ทริปนี้ เรามีโอกาสได้เดินทางไปที่ อุทยานแห่งชาติเขาสกและเขื่อนเชี่ยวหลาน ซึ่งอยู่ที่ จ.สุราษฎร์ธานี
หรือที่เรียกว่า "กุ้ยหลินเมืองไทย" โดยไปกันเป็นกรุ๊ปใหญ่ ทั้งหมดประมาณ 36 คน ซึ่งไปด้วยงบประมาณของบริษัท ที่จัดให้มีการเที่ยวประจำปี และเจี๊ยบก็เป็นแม่งานสำหรับงานนี้ซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น เราต้องจัดเต็มค่ะ
และแน่นอน การไปเที่ยวแต่ละครั้งของแต่ละคนคงมีความประทับใจไม่เหมือนกัน แต่ครั้งนี้เป็นความประทับใจตลอดทริปของเจี๊ยบ จนอดใจไม่ไหวที่จะมาแบ่งปันความประทับใจให้เพื่อนๆได้สัมผัสกัน
แต่ขอบอกก่อนนะคะว่า ทริปนี้จัดเต็มแบบชุดใหญ่ไฟกะพริบมากๆ ทั้งรูปทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ^^ พยายามคัดรูปออกไปเยอะแล้วนะ แต่ทำไมยังเยอะอยู่ ฮ่าๆๆ
อย่ารอช้า ไปลุยกันเลยดีกว่า...
เริ่มต้นการเดินทาง
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560 เวลา 4.30 น.นัดหมายสมาชิกพร้อมกันที่สนามบินดอนเมือง เพื่อเดินทางด้วยเครื่องบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD7208 พร้อมบินเวลา 6.20 น. สัมภาระพร้อม กล้องพร้อม บินได้
ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็ถึงสนามบินสุราษฎร์ธานี ทั้งหมด 36 ชีวิต รวมไกด์ ก็ออกเดินทางจากสนามบินสุราษฎร์ธานี ไปยังท่าเรือเทศบาลเขื่อนเชี่ยวหลาน ด้วยรถโค้ทแบบคณะฉิ่งฉับทัวร์
ไกด์ผู้น่ารักไม่ทำให้เราต้องเหงากันเลย สนุกกันตั้งแต่เริ่มเดินทาง จนทำให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไปได้เลย
ระหว่างทางก่อนถึงท่าเรือ เราก็เตรียมแวะซื้อของมึนเมากันให้เสร็จเรียบร้อย เพราะถ้าไปซื้อที่แพ คงจะราคาสูงกว่าราคาปกติแน่นวล
จากสนามบินสุราษฎร์ธานีมาถึงท่าเรือเทศบาลบ้านเชี่ยวหลาน ใช้เวลาน่าจะประมาณชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึงแล้วค่ะ
ท้องฟ้าสดใสปลอดโปร่ง รอต้อนรับเราอยู่ เรียกว่าใสจนตัวแทบละลาย
ระหว่างที่รอเรือจากแพที่พักมารับ ก็นั่งรอ เดินดูบรรยากาศแถวท่าเรือ ฆ่าเวลากันไป
รถโดยสารประจำทาง น่ารักดีค่ะ
ระหว่างรอเรือ เก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ สัมผัสได้ถึงความเขียวใสของน้ำตั้งแต่ท่าเรือกันเลย
