หากเอ่ยถึง อุทัยธานี หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นกับชื่อจังหวัดนี้มากนัก แต่หากเอ่ยถึง คุณสืบ นาคะเสถียร ทุกคนก็อาจจะถึงกับบางอ้อกันก็ได้ คุณสืบ นาคะเสถียรถือว่าเป็นผู้ที่คอยอนุรักษ์ผืนป่าห้วยขาแข้งเอาไว้ด้วยจิตวิญญาณอันแรงกล้าจนทำให้ "ป่าห้วยขาแข้ง" ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลกนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 เป็นต้นมา
อุทัยธานีเมืองแห่งความสโลไลฟ์ของเราในครั้งนี้ เป็นเมืองเล็ก ๆ ในภาคกลางของประเทศไทย มีแม่น้ำสะแกกรังไหลผ่านกลางตัวเมือง ทำให้เกิดเป็นชุมชนชาวแพซึ่งอยู่อาศัยกันมาอย่างยาวนาน าวแพที่นี่จะมีการปลูกเตยและเลี้ยงปลาแรดในกระชังเพื่อเป็นการดำรงชีวิต
ได้รับข้อมูลคร่าว ๆ ของจังหวัดอุทัยธานีกันไปแล้ว เราก็มาเริ่มออกเดินทางกันได้เลย ในครั้งนี้เราได้เดินทางร่วมกับเพื่อนสนิท 1 คน จากกรุงเทพ โดยเพื่อนได้เดินทางออกมาจากหมอชิตแล้วมารวมตัวกันที่ โรบินสันอยุธยา (อยุธยาปาร์ค) โดยใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 32 (ถนนสายเอเชีย) เพื่อมุ่งหน้าขึ้นสู่ภาคเหนือ รวมระยะทาง 153 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเกือบ ๆ 2 ชั่วโมง
จุดหมายแรกของเราก็คือ วัดท่าซุง ซึ่งเป็นวัดที่โด่งดังมาก มีผู้เลื่อมใสเดินทางกันมาอย่างมิขาดสาย โดยเราจึงเลือกเดินทางกันมาให้เช้าที่สุดเพื่อให้ทันรอบที่เปิดให้ชมวิหารแแก้วรอบเช้าเวลา 09.00 น.
หลังจากชื่นชมความงามของทางวัดท่าซุงแล้ว เราก็เริ่มเดินทางกันต่อไปตามรอยสถานที่ถ่ายทำละครเรื่อง นาคี กันต่อที่ .. หุบป่าตาด .. การเดินทางจากตัวเมืองใช้ระยะทางประมาณ 53 กิฌลเมตรจากตัวเมืองอุทัยธานี โดยตั้งอยู่ใน อ.ลานสัก มีไฮไลท์สำคัญคือการพบ กิ้งกือสีชมพู ที่สามารถหาพบได้เพีียงแห่งเดียวในประเทศไทยเท่านั้น และที่ชื่อหุบป่าตาด ก็เนื่องจากว่ามีต้นตาดที่เป็นสายพันธุ์ปาล์มชนิดหนึ่งที่ขึ้นมากบริเวณนี้ ลักษณะโดยทั่วไปจะเหมือนเข้ามาในยุดจูราสสิคปาร์ค เนื่องจากเป็นหุบเขาหินปูน มีทางเข้าออกทางเดียว และด้วยมีต้นตาดจำนวนมากยิ่งทำให้ดูคล้ายการท่องดินแดนจูราสสิคในยุคดึกดำบรรพ์อย่างน่าอัศจรรย์ใจ สำหรับนักท่องเที่ยวมีค่าบำรุงด้วยนะครับ คนไทย 20 บาทต่อคน เจ้าหน้าที่จะมีไฟฉายให้ 1 กระบอก อย่าลืม !! ลงมาก็นำมาคืนด้วยนะครับผม ..
