สวัสดีครับนานๆจะมีเวลามานั้งเขียนเรื่องราวให้ได้ชมกันซักที ครั้งนี้เราไปกันทีดอยม่อนจองดินแดนที่มีทุ่งหญ้าสีทองทอดยาว สายลมเย็นๆและดวงดาวพร่างพรายในตอนกลางคืน ทริปนี้ผมกับเพื่อนอีกคนขี่มอไซต์ไปกันในวันที่ 28-29 มกราคม 2560 ใช้เวลาบนม่อนจอง 2 วัน 1 คืนน้อยไปหน่อยแต่ก็นั้งสูดอากาศเก็บบรรยากาศความสวยงามได้พอสมควร วันที่ไปนักท่องเที่ยวเยอะมากๆ ขออนุญาตบุคคลที่ติดมาอยู่ในภาพด้วยนะครับ



ก่อนอื่นก็มาทำความรู้จัก "ดอยม่อนจอง" กันก่อน ดอยม่อนจอง ตั้งอยู่ ต.ม่อนจอง อ.อมก๋อย(กำลังจะแยกเป็น อ.นันทบุรี) จ.เชียงใหม่ ไฮไลต์ที่สำคัญของที่นี้คือเนินเขาที่สลับซับซ้อนทุ่งหญ้าสีทองในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ผาสูงสุดของยอดเขาแห่งนี้มีที่ลักษณะคล้ายหัวสิงห์ รวมถึงกุหลาบพันปีจำนวนหลายต้นออกดอกสีแดงเต็มทั่วทั้งต้น เหมาะสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก กลางคืนยังสามารถเห็นดาวได้อย่างงชัดเจน ดอยม่อนจองมีลักษณะเป็นสันเขาฝั่งซ้ายลาดชันเป็นป่าทึบ ฝั่งขวาเป็นหน้าผาสูงชัน เป็นที่อยู่ของกวางผาหรือที่เรียกกันว่าม้าเทวดา ช้างป่า และสัตย์ป่าอีกหลายชนิด


การเดินทางขึ้นดอยม่อนจองสามารถติดต่อขออนุญาตกับทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอ เปิดให้ขึ้นช่วงพฤศจิกายนไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์หลังจากนั้นจะปิดไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นเพราะต้องระวังภัยเรื่องช้างป่าที่ออกมาหากิน รวมถึงสภาพอากาศที่แห้งซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า

การเดินทางมายังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอ(ตั้งอยู่ในหมู่บ้านมูเซอ) นอกจากรถส่วนตัวแล้วสามารถนั้งรถตู้ เชียงใหม่-แม่ตื่นมาลงหมู่บ้านมูเซอ หรือรถเมล์รถสองแถวมาถึง อ.อมก๋อย แล้วเหมารถสองแถวใน อ.อมก๋อยไปยังที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอ

การเดินทางขึ้นไปบนดอยติดต่อจ้างลูกหาบ 2 วัน 1 คืนในราคา 600 บาท(ต้องเตรียมอาหารให้ลูกหาบด้วยนะครับ) รถกะบะ4WDรับส่งจุดเดินเท้า 2500(ไม่เกิน 5 คน) - 3000(6คนขึ้นไป) บาท ค่าธรรมเนียม 20 บาท ค่ากางเต็นท์ 50 บาท ทางเดินเท้าถือว่าไม่ยากใช้เวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมง บริเวณจุดกางเต็นท์มีลำธารเล็กๆให้ใช้ตลอดทั้งปีการเดินทางเริ่มจากผมกับเพื่อนเลิกงานกันวันศุกร์เย็นตกลงกันไว้ขี่มอไซต์ไป นัดเจอกันที่ปั๊มน้ำมันบางจากที่จอมทองจากนั้นก็ขี่ไปพักที่อุทยานแห่งชาติออบหลวงคืนแล้วตื่นตั้งแต่เช้ามืดขี่มอไซต์ไป อ.อมก๋อย แวะทานข้าวซื้อเสบียงแล้วต่อไปยัง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอ ถึงก็ประมาณ 10 โมงเช้า ติดต่อเจ้าหน้าที่ว่าจะรอจอยค่ารถ4WDไปจุดเดินเท้ากับกรุ๊ปอื่น เจ้าหน้าทีเห็นขี่มอไซต์กันมาคนละคันก็ถามว่าขี่มอไซต์ไปเลยมั้ย พี่ลูกหาบก็เชียร์กันจังมอไซต์ช่วงนี้ไปได้ทางไม่ลืนชี้ให้ดูเวฟ 110 แล้วก็บอกว่านี้รถผมก็ขึ้นมาแล้ว ผมกับเพื่อนก็มองหน้ากันแล้วก็ตกลงลองดูรถผมดรีม 110 ของเพื่อนดรีม 125 ว่าแล้วก็ติดต่อเสียค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาท ค่ามอไซต์ขี่เข้าไปจุดเดินเท้าอีก 20 บาท ค่ากางเต็นท์หลังละ 50 บาท ส่วนสัมภาระเราแบกกันเองไม่จ้างลูกหาบนักท่องเที่ยวเยอะก็เดินตามทางตามๆกันไปได้เลย แล้วก็เริ่มแว้นกันเลย ทางเป็นทางดินมีหินบางเป็นบางจุดคล้ายๆกับทางขึ้น สันป่าเกี๊ยะดอยแม่ตะมาน ดอยผ้าห่มปก นั้นแหละครับ แนะนำว่าต้องเป็นคนที่เคยขี่ทางแบบนี้และขี่มอไซต์ชํานาญพอสมควร มีเนินชันๆเช้าๆทางยังลืนเพราะน้ำค้างทำให้มีหนึ่งจุดที่ผมกับเพื่อนต้องลงเข็นรถขึ้นภูเขาเล่นเอาเหงื่อตกเลยทีเดียว พอมาถึงจุดเดินเท้าพี่คนขับรถรับส่งบอกให้จอดรถกันดีๆนะ เมื่อคืนช้างป่าผ่านมาทำกระจกมองข้างรถยนต์หักด้านข้างรถเป็นรอยยุบ เอาแล้วทีนี้ถ้าคืนนี้ช้างมาเยียบมอไซต์แล้วผมจะกลับยังไงละ ต้องหาที่ลับๆมีต้นไม้บังไว้เพื่อความปลอดภัย