ก่อนขึ้นเรือไปยังแพที่พัก ก็ทำธุระเข้าห้องน้ำที่อาคารประชาสัมพันธ์ให้เสร็จเรียบร้อยนะคะ เพราะจะใช้เวลาอยู่บนเรือจนถึงที่พักอย่างน้อย 45 นาที ซึ่งก็ขึ้นกับระยะทางของแพที่พักอีกว่า เลือกพักที่แพไหน ระยะทางแต่ละแพไม่เท่ากัน
หากใครเลือกมาเองโดยมาติดต่อเรือโดยสารเองที่นี่ เค้าก็มีราคาให้ตามป้ายนี้เลยค่ะ ขึ้นกับระยะทางอีกเช่นกัน
ถ่ายมาฝากค่ะ (แต่เนื่องจากทริปนี้เจี๊ยบมากันเป็นกรุ๊ปใหญ่ จึงใช้บริการทั้งหมดผ่านทัวร์)
เวลาประมาณ 10.00 น. เรือมารับแล้วค่ะ เตรียมออกเดินทางจากท่าเรือ มุ่งหน้าสู่ที่พักกันเลย
ก่อนเข้าที่พัก ก็แวะถ่ายภาพตรง "เขาสามเกลอ" จุดที่เป็นไฮไลต์ของการมาเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน เป็นเขาหินปูนสามก้อนหันหน้าเข้าหากัน หรือที่เรียกว่า "กุ้ยหลินเมืองไทย" นั่นแหละ
ระหว่างทาง จากท่าเรือถึงแพที่พัก คงจะมีแต่วิว ภูเขา ท้องฟ้า ผืนน้ำ และเรือ แต่นั่นแหละคือสิ่งเราเรียกมันว่า "ความสุขจากการเดินทาง" สำหรับเรานี่คือสิ่งที่เป็นความสุข การได้ชื่นชมกับธรรมชาติ การได้ถ่ายรูป การได้สัมผัสกับลมเย็นๆ แดดร้อนๆมากระแทกหน้าบ้าง การได้หัวเราะให้ปลาฟัง การได้อมยิ้มคนเดียว มันคือความสดชื่นที่เราต้องกอบโกยเอาไว้ให้มากที่สุด
น้ำสีเขียวมรกต และใสมากๆ แค่นี้ก็ดีต่อใจแล้ว
หลังจากชื่นชมความงามของ เขาสามเกลอ กันแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่ที่พักของเราในคืนแรก "แพภูผาวารี"
มองจากเรือ แพภูผาวารี มีห้องพักแบบห้องน้ำในตัว ตัวห้องพักเป็นไม้ระแนง แต่ละห้องมีเรือคยัค หรือเรือแคนูประจำไว้ทุกห้อง แต่หากต้องการจะพายเรือเล่น ก็ต้องไปจ่ายเงินค่ามัดจำไม้พายที่ล็อบบี้ก่อนค่ะ
ถึงแล้ว "แพภูผาวารี" ขยับเข้าไปอีกนิด ไปดูกันใกล้ๆว่าที่นี่สวยงามพอมั๊ย
ลงรูปรัวๆๆๆ ^^
เรามาถึงที่แพก็ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี ก็จัดเลยสิคะ รออะไร...
กับข้าวบ้านๆ ดูธรรมดา แต่อร่อยมากมาย
ไข่เจียวยืนพื้น (น่าจะมีทุกมื้อ ยกเว้นมื้อเช้า) แกงเผ็ดปลากด ใบเหลียงผัดไข่ (พลาดไม่ได้) ของดีของเด็ดทางภาคใต้ และแกงจืด กับข้าวเพียง 4 อย่าง แต่เติมได้ทุกอย่าง แถมอร่อยด้วยนะเออ
หลังจากทานข้าวเสร็จ ก็เก็บสัมภาระเข้าห้องพักกันค่ะ ดื่มด่ำกับบรรยากาศภายในแพสักครู่ แล้วบ่ายสอง เรามีนัดไปเดินป่า ล่องแพ และดูถ้ำปะการังกัน
ภายในห้องพัก นอนได้สูงสุด 4 คน
