หลายครั้งที่คนเรามักจะมีช่วงเวลาที่คิดแล้วทำเลย ในหลายๆ เรื่อง บางครั้งก็ตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่อยากทำ เป็นที่ที่อยากไป แค่พูดแล้วมีคนสนับสนุน ทุกอย่างมันจะเริ่มต้นในทันที

     และวันนี้คงเป็นกฤกษ์งามยามดีมั้ง มีเลข 9 ทั้งวันเดือนและปี ถ้าจะลองทำอะไรใหม่ๆ ในสิ่งที่ไม่เคยทำดูบ้างก็น่าจะทำให้ชีวิตมีสีสันและสนุกไม่น้อย เราแค่วางแผนคร่าวๆ หาข้อมูลนิดหน่อย ที่เหลือก็กะไปเจออีกทีข้างหน้า จะว่าไปก็ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานมากพอสมควร กับการขึ้นรถโดยสาร แบกเป้ ขนของอะไรต่อมิอะไร พะรุงพะรังเต็มไปหมด มุ่งหน้าสู่จุดมุ่งหมายที่เลือกไว้

     ครั้งนี้เราออกเดินทางกันสองคน เพราะเวลากระชั้นชิดแบบนี้คงไม่มีใครบ้าไปกันเราแน่ๆ เฮไหน เฮนั่น เออ ออ ตามกันไป จนบางครั้งเมย์ก็คิดว่าเราเหมือนกัน อย่างที่หลายๆ คนคิดแบบนั้น แต่สุดท้ายคำตอบที่ได้คือ เรา ยัง คง ต่าง กัน แทบจะทุกเรื่องด้วยซ้ำ ฝันต่างกัน ชอบต่างกัน คิดยังต่างกัน แต่เรากลับรู้สีกว่าสนุกที่ได้จับมือไปช่วยกันทำฝันของกันและกัน

     แม้ว่าจะมีไม่บ่อย สำหรับการเดินทางของเราสองคน ด้วยเหตุผลมากมายหลายข้อที่ดูเหมือนจะเป็นข้อจำกัด แต่ทุกครั้งที่ได้ไปด้วยกัน ไม่ว่าใกล้รึไกล มันก็ทำให้เรากำลังได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

6 โมงเย็น หลังจากเลิกงานเมย์ก็รีบแบกเป้ใบน้อยไปขึ้นแอร์พอต เรล ลิ้งก์ ที่หัวหมากต่อ BTS ที่พญาไท แต่มันน่าจะเป็นวันที่เมย์ใจร้อน และไปไวกว่าการเดินทาง จนทำให้รถไฟฟ้าที่ว่าเร็วที่สุดสำหรับการเดินทางในตอนนี้ดูช้าลงไปทันที เวลาก็เดินเร็วแบบไม่คิดจะรอใคร ทุ่มครึ่งแล้วเพิ่งมาถึง BTS หมอชิต สถานีที่มีคนมากมาย พอประตูเปิดก็รีบลงรถวิ่งตาตั้งเลย แล้วก็มายืนหอบแฮ่กๆ ตรงป้ายรถเมล์ข้างล่าง กะจะเรียกวินมอเตอร์ไซค์ตรงนั้นไปนครชัยแอร์ แต่พอตอบกลับมาว่า 80 ก็เลยลองเดินมาถามอีกคัน คราวนี้บอก 100 ถามกลับว่ามันไม่ควรเกิน 60 บาทนี่ แต่วินบอกว่ารถติด 60 ไม่มีใครไปหรอก บางคันตะโกนแทรกมาว่าซ้อน 2 ได้นะ แต่ก็คิดคนละ 80 อยู่ดี ถอนหายใจเบาๆ ทำได้เพียงโบกมือว่าไม่ไป มองดูนาฬิกา แล้วก็ยืนรอรถต่อไป