จัดกระเป๋าแบ่งเสบียงแล้วเริ่มเดินกันเลย เต็นท์ถุงนอนคนละหลังน้ำคนละ2ขวดใหญ่ขาตั้งกล้องเครื่องครัวแบ่งๆกันแล้วแบกคนละประมาณ 15 กิโลกรัม ป่ะเริ่มเดินกันเลย


ทางเดินม่อนจองถือว่าไม่ยากและก็ไม่ไกลมากเดินขึ้นลงเนินประมาณ 3-4 ชั่วโมงก็ถึงแล้วครับคนปกติไม่เคยเดินป่าก็สามารถเดินได้ขอแค่ใจสู้ เดินอยู่ในป่าได้ยินเสียงนกเสียงชะนีดังก้อง ป่าที่นี้ยังสมบูรณ์มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่จำนวนมากเพียงแค่ว่าช่วงนี้ข้างบนอากาศเย็นลมแรงสัตว์ป่าเลยยังไม่ขึ้นไปอาศัยเขาเลยเปิดให้เรามาเที่ยวได้ กลางกุมภาพันธ์เจ้าหน้าที่ก็จะปิดไม่ให้คนขึ้นคนถึงเดือนพฤศจิกายนถึงจะเปิดให้ขึ้นอีกที เราเดินจนมาถึงเนินชันๆมีป้ายแขวนไว้ ดอยวัดใจ ดอยหมาหอบ ลูกหาบแบกของมาหนักๆก็นั้งพักเอาแรงก่อนจะขึ้นเนินแห่งนี้ ผมกับเพื่อนก็นั้งกินข้าวกลางวันกันก่อน ข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ห่อมา เติมพลังให้เราก่อนเดินขึ้นเนินหมาหอบ


พอขึ้นเนินได้ซักพักเริ่มมีสัญญาณโทรศัพท์ เหลียวไปมองวิวข้างๆ ทิวเขาสลับกันสวยงามมาก แวะพักถ่ายรูปอัพเฟสกันซักหน่อย


เดินขึ้นมาจนถึงบนเนินเขา ผมยืนนิ่งมองวิวข้างหน้าด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจมันสวยมากๆ นี้แหละทุ่งหญ้าสีทองที่เราตามหา


หันหลังกลับไม่มองทางที่เดินผ่านมา วิวสวยไกลมากที่เราเดินมา


พี่ลูกหาบนั้งพักให้หายเหนื่อย ขอถ่ายรูปหน่อยนะครับพี่เขานั้งตั้งท่ามองกล้องให้เก็บภาพ ลูกหาบที่นี้นอกจากแบกของแล้วยังตั้งเต็นท์ก่อไฟหุงข้าวตักน้ำให้ด้วยดีจริงๆ แต่ผมไม่ได้ใช้บริการแค่นั้งคุยสอบถามข้อมูล


ผมกับเพื่อนวางสัมภาระแล้วนั้งมองวิวข้างหน้า สายลมเย็นๆบวกกับวันนี้เมฆเยอะบดบังแสงอาทิตย์ บรรยากาศดีมากๆเพื่อนบอกเหมือนที่เคยฝันไว้เลยเดินขึ้นมาบนสันเขาแล้วเจอทุ่งหญ้าสีทอง แค่นั้งอยู่ตรงนี้มันก็คุ้มมากๆแล้วที่ได้มา ณ ที่แห่งนี้