ห้องที่นี่ยังใหม่อยู่เนื่องจากเป็นแพที่สร้างขึ้นมาใหม่ แต่มาเที่ยวแบบนี้ อย่าหวังว่าจะได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรมากมายนัก ดีหน่อยที่แพนี้เป็นแพเอกชน และเป็นห้องน้ำในตัว ก็สะดวกเรื่องการเข้าห้องน้ำ
แต่ถ้าเป็นแพพักของอุทยาน จะเป็นห้องน้ำรวม อีกบรรยากาศนึงค่ะ แต่ก็ลุยๆดีนะ
คิดซะว่า เรามาซื้อบรรยากาศ ไม่ได้มาซื้อความสะดวกสบาย แล้วจะได้เที่ยวอย่างสบายใจและมีความสุขค่ะ
เพราะยังร้อนเกินไป คงไม่เหมาะกับการเล่นน้ำแน่ๆในเวลาบ่ายแบบนี้
ต้องสิ่งนี้เท่านั้นค่ะ ไอติม เก๋ป่ะล่ะ ถึงจะอยู่ในแพ แต่ก็ยังมีเรือขายไอติมมาโปรด อิอิ
ถึงจะตัดขาดจากโลกภายนอก (มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตบางจุดเฉพาะ AIS) แต่เราก็ลืมโลกภายนอกไปได้เลย
เพราะตอนนี้ขอฟินกับไอติมตรงหน้านี้ก่อน มันหอมมะพร้าว มัน อร่อยมากกกกก
กินไอติมไป เอาน้ำแช่เท้าให้ปลาตอดเล่น ให้สบายใจกันไป เดี๋ยวเย็นๆค่อยกลับมาเล่นน้ำกัน
ได้เวลานัดหมายบ่ายสอง ที่จะไปถ้ำปะการังกันแล้ว ก็ออกเดินทางกันเลยค่ะ
จากสมาชิก 36 คน มีผู้ร่วมชะตากรรมไปเดินป่ากันไม่ถึง 20 คน 555 ไม่ว่ากันน๊า ใครใคร่นอนเล่นอยู่ที่แพก็จัดไป ใครอยากไปผจญภัยก็จัดไป
ส่วนเราเหรอ ไม่พลาดทุกกิจกรรมที่มีสินะ ไปลุยกันเลยค่ะ
การเดินทางไปถ้ำปะการัง จะต้องนั่งเรือจากแพที่พัก ไปยังพื้นที่ทะเลใน 500 ไร่ ซึ่งเป็นที่ทำการของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ
หลังจากนั้นลงเรือ แล้วเดินป่ากันต่ออีกประมาณ 2 กม. และไปติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานฯเพื่อล่องแพขนานยนต์ ไปที่ถ้ำปะการัง โดยจะมีเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯเป็นผู้นำทางไปค่ะ
ระหว่างทางก็ชื่นชมบรรยากาศวิวสวยๆไปค่ะ รื่นรมย์ยิ่งนัก
มาถึงแล้วจ้า เขตพื้นที่ทะเลใน 500 ไร่ ที่ที่เราจะเริ่มเดินเท้าไปต่อ
มีผีเสื้อกำลังดื่มด่ำกับโป่งดินอยู่ด้วย
ตรงจุดนี้ จะมีร้านค้าเล็กๆ 2 ร้าน ขายน้ำดื่มและขนมขบเคี้ยว สามารถซื้อน้ำติดไปด้วยระหว่างเดินป่าก็ดีนะคะ
เพราะเส้นทางเดิน ก็เหมือนขึ้นเขาแหล่ะ แต่ไม่ได้สูงชันอะไรมากนัก เดินสบายๆสำหรับผู้ที่ชอบเดินป่าขึ้นเขาอยู่แล้ว
แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ก็มีเหนื่อยกันพอสมควร
เส้นทางไปกลับเป็นเส้นทางเดียวกัน คือไปทางไหนกลับทางนั้น ขาไปประมาณ 2 กม. ขากลับอีก 2 กม. รวมเป็น 4 กม.โดยประมาณ
เริ่มได้...