     ในใจยังคิดไม่ออกเลยว่าจะไปยังไง สาย 77 ที่ผ่านก็ยังไม่มา จนได้ยินคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่าจะไปที่เดียวกันก็เลยชวนกันขึ้นแท็กซี่ เหมือนจะไปได้ดี แต่แล้วรถก็ติดขยับน้อยมาก ทีละนิดๆ 2 ทุ่มแล้วยังไม่ถึงทางเลี้ยวเลย อีก 15 นาที จะถึงเวลารถออก ลุงคนขับแท็กซี่บอกว่า ไม่น่าจะทันนะ นั่งนิ่งเมรี เอาไงดี ในใจอยากจะลงแล้ววิ่งไปให้มันรู้แล้วรู้รอดไป สักพักลุงคงเห็นว่ากระวนกระวายละ ก็เริ่มขับซิกแซกให้ จน 2 ทุ่ม 20 เลยปั้ม ปตท.มาแล้ว โอ๊คที่รออยู่ที่นั่น โทรมาแล้วให้คุยกับพนักงาน เขาถามว่าอยู่ไหน เลยเวลารถออกมา 5 นาทีแล้ว ก็พยายามอ้อนวอน ลุงคนขับบอกว่าใกล้แล้วๆ ไม่เกิน 5 นาที ตรงนี้รถไม่ติดแล้ว วิ่งยาวเลย แล้วลุงคนขับก็หันมาบอกว่าถ้าเขาจะออกรถจริงๆ ลุงจะขับตามให้ พอพูดจบ รถก็เลี้ยวเข้ามาจอดที่อู่รถ จอดปุ๊บ เปิดประตูใส่เกียร์หมาวิ่งอย่างไว

วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่งมุ่งหน้าไปตรงชานชลาที่ 15 ที่รถจอดอยู่ เจอโอ๊คยืนรออยู่หน้ารถเรียบร้อย แล้วก็ยื่นตั๋วให้ และรีบขึ้นรถทันที ไปนั่งหอบแฮ่กๆ อยู่สักพัก ก็เห็นคนข้างหน้าเพิ่งเดินขึ้นมานั่งเหมือนกัน แหนะๆ ฉันไม่ได้ปิดท้ายนะ แต่ก็ต้องขอบคุณที่รถรอแม้ว่าจะเลยมา 5 นาที แต่เหตุสุดวิสัย ผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็เข้าใจ เมย์ก็เลยเดินแจกรอยยิ้มตั้งแต่ขึ้นรถมาละ พอรถออก พนักงานก็เริ่มแจกข้าวกล่องที่มีกับข้าว 2 อย่าง มีช้อน ทิชชู่ ไม้จิ้มฟัน อยู่ในนั้นด้วย รวมทั้งน้ำเปล่า น้ำผลไม้ และขนมอีก หลังจากที่กินอิ่มแล้ว จะรออะไรละ พักเอาแรงสักหน่อย

กะว่าจะพักสายตา หลับสักหน่อย แต่สุดท้ายรถออกจากรุงเทพฯ ละ เราก็ยังไม้ได้หลับ ด้วยจำนวนที่นั่งที่มีแค่ 32 เบาะ ทำให้เราสามารถยืดเท้าได้อย่างสบาย แอร์เย็นฉ่ำ ผ้าห่มสะอาดไม่มีกลิ่นอับ เบาะสามารถปรับนวดได้ มีหูฟังให้ยืม มีปุ่มกดสามารถเรียกพนักงานได้ถ้ามีข้อสงสัย หนังที่มีให้เลือกหลายแนว หลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู ถ้าเบื่อก็เปิดเพลงฟัง กล่อมไปตลอดทาง แบบนี้ไงถึงเพลิน ไม่ได้นอนเลย รู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว และเข้าตัวเมืองเชียงใหม่พอดี

6.24 น. เราก็มาถึงอาเขตที่เชียงใหม่ เดินหาร้านเช่ามอเตอร์ไซค์เพื่อขึ้นดอยอินทนนท์เลย ซึ่งก็มีให้เลือกหลายร้าน เพราะจากการหาข้อมูลรถสองแถว ดูยุ่งยากในการไปต่อรถและกลัวเสียเวลา เราเดินมาเลือกรถที่เหมาะกับการใช้ขึ้นอินทนนท์ ล้างหน้าแปรงฟัน เรียบร้อย การเดินทางแบบจริงจังของเราสองคนก็เริ่มต้นขึ้นแล้วซินะ เราขี่มอเตอร์ไซค์มุ่งหน้าไปตามเส้นทางอำเภอสันป่าตอง เปิดกูเกิ้ลแมพ และมองป้ายไปเรื่อยๆ สักพักเราก็แวะกินข้าวเช้าระหว่างทาง พร้อมกับใส่อุปกรณ์กันแดดแบบครบเซ็ตเท่าที่มีมา บอกเลยมาถึงตอนนี้ความตื่นเต้นก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ในชีวิตเคยนั่งมอเตอร์ไซค์ไกลๆ ก็แค่ครั้งเดียว ตอนขึ้นเขาใหญ่เมื่อนานมาละ

