เพราะการไปน่านทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมาทำให้ได้รู้ว่า น่านเป็นที่ที่เราตกหลุมรักไปเรียบร้อยแล้วแบบหมดหัวใจ จนเกิดการเดินทางครั้งที่ 4 ขึ้น
แต่เป็นทริปที่ดูงงๆ เพราะตอนแรกก็ตั้งใจชวนคนอื่นๆ ไปด้วย แต่หลายคนที่เราชวนส่วนใหญ่จะไม่ว่าง บวกกับเรา 2 คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีกับการจัดไปทริปนี้ก็เป็นช่วงที่งานเข้าทั้งคู่ นานๆ คุยกันที แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ข้อมูลที่เด่นชัดในการไปครั้งนี้เท่าที่ควร และเราก็ขาดการติดต่อกันไปช่วงหนึ่งนานพอสมควร จนฉันคิดไปเองว่าทริปคงหายไปด้วยเช่นกัน
แต่แล้วก่อนวันเดินทางไม่นานตุ่นก็ส่งลิ้งมาให้รัวๆ เกี่ยวกับการเดินทางไปน่าน หลากหลายทริป และเราก็มีเวลาได้คุยกันจริงจังเป็นเรื่องเป็นราว และได้ข้อยุติในการไปน่านจนได้ ว่าสุดท้ายอาจมีเราแค่ 2 คน เพราะความอยากไปด้วยกันทั้งคู่นาทีนั้น 2 คน ก็ได้ ก็จะไป
หลังจากนั้นเราใช้เวลาเตรียมการณ์กันไม่นาน เราตกลงและวางแผนการเดินทางของเราเรียบร้อยแล้ว เราก็แบ่งหน้าที่กัน คนหนึ่งจัดการเรื่องที่พัก อีกคนจัดการเรื่องตั๋วรถ แล้วก็เช็คข้อมูลส่งให้กันตลอด เรื่องรอบรถจากอำเภอหนึ่งไปอีกอำเภอหนึ่ง เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการเดินทางมาก เพราะหากเราไปไม่ทันรอบรถ นั่นคือแผนทั้งหมดที่เราวางไว้จะไม่เป็นไปตามนั้น
เราออกเดินทางเย็นวันพฤหัสฯ ด้วยรถโดยสารถึงอำเภอเวียงสาก็เกือบเช้า เราต้องลงที่นี่แล้วก็ต่อรถไปอำเภอนาน้อย ที่เป็นรถบัสคันเล็ก ที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน นี่ขนาดเป็นรอบเช้านะเนี่ย เราต้องลงตรงสามแยกบ้านใหม่ (ปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติศรีน่าน) เพื่อขึ้นดอยเสมอดาว ซึ่งเราบอกลุงคนขับก่อนที่รถจะออกแล้วว่าอย่าลืมจอดให้เราลงด้วย ตรงจุดนี้จะมีศาลาและมีเบอร์วินมอเตอร์ไซด์รับจ้างติดไว้ด้วย เรามาถึงจุดนี้ก็เกือบ 8 โมงเช้า
หลังจากหาร้านกินข้าวเช้าเรียบร้อย เราก็เดินไปเรื่อยๆ เพราะอากาศยังเย็น และเต็มไปด้วยหมอก เดินกันจนเพลิน ไกลเกินกว่าจะเดินย้อนกลับไปเพื่อขึ้นมอเตอร์ไซด์รับจ้างแล้ว ผู้คนตามรายทางเริ่มมองและมีคนถามถึงจุดหมายของเรา และในที่สุดเราก็ได้ติดรถพี่ที่ทำงานอยู่หน่วยจัดการต้นน้ำน้ำกาด ให้ติดรถมาด้วย ซึ่งพี่เขาก็ขับไปส่งจนถึงจุดกางเต็นท์ที่ดอยเสมอดาวเลย ครั้งนี้เราไม่ได้วางแผนกันมาก่อนว่าทริปนี้จะกลายไปเป็นทริปโบก