ระหว่างทางเดิน เจอพระธุดงค์หลายรูป ขอไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลกันก่อน อิอิ
ถึงที่ทำการของเจ้าหน้าที่อุทยานฯแล้ว ก็ไปติดต่อเรื่องแพที่และเจ้าหน้าที่ที่จะพาไปดูถ้ำปะการังกัน
ระหว่างรอแพ ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาเล่าให้ฟังว่าที่นี่มีอะไรบ้าง ถ้าโชคดีอาจจะได้เจอสัตว์ป่า
ชื่นชมกับความสดชื่นของธรรมชาติกันไป
แพมาแว้ววว
ระหว่างล่องแพ จากจุดที่ทำการของเจ้าหน้าที่อุทยานไปถึงถ้ำปะการัง ไม่ไกลมากนัก ก็เก็บภาพกันไป
ถึงแล้วค่ะ "ถ้ำปะการัง"
ถ้ำปะการัง อยู่ในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าคลองแสน เป็นแหล่งท่องเที่ยวลักษณะแบบเดียวกับถ้ำน้ำลอดหรือถ้ำทะลุ สาเหตุที่เรียกถ้ำปะการังก็เพราะ หินงอกหินย้อยที่นี่ไม่เหมือนที่ถ้ำอื่นๆ หินงอกหินย้อยที่ถ้ำปะการังนี้จะแตกหน่อเล็กๆ คล้ายๆ ปะการังในทะเล ดูแล้วสวยงามเพลิดเพลินตา สภาพภายในถ้ำสมบูรณ์และสะอาดมาก การเดินทางเข้าไปชมถ้ำปะการังต้องติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานในการนำทาง
จริงๆในถ้ำสวยนะ และยังมีความสมบูรณ์ของหินงอกหินย้อยอยู่มาก แต่ด้วยความมืดเลยได้รูปมาไม่ชัดเท่าไหร่และถ่ายได้นิดเดียวเองค่ะ
ภาพสุดท้ายนี่ไม่บอกว่ารูปร่างคล้ายอะไร ไปคิดกันเอาเองเนาะ อิอิ
เสร็จสิ้นการเดินชมถ้ำปะการัง ก็เดินทางกลับยังแพที่พัก
ในระหว่างทางเดินกลับ ได้พบค่างแว่นด้วย เป็นครอบครัวมีอยู่ 2-3 ตัว แต่ถ่ายไม่ชัดเท่าไหร่ แต่อยากบอกว่าที่นี่ยังมีความดิบและสดชื่นมากๆจริงๆ อยากให้เพื่อนๆได้มาสัมผัสด้วยตัวเองค่ะ
กลับถึงแพที่พัก ประมาณเกือบๆห้าโมงเย็น ยังพอมีเวลาเล่นน้ำ เก็บบรรยากาศบริเวณที่พักและทำกิจกรรมต่างๆมากมาย ก่อนที่จะทานมื้อเย็น มีอะไรให้ทำบ้าง ไปดูเอาเอง
ถ่ายรูปเพลินๆ เพราะที่พักสวยมาก
นั่งพักผ่อน หน้าห้องพัก ชิลๆกันไป
หรือจะกระโดดน้ำ เค้าก็มีให้กระโดดแบบสูงๆเลยนะ ขึ้นไปมีขาสั่น
หรือจะจิบเบียร์ จิบไวน์ เบาๆ อิอิ
หรือจะพายเรือแคนูเล่น
หรือจะนอนแช่น้ำ เล่นน้ำดับร้อนให้สบายใจ
หรือจะแกล้งเพื่อน ก็ฟินไปอี๊กกก 555
พอตกเย็น ก็นะแสงยามเย็นเริ่มมา
ก็ถ่ายได้หมด ถ้าสดชื่น
นั่งมองพระจันทร์ยามเย็น
งานดี
และแล้วก็ถึงเวลาที่เราลอยคอ เอ้ยยย รอคอย กับอาหารมื้อเย็น
กับข้าว 4 อย่างเท่ากับมื้อเที่ยง แต่มีปลาทอดตัวใหญ่มากๆๆ (อันนี้เติมไม่ได้) แต่กับข้าวอีก 3 อย่างเติมได้หมดจนกว่าท่านจะพอใจ อิอิ แล้วก็อร่อยทุกอย่างเหมือนเดิม
เสร็จจากอิ่มท้องมื้อเย็น ก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย
ส่วนเราน่ะเหรอ อยากลองเก็บดาวซักครั้ง อุปกรณ์มีแค่โทรศัพท์มือถือ Huawei P9 + ขาตั้งกล้อง และดาวไม่เยอะเท่าไหร่
แต่ก็ลองสิลอง ได้เห็นลางๆ แต่ก็สุขใจ ถ้าฟ้ามืดกว่านี้ และเห็นดาวชัดกว่านี้คงจะสวยไม่น้อย
เช้าวันรุ่งขึ้น เรามีนัดกันไปชมหมอกยามเช้ากัน
วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม 2560 เวลา 6.30 น.เรานั่งเรือไปชมหมอกหยอกเย้าแสงอาทิตย์ยามเช้ากัน
หมอกไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ฟินนะ
งานดี
หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศในการชมหมอกยามเช้าเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาอันควรกลับไปทานอาหารเช้ากันค่ะ
และระหว่างทางก็ยังพอมีหมอกให้ชมอีกนิดหน่อย
กลับมาถึงแพ อาหารเช้าก็รอพร้อมเสิร์ฟพอดี
อาหารเช้าจะมี โจ๊ก ไข่ดาว ข้าวผัด ไส้กรอก และผลไม้ค่ะ อร่อยทุกอย่างเหมือนเดิม
หลังจากอิ่มท้องแล้ว ก็มาให้อาหารตาด้วยบรรยากาศสวยๆก่อนเช็คเอ้าท์กันค่ะ
มีความตาร้อน หึหึ
ที่นี่น้ำใสมากและมีปลาเยอะมาก นั่งดูปลาเพลินๆ แล้วมันก็สบายใจดีเหมือนกันนะ
เวลา 1 วัน 1 คืน กับที่นี่ แพภูผาวารี ดูเหมือนจะน้อยไปซะแล้ว แต่เนื่องจากเราต้องไปพักบนเขื่อนอีก 1 คืน
จำใจต้องโบกมือลาที่นี่ แล้วบอกว่าถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีกครั้งแน่นวลค่ะ
ฝากใจไว้ก่อน แล้วจะกลับมาอีก
พวกเราเช็คเอ้าท์ออกจากแพภูผาวารีประมาณ 8.30 น.
และเป้าหมายต่อไปที่มาถึงที่นี่แล้วก็ต้องห้ามพลาดเช่นกัน
ไปถ่ายรูปเป็นที่ระทึกกันที่สันเขื่อนรัชชประภาค่ะ สวยงามมากๆ
คือกิจกรรมพี่แน่นจริงๆ อิอิ
สถานีต่อไป ไปตามหาหัวใจ ที่สะพานแขวนเขาเทพพิทักษ์(เขาพัง) ภูเขารูปหัวใจ
สะพานแขวนเขาพัง หรือ สะพานแขวนบ้านเขาเทพพิทักษ์ ตั้งอยู่ก่อนถึงทางเข้าเขื่อนเชี่ยวหลานเล็กน้อย เป็นสะพานที่สร้างขึ้นโดยองค์การบริหารส่วนตำบลบเขาพัง เมื่อปี 2546 อยู่ข้างวัดเขาพัง เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ชาวบ้านทั้งสองฝั่งคลองในการขนพืชผลทางการเกษตร
สะพานแขวนเขาพังเป็นสะพานขึงสลิงข้ามคลองพะแสง ทิวทัศน์โดยรอบสวยงามมาก จะเลือกถ่ายภาพคู่กับภูเขารูปหัวใจด้านหลัง หรือพายเรือคายัคลอดใต้สะพานก็สุดฟิน
ดูคนสวยๆบ้าง
ถ่ายรูปคู่กับสะพานและภูเขาหัวใจพอหอมปากหอมคอ
ไปต่อด้วยมื้อเที่ยงที่ THE RAIN FOREST RESORT กันค่ะ
แต่ไม่ได้ถ่ายรูปอาหาร ดูรูปแมวที่ร้านอาหารแทนละกัน 555
อิ่มพุงปลิ้นกับมื้อเที่ยงแล้ว ก็เดินทางไปยังที่พักคืนที่สองของพวกเรา
ถึงแล้ว "ภูผาและลำธาร รีสอร์ท" รีสอร์ทที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาและลำธาร บางคนก็เรียกว่า รีสอร์ทในฝัน
เก็บภาพบรรยากาศที่พักและบรรยากาศภายในรีสอร์ทมาฝากค่ะ
ห้องน้ำปูนเปลือยแบบดิบๆ เย็นสบายดีนะ แต่เนื่องจากที่นี่อยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร และการทำห้องน้ำแบบนี้ ยังมีรูหรือช่องว่างเล็กๆ ที่ทำให้สัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์ที่ไม่ได้รับเชิญสามารถเข้ามาแวะทักทายเราได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้นก่อนจะทำธุระส่วนตัว โปรดดูให้แน่ใจก่อนนะว่า ไม่มีคนอื่นนอกจากเรา ฮ่าๆๆ