บางจุด หากสังเกต ก็จะมีลักษณะคล้ายกับหน้าของไดโนเสาร์เหมือนกันนะครับ หลังจากเดินชมธรรมชาติและบรรยากาศโดยรอบแล้ว เราก็มาหาจุดพักผ่อนหย่อนขากันต่อในตัวเมืองอุทัยธานี ที่ ร้านจงรัก ครับผม
ร้านจงรัก เป็นร้านกาแฟดั้งเดิมของคนจังหวัดอุทัยธานี ที่มีสไตล์การจัดร้านโดยได้รวบรวมของสะสมเก่า ๆ มาตกแต่งร้านได้อย่างน่าสนใจ มีโปสการ์ดจำหน่ายสำหรับนักสะสมด้วยราคาก็ไม่แพง มีเครื่องร้อน เย็น รวมทั้งปังเย็นให้เราได้ลิ้มลองเพื่อผ่อนคลายชีวีได้อย่างน่าลงตัว และด้วยบรรยากาศร้านที่ดูอบอวลไปด้วยความเป็นคนอุทัยธานีจึงทำให้ผมนั่งดื่มด่ำอยู่ที่นี่ได้เป็นเวลายาวนานเลยทีเดียว พี่เจ้าของร้านคงไม่ว่ากันเนอะ อิอิ
เริ่มจะเย็นระครับ เราก็เลยเข้าเช็คอินที่พักก่อนในค่ำคืนนี้ที่ กลางเมืองวิลล่า ที่พักสบายในราคา 800 บาทกับบ้าน 1 หลัง คุ้มมากครับ ที่นอนนุ่ม ผ้าห่ม ผ้าขนหนูหอมมาก ห้องน้ำสะอาด มีที่จอดรถส่วนตัว อยู่จุดศูนย์กลางในการเดินทาง ใกล้ตรอกโรงยา และอื่น ๆ คือดีงามจริง ๆ นะครับ แต่ลืมถ่ายรูปมา (ขอโทษทีนะครับ เดะครั้งหน้าไปแก้ตัวใหม่ อิอิ)
เข้าที่พักแล้วเราก็จัดแจงล้างเนื้อล้างตัวเพื่อเตรียมตัวท่องราตรีกันต่อนะครับ เราจึงขอไปเริ่มกันที่ ยอดเขาสะแกกรัง ที่นี่เป็นจุดชมวิวตัวเมืองอุทัยธานีที่มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามและเป็นจุดที่มีผู้คนในจังหวัดมาออกกำลังกายกันเป็นจำนวนมากโดยการวิ่งหรือเดินขึ้นลงจากยอดเขา (โคตรฟิตเลยนะเนี่ย) สำหรับการขึ้นยอดเขาสะแกกรังครั้งนี้ผมใช้การขับรถขึ้นไปนะครับ จะมีทางขึ้นอยู่บริเวณสนามกีฬา ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร หรือถ้าใครที่ชอบเดินเท้าและมีพลังเหลือเฟือ แนะนำเดินขึ้นทางวัดสังกัสรัตนคีรีนะครับ บริเวณยอดเขาจะประดิษฐานพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกแห่งรัชกาลที่ 1 มีรอยพระพุทธบาทจำลอง มีระฆังใบใหญ่ที่พระปลัดใจและชาวอุทัยธานีร่วมกันสร้าง และมีต้นอะไรสักอย่างที่เป็นทรงพุ่มสวยงาม