เพราะหลังจากที่เรากางเต็นท์ที่ลานเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินสำรวจที่เที่ยวบริเวณใกล้เคียงเพราะที่ลานกางเต็นท์ช่วงนี้อากาศร้อนมาก มีเจ้าหน้าที่ตรงทางเข้าแนะนำว่าที่ผาชู้ไปเที่ยวได้มีทางเดินขึ้นไปชมวิวได้ ลุยสิคะ รออะไร แต่ระยะทางก็ไกลพอสมควรจะให้เดินไปคงไม่ไหว พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าเดี๋ยวถ้ามีรถมาจะโบกให้ติดรถไปด้วย แต่แล้วเราก็นั่งอยู่ตรงนั้นเป็นชั่วโมง จนสุดท้ายพี่เจ้าหน้าที่ที่ขับรถไปทำธุระกลับมาพอดี พี่เขาก็เลยขับรถมาส่ง พอเราเห็นรถเท่านั้นแหละ อึ้งกันไปพักหนึ่ง แต่ก็กระโดดขึ้นรถด้วยความเร็ว เรานั่งกันไปกรี๊ดไปตลอดทาง ลุ้นทุกอย่างว่าสุดท้ายจะไปถึงไหม
หลังจากหัวใจเต้นเป็นปกติละ ก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องขึ้นผาชู้ สุดท้ายก็อด เพราะเจ้าหน้าที่นำทางเหลือแต่คนท้อง ที่เหลือเพิ่งพานักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นไปก่อนหน้าที่เราจะมา ตอนนี้เราทำได้แต่มองยอดผาชู้แบบตาละห้อย อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ขึ้นไปไม่ได้ เรานั่งไปนั่งมาเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ตื่นมาอีกที เหลือรถอยู่ไม่กี่คัน หนึ่งในนั้นมีกระบะจอดอยู่ เราวิ่งจู่โจมเข้าหาตัวคนขับที่เดินมาที่รถพอดี ทำหน้าตาได้น่าสงสารจนพี่เขาก็เลยขับรถมาส่งที่ลานกางเต็นท์ตรงดอยเสมอดาว ซึ่งตอนนี้ทั้งลานเต็มไปด้วยเต็นท์และผู้คนมากมายต่างกับช่วงที่เรามาถึงมาก
แสงแดดเริ่มอ่อนแรงลงไปบ้างละ เราทั้งคู่ก็เลยเดินขึ้นผาหัวสิงห์ ที่เห็นวิวไกลสุดลูกหูลูกตา ทั้งแม่น้ำ และภูเขา ลมพัดอ่อนๆ นั่งกันเพลินจนพระอาทิตย์จะตกดิน
เราเดินลงกลับมาที่เต็นท์ก่อนแสงจะลับขอบฟ้าพอดี พอฟ้ามืด แสงน้อยใหญ่ของดาวก็แข่งกันส่องแสง สมกับชื่อดอยเสมอดาวมากๆ เราแหงนหน้ามองฟ้าเห็นดาวเป็นพันๆ ดวง แบบระยะที่ใกล้แค่เอื้อม ถึงกับพูดพร้อมกันเลย ว้าว คืนแรกที่น่านที่นี่ดอยเสมอดาวหลับสบายภายใต้เต็นท์หลังเล็กๆ สำหรับ 2 คน อิ่มท้องกับอาหารเย็นอย่างมาม่าปลากระป๋องและตบท้ายด้วยมะละกอ
ยามเช้าที่นี่อากาศเย็นสบาย เราออกมารอแสงแรกของวันที่มีทะเลหมอกเต็มพื้นที่ไปหมด เพลินจนกลับมาที่ลานกางเต็นท์อีกทีก็มีรถกระบะเหลือแค่คันเดียว ที่เราคิดว่าจะขอติดลงไปข้างล่างเพื่อต่อรถเข้าเมืองได้ แม้ว่าพื้นที่หลังกระบะจะเต็มไปด้วยของและอีกหลายคนนั่งอยู่ แต่ทุกคนก็มีน้ำใจ ให้เรานั่งเบียดไปด้วย