ที่นอนอันแสนจะโรแมนติกของเรา
บรรยากาศทั่วไปในรีสอร์ท ดูเงียบสงบดี
ระหว่างรอถึงเย็น ก็เดินสำรวจบริเวณรอบๆรีสอร์ทกัน ที่นี่เค้ามีสปา และกิจกรรมเช่น พายเรือแคนู เหมือนกันค่ะ แต่ต้องเสียเงิน
บริเวณด้านหลังห้องอาหาร จะมีทางลงไปยังลำธาร
นี่ก็ชิลลเกินไป๊ อิอิ
บางคนไม่มีไรทำ ก็นั่งบริหารสมอง คำนวณเลขกันไป 555 เค้าให้มาพักสมอง ยังจะมาใช้สมองกันอีกเนาะ
ได้เวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ อาหารที่นี่รสชาติไม่น้อยหน้าที่แพเช่นกัน โดยเฉพาะ ใบเหลียงต้มกะทิ อร่อยมาก ถ้าได้กินคู่กับน้ำพริกกะปิ จะดีงามที่สุด
ตื่นเช้าขึ้นมา คิดว่าอยู่ในฝัน
สมชื่อกับ รีสอร์ทในฝัน จริงๆ นี่ประมาณ 8 โมงกว่าแล้ว แต่ยังมีหมอกหนา
อีกซักรูปกับที่นี่ "ภูผาและลำธาร รีสอร์ท"
ถึงเวลาต้องเดินทางกลับกรุงเทพกันแล้วค่ะ
แต่ก่อนกลับ ขอแวะไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลกับคณะก่อน ด้วยการแวะที่สวนโมกข์ และวัดพระบรมธาตุไชยาราชวริหาร
ปิดทริปนี้ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ อิ่มท้องและอิ่มบุญ กับเวลา 3 วัน 2 คืน ที่แสนพิเศษ
ก็ได้เวลาเดินทางกลับกรุงเทพ พร้อมความประทับใจและมีแต่เสียงบ่นว่าไม่อยากกลับกรุงเทพเลย.....
บ๊ายบาย สุราษฎร์ธานี เมืองคนดีที่สุขสดใส เมืองหอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ
สรุปการเดินทางในทริปนี้
เดินทางแบบ 3 วัน 2 คืน
ยานพาหนะ - เครื่องบิน ขาไปและขากลับ ด้วยสายการบินนกแอร์ / รถโค้ท / เรือนำเที่ยว (บริษัททัวร์เป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด)
ที่พัก
คืนที่ 1 : แพภูผาวารี (แพเอกชน) ข้อมูลติดต่อทางเว็บไซต์นี้ http://phuphawaree.com/html/menu-1.asp
คืนที่ 2 : ภูผาและลำธารรีสอร์ท ข้อมูลติดต่อ โทรศัพท์: 077 201 151
กิจกรรมในทริป
วันแรก - แวะถ่ายภาพที่เขาสามเกลอ / ไปชมถ้ำปะการัง / เล่นน้ำที่แพ
วันที่สอง - ช่วงเช้า ไปชมหมอกยามเช้า / แวะชมสันเขื่อนรัชชประภา / แวะถ่ายภาพที่สะพานแขวนเขาเทพพิทักษ์ ภูเขารูปหัวใจ
เนื่องจากครั้งนี้มาเที่ยวกันเป็นกรุ๊ปใหญ่ จึงใช้บริการผ่านบริษัททัวร์ ซึ่งบริษัททัวร์ที่เราเลือกใช้บริการในครั้งนี้ คือ บริษัท เสน่ห์บัวชมพูทัวร์ จำกัด บริการแสนประทับใจตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปลายทาง รับรองไม่ผิดหวังค่ะ หากเพื่อนๆต้องกำลังมองหาบริษัททัวร์ที่บริการดีเยี่ยมแนะนำเลยค่ะ
เบอร์ติดต่อ บริษัท เสน่ห์บัวชมพูทัวร์ จำกัด 081-5555046
สุดท้ายนี้ไม่ว่าจะเที่ยวแบบไหน ก็ขอให้ทุกท่านสนุกกับมันให้เต็มที่ และไปสัมผัสด้วยตัวเองจะดีที่สุดค่ะ
ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ติดตาม กดไลค์ กดแชร์ และคอมเม้นท์ให้ ด้วยนะคะ
Tiewplearn By Jeab
วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.20 น.