จากตอนที่แล้ว เราซื้อบัตรเตรียมเข้าชม Villa del Balbianello และมีคู่มือการเข้าชมแล้ว

https://th.readme.me/p/7773

พร้อมแล้วเดินเข้าด้านในกันเลยดีกว่าค่ะ จะได้ไม่เสียเวลา

Villa del Balbianello สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1787 หรือเมื่อเกือบ 230 ปี มาแล้ว เพื่อเป็นที่พักของ Cardinal Angelo Maria Durini หลังจากท่านเสียชีวิต Giuseppe Visconti di Modrone (Visconti คือตระกูลที่เคยเป็นเจ้าเมืองมิลานมาก่อน) ได้ซื้อวิลล่าหลังนี้ และมีการปรับปรุงสวนและระเบียง ต่อมามีการเปลี่ยนเจ้าของอีกหลายคน จนกระทั่งอยู่ในการครอบครองของ Guido Monzino นักเดินทางและนักผจญภัย ที่นี่เลยมีของสะสมจากการท่องเที่ยวของเขาจากหลายประเทศ เขาเป็นผู้เติมเต็มให้ที่นี่มีความงดงามสมบูรณ์มาก ถ้าสังเกตดีๆ จะมี Logo เป็นอักษรรูป M และหัวใจ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของ Monzino ไปทั่วแทบจะทุกแห่ง เช่น ตามราวระเบียงหรือเทอเรซ ข้าวของภายในวิลลาจะเต็มไปด้วยข้าวของที่มาจากการเดินทางของเขา

ในปี 1988 Monzino เสียชีวิตอันเนื่องมาจากสูบบุหรี่จัด เขาได้มอบวิลล่าหลังนี้ให้กับทรัสต์แห่งชาติอิตาลี ( FAI : Fondo per I'Ambiente Italiano) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร จัดตั้งขึ้นเพื่ออนุรักษ์มรดกทางกายภาพของอิตาลี ดูจากภายนอกมีขนาดไม่ใหญ่นักเหมือนบ้านเล็กๆ ชั้นเดียว แต่แท้จริงแล้วภายในพื้นที่กว้างขวาง มีขนาดใหญ่สูงถึง 6 ชั้น ลดระดับไปตามเขา ที่นี่เป็นสถานที่ที่ถูกเลือกให้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายเรื่อง ที่โด่งดังก็คอ Star War (Episode 2) และ James Bond 007 Casino Royale

และเพราะความงดงามแบบนี้นี่เอง ที่นี่ยังมีบริการรับจัดงานแต่งงานที่หรูหราหรือให้ใช้เป็นสถานที่ถ่ายภาพ Pre-wedding อีกด้วย ใครสนใจจะมาจัดงานแต่งงานที่นี่ก็สามารถเปิดเว็บไซต์ของเขาเพื่อทราบรายละเอียดและติดต่อได้เลยค่ะ

วันที่เราไปเยือนนับเป็นวันดีเพราะมีการจัดงานแต่งงานพอดิบพอดี ได้ร่วมเป็นสักขีพยานความรักของบ่าวสาวในบรรยากาศแสนโรแมนติก หนูเล็กบอกแล้วสถานที่แถวๆ นี้ไม่เหมาะกับคนโสดจริงๆ มาเดินแล้วตาร้อนผ่าวๆ ตลอด นี่เรามาทำร้ายตัวเองกันถึงอิตาลีเลยเชียว คนไร้คู่ทั้งหลายมาเห็นบรรยากาศแบบนี้แล้วต้องจิตใจเข้มแข็งหน่อยนะคะ

เจ้าสาวมาถึงแล้วค่ะ

เพื่อนเจ้าสาวแต่ละคนก็สวยใช่ย่อยเลย

เจ้าสาวดูตื่นเต้นมากเลย

เจอกับเจ้าบ่าวแล้วค่ะ

ข่มจิตใจไม่ให้ฟุ้งซ่านแล้วไปเดินชมความงามของบริเวณรอบๆ กันดีกว่าค่ะ บริเวณทางขึ้นทางเรือจะมีถ้วยรางวัล 4 ถ้วยบนเสา ทำไว้เก๋ไก๋ดีจริง ๆ ถ้าอยากได้อารมณ์แบบในหนังก็ต้องนั่งเรือมาขึ้นทางนี้ค่ะ บริเวณโดยรอบเป็นการจัดสวนแบบอิตาลี นั่นคือ จะมีการตกแต่งด้วยรูปปั้นไว้ในสวน ตกแต่งต้นไม้ไว้เป็นพุ่มๆ น่ารัก สวยงาม บริเวณที่จัดงานแต่งงานจริงๆ แล้วด้านหนึ่งเป็นห้องแผนที่ ก็ Monzino เขาเป็นนักเดินทางนี่คะ ไปทั่วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำเลยทำห้องแผนที่เสียเลย ส่วนห้องด้านขวาจะเป็นห้องสมุดที่มีหนังสือเก็บสะสมไว้มากมาย ตรงนี้ละค่ะจะมีต้นไม้เลื้อยเกี่ยวกระหวัดไปกับเสากับตัวอาคาร ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ อายุกว่า 150 ปีแล้วค่ะ สวยงดงามมาก

เดินทางโดย Taxi Boat จะมาขึ้นตรงนี้ค่ะ

และที่ห้ามพลาดโดยเด็ดขาดคือการไปชมต้น Umbrella Tree ที่ด้านหลัง นับเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่เลยทีเดียว วิธีการตัดคือ ต้องปีนบันไดขึ้นไปให้ตัวเองโผล่ไปสูงกว่ากิ่งและใบแล้วตัดเล็มให้ได้สัดส่วน ซึ่ง Monzino เคยถ่ายภาพบอกวิธีการเก็บรักษาไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งในห้องทำงานของเขา