แถมได้แวะเที่ยวที่เสาดินนาน้อยที่หลายคนบอกว่าเหมือนแพะเมืองผี แต่คนแก่หลายคนก็เรียกชื่อแตกต่างกันออกไปตามตำนานที่แต่ละคนได้ยินมา นอกจากเราจะได้เห็นเสาดินรูปร่างที่แตกต่างกันไปตามกาลเวลาแล้ว ใกล้ๆ กันก็มีคอกเสือที่มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่าเมื่อก่อนแถวนี้เสือเยอะชอบมากัดวัว ชาวบ้านก็เลยไล่ต้อนเสือให้ตกลงไปในบ่อดินแล้วก็ฆ่า
หลังจากนั้นเราก็นั่งรถต่อซึ่งเราหวังแค่จะติดไปลงตรงที่มีรถโดยสารเท่านั้น แต่คนขับใจดี ขับมาส่งถึงท่ารถที่ตัวอำเภอเมืองน่าน
แล้วเราก็ขึ้นสองแถวทันทีมุ่งหน้าไปอำเภอปัวเพื่อต่อรถไปอำเภอบ่อเกลือ ซึ่งมาถึงปัวช่วงเที่ยงๆ รถสองแถวกำลังออกพอดีแต่เราไม่สามารถเบียดขึ้นรถได้แล้ว เพราะแน่นมาก เรากินข้าวรอเวลา บ่ายสองเพื่อขึ้นรถอีกรอบ พอถึงเวลาลุงบอกว่าต้องเหมานะ เพราะมีแค่ 2 คนไม่คุ้มลุง อ้าว ยังไงดี ให้เหมาคงไม่ไหว เราก็เลยโทรไปหาพี่เจ้าของที่พักที่บ่อเกลือ แล้วเรา 2 สองคนก็โชคดีอีกครั้ง มีรถตู้ลูกค้าของพี่รีสอร์ทที่บ่อเกลือมาถึงปัวพอดี ก็เลยรับเราขึ้นมาด้วย ซึ่งมีที่นั่งว่าง 2 ที่ พอดี คุยไปคุยมาพี่ๆ เขาก็เพิ่งมาจากดอยเสมอดาวเหมือนกัน เรานี่โชคดีจริงๆ ได้ติดรถมาฟรีแถมยังได้แวะเที่ยวตลอดทางอีก
กว่าจะถึงที่พักก็ค่ำพอดี หลังกินข้าวเสร็จก็มานั่งเฮฮารอบกองไฟท่ามกลางอากาศที่หนาวอยู่สักพัก กับเพื่อนสมัยเรียนที่มาเจอโดยบังเอิญ จนดึกก็แยกย้ายไปนอนเพราะเป็นวันที่เหนื่อยมากสำหรับเราสองคน เราตื่นมาอาบน้ำแต่เช้าไปเดินเล่นชมบรรยากาศยามเช้าที่กำลังเย็นสบายริมแม่น้ำ
ที่นี่ยังเงียบสงบอยู่พอสมควร แม้ว่าจะมีหลายสิ่งเปลี่ยนไปหลายอย่าง เราเดินเล่นรอบๆ ไปเรื่อยๆ ทั้งโรงต้มเกลือ ไปรษณีย์ และร้านๆ รอบๆ หมู่บาน ถ่ายรูป กินข้าว ก่อนกลับมาที่พักเพื่อเก็บของก็สายละ
เราถ่ายรูปเล่น เดินเล่นอยู่ที่อุ่นไอมางโฮมสเตย์ บ่อเกลือ บรรยากาศดีจนอยากอยู่ต่อ เราเก็บของแล้วก็เดินออกมารอรถโดยสารนานมาก จึงตัดสินใจโบกรถกลับปัว แดดร้อน แต่ลมก็เย็น ทำให้เราสองคนเพลินกับการนั่งกระบะกลางแดดโดยไม่บ่น จนถึงปัว หลังจากนั้นเราก็ต่อสองแถวเพื่อจะเข้าเมือง
มิใช่แค่ปลางทาง
เพราะสุดท้ายเราก็เถลไถลแวะลงระหว่างทางตรงหอศิลป์ริมน่าน เดินดูงานศิลปะที่แสดงอยู่ในโซนต่างๆ กลับเข้าถึงที่พักในเมืองอีกทีก็มืดละ แต่แรงยังเหลือเฟือเดินเที่ยวรอบเมืองก่อนกลับไปนอนที่พักที่เดิมที่เคยมาหลายครั้งอย่าง ศรีนวล ลอดจ์
