวมาเพิ่ม รีบวิ่งหาจานข้าวกันให้วุ่น
เป็นเหยื่อการตลาดทุกชนิด อย่าปล่อยให้เดินตลาดนานนะ เพราะทุกคนจะไม่ยอมกลับมาง่ายๆ ถ้าไม่ได้ซื้อของ และเป็นอีกทริปที่หัวหน้าทริปดูแลทุกคนหรือทุกคนดูแลอันนี้ชักไม่แน่ใจ
อีกอย่างที่เหมือนกันของกลุ่มนี้คือ ชอบถ่ายรูปมากกกก จริงๆ นะ ทุ่มเทกันสุดๆ หลากหลายอิริยาบทตามแต่ถนัดของแต่ะคน ถ่ายมุมเดียวกัน ถ่ายคนละมุม ไปเป็นกลุ่ม เป็นคู่ คนเดียวก็ไม่หวั่น เลิกมุมกันตามสบาย หลายภาพออกมาสวย แต่บางภาพก็ไม่รู้จะขอบคุณรึงอนดี
ดีใจที่ทริปนี้ทุกคนสนุก เสียงหัวเราะไม่เคยจางหายไปเลย แม้แต่วันเดินทางกลับ เสียงหัวเราะยังคงดังลั่นรถไปตลอดทาง จนถึงขนส่งเชียงใหม่ เจอกันทริปต่อๆ ไปนะ
สำหรับผู้ที่สนใจ ร่วมกิจกรรมกับอาสาเที่ยว สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook fanpage อาสาเที่ยว
อาสาเที่ยว ขอขอบคุณ ที่พักสวยๆ และการนำเที่ยวอย่างอบอุ่นจาก อ่างกาโฮมสเตย์ ดอยอินทนนท์
May Macro
วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.37 น.