จุดที่เราอยู่นี้เป็นทาง 3 แยกพี่ลูกหาบเรียกจุดนี้ว่า "สนามกอล์ฟช้าง" เมื่อถึงฤดูช้างป่ากวางผาจะขึ้นมาหากินกันอยู่แถวนี้ เมื่อขึ้นมาถึงเลี้ยวซ้ายไปจุดกางเต็นท์ ตรงไปก็จะเป็นทางไปผาหัวสิงห์จุดไฮไลท์ที่ทุกคนที่มาต้องได้เห็นแล้วถ่ายรูปเก็บไว้


ที่เป็นผาดำๆอยู่ไกลๆนั้นแหละครับผาหัวสิงห์ถูกเมฆบังแสงอาทิตย์ไว้


ฝั่งขวาเป็นป่าทึบลาดชันลงไปส่วนด้านขวาเป็นหน้าผาสูงมากๆ เดินระวังด้วยนะครับตกลงไปนี้คงไม่รอดแน่ๆ


เดินมาใกล้ถึงผาหัวสิงห์แล้ว ดอกกุหลาบพันปีกำลังบานเป็นสีแดงสดเต็มต้น ต้นที่อยู่ใกล้ๆร่วงหมดแล้วเหลือที่อยู่ไกลๆ


กลับไปมองทางที่เดินมา นี้เรามาไกลมากๆประมาณ 3 กิโลเมตรจากทางแยกเห็นจะได้


เย้ๆถึงผาหัวสิงห์แล้ว แต่มันยังมีทางเดินไปต่ออีกลองเดินไปดูอีกหน่อย โฮ้ทางเดินยังมีไปอีกไกลเลย ซ้ายสุดนั้นเขาว่าเป็นผาหัวลิง ดูด้านข้างคล้ายๆหน้าลิง มองจากตรงนี้วิวสวยมากๆ ใกล้เวลาอาทิตย์ตกละไม่เดินต่อดีกว่าเอาไว้มาครั้งหน้าค่อยมาเก็บ


ตรงกลางทางก่อนถึงผาหัวลิงนั้นจะเห็นมีเจดีย์กับพระพุทธรูปตั้งตระหง่านอยู่ คราวหน้าต้องไปแน่ๆขอมานอนซัก 2 คืนเลยแล้วกัน


ข้างบนผาหัวสิงห์คือจุดสูงสุดของดอยม่อนจอง ใครๆก็ต้องมาถ่ายรูปเช็คอินที่นี้


ที่เห็นด้านขวาของป้ายนั้นแหละครับทางที่เราเดินมา ไกลมั้ยละ


เวลาเย็นมากแล้วกลับไปตั้งแค้มป์รอชมพระอาทิตย์ตกดินแถวๆทางแยกสนามกอล์ฟช้างดีกว่า ชะโงกมองลงไปที่หน้าผา ด้านล่างเป็นไม้พุ่มต้นเล็กๆอยู่เต็มเลยมองไปก็คล้ายๆกับเป็นทุ่งหญ้า


ริมผาจะมีหินโผล่ออกมาใครอยากไปยืนถ่ายรูปก็ระวังด้วย ส่วนผมแค่มอยยังเสียวเลยไม่เอาด้วยดีกว่า


เมฆลอยไปมาช่วงเวลาที่แสงแดดส่องมาให้เห็นผาหัวสิงห์


ผมเชื่อว่าทุกคนที่มาม่อนจองต้องมาถ่ายรูปที่มุมนี้ มันคือมุมที่บอกว่าที่นี้ม่อนจองยอดผาหัวสิงห์


