Green Season มาถึงแล้ว....

และอย่าปล่อยให้ผ่านเลยไปโดยไร้จุดหมาย

ไปกาญจนบุรีก็หลายครั้ง ที่เที่ยวก็เยอะ แถมมีหลากหลายรูปแบบ เพื่อนๆเองก็คงจะหาดูรีวิวได้ไม่ยาก

เคยไปแต่ที่พักสบายๆ แต่ครั้งนี้อยากไปแบบที่ไม่เคยไปบ้างอ่ะ ....เอ๊ะ ยังงัยหรอ แบบที่ไม่เคยไปสัมผัส

ก็ที่ "ริเวอร์แควจังเกิลราฟท์" งัย เห็นว่าเป็นแพริมแม่น้ำแควนะ แต่ๆๆไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ตลอด 24 ชม.

เออ...น่าสนใจดี สำหรับคนที่ต้องการไปพักผ่อนและอยู่กับธรรมชาติโดยแท้จริง

ปลดปล่อยตัวและใจไปกับสายน้ำและธรรมชาติของป่าไม้ที่เขียวขจี ทิ้งโลกแห่งความวุ่นวายไว้สักพัก...

พร้อมแล้ว ไปสัมผัสกันแจ้....

บอกกันก่อนว่ารีวิวชุดนี้ เน้นรูปเยอะหน่อยนะคะ แบบว่าอยากให้เห็นหลายๆมุม

ครั้งนี้ตั้งใจว่าจะต้องแวะวัดถ้ำเสือ อีกครั้ง เพื่อไปตามหามุมในฝัน หลังจากเคยได้ถ่ายมุมมหาชนมาแล้ว

ติดตามชมมุมมหาชน ที่เคยลงภาพมาแล้วได้ที่รีวิวนี้นะคะ

https://th.readme.me/p/5883

วัดถ้ำเสือ ในมุมมหาชน

หลวงพ่อชินประทานพร


เจดีย์เกศแก้วปราสาท - หลวงพ่อชินประทานพร

พระอุโบสถอัฐมุข


พระเจดีย์เกศแก้วปราสาท - พระอุโบสถอัฐมุข


ซุ้มประตูก่อนขึ้นเจดีย์เกศแก้วปราสาท


วิวทุ่งนาเขียวๆด้านหลังพระอุโบสถอัฐมุข

แท่น แท้น แท๊น และแล้ว เราจะไปพาคุณไปพบกับ วัดถ้ำเสือ มุมในฝันกันค่ะ


มุมนี้หาไม่ยาก ค้นหาคำว่า "มีนาคาเฟ่"

แต่ตอนเราไป มีนาคาเฟ่ ยังไม่เกิดนะคะ เราก็งมหาจากมุมที่เห็นบนวัดถ้ำเสือน่ะแหละแล้วเดาสุ่มเอา ขับรถเลาะมาเรื่อยๆ จนได้เจอ

จอดรถริมถนน แล้วเดินซอกแซกเข้าไปตามริมทุ่งนา ก็จะพบเส้นทางประมาณนี้เลย

เราว่ามันคือขุมทรัพย์ของคนแถวนี้เลยนะเนี่ย มีร่องน้ำเล็กๆไหลผ่าน มีต้นไม้น้อยใหญ่

แค่เดินผ่านจุดนี้ก็สัมผัสได้ถึงความเย็น สดชื่น ทั้งๆที่อากาศ ณ เวลานั้นร้อนตับแตก อิอิ

อยากจะนั่งอยู่ตรงนั้นนานๆ เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ เก็บเข้าปอดไว้ให้มากๆ เท่าที่จะทำได้

แต่ๆ เรายังต้องไปต่อ ณ จุดหมายปลายทาง

ระหว่างเดินกลับไปที่รถ ก็เก็บภาพให้สาแก่ใจ ให้ได้หลายๆมุม เพราะมันประทับใจเราจริงๆ