เพิ่งผ่านอำเภอสันป่าตองมาไม่นานก็เริ่มเมื่อยก้นกันละ ส่วนคนขับก็อยากกินกาแฟแล้วด้วย แค่เห็นป้ายว่ามีร้านกาแฟอยู่ข้างหน้า รถที่ขับช้าอยู่แล้ว ช้าลงไปอีก ช่วยกันมองหาร้านใหญ่เลย จนคิดว่าเลยละ แต่แล้วเราก็เห็นร้านตั้งเด่นอยู่ริมถนนเลย แวะจอดทันทีแบบไม่ต้องถามกันเลย แม้ว่าคนหนึ่งชอบกินกาแฟ แต่อีกคนแพ้กาแฟ แต่เราทั้งคู่ชอบร้านกาแฟ ทั้งร้านตกแต่งเน้นไปทางสีดำกับสีขาว มีอุปกรณ์เก๋ๆ ชิ้นเล็กชิ้นน้อย วางอยู่ทั้วร้าน บอกเลยว่านั่งเพลิน คนขายก็เป็นกันเอง คุยสนุก แถมยังใจดีให้ขนมเราชิมด้วย นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่ ถ่ายรูป และแลกเฟสกันเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางต่อกันแล้ว จนเข้าเขตอำเภอจอมทองตอน 10.18 น. แดดเริ่มแรง และร้อนขึ้น อุปกรณ์กันแดดที่มีมาก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อย แต่เราก็ไม่ได้รีบหรือเร่งอะไร ขับกันไปเรื่อยๆ เน้นปลอดภัย

เราขับจนมาถึงด่าน 1 ทางขึ้นดอยอินทนนท์ตอน 10.38 น. แวะจ่ายค่าเข้าอุทยานฯ ทั้งคนทั้งรถ แวะเข้าห้องน้ำและพักเมื่อยกันแปบนึง ก่อนที่จะออกเดินทางต่อ ขับรักษาความไวแบบไม่มากไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง บางช่วงนี้เริ่มเจอหมอกไหลผ่านตัวไปเป็นระยะๆ เราก็ตื่นเต้นเป็นระยะๆ เช่นกัน หนาวจนสั่นเลย ยังดีที่แดดสลับออกบ้างบางช่วง แต่ไม่ร้อนรุนแรงเท่าช่วงที่ผ่านมาเท่าไร เรายังขับรถไปเรื่อยๆ ชิวๆ จนโดนแซงตั้งแต่รถใหญ่ รถเล็ก มอเตอร์ไซค์ด้วยกัน แต่ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดอาจจะโดนจักรยานแซงได้

เราแวะกินข้าวเที่ยงตรงอุทยานฯ เติมพลังก่อนออกเดินทางอีกครั้ง ต่อไปจนถึงจุดสูงสุด แดดแรงพอสมควร แต่อุณหภูมิแค่ 22 องศา มีลมพัดหมอกมาเป็นระยะๆ อากาศกำลังดี ไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป เรานั่งพักจนหายเหนื่อย และตกลงกันว่าจะขี่รถลงมาหาที่พักก่อนดีกว่า เพราะไม่อยากแบกเป้ไปเดินด้วย คนก็ทยอยกันขึ้นมาเรื่อยๆ ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ก็บรรยากาศมันดีแบบนี้อะนะ แม้ว่าจะนั่งรถมาไกลหน่อยแต่ก็คุ้ม เราขับรถลัดเลาะ ไปเรื่อยๆ เข้าซอยโน้น ออกซอยนี้ เพื่อหาที่พักสำหรับคืนนี้ของเรา ไปตามจุดที่เราหาข้อมูลมาละ และกำลังจะขับลงไปตรงแถวแม่กลางหลวง

และสุดท้ายความพยายามของเราก็เป็นผล อยู่ดีดีคนขับก็เลี้ยวรถเข้าไปในซอยเล็ก ๆ ข้างทาง ซอยหนึ่งที่ทางไม่ค่อยดีเท่าไร ในใจยังนึกแอบบ่นว่าเข้ามาทำไม พอเข้าไปเห็นเท่านั้นแหละ อ้าปากค้างเลย รู้ได้ไงว่าที่นี่มีนาขั้นบันไดที่แอบซ่อนอยู่หลังที่พักเล็กๆ 4 ห้อง โอ๊คบอกเห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่ขับมาละว่ามีนาอยู่ก็เลยลองขับเข้ามาดู ไม่ผิดหวังจริงๆ หลังจากสอบถามและตกลงราคากันแล้ว เราก็ฝากกระเป๋าไว้ที่ห้อง ที่พี่เขากำลังทำความสะอาด เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีคนมาพัก อาจจะเป็นช่วงหน้าฝนด้วย คนมาน้อย และที่นี่เพิ่งเปิดได้เมื่อปีที่แล้วแบบไม่ทันตั้งตัว ก็ไม่แปลกที่คนจะยังไม่ค่อยรู้จัก

