ถ้าคิดว่าการเดินเล่นพร้อมแขกคนสำคัญของพวกเราในบ่ายวันนี้จากตอนที่ผ่านมาไม่มีเป้าหมาย เข้าใจผิดแล้วค่ะ

https://th.readme.me/p/8047

เพราะจุดมุ่งหมายของการเดินในบ่ายวันนี้ของเราคือที่แห่งนี้ค่ะ Piazza San Marco สาเหตุที่เราต้องมาที่นี่ก็เพราะว่าเป็นที่ตั้งของ St.Mark's Basilica หรือ Basilica di San Marco ซึ่งก็คือวิหารเซนต์มาร์คนั่นเอง ตัวโบสถ์เปิดให้เข้าชมฟรี สถานที่แห่งนี้เป็นไฮไลต์ของเวนิสค่ะ ถ้าไม่นับเรือกอนโดลาที่ใครๆ ก็อยากเสียเงินนั่งสักครั้งเมื่อมาถึง


สาเหตุที่สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญนั่นเป็นเพราะเป็นสถานที่เก็บร่างของ St.Mark ผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่พ่อค้าเวนิสสองคนได้ขโมยมาจาก Alexandria ของอียิปต์ ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงโบสถ์เล็กๆ แต่ได้รับการบูรณะเรื่อยมาเป็นศตวรรษจนยิ่งใหญ่และได้รับอิทธิพลจากโบสถ์ The Holy Apostle ใน Constantinople ของตุรกี


วิหารนี้มีเอกลักษณ์ตรงที่ไม่มีเอกลักษณ์ พูดแล้วงงๆ ไหมคะ อ่านบางตำราก็บอกว่าศิลปะที่เห็นนี้เหมือนพวก Moorish บ้างก็ว่าเป็นศิลปะ Byzantine บางส่วนก็มี Gothic ผสม ซึ่งจะว่าไปแล้วก็นับได้ว่าเป็นการผสมผสานที่ลงตัวอย่างที่สุดเพราะมันลงตัวไม่มีขัดเขิน มีทั้งหินสี ปูนปั้น ประติมากรรมแกะสลัก โมเสกสีทอง เสาหิน โดมโค้ง ยอดแหลม อะไรมันจะผสมผสานกันได้ลงตัวขนาดนี้

ตัววิหารจะแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นล่างเป็นเสาหินอ่อนตั้งรับซุ้มประตูโค้งทั้ง 5 ประตู เมื่อมองขึ้นไปอีกระดับหนึ่งจะเห็นภาพโมเสก เหนือขึ้นไปอีกระดับเป็นชั้นเทพซึ่งจะมีรูปปั้นของนักบุญผู้กล้าที่คอยปกป้องดูแลเมือง และตรงกลางเป็นนักบุญผู้เป็นประธาน นั่นคือ St.Mark มองต่ำลงมาเหนือประตูกลางใต้รูปปั้นนักบุญ St.Mark จะเห็นรูปสิงโตสีทองมีปีก (The Winged Lion) นี้เป็นสัตว์สัญลักษณ์ประจำตัว St.Mark ซึ่งหากเดินเที่ยวทั่วเวนิสก็จะเห็นได้ทั่วไป บนธง ภาพวาด รูปปั้น บนของที่ระลึก ที่เคาะประตูหน้าประตูบ้านก็มี นับเป็น Mascot ของเวนิสเลยทีเดียวค่ะ สาเหตุที่สิงโตกลายเป็นสัญลักษณ์ของเวนิสเป็นเพราะมีเรื่องเล่าว่าชาวเวนิสสมัยก่อนเลี้ยงสิงโตเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ภายหลังถูกห้าม สิงโตสีทองที่ด้านบนนั้นถ้าสังเกตจะเห็นว่ามีหนังสือเปิดไว้หน้าหนึ่งมีคำเขียนไว้เป็นภาษาละติน ซึ่งจากตำราที่อ่านมาเขาแปลเอาไว้ว่า "Peace to you, Mark my Evangelist" แปลว่า สันติสุขจงมีแด่ท่าน มาร์ค ผู้เผยแพร่ศาสนาของเรา คำกล่าวนี้มีที่มาจากตำนานของชาวเวนิสว่าวันที่รับร่าง St.Mark (ขโมยร่าง) มานั้น พอมาถึงเวนิสได้มีทูตสวรรค์มาปรากฏกายขึ้นและกล่าวคำพูดนี้ ทำให้ชาวเวนิสพากันเชื่อโดยสนิทใจ (เข้าข้างตัวเอง) ว่าการนำร่างของ St.Mark มายังเวนิสเพื่อเป็นแหล่งพักพิงสุดท้ายนั้นเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งผิดจึงเป็นถูกนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้


