เมื่อน้องที่รู้จักคนหนึ่งบ้านน้องเขาอยู่อุ้มผาง(น้องชื่อปาล์มเป็นรุ่นน้องที่เคยมาฝึกงานในบริษัทที่ผมเคยทำงาน)ได้โพสขึ้นมาว่าจะขึ้นน้ำตกรูปหัวใจปิตุ๊โกรหรือเปรโต๊ะลอซู ผมก็รีบตอบกับไปทันทีเลยว่าผมไปด้วย กำหนดการเดินทางในครั้งนี้คือวันที่ 17-19 กรกฎาคม เป็นวันหยุดยาว 5 วันพอดีเลยเพราะกว่าจะไปถึง อ.อุ้มผาง จ.ตาก ก็ใช้เวลาเดินทางเป็นวัน ใกล้วันเดินทางก็ได้ผู้ร่วมทริปในครั้งเพิ่มมาอีกรวมแล้วก็ 6 คน การเดินทางในครั้งนี้ต้องใช้เวลาเดินเท้าและอาศัยอยู่ในป่า 3 วัน 2 คืน สัมภาระทุกอย่าง อาหาร อุปกรณ์แค้มปิ้ง แบกไปกันเองไม่ใช้ลูกหาบไปกันเอง(น้องเขาเป็นคนอุ้มผางและเคยไปมาแล้ว) รูปที่นำมาลงให้ชมรวมๆจากกล้องของผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้

เราเดินทางมาถึงบ้านน้องปาล์มในตัวเมืองอุ้มผางวันที่ 16 ช่วงหัวค่ำนัดรวมพล ทำอาหารเย็น พูดคุยวางแผน เตรียมของจัดกระเป๋านอนบ้านน้องเขาหนึ่งคืน


ตื่นมาตอนเช้าเตรียมอาหาร เตรียมของกินระหว่างเดินทาง เรามีเบอร์เกอร์และข้าวเหนียวหมูทอดอย่างละ 2 ห่อต่อคน น้ำดื่มขวดใหญ่คนละขวด (เยอะไปมั้ย ต่างคนก็กลัวจะหิว)


เก็บของขึ้นรถ น้าของน้องปาล์มจะขับไปส่งที่จุดเดินเท้าบ้านกุยเลอตอ ห่างจากตัวอำเภออุ้มผางประมาณ 70 กิโลเมตรใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ระหว่างทางผ่านหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง ศูนย์พักพิงผู้อพยพ ทิวทัศน์สองข้างทางสวยงามมากแต่ไม่ทันได้ถ่ายรูปมาให้ดู


ถึงจุดเดินเท้าเวลา 11 โมงครึ่ง สะพายกระเป๋าเริ่มเดินกันเลย เริ่มแรกก็ต้องลุยน้ำลุยโคลนกันแล้ว การเดินทางครั้งนี้มันแน่ๆ


เดินลัดเลาะไปตามไร่ข้าวโพด แรงยังเหลือกันเยอะ เดินชิวๆถ่ายรูปไปด้วย


เริ่มจะเข้าป่าละ ต้นไม้ ทุ่งหญ้าสีเขียวๆมองแล้วสบายตา


ข้ามลำห้วยเย็นๆ ยังไหวสบายมาก


ผ่านไปซักพักรู้สึกว่านี้เราแบกอะไรกันมาเต็มกระเป๋าหนัก ขอพักกินข้าวเหนียวหมูทอดลดน้ำหนักของกระเป๋าลงมาซักหน่อยดีกว่า


กินเสร็จพักล้างหน้าล้างตา ก็เดินกันต่อนี้ยังเจอไรข้าวโพดอยู่เลย ยังไม่ทันได้เดินขึ้นเขาชันๆเลย เป้าหมายของเราอยู่ปลายยอดเขาสุงๆที่อยู่ไกลสุดตานู้นนะ เคยได้ยินเขาพูดกันว่าให้มองเป้าหมายไว้ไกลๆแล้วเริ่มก้มลงก้าวเล็กๆไปที่ละก้าวเผลอเดินไปซักพักเราก็จะใกล้เป้าหมายแล้ว ถ้าเราเอาแต่ยิ่งมองไปที่จุดหมายที่อยู่ไกลเราก็จะรู้สึกยิ่งท้อแล้วเอาแต่คิดว่าเมื่อไรมันจะถึงซักที