ต่อกันด้วย ถนนคนเดินตรอกโรงยา สำหรับตรอกโรงยาเป็นถนนคนเดินหรือตลาดเย็นของคนอุทัยธานีนะครับ จะเปิดให้บริการเฉพาะวันเสาร์นะครับ เวลา 15.00 - 20.00 น. เท่านั้นนะครับ พ่อค้าแม่ค้าก็จะมาขายของกันมีมากมายหลายอย่าง ขนม ข้าวแกง เครื่องดื่ม พืชผัก ราคาเป็นกันเอง พ่อค้าแม่ค้าก็อัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่คนจะเยอะมาก เนื่องจากเปิดแค่วันเดียว ช่วงที่ผมไปเค้ามีนักเรียนจากวิทยาลัยเกษตรมาจัดกิจกรรมที่อุทัยธานี จำนวนผู้จับจ่ายซื้อของจึงมากเป็นพิเศษ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงความเป็น ตรอกโรงยา ตลาดของคนอุทัยไว้อย่างน่าจดจำทีเดียว
เราก็สอบถามเค้าไป แต่เราก็ซื้อมานะ ขนมขี้หนู (ดันลืมไว้ในรถเสียหมด ไม่ได้ชิม ขอโทษคุณป้าแม่ค้าที่น่ารักด้วยนะครับ)
ปลาแห้ง เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ นะ ผมนี่ตำเป็นปลาป่นใส่เกลือนอดหน่อยจิ้มกับข้าวเหนียวนะ โอ้ย !! ฟินอย่างบอกไม่ถูก
หมูสะเต๊ะ ร้านนี้เจ้าดัง คนต่อแถวซื้อกันยาวเหยียด แต่ !! ผมค่อยมาครั้งหน้านะ ครั้งนี้หิวมาก ขอไม่รอนะครับ
ดนตรีก็มีนะครับ เราก็สมทบทุนน้องเค้าไป หนุมานเอวดีมาก เด้งดึ๊ง ๆ ๆ (แต่ไม่มีรูป 555+)
พักแวะทานน้ำที่ร้านนี้หน่อยระกันเนอะ Infinity Coffee
แอบถ่ายเจ้าของร้านกันหน่อย อารมณ์ดีทั้งคู่ ใครไปเดินตรอกโรงยาแล้วไม่แวะร้านนี้ คุณพลาดอย่างแรง (ขนาดนั้นเลยนะ)
จัดให้เพื่อนร่วมทริปบ้าง
เดินตรอกโรงยาเสร็จ พวกเราก็จัดมื้อเย็นเป็นส้มตำ ไก่ย่างที่ตรอกนี้ระครับ เสร็จแล้วก็จัดแจงหาสถานที่นั่งเคลียร์ปัญหากันสองคนระหว่างเรา (เอ้ย !! ไม่ใช่ครับ สถานที่นั่งชิลล์ ๆ ฟังเพลงผ่อนคลายอารมณ์ สไตล์ชีวิตสโลไลฟ์อย่างเราสองคน) จึงได้ตกลงกันที่ ร้านกันยา (ตามคำบอกเล่าของเจ้าของร้านอารมณ์ดี Infinity Coffee แกบอกว่าเจ้าของร้านเป็นเพื่อนแก หล่อมาก แต่ !! เราไปไม่ยักกะมีเจ้าของร้านที่ว่าเลย แห้วตาม ๆ กัน อิอิ)
สำหรับร้านกันยา เราบอกเลยว่า การบริการเป็นที่หนึ่งจริง ๆ น้อง ๆ บริการได้อย่างน่ารัก สุภาพ แนะนำได้เป็นอย่างดี เรายกนิ้วให้เลยแหละ วันนี้ด้วยความอยากชิลล์ อยากมีอะไรแปลกใหม่ จึงจัด คราฟท์เบียร์ Chalawan มาลองสักกะหน่อย คนละขวดกับเพื่อน ปรากฎว่า ดาร์กมาก คือแบบว่า ลืมดูรายละเอียดของคราฟท์เบียร์ว่ามีรสชาติแบบไหน ขึ้นชื่อว่าชาละวันก็น่่าจะต้องดุดันเป็นธรรมดา แต่ก๋นะ ด้วยความเพลินกับการอยากลองของแปลกใหม่ ทั้งคืนจัดได้ 2 ขวด ส่วนคุณเพื่อนจัดแบรนด์ไทยไปตามระเบียบ สำหรับเราการดื่มครั้งแรกอาจจะมีปัญหาแต่ครั้งต่อไปนี่เราจะขอจัด Chalawan อีกแน่นอน เราพร้อมฮึบ !!