ที่หน้าบันที่เป็นโดมโค้ง 5 โค้ง จะมีสองโค้งซ้ายและขวาที่จะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการนำร่างของ St.Mark มายังเวนิส แต่ส่วนที่โดดเด่นสุดคือโค้งตรงกลางจะเป็นภาพ Last Judgement จะสังเกตเห็นได้ว่ามีคนทำดีและคนทำชั่วอยู่สองข้างของภาพ

นักบุญ St.Mark

สิงโตมีปีก สัญลักษณ์ของเวนิส


เมื่อหันหลังกลับไปจะเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ทำด้วยอิฐสีส้มสูงตระหง่าน นี้คือ Campanile หรือหอระฆังที่มีความสูงถึง 98.6 เมตร เป็นจุดสูงสุดที่สามารถชมเวนิสได้ทั้งเมือง บนยอดจะมีระฆัง 5 ใบ ระฆัง 5 ใบนี้จะมีเสียงที่ต่างกัน ใช้บอกสัญญานต่างๆกัน ระฆังใบใหญ่ที่สุดตีบอกเวลาทำงานและเลิกงานเช้ากับเย็น ใบที่สองตีตอนเที่ยงวัน ใบที่สามตีเรียกประชุมสมาชิกสภา ใบที่สี่ตีเรียกประชุมสภาขุนนาง ส่วนใบสุดท้ายจะตีเมื่อมีการประหารชีวิตนักโทษ แต่ก็จะมีโอกาสที่ทั้ง 5 ใบตีพร้อมกัน นั่นคือในวาระพิเศษก็คือเมื่อสมเด็จสันตปาปาเสด็จมาถึงเวนิสค่ะ พวกเราสามารถขึ้นไปด้านบนได้โดยมีค่าธรรมเนียมและที่สำคัญคือต้องต่อคิวค่ะ ใช้เวลาพอควรทีเดียว



สิ่งปลูกสร้างอีกหนึ่งที่จะลืมกล่าวถึงไม่ได้คือ Torre dell'Orologio หรือ Moors' Clocktower ว่ากันว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อการอวดร่ำอวดรวยของเวนิส บนยอดหอคอยมีเทอเรซซึ่งมีระฆังขนาดใหญ่ และมีรูปปั้นสัมฤทธิ์ 2 ตัวชื่อ Mori มีนาฬิกาอยู่ใต้รูปปั้นอีกที เมื่อถึงชั่วโมงก็จะยกฆ้อนฟาดไปที่ระฆัง ถัดจากสิงโตหิน จะเป็นรูปมาดอนน่า ด้านข้างจะเป็นต้นแบบของนาฬิกาดิจิตอลในยุคปัจจุบัน ฝั่งซ้ายบอกชั่วโมงเป็นตัวเลขโรมัน ฝั่งขวาบอกนาทีเป็นตัวเลขอารบิค จะเปลี่ยนทุกๆ ห้านาที ถัดลงมาเป็นนาฬิกาดาราศาสตร์ หน้าปัทม์เป็นสีทองและน้ำเงินเคลือบ แสดงข้างขึ้นข้างแรมและจักรราศี


สามสิ่งนี้นับเป็นจุดขายที่นักท่องเที่ยวที่มาเวนิสจะต้องมาถ่ายภาพ มาเยี่ยมชม ณ จัตุรัสเซนต์มาร์คแห่งนี้ ถ้ามาเวนิสแต่ไม่มาชมสิ่งเหล่านี้ก็เรียกได้ว่ามาไม่ถึงเวนิสเหมือนกันค่ะ แต่บริเวณนี้ยังมีอะไรอีกมาก ไว้หนูเล็กพาเดินชมต่อ มาจัตุรัสแห่งนี้ที่เดียวได้ชม "a must" ของเวนิสได้หลายอย่างเลยค่ะ