เหนื่อยพวกเราก็พัก หายเหนื่อยก็เดินทางกันต่อ แต่ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งรู้สึกว่ากระเป๋ามันหนักเอามากๆ แต่ละคนแบกกันมาคนละเกือบๆยี่สิบกิโล


ทั้งขึ้นเขา ลงห้วย ลอดใต้ต้นไม้ ยิ่งของหนักๆพวกเราพักกันบ่อยมาก คุยกันไว้ว่าไปกันช้าๆแต่ต้องไปให้ถึง ความลำบากที่ได้เจอทำให้มิตรภาพของพวกเรายิ่งแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่ละคนอายุก็ต่างกันยิ่งผมตัวอ้วนกว่าคนอื่นด้วยไม่ว่ายังไงทริปนี้เราจะไปถึงเป้าหมายเหมือนกัน


และแล้วบ่ายสี่โมงเย็นกว่าๆเราก็มาถึงทางแยกเข้าน้ำตกกับทางขึ้นยอดดอยมะม่วงสามหมื่น เราจะตั้งแค้มป์กันที่นี้เพราะอยู่ใกล้น้ำตกให้เราได้เล่นน้ำ มีตาน้ำเล็กๆให้เราได้ใช้ดื่มและทำอาหาร วางสัมภาระเคลียร์พื้นที่กางเต้นท์


ส่วนผมก็ผูกเปลกับต้นไม้ใกล้โขดหิน


เริ่มเย็นละ ในขณะที่กำลังจัดของทำอาหารเย็นกันผมกับน้องอีกคนก็ขอแว๊ปไปชมน้ำตกให้ชื่นใจซักหน่อย และแล้วเราก็ได้ยลโฉมน้ำตกรูปหัวใจกลางผืนป่าอุ้มผาง มันช่างตื่นตาตื่นใจทำให้หายเหนื่อยจากที่เดินเท้ามาห้าชั่วโมง วินาทีนี้มันมีความรู้สึกดีจนยากที่จะบรรยายออกมาได้


ชมความสวยงามของน้ำตกปิตุ๊โกรได้ซักพักเราก็ต้องกลับมาช่วยเพื่อนๆทำอาหารกันแล้ว ค่ำนี้เมนูหลักของเราก็เป็นไก่หลามในกระบอกไม้ไผ่ แล้วพวกเราก็พบว่าเกลือ รสดี พริกแกงที่เตรียมไว้หายไปไหนไม่รู้แต่เฉพาะเครื่องปรุงที่พอมีก็ทำให้ไก่หลามในวันนี้อร่อยเอามากๆ คงเป็นเพราะความเหนื่อยความหิวและเราได้นั้งล้อมวงกินข้าวแบบไม่มีช้อนส้อม ไม่มีสัญญาณโทรศัพย์ไม่มีไฟฟ้า เรากินข้าวไปพร้อมสายฝนปรอยๆ ท่ามกลางเสียงน้ำตกและเสียงแมลง ปิ้งลูกชิ้นไสกรอกและปลาหมึกรอบๆกองไฟ จิบเหล้าต้มคนละ 4-5 ก๊ง พอให้หลับพักผ่อนได้สบาย


....พักก่อนเดียวกลับมาเล่าต่อครับนอนพักกันเต็มอิ่มเช้าๆตื่นมาล้างหน้าแปลงฟันริมน้ำตกกันนี้แหละครับ


ดื่มกาแฟร้อนๆกับขนมป้งปลากระป๋องพร้องด้วยไสกรอกปิ้ง


ชมวิวหน้าแค้มป์ ทำธุระส่วนตัว เก้าโมงเช้าเตรียมความพร้อมสำหรับเดินขึ้นยอดดอยมะม่วงสามหมื่น


ต้องบอกว่าทางวันนี้โหดกว่าวันแรกอีกเพราะเราต้องเดินขึ้นเขาที่สูงชันไปอีกสามหมื่นฟุต เดินไปก็พักชมวิวไป หันไปมองน้ำตกในมุมสูงดูบ้าง


สองข้างทางมีดอกไม้สีม่วงดอกเล็กกับต้นมะพร้าวเต่าที่ว่ากันว่านำไปทำลอดช่องอร่อยกว่าลอดช่องสิงคโปร์ซะอีก