ช่วง Green Season สิ่งที่ต้องได้สัมผัสแน่ๆก็คือ ความเขียวขจีของทุ่งนาแบบนี้แหละค่า ท่านผู้โชม

แถมเดินไป กลิ่นหอมของต้นข้าวในนาก็เตะจมูกไปด้วยนะ

ยังมิวาย ระหว่างทางเดิน ถ้าไม่เร่งรีบนัก ก็จะได้ทักทายกับ แมงปอ แบบนี้แหละ

และที่มีให้เห็นอีกเยอะแยะระหว่างทาง ก็คงไม่พ้น ดอกหญ้าริมทุ่งนา น่ารักเนอะ

หลังจากเก็บภาพอย่างสาแก่ใจ ณ มุมในฝัน วัดถ้ำเสือแล้ว เราก็เดินทางกันต่อค่ะ

ณ จุดที่แวะเข้าปั๊มบางจาก ระหว่างทางนั้น เราก็พบกับ แลนด์มาร์ค อีกจุดหนึ่งของกาญจนบุรี

"เมืองมัลลิกา ร.ศ.๑๒๔"

เก๋ป่ะล่ะ ที่นี่เค้ามีอะไรบ้าง คงต้องมารีวิวในครั้งต่อไป ถ้ามีโอกาสมาแบบตั้งใจ

แต่ที่แน่ๆคือ เรารู้ว่าเราเป็นตัวประหลาด ณ จุดนั้น 555

เพราะที่นี่เค้ามีแต่คนแต่งชุดไทยสมัยโบราณ เดินกันขวักไขว่ เก๋ไก๋ไม่เบาอ่ะ

ครั้งนี้ไม่ได้ตั้งใจมาจริงๆ เลยได้แต่เก็บภาพข้างนอกกับมือถือมานิดหน่อย

แต่เชื่อว่าข้างในประตูนั้น ต้องมีอะไรน่าสนใจมากๆแน่ๆเลย

จากเมืองมัลลิกาฯ เราต้องเดินทางต่อไปยังจุดหมายสุดท้ายที่เป็นที่พักที่เราเลือกพักในทริปนี้

"ริเวอร์แคว จังเกิลราฟท์" ที่พักแพริมน้ำ ที่ใกล้ชิดธรรมชาติอันบริสุทธิบนผืนน้ำแควน้อย

สงบ เรียบง่ายกลางป่าอันสมบูรณ์ ฯลฯ

ณ สถานที่แห่งนี้ เราจะไปใช้ชีวิต SLOW LIFE ท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์กัน

และที่สำคัญที่พักที่นี่ ไม่มีการใช้ไฟฟ้านะคะ เพราะเป็นความตั้งใจของรีสอร์ทแห่งนี้

ที่ต้องการให้แขกผู้เข้าพักทุกท่านได้สัมผัสกับการพักผ่อนภายใต้ธรรมชาติอย่างเต็มที่

แม้จะดูเป็นการลำบาก แต่ทุกคนที่มาล้วนแต่พึงพอใจกับการใช้ชีวิตแบบนี้

เนื่องจากไม่สามารถหาได้จากที่อื่น


ยินดีต้อนรับสู่ท่าเรือพุตะเคียน

จากปากทางเข้าริมถนนใหญ่ ต้องขับรถเข้ามาอีกหน่อย ก็จะถึงท่าเรือพุตะเคียน

ที่จะเป็นจุดจอดรถ (หากนำรถมาเอง) และลงเรือต่อเพื่อไปยังแพที่พักค่ะ

ทางลงไปยังท่าเรือ

เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ก็นั่งรอเรือมารับค่ะ

เวลาขึ้นเรือตั้งแต่ 8.00 น. - 18.00 น.