เราเข้าไปแวะเติมน้ำมันในหมู่บ้าน แล้วลุยกันต่อเลย ตอนแรกตั้งใจมุ่งหน้าสู่กิ่วแม่ปาน แต่แล้ว!!! ความหวังก็ดับมืดลง เพราะช่วงนี้มันปิดอยู่ เปิดอีกที 1 พ.ย. ของทุกปี อันนี้พลาดเองไม่ได้หาข้อมูลมาคิดว่ามันเปิดตลอด จุดหมายเปลี่ยนไปในทันทีเราขับรถไปทางอำเภอแม่แจ่ม ทางที่เรายังไม่เคยไป ตั้งใจจะไปแช่เท้าที่น้ำพุร้อน แต่ขับไปได้สักพัก มีทางแยกคนขับเลี้ยวเข้าทางไปน้ำตกแม่ปานเฉยเลย จนมาถึงทางเข้าเราต้องจอดรถแล้วเดินต่อไปอีก 500 เมตร หันมองหน้ากัน ไหนๆ ก็มาละ เข้าไปซะหน่อย บอกได้คำเดียวว่าคุ้ม ไม่ผิดหวังที่เดินเข้ามา เสียดายที่ไม่มีชุดมาเปลี่ยน เพราะน้ำที่นี่ใส เย็น น่าเล่นมาก ดอกไม้ก็เยอะ คนชอบถ่ายมาโครเพลินเลยละ เราอยู่ที่นี่จนเกือบจะ 6 โมงเย็น และเสียดายอีกอย่างที่เราเห็นทางไปป่าปงเปียงที่ห่างไปแค่ไม่กี่โลเอง แต่ฟ้ากำลังมืด สุดท้ายก็ต้องตัดใจขับรถกลับที่พัก พรุ่งนี้จะมาใหม่

พอถึงที่พัก ฝนก็ตกปรอยๆ บรรยากาศน่านอนมาก แต่บรรยากาศข้างนอกน่าสนใจมากกว่า ทุ่งนาที่มีภูเขาอยู่ข้างหลังน่าออกไปเดินเล่น สุดท้ายก็ถือร่ม ออกไปเดินเล่นที่นาข้าวจนได้ ค่อยๆ เดินลงไปเรื่อยๆ ตามคันนา ระหว่างทางที่เดินและมีข้าวล้อมรอบตัวเรา มันรู้สึกดีมาก หอมกลิ่นข้าวที่ลอยมาเตะจมูกตั้งแต่ที่เดินลงมา น้ำไหลจากที่สูงลงข้างล่าง ใสและเย็นมาก ปลาตัวเล็กตัวน้อย กบเขียด กระโดดกันเต็มไปหมด มันทำให้รู้สึกว่าทุ่งนามีชีวิต นี่สินะที่เราได้ยินบ่อยๆ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เราจะไม่มีทางรู้เลยถ้าไม่ได้มาสัมผัส

หมูที่เราแวะซื้อมาจากร้านในหมู่บ้านที่เปรียบเสมือนตลาดขนาดย่อม ที่มีทุกอย่าง ถูกหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ รวมทั้งผักต่างๆ ด้วย เตาถ่านถูกจุด ปูเสื่อรอ จาน ชาม ช้อน ตะเกียบถูกส่งต่อ พร้อมกับน้ำจิ้ม เรานั่งล้อมวงกัน ไฟแรงจนหมูสุกไวกินกันไม่ทันเลย ค่ำแล้ว เสียงจิ้งหรีด เรไร ร้องแข่งกัน กลิ่นข้าวถูกพัดมาแทนที่หมูกระทะเป็นระยะๆ บทสนทนาเริ่มขึ้นราวกับรู้จักมานาน เหมือนญาติที่ได้กลับบ้านยังไงยังงั้นเลย กว่าจะแยกย้ายก็ดึกมากแล้ว อากาศเย็นสบายกำลังดี อาบน้ำอุ่นซุกตัวในผ้าห่มก็หลับสบายแล้ว ไม่ร้อน ไม่มีแอร์ ไม่ต้องเปิดพัดลม