จาก Piazza San Marco หรือจตุรัสใหญ่ เมื่อเดินต่อมาทางริมน้ำ ทางด้านซ้ายมือจะเป็น Palazzo Ducale หรือ Doge's Palace ก็คือวังของโดจ ต้องทำความเข้าใจไว้เบื้องต้นก่อนว่า "โดจ" คือตำแหน่งผู้ปกครองเวนิส ส่วนรายละเอียดที่มากไปกว่านี้เกี่ยวกับโดจและวังของโดจไว้หนูเล็กมาเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ เรื่องนี้ต้องยาว มาดูอาคารด้านขวามือกันบ้าง อาคารสีขาวที่มีรูปปั้นเรียงรายอยู่ด้านบนมากมายนั้น เป็น Biblioteca Nazionale Marciana หรือ National Library of St.Mark ซึ่งก็คือห้องสมุดของเวนิสค่ะ เป็นห้องสมุดเก่าแก่ที่ยังเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งของประเทศ เป็นที่รวบรวมหนังสือสมัยโบราณที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว พื้นที่บริเวณนี้ถือเป็นจัตุรัสขนาดเล็ก เขาจะเรียกบริเวณนี้ว่า Piazzetta ซึ่งจะต่อเนื่องไปจนถึง Canal Grande ที่มีเรือกอนโดลาจอดเรียงรายรอบริการแก่นักท่องเที่ยวอยู่เต็มไปหมด

ห้องสมุดของเวนิส

วังของโดจ


บริเวณ Piazzetta นี้จะมีเสาหิน (column) อยู่สองต้นเป็นเสาหินที่ขนมาจาก Constantinople เสาหนึ่งเป็นรูปสิงโตมีปีกสัญลักษณ์ของเวนิส ส่วนอีกเสาหนึ่งเป็นรูปแกะสลักของ St.Theodore ที่กำลังต่อกรกับจระเข้อยู่ St.Theodore เป็นนักบุญประจำเวนิสก่อนที่ร่างของ St.Mark จะเดินทางมาถึงและกลายมาเป็นนักบุญประจำเวนิสแทน ว่ากันว่าช่องระหว่าง St.Theodore column กับ St.Mark column นั้น ในสมัยก่อนใช้เป็นที่ประหารชีวิตพวกนักโทษและแขวนศพประจาน ว่ากันว่าอีกหนว่าถ้าเป็นชาวเวนิสแท้ๆ จะรู้เรื่องพวกนี้ดีและจะไม่เดินผ่านช่องระหว่างสองเสานี้ หนูเล็กไม่ใช่ชาวเวนิสจึงไม่สนใจและเดินผ่านไปมาไม่รู้กี่รอบ


เมื่อเดินผ่านเสาหินสองต้นนั้นมา บริเวณนี้เป็นทางเดินริมน้ำที่เรียกว่า Molo San Marco จะเต็มไปด้วยท่าเรือและจุดจอดเรือกอนโดลาที่ต้องเรียกว่าเป็นมุมมหาชน ก็จะไม่เรียกอย่างนี้ได้อย่างไร ดูจากภาพที่หนูเล็กเก็บมาฝากแล้วกันค่ะ เรือกอนโดลาสีดำขลับที่มีผ้าใบสีฟ้าสดคลุมไว้เมื่อยามต้องแสงอาทิตย์อัสดง กับฉากหลังเป็นโบสถ์อย่าง Basilica di San Giorgio Maggiore เป็นจังหวะที่แสงและเงากำลังสอดรับกันพอดีนั้น มันงดงามเกินที่จะบรรยายจริงๆ เพียงมุมนี้มุมเดียว หนูเล็กกดชัตเตอร์รัวๆ มาเป็นสิบๆ ภาพ ขอบอกเลยว่าไม่ว่าฝีมือถ่ายภาพของเราจะเป็นอย่างไร ถ้าได้มาถ่ายภาพมุมมหาชนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะถ่ายออกมาได้สวยบาดตาบาดใจ ขนาดฝีมือหนูเล็กก็แค่นี้ยังได้มาขนาดนี้ หยิบภาพชุดนี้ขึ้นมามองครั้งใดให้อยากเดินทางกลับไปยืนอยู่ ณ ตรงจุดนี้อีกสักครั้งจริงๆ แต่ถ้าจะให้พูดจริงแล้ว แค่ยืนมองนิ่งๆ นานๆ ความงามตรงหน้าก็แทบจะทำให้หยุดหายใจได้เลยทีเดียว เมื่อพระอาทิตย์ค่อยๆ อำลาแสงสีของท้องฟ้า น่าประหลาดที่ทำให้รู้สึกเหงาๆ เปล่าเปลี่ยว ชวนให้คิดถึงใครบางคนขึ้นมาได้เสียเฉยๆ บรรยากาศรอบๆ ตัวเราก็มีผลต่อจิตใจของคนเราได้เหมือนกัน