ยิ่งเดินทางก็ยิ่งชัน บางจุดต้องใช้มือช่วยปีนขึ้นกันเลย วันนี้หมอกลงเยอะด้วย


แล้วเราก็มาถึงจุดชมวิวจุดแรก หมอกลงหนามาก มองกลับลงไปที่น้ำตกต้องรอจังหวะลมพัดหมอกเปิดให้เราเห็นน้ำตกอยู่ด้านล่าง


เราเดินลัดเลาะไปตามสันเขา ทางฝั่งซ้ายมือด้านน้ำตกจะเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี


สันเขาเริ่มแคบลง เราเดินผ่านสายหมอกเย็นๆ แต่เหนื่อยมากๆเพราะต้องเดินขึ้นอย่างเดียว


กำลังขาเริ่มหมดแรง น้ำที่พกมาด้วยก็เริ่มจะหมด เราต้องหยุดพักกันบ่อยขึ้น บริเวณแถวนี้พอจะมีสัญญาณโทรศัพย์ขึ้นมาเป็นช่วงๆพอให้ได้โพสได้เช็คอินกันบ้าง


หันกลับไปมองนี้เราเดินขึ้นกันมาได้ไงสูงและชันขนาดนี้ มีนักท่องเที่ยวหลายๆกลุ่มถอดใจยอมเดินกลับเพราะแรงเริ่มหมด อีกทั้งน้ำดื่มที่พกมาก็หมดกันแล้วด้วย


ด้านบนยอดเขาหมอกลอยต่ำลงฟ้าเริ่มเปิดให้เราได้เห็นวิวกันแล้ว


จนเวลาบ่ายโมงกว่าๆเราก็ได้มายอดดอยมะม่วงสามหมื่นจนได้เล่นเอาแทบหมดแรง เราเหลือน้ำดื่มอยู่แค่ครึ่งขวดแบ่งกันจิบคนละนิด นั่งพักชมวิวให้หายเหนื่อย


ในที่สุดเราก็ทำได้ พิชิตยอดดอยมะม่วงสามหมื่น คำว่าสามหมื่นเขาบอกว่ามีคนวัดระยะจากน้ำตกขึ้นถึงยอดดอยที่สามหมื่นฟุต


บ่ายสองกว่าต้องเดินกลับแล้ว เพราะเราไม่ได้พกอาหารมาด้วย ต้องกลับลงไปกินที่แคมป์และก็จะได้เล่นน้ำตกเย็นๆให้ชื่นใจ


เดินกลับลงมาหมอกจางหายไป เห็นวิวได้กว้างไกล เปิดทางให้เราเห็นน้ำตกในมุมที่อยู่สูงเอามากๆ


ในขณะที่กำลังเดินกลับลงมาเจออีกกลุ่มที่กำลังขึ้นไป เป็นกลุ่มที่พักใกล้ๆกันในคืนแรกคืนที่สองเขาย้ายขึ้นมานอนข้างบน เราก็คุยกันไปมาพอถามถึงเรื่องน้ำพี่ลูกหาบเขาบอกว่าตรงใกล้กับที่เขาตั้งแคมป์ด้านบนนี้มีตาน้ำเล็กๆอยู่ ต้องเดินแยกลงไปจากเส้นทางหลังหน่อยหนึ่ง นับว่าเป็นโชคดีในมิตรภาพของพวกเราเพราะน้ำที่เราพกมาหมดตั้งแต่ไปถึงยอดดอยแล้ว ขากลับยังต้องเดินอีกไกล ผมกับน้องอีกคนก็รีบเดินไปหาแหล่งน้ำ


ดื่มน้ำกันจนหายกระหายก็เดินกลับไปยังแคมป์ มีน้ำดื่มแล้วแวะถ่ายวิวริมทางได้


กลับลงมาถึงแคมป์หาของกินรองท้อง เตรียมอาหารเย็นจนเกือบจะมืด เราก็พากันไปเล่นน้ำให้ซะใจกันซักหน่อย


แล้วก็กลับมาทำอาหารกันต่อ วันนี้มีอีกกลุ่มขึ้นมาพักใกล้ๆน้องปาล์มเขารู้จักเพราะเป็นคนอุ้มผางเราเลยได้พริกแกงมาทำแกงไก่แถมพี่เขาแบ่งคั่วแห้งหมูกรอบมาให้อีกจาน