รุ่งเช้า เราออกจากที่พักไม่สายมาก ส่วนฝนก็ยังตกปรอยๆ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อคืน เราค่อยๆ ขับไป ไม่รีบ อย่างระวัง จนโดนรถแซงไปหลายคันละ วันนี้หมอกเยอะกว่าเมื่อวาน และฟ้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิด เราแวะกินข้าวเช้าและขับไปนั่งพักระหว่างทางแถวทางขึ้นกิ่วแม่ปาน เพราะฝนตกหนักมาก แต่ก็เห็นมีมอเตอร์ไซค์หลายคันขับฝ่าฝนขึ้นไป ดูแล้วก็อันตรายไปหน่อย เพราะขับเร็วมาก หลังจากฝนซาเราก็ขับต่อขึ้นไปข้างบน เดินถ่ายรูปตรงจุดสูงสุด ในอุณหภูมิ 9 องศา ที่มีฝนตกปรอยๆ และมีหมอกลงบ้าง

เราไปเดินต่อที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา ที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ มอสที่ขึ้นเต็มต้นไม้ทุกต้นดูชุ่มฉ่ำ จากฝนที่ยังคงตกลงมาเป็นระยะๆ ละอองฝนเกาะตามใบไม้จนทั่ว แต่ผู้คนก็ยังมาเดินที่นี่กันมากพอสมควร หมอกลงปกคลุมต้นไม้ในบางช่วงจนขาวโพลนไปหมด เราเดินตามทางไปเรื่อยๆ เพลินแบบไม่รู้สึกเบื่อเลย

เราออกจากที่นี่และแวะเข้าไปเพราะชื่นชมดอกไม้และความงดงามของพระมหาธาตุนภมหิดล นภพลภูมิสิริ แต่วันนี้น่าจะไม่ใช่วันของเรา เพราะตั้งแต่เราเข้ามาฝนก็ตกตลอด พอหยุดตกหมอกก็ลง นั่งกินข้าวก็แล้ว นั่งเล่นรอก็แล้ว สุดท้ายเราก็ถอดใจและตัดสินใจจะกลับที่พัก แต่พอใกล้ถึงฝนก็เริ่มซา เราแวะไปเดินที่สวนตรงน้ำตกสิริภูมิอยู่พักใหญ่ เพราะที่นี่มีดอกไม้ พันธุ์ไม้นานาชนิดให้ได้เห็น โดยเฉพาะเฟิร์น ฝนก็ตกลงมาอีกพักใหญ่ พอฝนเริ่มซาก่อนกลับที่พักเราแวะซื้อผัก พริกและหมู กลับไปทำกับข้าวมื้อเย็นด้วย โชว์ฝีมือ ลงครัวกันเลย พี่เจ้าของก็บอกว่ามาครั้งหน้าห้องครัวก็เสร็จละ ครั้งนี้ก็ใช้แบบบ้านๆ แบบนี้ไปก่อน แต่ดูท่าทางโอ๊คจะชอบครัวนี้มากกกว่านะ  ทั้งน้ำพริก ผัดผักหลายชนิดเอามาประชันกับอาหารท้องถิ่นของพี่เขาอย่างต้มไก่ในแบบที่เราไม่คุ้นเคย หน่อไม้ต้มแบบธรรมดาๆ เท่านี้ก็ทำให้เราอิ่มและหลับสบายไปพร้อมกับเสียงฝนที่ยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง

เช้าวันจัทร์ วันที่เราไม่คิดว่าจะยังได้อยู่ที่นี่ เพราะตามแผนเราต้องกลับตั้งแต่เมื่อวาน แต่ฝนที่ตกตั้งแต่เมื่อวาน และหนักขึ้นจนถึงเช้านี้ ทำให้เรายังอยู่ที่นี่ แผนที่จะไปป่าปงเปียงถูกตัดไป แผนที่จะลงเพื่อไปเดินเล่นในเมืองถูกพับไว้ ตอนนี้ทำได้แค่ออกมานั่งมองฟ้า มองฝนอยู่หลังห้อง ออกไปไหนไม่ได้เลย จนพี่เจ้าของที่พักต้องทำข้าวเช้าเผื่อเราสองคนด้วย กับข้าวแบบบ้านๆ ที่ไม่คุ้นลิ้นเรา อร่อยไปอีกแบบ แถมด้วยฟักทองบวชอีกหนึ่งหม้อใหญ่ ไหนๆ ก็ออกไปไหนไม่ได้ละ ฝนก็ตกปรอยๆ บางช่วง ลงไปเดินเล่นกลางทุ่งนาซะเลย หายเบื่อกันไป