กลับมารออาทิตย์ตกดิน ระหว่างนี้ก็ตั้งแค้มป์เตรียมอาหาร


อาทิตย์กำลังจะตกดินแล้วบรรยากาศโรแมนติก หรือเหงาๆกันแน่นะสำหรับคนโสดแบบผม


ไม่รู้ว่าจะมีคนที่รู้สึกเหงาเหมือนกันหรือป่าว


แต่ถ้ามากันเป็นกลุ่มก็คงไม่เหงาหรอกเนอะว่ามั้ย


ดวงอาทิตย์กำลังค่อยๆลับขอบฟ้าเหลี่ยมภูเขาแล้วก็หายไป อากาศก็เย็นลงมากๆ


บ้างก็เดินกลับแค้มป์ คงเริ่มหิวกันแล้วแหละเดินกันมาทั้งวัน


และนี้ก็คือแค้มป์พักของเรา ต้องบอกก่อนนะครับว่าตรงนี้ปกติแล้วเจ้าหน้าที่จะไม่ให้กางเต็นท์จุดไฟตรงนี้ จุดกางเต็นท์ต้องเดินลงไปอีกอยู่ในป่าใต้ต้นไม้ มีห้องน้ำ มีลำธารน้ำที่ใช้ดื่นใช้ทำอาหารได้ แต่เพราะว่าวันนี้นักท่องเที่ยวเยอะมากๆจุดกางเต้นท์ไม่พอและเป็นช่วงที่อากาศไม่หนาวจัดแล้วน้ำค้างไม่หนักวันนี้ลมก็เบาๆด้วย จุดนี้ปกติลมจะแรงและหนาวมากๆ วันนี้เราและนักท่องเที่ยวอีก 5 กลุ่ม เลยต้องขออนุญาตตั้งเต็นท์บริเวณนี้เป็นการชั่วคราว ยอมเดินไปตักน้ำไกลหน่อย


แว๊ปเดียวหลังอาทิตย์ตกท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี


ผมกับเพื่อนทำอาหารกินกันง่ายๆใต้ต้นไม้หน้าเต็นท์ มาม่าลูกชิ้นไส้กรอกไข่ต้ม นอนแค่คืนเดียวเตรียมมาที่สะดวกพกพาง่าย


อาการเย็นฟ้าเริ่มมืด ดาวเริ่มขึ้นเต็มท้องฟ้าแต่ก็มีเมฆลอยไปมาเยอะพอสมควร ผมนั้งมองดาวซักพักก็นอนเอาแรงไว้เดินไปผาหัวสิงห์อีกครั้งในตอนเช้า


พักเอาแรงแล้วตีสามกว่าๆรีบตื่นมาเดินไปผาหัวสิงห์เพื่อรอดูอาทิตย์ขึ้น ระหว่างรอแสงของเช้าวันใหม่ยืนถ่ายดาวกันไปก่อน ใจกลางทางช้างเผือกเริ่มปรากฎให้เห็นก่อนจะสว่างตรงใกล้ๆมุมอาทิตย์ขึ้นพอดี


เที่ยวๆถ่ายเล่นๆแบบเราหลบก่อน นักล่าช้างมือโปรยืนตั้งกล้องเก็บรูปกันเยอะเลย เราต้องห่างๆหน่อยเดียวแสงไฟของเราจะไปรบกวนพี่ๆเขา


แสงสว่างเริ่มขึ้นมาตามเส้นขอบฟ้า


และแล้วดวงอาทิตย์กลมๆก็ค่อยเคลื่อนตัวออกมาจากเส้นขอบฟ้าด้านหลังผาหัวสิงห์


แสงอุ่นๆจากดวงอาทิตย์ช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บ แต่ละคนก็หามุมรอชมแสงแรกของเช้าวันใหม่


มองข้ามหน้าผาไปยังอีกฝั่งเนินเขาที่ทอดตัวสลับกันไปมามองแล้วไม่น่าเบื่อ ภูเขาสลับซับซ้อนแต่ก็คงไม่เท่าความซับซ้อนของใจคน


สายแล้วกลับมายังแค้มป์เตรียมอาหารเช้า


มากันเป็นกลุ่มก็ตั้งท่าถ่ายรูปกันอย่างสนุก


กินกาแฟ มาม่า แล้วก็เตรียมตัวเก็บของ


แม้ยังไม่อยากกลับ ถึงเวลาก็ต้องกลับ ครั้งหน้าขอเป็น 3 วัน 2 คืนนะยังเที่ยวไม่หมด อยากจะนอนทอดกายอยู่กลางทุ่งหญ้านานๆ


บางคนแบกเป้มาแล้วก็ยังต้องแวะถ่ายรูปกันก่อน บางกลุ่มไม่ทันได้ขึ้นผาหัวสิงห์ในช่วงเย็นก็มาขึ้นกันในช่วงเช้า


ลากลับแล้วนะ กลับพร้อมรูปนี้ระหว่างทางมีจุดที่เรียกว่าผาหินช่อ มาถึงตรงนี้ก็ถึงครึ่งทางใครจะเดินอ้อมหรือจะขึ้นไปถ่ายรูปก็ตามสะบายเลย หนทางจะอยากลำบากแค่ไหนก็ไม่อาจหยุดหยั้งการเดินทางของคนที่มีใจแข็งแกร่ง


สรุปค่าใช้จ่ายโดยประมาณ


ค่าน้ำมันมอไซต์ไป-กลับจากเชียงใหม่ 400 บาท

ค่าอาหารตลอดทริปคนละ 300 บาท

ค่ากางเต็นท์หลังละ 50 บาท

ค่าธรรมเนียม 20 บาท

ค่ามอไซต์เข้าไปเขตรักษาฯ 20 บาท

รวมคนละ 790 บาท

'เกี้ยวซ่า วาซาบิ

 วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 15.32 น.

ความคิดเห็น