พอถึงเช้าวันสุดท้าย ตื่นมาก็เช่าจักรยานปั่นเที่ยวทั่วเมืองอีกครั้ง ปั่นไปถึงพระธาตุแช่แห้ง สลับที่เที่ยวระหว่างวัดกับร้านของกินเลยก็ว่าได้ เราะอากาศร้อน เราใช้เวลาเที่ยวทั่วเมืองน่านไม่นานเท่าไร เพราะจากการมาครั้งก่อนยังคงจำเส้นทางได้ดี ถือว่ามารำลึกความหลัง
เก็บตก
ครั้งนั้นก็ปั่นจักรยานกันตั้งแต่เช้า เข้าซอยนั่น ทะลุซอยนี้ หลงกันไปหลายต่อหลายรอบ แวะทุกร้าน ชิมเกือบทุกเมนูที่เจอ กลายเป็นทริปที่กินเยอะมาก ทั้งของคาว ของหวาน
ปั่นกันจนค่ำ ปากไม่เคยว่าง อะไรที่ยังไม่ได้กินก็จะต้องแวะเข้าไปชิมกันจนได้ ซึ่งการปิดท้ายของวันก็ไม่พ้นการกิน หน้าพิพิธภัณฑ์มีการจัดงานของกินอาหารเหนือ ขันโตกที่จัดไว้ให้ดูเล็กลงไปเลย เพราะคำว่าอยากชิมของพี่โอ๊ต
ครั้งนั้นเราได้ไปนอนที่โฮมสเตย์ไทลื้อบ้านดอนมูล ที่อำเภอท่าวังผาด้วย เป็นอีกที่ที่ประทับใจตั้งแต่การเดินทางไปด้วยข้อมูลที่คิดว่ามีพอสมควร สุดท้ายผิดแผนหมดเลย ไม่มีรถโดยสาร แต่เราโชคดีที่เจอแต่คนใจดีตลอดทาง ขับไปส่งแบบไม่คิดเงิน ป้าที่โฮมเตย์ก็ดูแลดีเหมือนลูกหลาน วันรุ่งขึ้นหารถให้มาส่งเราถึงตัวเมืองน่านอีก
พอเรากลับเข้ามาถึง ที่เมืองน่านวันสุดท้าย ก็เช่าจักรยานปั่นต่อเลย เก็บตกร้านที่เหลือที่เรายังไม่ได้เข้า ต้องทำเวลา เพราะเราต้องขึ้นรถช่วง 6 โมงเย็น และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราต้องกลับกรุงเทพฯ คนเดียว เพราะพี่โอ๊ตแยกไปเชียงใหม่ เป็นช่วงเวลาที่ไม่เคยคิดว่าเราจะอยู่ได้ เพราะเราไม่เคยเดินทางคนเดียวแม้นแต่ครั้งเดียวเลย การอยู่ตรงนั้นเพียงไม่นานก็ยังรู้สึกเหงาๆ แต่กลับไม่ได้รู้สึกกลัวอย่างที่ควรจะเป็น ก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน พอถึงเวลาที่ต้องกลับ รู้สึกใจหาย ไม่อยากให้ถึงเวลานั้น น่านมีอะไร ทำไมถึงยังอยากอยู่น่าน นาน นาน ลองไปสักครั้ง แล้วคุณจะรู้
ค่าใช้จ่าย ทั้งสองครั้งแบบ 3 วัน 2 คืน และ แบบ 4 วัน 3 คืน เป็น 2 ทริปที่น่าจะจ่ายค่ากินเยอะกว่าค่าเดินทางซะอีก
แผนที่
ในตัวเมืองน่านที่ระบุสถานที่หลักๆ ที่น่าไป และควรไป เส้นทางใหญ่ไม่ซับซ้อน ปั่นทั่วเมืองได้สบายๆ เพราะเราทำมาแล้ว ยิ่งปั่นกันหลายๆ คนย่ิงสนุก แต่ที่นี่ก็มีรถให้เหมา ทั้งสองแถว มอเตอร์ไซค์ และสามล้อ เลือกได้ตามความพึงพอใจ
*ผ่านมาหลายปี แล้วเราจะกลับไป เพื่ออัพเดทแผนที่ ที่มีร้านใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาให้ได้
May Macro
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 13.47 น.