ฝนตกก็กางร่ม อยากถ่ายรูป ก็แค่ออกมาหลังบ้านที่พักก็สวยงามมากละ นาข้าวสีเขียวกับภูเขาที่มีหมอกเต็มไปหมด เบื่อก็ออกไปเดินเล่นที่คันนา บอกเลยว่ามีความสุขมากแล้ว ใครไม่เชื่อต้องมา จริงๆ นะ เรานั่งมองฟ้า มองฝนจนถึง 4 โมงเย็น ฝนเริ่มซาและหยุด เรารีบเก็บของลงจากอินทนนท์ทันที แต่ก็ขับไปช้าๆ เรื่อยๆ แวะพักและกินข้าวที่ตลาดสดเทศบาลตำบลหางดง กว่าจะถึงอาเขตอีกทีก็เกือบทุ่มครึ่ง อีก 5 นาที รถออกถ้าไม่ขึ้นอาจจะได้อีกรอบตอนเกือบ 3 ทุ่ม เพราะรอบ 2 ทุ่มเต็ม

ขอบคุณมิตรภาพที่ดี และทุกสิ่งที่ทำให้เราเจอกัน ทั้งพี่จอย พี่ซัน ลุงทั้งสอง รวมทั้งมาริโอ้ และสาวน้อยที่ยังไม่ยอมพูดกับเราสักที แล้วเราจะกลับไปตามสัญญาที่ให้ไว้ ว่าจะกลับมาเกี่ยวข้าวที่นาแห่งนี้ นาที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ นาที่ทำด้วยใจ นาที่ปลูกเพื่อเก็บข้าวไว้กินเอง นาขั้นบันไดที่ไม่เล็ก ไม่ใหญ่ แต่เต็มไปด้วยความงดงามรับรองไม่แพ้ที่อื่น ตอนข้าวเหลืองทั่วท้องนาก็คงงดงามไปอีกแบบ

ทริปนี้วางแผนดูข้อมูลน้อยมาก เน้นไปหาเอาดาบหน้าอย่างการเดินทาง ที่พักและที่เที่ยว

     ทริปนี้วางแผนสั้นๆ แต่กลับอยู่ยาวเพราะธรรมชาติอาจจะอยากให้เราหยุดพักและอยู่ต่อ

     ทริปนี้บอกเลยว่าเจอแต่คนน่ารัก ใจดี ซื้อกาแฟแถมขนม ลดค่าห้องแล้วลดอีก แถมของฝากทั้งที่ซื้อเพียงน้อยนิด มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะตลอดการเดินทาง คงจะเป็นอย่างที่ป้าบอก คนเชียงใหม่ใจดี และเมย์ก็เชื่อแบบนั้นมานานละ แล้วเจอกันอีกน๊า

แม้ ไม่ มี อะ ไร เป็น ไป อย่าง ที่ วาง แผน ไว้ ไม่ มี อะ ไร ได้ ดั่ง ใจ แค่เรา สนุก กับ มัน มี ความ สุข กับ สิ่ง ที่ อยู่ ตรง หน้า เชื่อ ไหม ไม่ ว่า ที่ ไหน ก็ จะ เป็น ที่ ที่ เรา ไม่ มี วัน ลืม

ทุกๆ ที่ ยัง มี อะ ไร ต่อ มิ อะ ไร แอบ ซ่อน อยู่ อีก มาก มาย ไหนๆ ก็ ไป แล้ว ถ้า มี เว ลา มาก พอ ลอง เข้า ไป สัม ผัส ให้ ได้ มาก ที่ สุด ใน แบบ ที่ ไม่ ต้อง คาด เดา ไป แบบ ไม่ รู้ ด้วย ซ้ำ ว่า จะ เจอ อะ ไร

เพราะ ครั้ง นี้ เรา ก็ ได้ เห็น อะ ไร มาก มาย ที่ ไม่ คิด ว่า จะ ได้ เห็น



ติดตามทริปอื่นๆ เพิ่มติมได้ที่ www.rsatieow.com

May Macro

 วันพฤหัสที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.15 น.

ความคิดเห็น