ค่ำมาที่ไรฝนตกทุกที นั้งกินข้าวคุยกันรอบกองไฟ ดื่มเหล้าต้มกันนิดหน่อยก็แยกย้ายกันไปนอน


เช้าวันที่สาม วันนี้ต้องเดินกลับกันแล้ว เช้าๆแบบนี้มาม่าต้มใส่ปลากระป๋องร้อนๆเติมพลังกันก่อน


เก็บสัมภาระยัดใส่กระเป๋า ที่สำคัญขยะทุกชิ้นต้องเก็บให้หมด เก็บของเสร็จเราไปชมน้ำตกเล่นน้ำเย็นซักหน่อยก่อนเดินทางกลับ


ตอนเช้าๆอากาศกำลังดี ต้นไม้ชุ่มช่ำจากสายฝนยามคำคืนที่ผ่านมา


เริ่มเดินมาได้นิดเดียวเกิดอาการปวดเข่าขวาขึ้นมา ยิ่งเดินยิ่งปวดคงเป็นเพราะขาลงจากยอดดอยเมื่อวานผมลงเร็วทิ้งน้ำหนักเท้าขวามากไป ผมรั้งท้ายขบวนแต่ก็พยายามฝืนเดิน ทำให้ขาลงช้ากว่ากำหนด


ลงมาถึงก็บ่ายโมงกว่าๆ พ่อน้องปาล์มมารอเกือบสองชั่วโมงพร้อมน้ำอัดลมเย็นๆ เราเก็บของขึ้นรถเดินทางกลับ


ระหว่างทางกลับน้องเขาพาแวะน้ำตกริมทางแห่งหนึ่ง สวยมากๆครับเดินออกจากถนนไปประมาณ 800 เมตร ทางเข้าไม่มีป้ายบอกมีแค่ทางเดินเล็กๆ แต่พอเราเห็นน้ำตกถึงกับตื่นตาตื่นใจเลยครับ มันชื่อน้ำตกธารสณะหรือคนแถวนี้เรียกว่าน้ำตกเลวา


เด็กหนุ่มๆหุ่นดีๆก็ถ่ายรูปกันไป ส่วนผมตัวอ้วนๆขอเป็นตากล้องดีกว่า


นอนแช่น้ำเย็นจนหายเหนื่อยแล้วก็กลับ เรามานอนบ้านน้องปาล์มกันอีกคืนช่วยกันทำอาหารเพิ่มพลังหลังจากต้องไปอยู่ป่ามา 3 วัน 2 คืน ปาร์ตี้พูดคุยกันซักหน่อย


ถึงเวลาต้องกลับกันแล้ว อุ้มผางแผ่นดินลอยฟ้า ที่นี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกเยอะรอให้เรากลับมาค้นหากันอีก ยังมีอีกหลายทริปรอเราอยู่ทั้งลองแพชมน้ตกทีลอซู ไปชมสัตว์ป่าทุกใหญ่นเรศวร ที่สำคัญที่นี้ป่าไม้ยังมีความอุมสมบูรณ์อากาศดีๆ น้ำตกอีกหลายสิบแห่งที่แฝงตัวอยู่ตามป่าเขา


กลับก่อนนะอุ้มผางแล้วพวกเราจะกลับมากันอีก

สุดท้ายก็ขอขอบคุณผู้ร่วมเดินทางทุกคนที่ค่อยช่วยเหลือกันจนทำให้เราไปถึงเป้าหมาย ขอบคุณมิตรภาพที่ได้พบเจอระหว่างการเดินทาง ที่สำคัญขอขอบคุณน้องปาล์มและครอบครัวที่ดูแลเราอย่างดีทั้งที่พักอาหารการกิน


ประสบการณ์เรื่องราวที่ได้พบเจอ สิ่งใหม่ๆที่ทำให้เราได้เรียนรู้ มันจะคงอยู่ติดตัวเราไปตลอด



ใครสนใจเข้ามาพูดคุยสอบถามหรือแรกเปลี่ยนปรสบการณ์กับผมได้นะครับ ตามลิงค์ด้านล่างนี้เลย

https://www.facebook.com/eng21

'เกี้ยวซ่า วาซาบิ

 วันพฤหัสที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 17.28 น.

ความคิดเห็น