ควรจะมาให้ทันในเวลานี้นะคะ เพื่อให้ได้นั่งเรือบริการของรีสอร์ทที่จัดมารับฟรี

เพราะถ้าหากเลย 18.00 น.ไปแล้ว คุณอาจจะต้องเสียค่าเรือโดยสารไปเอง


เราจะเดินทางด้วยเรือหางยาวแบบนี้ ไปแพที่พัก ใช้เวลาประมาณ 20 นาที

บรรยากาศระหว่างนั่งเรือไปแพที่พัก ถ่ายเป็นวิดีโอมาให้ชมกัน


มีควายน้ำให้ดูด้วย


ถึงแล้ว...แพที่พัก


ที่พักของเราคืนนี้จ้า


เมื่อมาถึงเช็คอินเรียบร้อย ทุกห้องก็จะได้รับ ตะเกียงวิเศษ (ตะเกียงน้ำมันก๊าด) ห้องละ 1 อัน

เพื่อใช้ส่องสว่างตลอดทริปที่พักที่นี่ เนื่องจากที่รีสอร์ทไม่มีการใช้ไฟฟ้า

หน้าห้องพัก ก็จะมีเปลให้ได้นั่งนอนพักผ่อนหย่อนใจ และมีแพยื่นออกไปให้กระโดดน้ำได้ที่หน้าห้องเลย

ออกมานั่งนอนรับความสดชื่น

อาจจะได้เจอหมอกเบาๆแบบนี้ก็ได้นะ

และระเบียงหลังห้อง ก็ยังมีเปลส่วนตัวทุกห้องอีก

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ก็จะได้ Dinner ท่ามกลางแสงตะเกียงแบบนี้เลยค่ะ

โรแมนติกไม่เบา

อาหารเย็น (รวมไปในค่าแพ็กเกจแล้ว) ก็จะมีกับข้าวประมาณ 5 อย่างรสชาติกลางๆค่ะ

และมีผลไม้ตบท้ายอีกนิดหน่อย ใครไม่อิ่มขอเติมได้ตลอดค่ะ

หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นแล้ว ประมาณ 2 ทุ่มจะมีการแสดงรำมอญ

และมีค่าบัตรชม 160 บาท/ท่าน

แต่เราไม่ได้รอชม เลยไม่มีภาพมาฝากนะก๊ะ

บรรยากาศยามเช้าที่แพ

มื้อเช้าของที่นี่ก็จะเป็นประมาณนี้ค่ะ ไข่ดาว-แฮม-ขนมปัง-กาแฟ-นม-น้ำส้ม-ผลไม้

ช่วงเช้าประมาณ 7.00-08.00 น. จะมีพี่ช้างเค้ามาทักทายหลังแพด้วยน๊า

ใครมีกล้วย ผลไม้ก็เอามาฝากพี่เค้าด้วยนะคะ น่ารักมากๆ

หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว ก็ไปเดินชิลๆที่ชุมชนชาวมอญที่อยู่บนเขา หลังแพที่พักกัน

ด้วยที่นี่อยู่ในเขตป่าร้อนชื้น เพราะฉะนั้นบรรยากาศระหว่างทางเดินในชุมชนมอญ

มันก็จะเขียวๆครึ้มๆหน่อย แต่ก็ร่มรื่นดีนะ

บริเวณที่นี่กว้างขวางพอสมควร พอเดินไปซักพักก็เจอบ้านชาวมอญเล็ก ในป่าใหญ่

เค้าอยู่กันแบบเรียบง่ายดีนะ คุณดูสิ รอบๆบ้านคือป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์มาก ดูจากขนาดลำต้นและไม้เลื้อยต่างๆ ต้นก็ใหญ่ไม่น้อย

เจอแล้ว เจ้าถิ่น อิอิ /ทีแรกเขิลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้

แต่เรามีขนมมาหลอกล่อ 555 มาเลยไอ้ตัวเล็ก (ขนมมีชิ้นเดียว โถ่ น่าสงสารสองสาวข้างหลัง >_<)