Umbrella Tree

หากเดินไปรอบๆ ระเบียงทางเดินของวิลลา จะพบว่าถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบทำให้วิลลาแห่งนี้มีบรรยากาศดี อากาศโปร่ง โล่ง เมื่อมองออกไปจะเห็นวิวของทะเลสาบในแต่ละมุมได้กว้างสุดตา และสามารถมองเห็นตัวเมือง Lenno ได้ชัดเจน ใครที่มาเยือนที่นี่สามารถเดินเที่ยวเล่นได้จนพอใจ เขาไม่มีไล่ว่าต้องเข้า-ออกภายในเวลาเท่าใด เดินอ้อยอิ่งชมความงามให้พอใจ ให้คุ้มกับที่เหนื่อยเดินทางมาแล้วค่อยเดินทางกลับก็ได้ค่ะ

พวกเราเดินชมบริเวณโดยรอบกันจนเต็มอิ่ม จากนั้นก็เดินทางกลับไปยังท่าเรือ แต่พี่ใหญ่มีโบนัสสำหรับพวกเราว่า เนื่องจากพวกเราใช้พลังงานกันเยอะในการเดินทางมาชม ดังนั้น ขากลับลงไปจะแวะร้านขายเจลาโต้ให้ลิ้มรสคนละหนึ่งโคนเป็นของกำนัล ได้ยินแบบนี้แล้วทุกคนมีกำลังใจ กำลังกายเดินกันคึกคักทีเดียว เดี๋ยวไปแวะร้านเจลาโต้กันค่ะ

ขากลับไม่รู้ว่าเป็นเพราะเป็นขาลงจากเขาหรือว่าเป็นเพราะแรงจูงใจเรื่องไอศกรีมเจลาโต้ เลยรู้สึกเหมือนว่าแต่ละคนจะไม่มีบ่น โอดครวญอะไรเลย ซ้ำร้ายเหมือนฝีเท้าจะว่องไวกว่าขาขึ้นผิดปกติ ทั้งที่เส้นทางเดินกลับก็เส้นทางเดิม เพียงประเดี๋ยวเดียวเราก็เดินกลับกันลงมายังพื้นราบ มองเห็นร้านขายไอศกรีมเจลาโต้อยู่ข้างหน้าแล้ว

เท้าไวกว่าความคิด หนูเล็กรีบไปยืนต่อแถวไว้ก่อนเลย เงินเดี๋ยวค่อยหยิบ ราคาเท่าไรเดี๋ยวค่อยว่ากัน ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคแล้วทั้งนั้น เพียงประเดี๋ยวเดียวพวกเราก็ได้ไอศกรีมเจลาโต้มาครอบครองคนละหนึ่งโคน จึงพากันเดินเลียกันอย่างเอร็ดอร่อยไปจนถึงท่าเรือ คงได้เวลาที่เราต้องเดินทางกลับสู่ Varenna กันเสียทีกระมัง เตร็ดเตร่กันมาตลอดวันแล้ว นั่งกันอยู่เพียงสักครู่เดียวเรือก็มา ภารกิจที่ตั้งใจสำเร็จแล้ว จะกลับที่พักหรือไปแวะไหนต่อ เดี๋ยวว่ากันอีกที ตอนนี้ขึ้นเรือไปก่อนก็แล้วกันค่ะ

ทานได้ทุกวันไม่รู้เบื่อเลย

เรือพาวนกลับไปยัง Varenna ซึ่งเป็นที่หมาย แต่พวกเรายังไม่ลงค่ะ พากันนั่งเรือวนต่อไปยัง Menaggio กันต่อ เพราะอยากรู้ว่าที่นั่นมีอะไรน่าสนใจไหม เมื่อไปถึง ก็เดินลงไปชมบรรยากาศกันสักนิดหน่อย ทำให้พบว่าที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเรือนผู้คนเสียมากกว่า ไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับพวกเรามากนัก คนที่มาลงส่วนใหญ่คือกลับที่พัก และเวลาก็เริ่มย่ำเย็นแล้ว จึงได้แค่ซื้อข้าวของจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ แถวๆ ท่าเรือแล้วก็นั่งเรือที่จะวนกลับไปยัง Varenna เพื่อเข้าที่พักหลังจากไปตะลอนกันมาทั้งวันแล้ว

ออกเดินทางกลับแล้วค่ะ

ถึง Varenna แล้ว แต่ขอยังไม่ลงค่ะ

Menaggio

เมื่อเรือเข้าเทียบทำให้หนูเล็กตระหนักว่าห้วงเวลาแห่งการหลีกหนีความวุ่นวาย มาใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ มาอยู่กับความสงบนิ่ง กับ Lake Como กำลังจะหมดลงแล้ว บางจังหวะของชีวิตคนเราก็ต้องการห้วงเวลาเหล่านี้ เพื่อเรียกคืนพลังและกำลังใจให้กลับมา เพื่อจะได้กลับไปผจญกับสิ่งต่างๆ ที่จะต้องเผชิญในโลกแห่งความเป็นจริงที่เราต้องพบเจอในชีวิตอีกครั้ง

แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายพี่ใหญ่กับหนูเล็กได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/

Piyai&Noolek

 วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.59 น.

ความคิดเห็น