เส้นทางเดินจาก Molo San Marco ที่เดินผ่าน Palazzo Ducale ไปหยุดยืนบนสะพาน Ponte della Paglia จะมองเห็นสะพานหนึ่งที่นับเป็นอีกหนึ่ง a must ที่ต้องมาชมหากมาเยือนเวนิส นั่นคือ Bridge of Sighs หรือ Ponte dei Sospiri ซึ่งเดิมชื่อ Bridge of Prison เป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างวังของโดจซึ่งเป็นที่ทำการของทางการกับคุกขังนักโทษ ชื่อ Bridge of Sighs นี้มาตั้งขึ้นในภายหลัง โดยนักเขียนชื่อ Lord Byron โดยสร้างจินตนาการว่าเมื่อนักโทษได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันครั้งสุดท้ายเมื่อเดินผ่านสะพานนี้จะรู้สึกทอดถอนใจ ในขณะที่มีตำนานเล่าไว้อีกว่า ถ้าคู่รักคู่ใดได้นั่งเรือกอนโดลามาจูบกันที่ใต้สะพานนี้ ความรักของทั้งคู่จะเป็นอมตะ มิน่าล่ะถึงได้เห็นมีเรือกอนโดลาที่มีหนุ่มสาวนั่งมาผ่านมาถี่เหลือเกิน แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตำนานนี้สร้างขึ้นโดยเหล่า Gondolier เพื่อให้ขายดีขึ้นหรือเปล่า

Bridge of Sighs

Basilica di San Giorgio Maggiore


และเมื่อยืนอยู่บนสะพาน Ponte della Paglia สามารถมองไปเห็นโบสถ์ Santa Maria della Salute ที่อีกเกาะหนึ่งได้อย่างชัดเจน โบสถ์แห่งนี้เขาแนะนำว่าหากอยากมองให้สวยต้องมองจากที่ไกลๆ เพราะเป็นโบสถ์ทรงแปดเหลี่ยมที่มีขนาดใหญ่มาก ตัวโบสถ์ทำด้วยหินจากโครเอเชีย ที่นี่มีหอระฆังให้ขึ้นไปชมวิวได้ด้วย

Santa Maria della Salute

ฟ้าเวนิสในคืนแรกของเราเริ่มมืดลง ได้เวลาเดินกลับที่พักกันแล้ว การเดินยังเป็นวิธีที่พวกเราเลือกใช้ค่ะ เวนิสยามค่ำหาได้หลับไหลสนิทแนบแน่นอย่างที่คิดไม่ ความมืดที่เข้าปกคลุมเวนิสอาจทำให้ร้านค้าส่วนใหญ่ปิดลง คนเรือและเรือรับจ้างต่างๆ หายไปจากคูคลองเล็กๆ ที่ลัดเลาะไปทั่วทั้งเกาะ แต่ร้านอาหารหลายๆ แห่งยังเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่นั่งกิน ดื่ม อย่างมีความสุข


คงเป็นเพราะบรรยากาศแบบนี้กระมังจึงทำให้ความสุขนั้นยากจะสิ้นสุดลงได้ง่ายๆ แม้ราตรีจะเยี่ยมเยือนมา เหมือนที่พวกเราเองก็รู้สึกเช่นนั้นเช่นกัน ทั้งที่ต้องตัดใจเดินกลับที่พักก็ตามที อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้เรามีนัดสำคัญรออยู่ค่ะ อย่าพลาดการติดตามนัดสำคัญของเรานะคะ

แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางและทักทายพี่ใหญ่กับหนูเล็กได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/

Piyai&Noolek

 วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 18.46 น.

ความคิดเห็น