ที่นี่เค้าก็จะปลูกพืชผัก ผลไม้ไว้กินเอง และใช้ทำอาหารที่รีสอร์ทด้วยนะคะ

มีทั้งสับปะรด

ต้นกล้วย / ฟักทอง ปลูกแซมกันไป


เดินมาเรื่อยๆ จะเจอวัดมอญ ดูจากรูปปั้นสิงห์ และพระพุทธรูปก็พอจะรู้ ว่าเป็นศิลปะแบบ พม่ารามัญ


สวย สะอาด และเงียบสงบมากๆ

มีพระธาตุอินทร์แขวนจำลองด้วย


กลับจากชมวัดแล้ว เราก็เดินไปชมโรงเรียนมอญกันต่อ

เป็นโรงเรียนมอญเล็กๆ อยู่ในอาคารไม้เปิดโล่ง เรียบง่าย แต่ไม่เจอเด็กนักเรียนนะคะเพราะเป็นวันหยุด

ไปเรียนภาษามอญกัน ^^

ใกล้ๆกับโรงเรียนมอญ จะมีปางช้าง

มีช้างไว้บริการนั่งช้างชมรอบๆชุมชน (ติดต่อเรื่องค่าบริการกับทางรีสอร์ท)

บรรยากาศคือ ดี๊ย์ ดีย์ นั่งช้างชมป่า

นอกจากต้นไม้เขียวๆเยอะแยะมากมายแล้ว ที่นี่คุณจะได้เจอกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆหลากหลาย

โดยเฉพาะหอยทาก มีเยอะมาก ตัวเล็กๆ ระวังเดินเหยียบด้วยนะ

ผ้าถุงแบบชาวมอญ สีสันสดใส มีวางขายนักท่องเที่ยว

จำไม่ได้ว่าดอกไม้ชนิดนี้ชื่ออะไร แต่ชาวมอญเค้าเก็บเอามาทำอาหารทานได้ค่ะ


เห็ดๆๆ รูปร่างคล้ายปะการังเลย

ขากลับ แวะทักทายเด็กมอญน่ารักที่รีสอร์ทค่ะ

สำหรับทริปนี้ บอกเลยว่าคุ้มมาก ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบธรรมชาติแบบเขียวๆ สดชื่นๆ

ชอบการเที่ยวแบบเยี่ยมชมวิถีชุมชนในพื้นที่ ต้องมาสัมผัสที่นี่ค่ะ ได้ครบจบในที่เดียว

ปิดทริปนี้ด้วยสรุปค่าใช้จ่ายดังนี้

1. ค่าที่พัก + อาหาร 2 มื้อ (เช้า-เย็น) 2,585 บาท

2. ค่าน้ำมันรถ 1,300 บาท

รวมทั้งสิ้น 3,858 บาท หาร 2 คน เฉลี่ยคนละ 1,929 บาท

** การจองที่พัก สามารถจองผ่านเว็บไซต์ของ ริเวอร์แควจังเกิลราฟท์ได้เลย

www.riverkwaijunglerafts.com


======== ออกไปเจอโลกกว้าง ออกไปตามหาหัวใจ ออกไปสัมผัสเมืองไทยด้วยกัน =========

** และขอขอบคุณทุกท่านที่หลงเข้ามาอ่าน และติดตามด้วยนะคะ **

แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้า


ฝากผลงานรีวิวทริปอื่นๆของเจี๊ยบด้วยนะคะ

1. รีวิวแรก กับรักแรกพบที่กาญนะจ๊ะบุรี

https://th.readme.me/p/5883

2. ONE DAY TRIP เดินตามรอยพ่อ ที่โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ

https://th.readme.me/p/6160

3. เขาสก เชี่ยวหลาน การเดินทางที่แสนพิเศษ

https://th.readme.me/p/8688

4. ชุมพร On My Way Serie#1

https://th.readme.me/p/9144

5. ลากเพื่อนไปเฟี้ยว พันเดียวพาเพลินถึงพะเนินทุ่งฯลฯ

https://th.readme.me/p/9439




Tiewplearn By Jeab

 วันพฤหัสที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 15.15 น.

ความคิดเห็น