พร้อมจะกลับไปพักผ่อนแล้วสิเนอะ ทางผ่านขอจัดภาพอีกสักเซต สำหรับริมแม่น้ำสะแกกรังบริเวณตลาดเช้า
พอและกลับที่พักได้
ก๊อก ๆ ได้เวลาตื่นอีกแล้วรึนี่ 07.00 น. ตามเสียงนาฬิกาปลุก จัดแจงดูแลตัวเองพร้อมออกไปบุก ตลาดเช้าริมแม่น้ำสะแกกรัง แว้ว โก ๆ ๆ
หน้าสดนะครับ 555+ ตลาดเช้าที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นของสดพวกปลา ผักสด อาหารแห้งก็มี อาหารสำเร็จรูปก็มีนะครับ แต่ผมขอเดินผ่านไปก่อน เดินชมบรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรังสักกะหน่อย อากาศกำลังสบาย เดินได้ชิลล์ทีเดียว
พี่เค้าก็คงมานั่งชิลล์อย่างผมมแน่นอนเลย
ยามแสงแดดตกกระทบแสงน้ำ ได้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก บริเวณด้านล่างจะมีการทำสวนเตยเพื่อจำหน่ายเป็นการสรา้งรายได้เพิ่มของคนในชุมชนเรือนแพแม่น้ำสะแกกรัง
เดินข้ามสะพานไปอีกฝั่ง จะเจอกับ วัดอุโบสถาราม ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองชาวอุทัยธานีมาตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ ตอนต้น บรรยากาศตอนเช้ามีความเงียบสงบมาก
และพอแสงแดดเริ่มส่งแสงเรืองรองมากยิ่งขึ้น สายตาของเราก็เริ่มอ่อนล้าลงในทันที กลับไปอาบน้ำและความชุ่มชื่นในจิตใจให้กับตนเองใหม่ดีกว่า ว่าแล้วก็รีบเดินทางกลับที่พักเตรียมตัวเดินทางกลับกันได้แล้ว
หลังจากเช็คเอ้าท์เรียบร้อยแล้ว ก็จัดหากาแฟเช้ากันก่อนเดินทางกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง กอบกาแฟ จึงเป็นคำตอบสุดท้ายของชีวิตสโลไลฟืที่อุทัยธานี กอบกาแฟแค่ชื่อก็เก๋แล้วอะ ดูเป็นดั้งเดิม น่าค้นหา พอเรามาถึงที่ร้านก็ได้บรรยากาศแบบห้องแถวในอดีตที่มีร้านกาแฟที่เป็นกระจกใสๆ ชิค ๆ คูล ๆ ตั้งอยู่บริเวณหัวมุม ได้กลิ่นอายของความเป็นเมืองอุทัยธานีขึ้นมาทีเดียว เราจึงได้ดื่มด่ำรสชาติกาแฟที่ละมุนลิ้นอย่างลาเต้ร้อนคู่กับบิสกิต เข้ากัั้นเข้ากัน เห้ย !! คือดีอะ (คำพูดของเพื่อนคนหนึ่งซึ่งนางชอบพูดประจำ)
หว่า !! หมดเวลาสนุกแล้วสิ เสาร์อาทิตย์นี้เรามาเติมความสุขได้ในระดับที่พอเหมาะและเหมาะสมเพื่อพร้อมสำหรับการทำงานในเช้าวันใหม่ อยากจะบอกทุก ๆ คนว่า อุทัยธานีมีอะไรให้คุณได้สโลไลฟืกันอีกเยอะ นี่เป็นแค่บางมุมที่เราได้ถ่ายทอดออกมาตามสไตล์ของพวกเราเท่านั้น คุณอาจมีมุมมองใหม่ ๆ ที่น่าสนใจกว่า น่าตื่นเต้นกว่า แต่สุดท้ายที่คุณจะหลงลืมไปเลยไม่ได้ก็คือความเป็นตัวตนของตนเองนะครับ จนทำให้...
. . . บ า ง ค รั้ ง . . .
ค ว า ม สุ ข
ก็ . . . เ รี ย บ ง่ า ย . . .
เ กิ น ไ ป . . .
FreelyThailand
วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 20.57 น.